วิถีธรรม > จิตภาวนา-ปัญญาบารมี

นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน โดยครูสอนเซน พระอาจารย์ราเชนทร์ อานนฺโท

<< < (2/8) > >>

นิกายเซน:
บทความจากหนังสือใจต่อใจในการฝึกตน (The core of Zen)
เขียนโดย..พระอาจารย์ราเชนทร์ อานนฺโท



ธรรมชาติฟื้นฟูตัวเอง

            “มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ” เป็นเจ้าของแนวคิดเกษตรธรรมชาติที่เป็นที่รู้จักในหมู่เกษตรกรและนักวิชาการ ชาวไทยเป็นอย่างดี ภายหลังจากที่หนังสือ One Rice Straw Revolution หรือในชื่อไทยคือ ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว ได้รับการเผยแพร่ในปี พ.ศ. 2530 ฟูกูโอกะได้รับรางวัล แมกไซไซ ในปี 2531 จากผลงานเกษตรธรรมชาติซึ่งมีหลักการสี่ประการได้แก่ การไม่ไถพรวน การไม่ใช้ปุ๋ยเคมี การไม่กำจัดวัชพืช และการไม่ใช้สารเคมี ซึ่งหลักการของฟูกูโอกะได้สวนทางกับการเกษตรกรรมแผนปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ฟูกูโอกะเป็นนักโรคพืชวิทยาที่ผันตัวเองไปเป็นเกษตรกรมาไม่ต่ำกว่า 50 ปี โดยพยายามที่จะฟื้นฟูดินและระบบนิเวศในไร่นาให้กลับมามีชีวิตดังเดิม สร้างเสริมความอุดมสมบูรณ์ให้แก่พรรณไม้และพืชผลในทางคุณภาพและปริมาณอีก
            ด้วยมาซาโนบุ ฟูกูโอกะ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2454 ในหมู่บ้านเล็กๆ บนเกาะซิโกกุทางตอนใต้ของญี่ปุ่น และจบการศึกษาทางจุลชีววิทยาสาขาโรคพืชวิทยา เคยทำงานเป็นนักวิจัยทางการเกษตรของกรมศุลกากรเมืองโยโกฮาม่าในการตรวจสอบ พันธุ์พืชที่จะนำเข้าและส่งออก เมื่อเขาอายุได้ 25 ปี ได้ตัดสินใจลาออกจากงานและกลับไปทำเกษตรกรรมที่บ้านในชนบท เขาใช้เวลากว่า 50 ปี ไปกับการพัฒนาวิธีการทำการเกษตรธรรมชาติ
          ฟูกูโอกะเป็นผู้นำงานจากห้องทดลองออกมาสู่ไร่นา เขาอธิบายว่า ชาวนาเชื่อว่าทางเดียวที่จะให้อากาศเข้าไปปรับสภาพเนื้อดินได้ดี คือ ต้องใช้จอบ พลั่ว ไถ หรือใช้แทรคเตอร์พรวนดิน แต่ยิ่งไถพรวนมาก ดินก็จะแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยมากขึ้นทำให้อนุภาคของดินแตกกระจายออกจากกัน ทำให้อนุภาคของดินเหล่านี้เข้าไปอุดอยู่ในช่องว่างในดิน ดินก็จะแข็งขึ้นเกิดชั้นดินดาน แต่ถ้าปล่อยให้วัชพืชทำหน้าที่นี้แทน รากของวัชพืชจะซอนไซลงไปได้ลึกได้ถึง 30-40 ซม. ซึ่งจะช่วยทำให้ทั้งอากาศและน้ำผ่านเข้าไปในเนื้อดินได้ เมื่อรากเหล่านี้ตายก็เป็นอาหารของจุลินทรีย์ทำให้แพร่ขยายจำนวนมากขึ้น ไส้เดือนก็จะเพิ่มจำนวนขึ้นและตัวตุ่นก็จะมีตามมา ซึ่งจะช่วยขุดดิน เป็นการช่วยพรวนดินตามธรรมชาติ ดินจะร่วนซุย และสมบูรณ์ขึ้นเองตามธรรมชาติโดยไม่ต้องให้มนุษย์ช่วย เพียงแต่ปล่อยให้ธรรมชาติฟื้นฟูตัวเอง           
         ผู้เขียนนึกถึงหนังสือเล่มนี้ทีไรก็อดนึกถึงวันเก่าๆในสมัยที่ยังเป็นพระเด็กๆซึ่งเริ่มหัดภาวนาไม่ได้  ก็เพราะว่าหนังสือเล่มนี้นี่เอง   “ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว” ( One Rice Straw Revolution ) ที่มันพลิกโฉมหน้าการปฏิบัติของข้าพเจ้ามาสู่เส้นทางธรรมอันคือธรรมชาติมาจนถึงทุกวันนี้ ข้าพเจ้าต้องขอบคุณ ดร.ฟูกูโอกะ ที่ท่านเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นและหนังสือของท่านได้รับรางวัลแมกไซไซ แล้วข้าพเจ้าก็เคยอ่านหนังสือเล่มนี้มาตั้งแต่สมัยเป็นฆาราวาสตอนนั้นเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ปี 3  และครั้งเมื่อมาบวชได้ 9 พรรษาจึงได้มาเจอหนังสือเล่มนี้อีกครั้งบนศาลาใหญ่หอประชุม แห่ง “วัดถ้ำเสือวิปัสสนา” จังหวัดกระบี่  เป็นวัดที่ข้าพเจ้าได้มาจำพรรษาพำนักอยู่หลายปีแล้ว  ครั้งเมื่อเจอมันโดยบังเอิญก็รีบหยิบมันขึ้นมาอ่านเพื่อเสพอรรถรสในเนื้อหาเดิมๆของหนังสือเล่มนี้
