วิถีธรรม > จิตภาวนา-ปัญญาบารมี

ศีล

<< < (2/4) > >>

sithiphong:
http://www.geocities.com/tmchote/Thumma/Sila/sl017.htm
ศีลและอกุศลกรรม



ผู้สนใจท่านหนึ่งได้เมล์มาถามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางผู้ดำเนินการเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ แก่ท่านอื่นๆ ด้วย จึงขออนุญาตนำมาลงเอาไว้ ณ ที่นี้ ดังนี้


--------------------------------------------------------------------------------

คำถาม

Sent: Wednesday, June 12, 2002 2:26 PM

ตามความเข้าใจเดิม ศีลคือข้อห้ามการละเมิดกายวาจา แต่เมื่อได้อ่านคัมภีร์วิสุทธิมรรค และจากผู้รู้ จะเน้นที่ใจ เจตนา เจตสิก การสังวรอินทรีย์ และนอกจากไม่ละเมิดแล้ว ยังให้เป็นที่ตั้งและรวมแห่งกุศลธรรม มีความสะอาดและหิริโอตตัปปะ ไม่เกิดบาปธรรม แต่เกิดสันโดษและขัดเกลากิเลส

เช่นนี้ฆราวาสก็คงครองศีลได้ ไม่ผ่องแผ้วนัก ต้องเป็นระดับโสดาบันขึ้น ใช่ไหมครับ

ขอบคุณมากครับ


--------------------------------------------------------------------------------

ตอบ

เรียน คุณ .....

ขอบคุณครับที่ให้ความสนใจเว็บไซต์ ธัมมโชติ

ขอตอบคำถามดังนี้นะครับ

ตามความเข้าใจของผมนะครับ ศีลโดยทั่วไปนั้นจะเน้นที่ใจและเจตนาที่มีความรุนแรง จนถึงขั้นทำให้เกิดการแสดงออกมาทางกาย หรือทางวาจา แต่ถ้ายังไม่ถึงขั้นแสดงออกมาทางกาย หรือทางวาจาก็จะยังไม่ถึงขั้นผิดศีล แต่จะเป็นอกุศลกรรมได้แม้เพียงแค่คิดก็ตาม

เช่น การลักทรัพย์นั้นก็จะมีขั้นตอนคร่าวๆ คือ
1. เห็นทรัพย์นั้น
2. อยากได้แบบไม่ชอบธรรม (อภิชฌา)
3. คิดจะลัก
4. เข้าไปใกล้ทรัพย์นั้น (เพื่อจะลัก)
5. จับทรัพย์นั้น (เพื่อจะลัก)
6. ทรัพย์นั้นเคลื่อนจากตำแหน่งเดิม (เพราะความพยายามที่จะลักทรัพย์นั้น)
7. เอาทรัพย์นั้นไป

ใน 7 ขั้นตอนนี้

ขั้นที่ 1. ยังไม่ผิดศีล และไม่เป็นอกุศลกรรม
ขั้นที่ 2. ยังไม่ผิดศีล แต่เป็นอกุศลกรรม
ขั้นที่ 3. เป็นอกุศลกรรม และเริ่มเข้าสู่องค์ของการผิดศีล แต่ยังไม่ผิดอย่างสมบูรณ์ (ถ้าเป็นภิกษุก็ยังไม่ปาราชิก)
ขั้นที่ 4 - 5. เป็นอกุศลกรรม และเริ่มเข้าสู่องค์ของการผิดศีลมากขึ้น แต่ยังไม่ผิดอย่างสมบูรณ์ (ถ้าเป็นภิกษุก็ยังไม่ปาราชิก)
ขั้นที่ 6. เป็นอกุศลกรรม และผิดศีลอย่างสมบูรณ์แล้ว (ถ้าเป็นภิกษุก็ปาราชิกในขั้นตอนนี้ - ตามหลักเกณฑ์ของพระวินัย)
ขั้นที่ 7. คงไม่ต้องพูดถึงนะครับ

"เช่นนี้ฆราวาสก็คงครองศีลได้ไม่ผ่องแผ้วนัก ต้องเป็นระดับโสดาบันขึ้น ใช่ไหมครับ"

ส่วนใหญ่ก็คงจะเป็นอย่างนั้นครับ แต่โดยหลักการแล้วแม้แต่โสดาบันก็ยังผิดศีลได้ครับ แต่จะเป็นศีลที่ไม่เป็นเหตุไปสู่อบายภูมิ คือจะรักษาศีล 5 ได้อย่างบริบูรณ์ แต่ยังอาจพูดเพ้อเจ้อ (เป็นอาบัติขั้นทุพพาสิตสำหรับภิกษุ) หรืออาจต้องอาบัติเล็กน้อยข้ออื่นๆ ได้