          แต่เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านไปๆ ก็ฉุกคิดขึ้นมาไม่รู้ตัวถึง “วิธีการธรรมชาติ” ที่ ดร.ฟูกูโอกะ   ท่านนำเอามาใช้ในวิธีการทำเกษตรของท่านเองที่ตั้งใจย้อนยุคไปสู่วิธีการธรรมชาติดั้งเดิมในการทำกสิกรรมของคนญี่ปุ่นโบราณ  บนพื้นฐานความคิดที่ว่า “ไม่ต้องใส่วิธีการใดๆลงไปในการเพาะปลูก ไม่ไถพรวน ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ไม่กำจัดวัชพืช และไม่ใช้สารเคมี ควรให้ธรรมชาติมันปรับปรุงระบบมันเอง แล้วทุกอย่างที่เพาะปลูกมันจะลงตัว”  ข้าพเจ้าได้เปรียบเทียบว่า มันก็เหมือนกับการที่ข้าพเจ้า พยายามปฏิบัติธรรม ทำโน้น ทำนี่ ทำตรงนั้นกับตรงนี้ เป็นการใส่วิธีการลงไปเพื่อให้ได้มาซึ่งผลแห่งการปฏิบัติตามที่ข้าพเจ้ามุ่งหวังไว้ แต่ในภาวะความเป็นจริง ข้าพเจ้าปฏิบัติธรรมมาตั้ง 9 พรรษาแล้วนับแต่บวช แต่ผลแห่งการปฏิบัติก็ไม่คืบหน้าเท่าที่ควรแต่อย่างใด ก็เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งปฏิบัติจนได้อภิญญาแล้วในระดับหนึ่งซึ่งเป็นโลกียฌาน ได้มาหลายๆอย่างแต่ก็ทำให้ตัวเองควบคุมกำลังจิตตรงนั้นไม่ได้ จนทำให้จิตข้าพเจ้ามันเกิดความวิปลาส  จิตแตกจิตเสีย เกือบแทบเสียผู้เสียคนเสียความเป็นพระนักปฏิบัติไป ครั้งนั้นทำให้ข้าพเจ้าละเลิกการเข้าไปทำกรรมฐานแบบกสินอย่างเด็ดขาดและหันมาวิปัสสนาดูจิตตนเองมากขึ้น  แต่เมื่อวิปัสสนามาอีกหลายปีมันก็ยังไม่ดีขึ้น ราคะ โทสะ โมหะ ก็ยังมีอยู่เต็มหัวใจ จนกระทั่งข้าพเจ้าคิดว่า ตนเองคงไม่มีวาสนาที่จะบรรลุขึ้นฝั่งพระนิพพานเป็นพระอรหันต์เหมือนครูบาอาจารย์รูปอื่นๆแล้วกระมัง ทั้งๆที่ข้าพเจ้าก็นั่งสมาธิเพื่อให้จิตสงบขึ้นและเดินจงกรม พิจารณาเพื่อให้เกิดความเข้าใจในปัญญาตามรู้ตามดูจิตของตนเองตลอด โดยมีเวลาพักผ่อนได้นอนวันละ 4 ชั่วโมงเท่านั้นมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว
          แต่เมื่อมาอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ฉุกคิดขึ้นมาถึงคำว่า “เพียงแต่ให้ธรรมชาติมันฟื้นฟูตัวมันเอง แล้วทุกอย่างที่เพาะปลูกมันจะลงตัว”  มันทำให้ข้าพเจ้าครุ่นคิดเก็บนำมาพิจารณาถึงเรื่อง “จิต” ของเราเช่นกัน เราเองก็ควรปล่อยให้จิตมันดำเนินกลับไปสู่วิถีธรรมชาติดั้งเดิมของมัน แล้วมันน่าจะฟื้นฟูตัวมันเองออกจาก อวิชชาตัณหาอุปาทานได้ เพราะโดยธรรมชาติของจิตนั้นเมื่อถูกปรุงแต่งขึ้น มันก็ย่อมตั้งอยู่ได้ไม่นาน หลักธรรมชาตินั้นมันไม่มีอะไรที่สามารถตั้งอยู่ได้เพราะธรรมชาติแท้จริงมันคือความไม่มีไม่เป็น ถ้ามีมันก็ย่อมแปรปรวนเสื่อมไปสิ้นไป ดับไปเองตามภาวะธรรมชาติอยู่แล้ว  ข้าพเจ้าเลยกลับมาพิจารณาถึงวิธีปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้าที่พยายามฝืนธรรมชาติทำในสิ่งที่ขัดต่อธรรมชาติ  โดยข้าพเจ้าพยายามเข้าไป บังคับ จับฉวย จับกุม ให้จิตมันว่างไม่ปรุงแต่งขึ้นมา
 
          มันก็คงเหมือนกับที่ พวกชาวนาญี่ปุ่นเชื่อว่า... “ทางเดียวที่จะให้อากาศเข้าไปปรับสภาพเนื้อดินได้ดี คือ ต้องใช้จอบ พลั่ว ไถ หรือใช้แทรคเตอร์พรวนดิน แต่ยิ่งไถพรวนมาก ดินก็จะแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยมากขึ้นทำให้อนุภาคของดินแตกกระจายออกจากกัน ทำให้อนุภาคของดินเหล่านี้เข้าไปอุดอยู่ในช่องว่างในดิน ดินก็จะแข็งขึ้นเกิดชั้นดินดาน”   มันเป็นการที่ชาวนาใช้ความพยายามทำอะไรลงไปสักอย่างในผืนนาแล้วชาวนาเหล่านี้คิดว่า การกระทำแบบนั้นเป็นการช่วยส่งเสริมการพรวนดินทำให้คุณภาพดินดีขึ้น แต่ในความเป็นจริงการกระทำดังกล่าวมันกลับทำให้ดินแย่ลงกว่าเดิม และชาวนาพวกนี้ก็ลืมและมองข้าม “วิธีธรรมชาติ” ไปว่า แท้จริงแล้วธรรมชาตมันก็มีวิธีการปรับปรุงตัวมันเองอยู่แล้ว    และวิธีการธรรมชาติมันก็เป็นวิธีการจัดการโดยตัวมันเองโดยกระบวนการมันเอง และเป็นวิธีที่ดีที่สุดแบบเหมาะสมลงตัว  ด้วยการปล่อยให้วัชพืชทำหน้าที่นี้แทน รากของวัชพืชจะซอนไซลงไปได้ลึกได้ถึง 30-40 ซม. ซึ่งจะช่วยทำให้ทั้งอากาศและน้ำผ่านเข้าไปในเนื้อดินได้ เมื่อรากเหล่านี้ตายก็เป็นอาหารของจุลินทรีย์ทำให้แพร่ขยายจำนวนมากขึ้น ไส้เดือนก็จะเพิ่มจำนวนขึ้นและตัวตุ่นก็จะมีตามมา ซึ่งจะช่วยขุดดิน เป็นการช่วยพรวนดินตามธรรมชาติ ดินจะร่วนซุย และสมบูรณ์ขึ้นเองตามธรรมชาติโดยไม่ต้องให้มนุษย์ช่วย
          ในการจัดการจิตก็เช่นกัน หากเรางดเว้นที่จะเอาความเป็น “เรา” เข้าไปยุ่งเกี่ยวยุ่งยากกับมัน แล้วปล่อยให้ “ธรรมชาติ”  แห่งจิตนั้น มันจัดการปรับปรุงตัวมันเอง  โดยเราเห็นว่าจิตที่ถูกปรุงแต่งขึ้นนั้นมันคือทุกข์ ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งเข้าไปสาละวนในการปรุงแต่งต่อเติมยืดเยื้อออกไป เมื่อเราหยุดสาละวน โดยธรรมชาติแห่งจิตนั้นเมื่อไม่มีสิ่งใดแปลกปลอมเข้ามายุ่งเกี่ยวกับมันมาทำให้มันต้องแสดงเนื้อหาแห่งความปรุงแต่งเป็นตัวจิตมันให้ยืดยาวออกไป โดยธรรมชาติจิตนั้นเองมันก็จะมีความแปรปรวนไปตั้งอยู่ได้ไม่นานและในท้ายที่สุดแล้วมันก็จะดับไปเองเป็นธรรมดาตามระบบธรรมชาติแห่งมันอยู่แล้ว      การที่จิตมันดับไปๆ   มันก็ทำให้เราออกจากพฤติกรรมที่ชอบเข้าไปปรุงแต่งให้เกิดขึ้นเป็นจิตอยู่เนืองๆ มันเป็นระบบธรรมชาติที่ช่วยฟื้นฟูปรับปรุงจิตให้กลับไปสู่ระบบธรรมชาติของจิตที่มันแปรปรวนดับไปไม่มีเหลือเป็นธรรมดา  ธรรมชาติแห่งความเสื่อมไปสิ้นไปมันจะช่วยปรับปรุงฟื้นฟูให้เกิดความคลายกำหนัดอันเกิดจากการที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่น
       นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทำให้ข้าพเจ้าได้เข้าใจถึงความหมายแห่งธรรมชาติที่มันมีอยู่ในธรรม และเข้าใจอย่างชัดเจนในพุทธประสงค์ที่พระพุทธองค์ท่านตรัสไว้ว่า
-ธรรมชาติแห่งจิตนั้น เมื่อมันถูกปรุงแต่งเกิดขึ้นเป็นจิต มันย่อมตั้งอยู่ได้ไม่นาน มีความแปรปรวนดับไปเป็นธรรมดา
-ธรรมชาติแห่งขันธ์ทั้ง 5 นั้น เมื่อขันธ์ทั้ง 5 เกิดขึ้นแล้ว ขันธ์ทั้ง 5นั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา
       พระพุทธองค์ท่านก็ใช้ระบบธรรมชาติที่สามารถฟื้นฟูตัวมันเองเข้ามาในการแก้ไขปัญหาแห่งทุกข์แห่งการปรุงแต่งที่เกิดขึ้นเป็นจิตต่างๆ และพระพุทธองค์ท่านก็ค้นพบในวันที่ท่านได้ตรัสรู้ว่า แท้ที่จริงหากหลงผิดยังคิดว่ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ ธรรมชาติแห่งความมีของสิ่งนั้นย่อมไม่เที่ยงแท้แน่นอนตั้งอยู่สภาพแห่งความมีเดิมๆได้ไม่นาน มันย่อมแปรปรวนสิ้นไปดับไปเป็นธรรมดาตามสภาพแห่งธรรมชาติ และแท้ที่จริงธรรมชาติอันแท้จริงนั้นย่อมว่างเปล่าไร้ความเป็นตัวเป็นตนอยู่อย่างนั้นไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นได้เลย และจึงไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะแปรปรวนดับไป มันคือความว่างเปล่าที่เป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสไว้ใน ตติยนิพพานสูตร ว่า นิพพาน คือ “ธรรมชาติ แห่งการปรุงแต่งไม่ได้แล่ว”       
    เมื่อข้าพเจ้าเข้าใจเนื้อหาธรรมชาติดังนี้แล้ว นับแต่วันที่ได้อ่านหนังสือ “ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว” ของ ดร.ฟูกูโอกะ เสร็จแล้ว ข้าพเจ้าจึงงดเว้นที่จะเอาความเป็น “ข้าพเจ้า” เข้าไปกำกับจิต จับฉวยจับกุมจิต ตามรู้ตามดูเพื่อบังคับจิตมิให้มันเกิดขึ้นหรือคอยบังคับให้มันดับไปตามความต้องการของข้าพเจ้าแล้วคอยประคองภาวะความว่างอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมันผิดวิธีธรรมชาติ ข้าพเจ้าได้เริ่มนำเอากระบวนการวิธีธรรมชาติมาใช้ในการปฏิบัติธรรม เพื่อให้ระบบธรรมชาติมันปรับปรุงฟื้นฟูตัวมันเอง จนกว่าข้าพเจ้าจะตระหนักชัดและซึมทราบภาวะแห่งความเป็นธรรมชาติดั้งเดิมแท้ของมันอีกครั้ง





นิกายเซน:
การเกิดขึ้นของมายาก็ดี
การถอนมายาออกเสียได้ก็ดี
ล้วนแต่เป็นมายาด้วยกันทั้งสิ้น
..
..
เซน แห่ง หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน


นิกายเซน:
หันหลังให้มายา
กลับสู่ธรรมชาติพุทธะ
โลกใบนี้...แค่นี้
..
..