ในพระไตรปิฎกมักใช้คำว่า "ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ ให้บริบูรณ์ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต"

คำว่าธุลีก็คือกิเลสเครื่องเศร้าหมองของจิตทั้งหลาย

ถ้ายังไม่กระจ่าง หรือมีข้อสงสัยอะไรอีก ก็เชิญถามมาได้ใหม่นะครับ ไม่ต้องเกรงใจ


ธัมมโชติ
27 กรกฎาคม 2545

http://www.geocities.com/tmchote/Thumma/Sila/sl018.htm
ผู้ยอมตายเพื่อรักษาชีวิตผู้อื่น

อรรถกถาธรรมบท : ปาปวรรควรรณนา
เรื่องพระติสสเถระผู้เข้าถึงสกุลนายช่างแก้ว



ข้อความเบื้องต้น

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระเถระชื่อติสสะ ผู้เข้าถึงสกุลนายช่างเเก้ว ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "คพฺภเมเก อุปฺปชฺชนฺติ" เป็นต้น.

พระเจ้าปเสนทิโกศลส่งแก้วให้นายช่างเจียระไน

ได้ยินว่า พระเถระนั้นฉัน (ภัต) อยู่ในสกุลของนายมณีการ (นายช่างแก้ว - ธัมมโชติ) ผู้หนึ่ง สิ้น ๑๒ ปี. ภรรยาและสามีในสกุลนั้นตั้งอยู่ในฐานะเพียงมารดาและบิดา ปฏิบัติพระเถระแล้ว.

อยู่มาวันหนึ่ง นายมณีการกำลังนั่งหั่นเนื้อข้างหน้าพระเถระ. ในขณะนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงส่งแก้วมณีดวงหนึ่งไป ด้วยรับสั่งว่า "นายช่างจงจัดและเจียระไนแก้วมณีนี้แล้วส่งมา." นายมณีการรับแก้วนั้นด้วยมือทั้งเปื้อนโลหิต วางไว้บนเขียงแล้วก็เข้าไปข้างในเพื่อล้างมือ.

แก้วมณีหายนายช่างสืบหาคนเอาไป

ก็ในเรือนนั้น นกกะเรียนที่เขาเลี้ยงไว้มีอยู่. นกนั้นกลืนกินแก้วมณีนั้น ด้วยสำคัญว่าเนื้อเพราะกลิ่นโลหิต เมื่อพระเถระกำลังเห็นอยู่เทียว. นายมณีการมาแล้ว เมื่อไม่เห็นแก้วมณีจึงถามภริยา ธิดา และบุตร โดยลำดับว่า "พวกเจ้าเอาแก้วมณีไปหรือ?" เมื่อชนเหล่านั้นกล่าวว่า "มิได้เอาไป" จึงคิดว่า "(ชะรอย) พระเถระจักเอาไป จึงปรึกษากับภริยาว่า "แก้วมณี (ชะรอย) พระเถระจักเอาไป"

ภริยาบอกว่า "แน่ะนาย นายอย่ากล่าวอย่างนั้น. ดิฉันไม่เคยเห็นโทษอะไรๆ ของพระเถระเลยตลอดกาลประมาณเท่านี้. ท่านย่อมไม่ถือเอาแก้วมณี (แน่นอน)."

นายมณีการถามพระเถระว่า "ท่านขอรับ ท่านเอาแก้วมณีในที่นี้ไปหรือ?"

พระเถระ. "เราไม่ได้ถือเอาดอก อุบาสก."

นายมณีการ. "ท่านขอรับ ในที่นี้ไม่มีคนอื่น. ท่านต้องเอาไปเป็นแน่, ขอท่านจงให้แก้วมณีแก่ผมเถิด."

เมื่อพระเถระนั้นไม่รับ, เขาจึงพูดกะภริยาว่า "พระเถระเอาแก้วมณี ไปแน่, เราจักบีบคั้นถามท่าน."

ภริยาตอบว่า "แน่ะนาย นายอย่าให้พวกเราฉิบหายเลย, พวกเราเข้าถึงความเป็นทาสเสียยังประเสริฐกว่า, ก็การกล่าวหาพระเถระผู้เห็นปานนี้ไม่ประเสริฐเลย."

ช่างแก้วทำโทษพระติสสเถระเพราะเข้าใจผิด

นายช่างแก้วนั้นกล่าวว่า "พวกเราทั้งหมดด้วยกัน เข้าถึงความเป็นทาส ยังไม่เท่าค่าแก้วมณี" ดังนี้แล้ว จึงถือเอาเชือกพันศีรษะพระเถระ ขันด้วยท่อนไม้. โลหิตไหลออกจากศีรษะ หู และจมูกของพระเถระ. หน่วยตาทั้งสองได้ถึงอาการทะเล้นออก, ท่านเจ็บปวดมาก ก็ล้มลง ณ ภาคพื้น. นกกะเรียนมาด้วยกลืนโลหิต ดื่มกินโลหิต.