เซน แห่ง ครูสอนเซน (พระอาจารย์ราเชนทร์ อานนฺโท)

นิกายเซน:
บทความจากหนังสือใจต่อใจในการฝึกตน (The core of Zen)
เขียนโดย..พระอาจารย์ราเชนทร์ อานนฺโท



ใจต่อใจในการฝึกตน 

         ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวแห่งฤดูร้อนในเดือนกรกฎาคม        วัดเรียวอันจิร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่   ให้ร่มเงาแก่ผู้มาเยือนชมหิน ๑๕ ก้อนอันลือนาม   ที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก   ปีนั้นเกียวโตอายุครบ ๑,๒๐๐ ปี      มูลนิธิญี่ปุ่นร่วมฉลองงานโดยให้ทุนอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ไปทัศนศึกษา เพื่อเป็นการเตรียมงานฉลองเชียงใหม่ ๗๐๐ ปี  ในปี พ.ศ. ๒๕๓๙  เมื่อมีโอกาสแวะวัดเรียวอันจิคราวนี้                  เราได้รับอนุญาตพิเศษเข้าไปในบริเวณด้านใน            หลบลี้หนีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเข้าไปนมัสการพระพุทธรูปที่ประดิษฐานข้างใน         หลังจากนั้น อาจารย์ศิริชัย นฤมิตรเรขการ             ขอเข้าพบเจ้าอาวาสวัดที่เคยพบเมื่อหลายปีก่อนเพื่อถวายของฝากให้ท่าน      ครั้นไปพบแล้วก็ปรากฏว่าไม่ใช่รูปนี้ที่เคยพบแต่ก็ถวายของที่นำมาให้กับท่าน       แล้วบอกท่านว่า      พวกเรามาจากที่ที่วุ่นวายมาก     ท่านจะมีอะไรจะสอนเพื่อให้เราได้มีความสงบใจบ้าง     ยังจำหน้าตายิ้มแย้มและเสียงหัวเราะอันกังวานของท่านได้      เมื่อท่านตอบผ่านล่ามว่า      “อาตมาอยู่ที่นี่ก็วุ่นวายมากแล้วเห็นจะไม่มีอะไรจะบอกกล่าว”         ทำให้เรานึกภาพวัดเรียวอันจิที่พลุกพล่าน      ขนมหวานที่ท่านกรุณานำมาต้อนรับ รสกลมกล่อม       ชาเขียวเล่าก็ปลุกเราให้ตื่น    ลิ้มรสหมดเกลี้ยง  แล้วจึงได้กราบลาท่าน พอเราเดินพ้นประตูกุฏิท่านได้เพียงไม่กี่ก้าว    ก็มีคนวิ่งออกมาบอกว่าพระที่เราอยากจะพบตัวจริงนั้นอยู่ที่ไดชูอิน     พร้อมนำเราเดินไปอีกมุมหนึ่งของวัดเรียวอันจิ         และมอบของที่ระลึกคืนเพื่อถวายให้กับท่านอาจารย์  ที่อาจารย์ศิริชัยต้องการมาเยี่ยมคารวะตรงประตูเล็ก ๆ หน้าบริเวณไดชูอิน ชาวตะวันตกชายหญิง ๑ คู่      ในเสื้อญี่ปุ่นสีดำ       ละมือจากการตัดเล็มพุ่มไม้มาต้อนรับคณะเรา    แล้วนำเราไปนั่งรออาจารย์ที่เรือนไม้หลังเล็กอันเป็นกุฏิของท่าน
               ท่านโซโก โมรินากะ โรชิ        ดูสูงสง่าด้วยผ้าสีน้ำตาลอ่อนค่อนไปทางสีชมพู      ที่เป็นเสื้อคลุมตัวนอก   หรือ      (okesa)            กลมกลืนกับจีวรที่คล้องคอ ในวัย ๗๐ ปีต้น ๆ          ท่าทางท่านยังคล่องแคล่วแข็งแรง           เราเริ่มสนทนากับท่านโดยผ่านล่ามคือ คุณโอชิ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ ทานาเบ้          ผู้ซึ่งยอมรับในภายหลังว่า            ได้รับประโยชน์อย่างมากจากการเป็นล่ามครั้งนี้เพราะเขารู้เรื่องพุทธศาสนานิกายเซนน้อยมาก      แม้เป็นชาวญี่ปุ่นโดยกำเนิด          ท่านโซโก โรชิ   พูดถึงการฝึกปฏิบัติแบบซาเซนว่าสำหรับบางคนต้องใช้เวลายาวนาน        พลางชะโงกหน้าไปข้างนอกดูลูกศิษย์ชาวเยอรมัน ๒ คน    ที่ต้อนรับเราเมื่อครู่ก่อน ก่อนจะบอกเราว่า “คู่นี้อยู่ฝึกมาแล้ว ๑๕ ปี แล้วยังไม่ละลายเลย”
          ท่าน โซโก โรชิ    เกิดในเมืองเล็ก ๆ ชื่อ อูโอทซู    จังหวัดโตยามะ   ที่ตั้งริมฝั่งทะเลญี่ปุ่น     และเติบโตมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ กำลังเข้มข้นแผ่ขยาย   และญี่ปุ่นถลำลึกลงในเวทีประยุทธ์พร้อมชูความรักชาติเป็นธงชัยให้ประชาชนเห็นดีงามด้วย       ช่วงนี้ท่านโซโก โรชิ   ยังเป็นนักเรียนอยู่ชั้นมัธยมสายศิลปะซึ่งถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารสู้รบศัตรู ในขณะที่นักเรียนสายวิทยาศาสตร์ที่ถูกเก็บไว้ให้ทำงานด้านเทคนิควิทยาการ    และการแพทย์       ท่านเล่าไว้ใน     Pointers to Insight   หนังสือเล่มเล็ก ๆ ที่เป็นอัตชีวประวัติว่า     ที่เป็นดังนั้นก็เพราะรัฐบาลเห็นว่า            นักเรียนสายวิทยาศาสตร์จะทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้มาก    นักเรียนสายศิลปะซึ่งมักจะมีปรัชญา และความเห็น   ขัดแย้งกับรัฐบาลเสมอ    ในที่สุดเด็กหนุ่มทั้งหลายในสายศิลปะก็ต้องไปทำสงครามในนามของความรักชาติ เพื่อนร่วมชั้น และ ร่วมโรงเรียนของท่านหลายคน   ได้ทิ้งชีวิตไว้ในสนามรบ ทำให้ท่านและเพื่อนร่วมวัยต้องตกอยู่ในภาวะครุ่นคำนึงถึงความตาย       และในกรณีของท่านเองนั้นเองนั้น  ก่อนที่ท่านจะต้องออกไปเป็นซามูไรสมัยใหม่นั้น  ทั้งโยมพ่อ    และโยมแม่เสียชีวิตในเวลาไร่เรี่ยกันเพียงไม่กี่วัน    การรอดชีวิตจากสงคราม ยามเมื่อสงบลงแล้วนั้น   จะเรียกว่าเป็นโชคดีเสียทั้งหมดเลยก็มิได้           เพราะประเทศผู้แพ้นั้นตกอยู่ในสภาพที่ย่อยยับดับสลาย   โดยเฉพาะเรื่องของมาตรฐานศีลธรรมจรรยา  รวมทั้งความเชื่อซึ่งสั่นคลอนทั้งสังคมก็ว่าได้     ถูก–ผิด ดี–ชั่ว      นั้นแทบแยกกันไม่ออกตัดสินกันไม่ได้เลยทีเดียว            ยากนักที่จะดำเนินชีวิตต่อไปด้วยสิ้นไร้รากฐานความเชื่อในชีวิต  การศึกษาก็ดูไร้ค่าไปหมด    และมีการปฏิรูปที่ดินครั้งใหญ่หลังสงคราม ท่านโซโก โรชิ  พบว่าที่ดินที่บรรพบุรุษได้สั่งสมไว้ถูกยึดคืนไปหมด เคว้งคว้างหาที่พึ่งอยู่ได้ไม่นาน    โชคชะตา       ก็นำพาให้ไปยืนเคาะประตูไดชูอิน     สาขาเล็ก ๆของวัดเซนในเกียวโต

    ที่นี่เอง     ท่านได้เรียนรู้ที่จะวางใจในครู     หลังจากที่สูญสิ้นความวางใจในทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว                วันแรกที่ไปถึงพระอาจารย์คือท่าน ซูอิกัน โรชิ ขณะนั้นอยู่ในวัย ๗๐ ปีแล้ว  ได้ตั้งคำถาม   หลังที่ได้ฟังเรื่องราวของหนุ่มน้อย     ผู้แจ้งความประสงค์จะบวชอยู่ที่วัด ว่า   “ดูเหมือนว่าเธอจะสิ้นศรัทธาต่อทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งผู้คนด้วย   แต่ที่นี้การฝึกปฏิบัตินั้น     จะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าหากเธอไม่วางใจในครู เธอจะไว้เนื้อเชื่อใจฉันได้ไหมล่ะ   ถ้าได้ฉันจะรับเธอไว้ที่นี่    แต่ถ้าไม่ ก็เป็นการสูญเปล่า    เธอก็กลับบ้านเสียดีกว่า”            แม้จะไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของความวางใจ             แต่ด้วยความกลัวจะถูกปฏิเสธท่าน โชโก โรชิ      จึงตอบแข็งขันว่า  ท่านวางใจในท่านอาจารย์    บทเรียนในวันแรกที่ไดชูอิน   อาจารย์ซูอิกัน        ไม่ได้สอนด้วยการนั่งเทศนา     พรรณนาด้วยคำพูดอันมากมาย แต่ด้วยวิธีการชี้นำที่ล้ำลึกควรแก่การเอ่ยถึง     นั่นคือท่านบอกให้ท่าน โซโก โรชิ ไปกวาดบริเวณรอบ ๆ ไดชูอิน    ในวัดเซนทุกวัดนั้นพระท่านตั้งใจปลูกต้นไม้หลากหลายพันธุ์     เพื่อที่จะให้มีใบไม้ร่วงให้พระได้กวาดเป็นการฝึกปฏิบัติตลอดทุก ๆ ฤดูกาล    เพื่อจะเป็นที่ยอมรับของอาจารย์  ท่าน โซโก โรชิ จับไม้กวาดลงมือปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายอย่างแข็งขัน      ไม่นานก็ได้ใบไม้กองใหญ่เท่าภูเขา      แล้วจึงไปถามอาจารย์ท่านว่าจะให้เอาขยะกองนี้ไปไว้ที่ไหน     อาจารย์ซูอิกัน ส่งเสียงดังทันใด “ใบไม้ไม่ใช่ขยะนะ นี่เธอไม่เชื่อใจใช่ไหม”    พอท่านเปลี่ยนคำถามว่า       จะให้กำจัดใบไม้เหล่านี้อย่างไร   อาจารย์ก็แผดเสียงอีกว่า     “เราไม่กำจัดมันหรอก”    และบอกให้ท่านไปเอาถุงมาใส่ใบไม้ที่กวาดได้นำไปเก็บไว้เป็นเชื้อเพลิง        ส่วนที่เหลือเป็นก้อนกรวดก้อนหินที่หลังเก็บไปแล้วท่านให้นำไปไว้ตรงชายหลังคา      เป็นทั้งที่รองรับน้ำฝน และเพิ่มความงามให้กับสถานที่ และท้ายสุดท่านอาจารย์ก้มลงเก็บเศษของกรวดหินชิ้นเล็ก ๆ     นำไปฝังไว้ในดินจนบริเวณนั้นเกลี้ยงเรียบหมดจด    แล้วจึงพูดขึ้นว่า   “เธอเข้าใจบ้างแล้วหรือยังว่า สภาพที่แท้และดั้งเดิมของมนุษย์และสรรพสิ่งนั้นปราศจากขยะ”        นี่เป็นบทเรียนแรกในชีวิตสมณะของท่าน โซโก โรชิ     อีกนานกว่าท่านจะค่อย ๆ เข้าใจว่า    นี่คือถ้อยคำที่เป็นสัจธรรมในพุทธศาสนา และเป็นสาระเดียวกันกับที่ศากยมุนีได้เปล่งเป็นวาจาในคืนวันตรัสรู้      ดังที่บันทึกไว้ในพระสูตรมหายานของจีนว่า     “ตถาคต บรรลุถึงซึ่งมรรควิถีพร้อมโลกทั้งโลก และสรรพชีวิต สรรพสิ่งทั้งหลาย ภูผาป่าดง     แม่น้ำลำธาร ไม้ใหญ่   และหย่อมหญ้าล้วนตรัสรู้ด้วยกันหมดทั้งสิ้น”