ช่างแก้วเตะนกกะเรียนตายแล้วจึงทราบความจริง

ขณะนั้น นายมณีการจึงเตะมันด้วยเท้าแล้วเขี่ยไป พลางกล่าวว่า "มึงจะทำอะไรหรือ?" ด้วยกำลังความโกรธที่เกิดขึ้นในพระเถระ. นกกะเรียนนั้นล้มกลิ้งตายด้วยการเตะทีเดียวเท่านั้น.

พระเถระเห็นนกนั้น จึงกล่าวว่า "อุบาสก ท่านจงผ่อนเชือกพันศีรษะของเราให้หย่อนก่อน แล้วจงพิจารณาดูนกกะเรียนนี้ (ว่า) มันตายแล้วหรือยัง?"

ลำดับนั้น นายช่างแก้วจึงกล่าวกะท่านว่า "แม้ท่านก็จักตายเช่นนกนั่น."

พระเถระตอบว่า "อุบาสก แก้วมณีนั้น อันนกนี้กลืนกินแล้ว. หากนกนี้จักไม่ตายไซร้, ข้าพเจ้าแม้จะตาย ก็จักไม่บอกแก้วมณีแก่ท่าน."

ช่างแก้วได้แก้วมณีคืนแล้วขอขมาพระติสสเถระ

เขาแหวะท้องนกนั้นพบแก้วมณีแล้ว งกงันอยู่ มีใจสลด หมอบลงใกล้เท้าของพระเถระ กล่าวว่า "ขอพระผู้เป็นเจ้าจงอดโทษแก่ผม, ผมไม่รู้อยู่ ทำไปแล้ว."

พระเถระ. "อุบาสก โทษของท่านไม่มี. ของเราก็ไม่มี มีแต่โทษของวัฏฏะเท่านั้น. เราอดโทษแก่ท่าน."

นายมณีการ. "ท่านขอรับ หากท่านอดโทษแก่ผมไซร้. ท่านจงนั่งรับภิกษาในเรือนของผมตามทำนองเถิด."

พระเถระเห็นโทษของการเข้าชายคาเรือน

พระเถระกล่าวว่า "อุบาสก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจักไม่เข้าไปภายในชายคาเรือนของผู้อื่น เพราะว่านี้เป็นโทษแห่งการเข้าไปภายในเรือนโดยตรง. ตั้งแต่นี้ไป เมื่อเท้าทั้งสองยังเดินไปได้ เราจักยืนที่ประตูเรือนเท่านั้น รับภิกษา" ดังนี้แล้ว สมาทานธุดงค์กล่าวคาถานี้ว่า
"ภัตในทุกสกุลๆ ละนิดหน่อย อันเขาหุงไว้เพื่อมุนี
เราจักเที่ยวไปด้วยปลีแข้ง, กำลังแข้งของเรายังมีอยู่."
ก็แล พระเถระครั้นกล่าวคาถานี้แล้ว ต่อกาลไม่นานนักก็ปรินิพพาน ด้วยพยาธินั้นนั่นเอง. (คือปรินิพพานเพราะความเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากการถูกทรมานในครั้งนั้น - ธัมมโชติ)

คนทำบาปกับคนทำบุญมีคติต่างกัน

นกกะเรียนได้ถือปฏิสนธิในท้องแห่งภริยาของนายช่างแก้ว. นายช่างแก้วทำกาละแล้ว (เสียชีวิตแล้ว - ธัมมโชติ) ก็บังเกิดในนรก. ภริยาของนายช่างแก้วทำกาละแล้ว เกิดในเทวโลก เพราะความเป็นผู้มีจิตอ่อนโยนในพระเถระ.

ภิกษุทั้งหลายทูลถามอภิสัมปรายภพของชนเหล่านั้น กะพระศาสดา. พระศาสดาตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย สัตว์บางจำพวกในโลกนี้ ย่อมเกิดในครรภ์. บางจำพวกทำกรรมลามก ย่อมเกิดในนรก. บางจำพวกทำกรรมดีแล้ว ย่อมเกิดในเทวโลก. ส่วนผู้ไม่มีอาสวะ ย่อมปรินิพพาน" (อาสวะ คือกิเลสที่นอนเนื่องในสันดาน - ธัมมโชติ)

ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
๑๐. คพฺภเมเก อุปฺปชฺชนฺติ
นิรยํ ปาปกมฺมิโน
สคฺคํ สุคติโน ยนฺติ
ปรินิพฺพนฺติ อนาสวา.