          เช้าจรดค่ำในวัดเซน     จะเป็นช่วงเวลาของการฝึกตนในวิถีชีวิตที่ดำเนินไปแต่ละวัน ตื่นนอนตอนเช้า ฉันอาหาร ตามด้วยพิธีชงชาอย่างสั้น ๆ    อันเป็นโอกาสที่จะได้พบปะสนทนากับครูที่ไดชูอิน             ช่วงนั้นมีเพียงท่านอาจารย์ซูอิกัน ลูกศิษย์ชื่อ โซโก โมรินากะ  และสตรีผู้สูงวัย อีกท่านหนึ่ง ชื่อ โอกาโมโต   ผู้ซึ่งเคยมีส่วนพัฒนาการการศึกษาของผู้หญิงในญี่ปุ่น      แต่บัดนี้ดูแลเอาใจใส่ท่านอาจารย์ ชูอิกัน ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พระเซนจะอยู่ร่วมกับสตรี   แม้ก่อนหน้าจะมีการอนุญาตให้พระแต่งงานมีครอบครัวได้อย่างเป็นทางการ         (เชื่อกันว่าเป็นการลดอำนาจของพระสงฆ์ที่มีสูงมากในช่วง    โชกุนเป็นใหญ่)     ก็มีผู้หญิงพำนักพักพิงอยู่ในวัดอย่างไม่เปิดเผย  ดังที่มีคำใช้เรียกเธอว่า  ไดโกกุ–ซามะ (Daikoku–sama)     ซึ่งเป็นชื่อเทพารักษ์แห่งโชค องค์หนึ่งในเจ็ด   ชาวญี่ปุ่นมักจะเอาเทวรูปของ ไดโกกุ–ซามะ ไว้ในครัวหรือตามทางเดินเข้าบ้าน    สุภาพสตรีของท่านซูอิกันท่านนี้นอกจากจะดูแลเรื่องส่วนตัวของท่านอาจารย์แล้ว         ยังเป็นคู่สนทนาธรรมที่มีสติปัญญาเฉียบแหลม         เป็นประโยชน์ต่อศิษย์ที่นั่งฟังอยู่ เมื่อแรกที่ได้อยู่ในไดชูอินนั้น    ท่านอาจารย์ไม่เคยสนทนากับลูกศิษย์เลย   แม้เมื่อคุณโอกาโมโต จะบอกให้เสนอ
ความเห็น      ท่านอาจารย์ก็ตัดบทไม่ให้กล่าวอะไรด้วยเหตุผลที่ว่า “เขายังไม่พร้อมที่จะพูดต่อหน้าผู้คน”  ช่วงนั้นท่านโซโก โรชิ    ยังโต้เถียงอาจารย์ อึงอลอยู่ในใจ         แล้วจึงเข้าใจในเวลาต่อมาว่า  การฝึกตนที่จะไว้วางใจครูนั้น  จะต้องฝึกที่จะตอบรับทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่เฉพาะแค่วาจาท่าทางเท่านั้นแต่ด้วยใจทั้งหมดทั้งสิ้นด้วย    เมื่อมองย้อนไปในอดีต    ท่านโซโก โรชิ   รู้สึกซาบซึ้งในวิธีการอันเข้มงวดที่อาจารย์ของท่านปฏิบัติต่อท่าน เพราะทำให้ท่านได้สำรวจตรวจสอบความตั้งมั่นในสายสัมพันธ์ ครู–ศิษย์    และความตั้งใจในการปฏิบัติ และท่านภูมิใจยิ่งที่ครูจัดให้เป็นศิษย์แถวหน้าไม่เคยอ่อนด้อยถอยถด
    จนกระทั่งวันหนึ่งซึ่งท่านได้ประจักษ์ในน้ำใจครู คือวันที่ท่านจากลาเพื่อไปเรียนรู้ในวัดที่ใหญ่ขึ้น     ท่านอาจารย์ซูอิกันเรียกท่านเข้าไปพบแล้วมอบเงินจำนวนหนึ่งให้ พลางบอกว่า  “นี่เป็นเงินเพื่อไปสู่นิพพาน”         “การฝึกปฏิบัติในวัดนั้นหนักหนาสากรรจ์อาจถึงตายได้ถ้าหากเธอประคองตนไปไม่ถึงฝั่ง       เงินจำนวนนี้คือเงินทำศพของเธอ   จะได้ไม่ต้องให้ใครเดือดร้อน”              แม้จะรู้สึกสะทกสะท้านบ้างกับคำพูดของครู              แต่ท่านก็น้อมรับอย่างเต็มใจ      พอพร้อมที่จะก้าวเดินจากประตูไดชูอิน     ครูผู้ปกติมีบุคลิกน่าเกรงขาม   เดินตามหลัง     และได้กระทำในสิ่งที่ศิษย์ไม่คาดคิดมาก่อน   คือ    ก้มลงผูกสายรองเท้าให้เสร็จแล้วเอามือตบเบา ๆ บนปมเชือกที่ผูกรัดกัน และเอ่ยคำที่ต้องจำให้มั่น    “อย่าแกะมันออกนะ”    คำที่ย้ำเตือนถึงคำมั่นสัญญาที่ศิษย์ได้ให้ในการฝึกปฏิบัติ    ซึ่งเสมือนเสริมสร้างให้ความมุ่งหมายนั้นมั่นคงขึ้น  โดยที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่า  ประสบการณ์ที่จะได้รับ ที่ประตูวัดไดโตกูจิ   จะสร้างความสั่นคลอนให้กับความมุ่งมั่นตั้งใจนั้น      แม้จะเตรียมใจมาก่อนว่า  “นิวาซูเม” (Niwazume)   ซึ่งคือการทดสอบความตั้งใจ       ที่ต้องพิสูจน์ด้วยความอดทนรอคอยหน้าประตูวัดเซนก่อนการยอมรับเข้าวัดนั้น     เป็นกระบวนการตรวจสอบที่ทรหดตามประเพณีที่ถือปฏิบัติมา   เมื่อครั้งท่าน เอกะ   หรือจีนเรียกว่า หุยค่อ       ผู้เป็นพระสังฆปริณายกรูปที่สองได้ตัดแขนซ้ายถวายแด่ท่านอาจารย์       คือพระโพธิธรรม    เพื่อให้เห็นถึงความมั่นคงในทางธรรม     แต่เมื่อต้องยืนหนาวเหน็บหน้าประตูไดโตกูจิเข้าจริงก็แทบจะหมดสิ้นความมุ่งมั่น    ในวันที่ ๓ ของการรอคอยท่ามกลางอากาศที่เย็นยะเยือกเข้าไปในทุกอณูของร่างกาย     และในขณะที่ความตั้งใจหมายมั่นทั้งหมดกำลังจะถึงจุดพังทลาย     ท่านโซโกโรชิ    ก็ได้ประจักษ์ในความหมายที่แท้จริงของประเพณีนิวาซูเม และแล้วประตูสู่ความสำเร็จทางใจก็เปิดอ้ารับ
     บรรยากาศของพุทธศาสนาแบบเถรวาททำให้เราคุ้นชินกับเสียงสวดมนต์ คำเทศนาและวาทะถ้อยต่าง ๆ    แต่นิกานเซนนั้นดูจะเบื่อลัทธิถ้อยไปเลย        เราพบว่าสื่อจากใจถึงใจจะไปอยู่ในสวนญี่ปุ่น  การชงชา  ลีลาในละครโนะ            ศิลปะการวาดรูปแบบตวัดพู่กันครั้งเดียวจบ หรือแม้กระทั่งการยิงธนู      เมื่อจะใช้คำพูดก็น้อยมาก              พระเซนที่มีชื่อ เช่น ชุนเรียว ซูซูกิ       ฝากหนังสือเล่มเล็ก ๆ ไว้ให้โลกเพียงเล่มเดียวก่อนลาจากคือ     Zen Mind, Beginner’s Mind     ส่วนท่านโซโก โรชิ ก็มีเพียงอัตชีวประวัติที่ชื่อ  Pointer to Insight     เล่มบาง ๆ เช่นกันก่อนที่จะล่วงลับด้วยโรคมะเร็ง  ๒ ปีหลังจากที่ไปคารวะท่านครั้งนั้น      จำได้ว่าก่อนจะกราบลาท่านวันนั้น    เราถามคำถามท่านกันคนละข้อ   ต่อคำถามของผู้เขียนว่า      เซนยังอยู่ในญี่ปุ่นหรือไปเบ่งบานในยุโรปและอเมริกานั้น          ท่านชี้แจงไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติของท่านดังต่อไปนี้        “สิ่งซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าสำคัญนั้น ไม่ใช่อยู่ที่ว่าพุทธศาสนาจะแพร่ขยายหรือนิกายเซนจะเจริญรุ่งเรือง  แต่อยู่ที่ว่าคนแต่ละคนมีชีวิตที่เต็มอิ่ม และเพียงพอใจ      เปี่ยมด้วยสันติภาพตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต”
       ประตูทางเข้าไดชูอิน  ยังคงสงบไร้ความพลุกพล่าน  ปลายฤดูใบไม้ผลิแล้วแต่เมืองทั้งเมืองคงอบอวลด้วยกลิ่นหอม  อันเป็นสาระของดอกไม้นานาพันธุ์  บริเวณรอบไดชูอินก็เช่นกัน    ทั้งความหอมหวานและสีสันของดอกไม้สีม่วงแม้ใกล้ร่วงโรย      แต่ยังคงกระจ่างแจ้งอยู่ในใจถึงทุกวันนี้         ผู้มาเยือนจากเชียงใหม่ในครั้งนี้เหลือเพียงสตรี ๒ คนพร้อมล่าม ทั้งที่ทราบว่าท่านโซโก โรชิได้มรณภาพเมื่อ ๒ ปีที่แล้ว         แต่จุดมุ่งหมายของการเยือนคือ  อยากศึกษาเรื่องการสืบทอดทางวัฒนธรรม       อีกทั้งใจจริงใคร่รู้ว่าใครคือผู้นั่งในไดชูอินแทนท่านอาจารย์     สุภาพบุรุษในวัย ๓๐ ที่นั่งคุกเข่าก้มศีรษะต้อนรับเราตรงหน้าเรือนไม้หลังเดิม     อยู่ในเสื้อคลุมอย่างไม่เป็นทางการ             เป็นผู้เดียวกับที่เข้ามาในห้องที่เราสนทนากับท่านโซโก โรซิเมื่อสองปีก่อน          ที่จำได้แม่นเพราะเป็นท่าทางและร่างกายอันอ่อนน้อมและงดงาม      เช่นเดียวกันกับเมื่อนำเสนอน้ำชาและขนมให้กับเราคราวนั้น   เราไม่รู้จักแม้กระทั่งนามของท่าน      ได้แต่เดินท่านไปตามระเบียงไม้    ผ่านห้องเล็ก ๆ ที่มีคน ๓–๔ คนกำลังนั่งเรียนเขียนอักขระแบบโบราณไปยังห้องกลาง   ล่ามบอกว่า          เพื่อให้เราได้คารวะและระลึกถึงอาจารย์ผู้ล่วงลับคนก่อน ๆ  จากนั้นก็ถูกพาไปยังอีกห้องหนึ่ง      เพื่อรอที่จะพบท่านเจ้าอาวาสไดชูอินคนใหม่                                                                             
      การนั่งกับพื้นของชาวตะวันออก      นอกจากจะเป็นการสำรวมด้วยท่วงท่าของร่างกายแล้ว      ยังหมายลึกถึงประเพณีของการสื่อสาระของใจด้วยการนั่ง      ดังที่เรารู้กันว่าคำว่า อุปนิษัท  ที่ใช้เรียกยุคทองของปรัชญาอินเดีย ๒๕๐ ปีก่อนและหลังพุทธกาลนั้น    รากลึก ๆ แปลว่านั่งใกล้    นั่งใกล้ครูผู้สอนสั่งหรือนั่งใกล้สัจธรรมที่โน้มนำใจ  ตรงกลางห้องในขณะที่นั่งรอคอยนี่เอง    เราเห็นการนั่งด้วยใจที่ปรากฏเป็นความงามในท่าทางของสุภาพสตรีวัย ๔๐      ที่กำลังชงชาอยู่ตรงห้อง       เพลินอยู่กับการชงชาของเธอจนกระทั่ง    ประตูโชจิ  ด้านหลังของห้องเลื่อนเปิดออกจากกัน            ผู้ที่ก้าวเข้ามาคือ ผู้ที่นำขนมมาให้ในปีก่อนโน้น    และผู้ที่เพิ่งจะต้องรับเราเข้ามาในตัวเรือนนั่นเอง         บัดนี้อยู่ในเครื่องแต่งกายเต็มรูปแบบ ด้วยเสื้อคลุมตัวนอกหรือโอเกสะผ้าค่อนข้างหนาสีคราม     และจีวรคล้องคอสีเขียวเข้ม  “ทามูระ โซกัน”   เราเพิ่งจะรู้จักฉายาท่านผ่านล่าม      ท่านบวชที่ไดชูอินเมื่อ ๑๕ ปีที่แล้ว          ครั้งยังอายุ ๒๑ และอยู่เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์โซโก โรชิ ที่ไดชูอินมาโดยตลอดแม้จะต้องไปเรียนและฝึกฝนตนในวัดเซน        ที่ใหญ่กว่าที่มีชื่อว่า   เมียวชินจิ  นับว่าอายุท่านยังน้อยเมื่อนึกถึงว่า    ท่านรับภาระหน้าที่แทนท่านอาจารย์ ในตำแหน่งเจ้าอาวาสไดชูอิน       และอธิการบดีมหาวิทยาลัยฮานาโซโน  ที่สอนพุทธศาสนาด้วย    แต่ท่านทามูระ โซกัน     ได้ใช้ชีวิตนักบวชตามวิถีเซน คือ เรียนรู้จากครูผู้ถ่ายทอดจากใจหนึ่งถึงอีกใจหนึ่งซึ่งพร้อมรับ      ถึงวันนี้ศิษย์ต้องยืนอยู่ด้วยตัวเองไม่มีอาจารย์คอยประคับประคอง     ยังมีการสอนซาเซนอยู่ที่ไดชูอิน   แต่ด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิที่ต่างจากท่านโซโกโรชิจึงทำให้ท่านพบว่า        การสอนซาเซนเช่นอาจารย์นั้นเป็นความยากยิ่งสำหรับท่าน    แต่ก็มีศิษย์ชาวตะวันตกของอาจารย์แวะเวียนมาปีละ ๑ ครั้ง   เราสนทนากันหลายเรื่อง   การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมในญี่ปุ่น            พุทธศาสนาในญี่ปุ่นที่คลายความสำคัญ      อิทธิพลของเซนที่ยังคงแทรกซึมอยู่ในชีวิตเล็กๆ   ของผู้คนจำนวนไม่มากแต่มีพลังเรื่อง “ซาโตริ หรือสัมโพธิ”ซึ่งคือ ญาณที่เป็นคำฮิตติดปากคน เมื่อเอ่ยถึงพุทธศาสนานิกายเซน   ซึ่งท่านบอกว่าเอามายึดเป็นที่พึ่งไม่ได้   อีกทั้งไม่แน่ใจนักว่ามีจริงหรือไม่        หรือเป็นเพียงมายา    เรื่องเล็กที่สุดที่ท่านตอบสนองความใคร่รู้จากเบื้องลึกของใจผู้เขียนคือ  อาจารย์ท่านสั่งเสียอะไรในลมหายใจสุดท้ายของชีวิต   ท่านทามูระ โซกัน  เล่าให้ฟังว่า      อาจารย์ไม่ได้บอกกล่าวสาระสำคัญอันใดไว้  เพียงยกมือขึ้นวางแนบลงตรงหัวใจเท่านั้นเอง   และท่านก็ยกมือทำท่าสาธิตให้ดู      เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งต้องจดไว้ในบันทึกหน้าขนบแห่งชีวิตของครูตอนก่อนหมดลมหายใจ
          ท่านทามูระ โซกัน      สร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือน      จากประเทศที่มีประเพณีทางพุทธศาสนาที่แตกต่างอย่างแน่นอน        แต่นั่นเป็นเพียงรูปแบบภายนอก ที่สะท้อนจากการฝึกปฏิบัติภายในที่เป็นผลทำให้ใจใสบริสุทธิ์       ท่านผู้นี้ทำให้เราเกิดความหวังต่อโลกสมัยใหม่อีกนานัปการ เรื่องราวของการสื่อธรรมะจากครูถึงศิษย์ด้วยใจต่อใจที่สืบสายกันมาใน ไดชูอิน             ทำให้เข้าใจซึ้งถึงความหมายของคำว่า    อันเตวาสิก    ที่ไม่หมายความผิวเผินเพียงแค่ศิษย์ก้นกุฏิที่ชิดใกล้  แต่ตามรากความเดิมคือ         ผู้อาศัยอยู่ภายใน   ล่วงรู้ใจของกันและกัน    นอกจากนี้ยังรู้สึกยินดีที่ได้พบว่า   บรรยากาศอุปนิษัทนั้นมิใช่อยู่แต่ในประวัติศาสตร์อันห่างไกลสุดไขว่คว้า   หากเป็นเรื่องจริงที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน        แม้จะเกิดขึ้น ณ มุมเล็ก ๆ   บนผืนแผ่นดินโลกอันกว้างใหญ่       เรื่องวัฒนธรรมประเพณีก็สำคัญ แม้ไม่ใช่สาระอันยิ่งใหญ่ แต่เรื่องใจนั้นยิ่งยวดกว่ายากจะหาอะไรเสมอเหมือน
                   










นิกายเซน:
เพราะพุทธะในความคิดเธอ
ต้องประกอบไปด้วยธรรมต่างๆนาๆ
มันก็คือ พุทธะที่เป็นตัวตนขึ้นมาในหัวเธอน่ะ
..
..
เซน แห่ง หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน
ครูสอนเซน พระอาจารย์ราเชนทร์ อานนฺโท

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version