"ชนทั้งหลายบางพวก ย่อมเข้าถึงครรภ์,
ผู้มีกรรมลามก ย่อมเข้าถึงนรก,
ผู้มีกรรมเป็นเหตุแห่งสุคติ ย่อมไปสวรรค์
ผู้ไม่มีอาสวะย่อมปรินิพพาน."
ผู้รวบรวม
ธัมมโชติ
7 กันยายน 2545

sithiphong:
http://www.geocities.com/tmchote/Thumma/Sila/sl019.htm
ศีล 5 กับการเกิดเป็นคน



ผู้สนใจท่านหนึ่งได้เมล์มาถามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางผู้ดำเนินการเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ แก่ท่านอื่นๆ ด้วย จึงขออนุญาตนำมาลงเอาไว้ ณ ที่นี้ ดังนี้


--------------------------------------------------------------------------------

คำถาม

อ่านหนังสือที่ว่า เทพบุตรทั้งหลายมีนางอัปสรเป็นบริวาร และในสมัยก่อนผู้ใหญ่โตมีนางน้อยๆ มากมาย ตามบารมี อย่างนี้ไม่ผิดศีลห้าเหรอคะ (ข้อสาม)

แล้วที่ว่าศีลห้าไม่ครบไม่ได้เกิดเป็นคน อย่างนี้ที่เห็นๆ กันนี่ ก็ไม่มีโอกาสเป็นคนกันอีกซะส่วนมากหน่ะสิคะ แค่ข้อห้าก็กวาดไปแล้วมากมายเกือบหมดประเทศเข้าไปแล้ว


--------------------------------------------------------------------------------

ตอบ

สวัสดีครับ

ขอบคุณครับที่ให้ความสนใจเว็บไซต์ ธัมมโชติ

ขอตอบคำถามเป็นข้อๆ นะครับ

เรื่องศีลข้อ 3 นั้น ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องมีภรรยาคนเดียวเสมอไปนะครับ ถ้าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องยินยอมพร้อมใจก็ไม่ผิดศีลข้อนี้ครับ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในหมวดศีล เรื่องรายละเอียดของศีล 5 (3) )

อย่างกรณีที่กล่าวถึงนี้ ถ้าเป็นธรรมเนียมที่ถือเป็นเรื่องธรรมดาในที่นั้น โอกาสที่จะเป็นการผิดศีลก็น้อยลงไปด้วยครับ (ขึ้นกับรายละเอียดดังที่กล่าวเอาไว้ในเรื่องรายละเอียดของศีล 5 (3) ด้วย)

และว่ากันว่าไม่ใช่เทพบุตรเท่านั้นนะครับที่มีนางอัปสรเป็นบริวารมากๆ เทพธิดาบางองค์ที่มีบารมีมากๆ ก็อาจจะมีเทพบุตรเป็นบริวารจำนวนมากก็ได้นะครับ (เขาเล่าว่านะครับ ไม่ทราบความจริงเป็นอย่างไร)


ที่ว่าศีล 5 ไม่ครบไม่ได้เกิดเป็นคนนั้น อาจจะคลาดเคลื่อนนะครับ คือศีล 5 นั้นถือเป็นศีลขั้นพื้นฐานของการเป็นมนุษย์ ถ้าศีล 5 ไม่สมบูรณ์ก็ถือว่าเป็นมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์

การจะเกิดเป็นอะไรนั้นขึ้นกับสภาวะจิตตอนใกล้ตายเป็นสำคัญครับ คือถ้าตอนใกล้ตายจิตอยู่ในสภาวะไหน ก็จะไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่มีลักษณะเช่นเดียวกับสภาวะจิตนั้นครับ

เช่น ถ้าตอนใกล้ตายจิตประกอบด้วยอกุศล เมื่อตายไปก็จะไปเกิดใหม่ในอบายภูมิ ตามลำดับขั้นของความหยาบ/ประณีตของจิตนั้น

ถ้าตอนใกล้ตายจิตเป็นกุศล และยังมีความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย ที่น่ารักน่ายินดีอยู่ (กามคุณ 5) ก็จะไปเกิดใหม่ในกามสุคติภูมิ เช่น มนุษย์ สวรรค์ (ตามขั้นของความประณีตของจิต)

ถ้าตอนใกล้ตายจิตเป็นกุศล และไม่มีความยินดีในกามคุณ 5 (มีความยินดีในฌาน หรือเป็นอนาคามีบุคคล) แต่ยังยินดีในการมีรูป ก็จะเกิดใหม่ในรูปภูมิ

ถ้าตอนใกล้ตายจิตเป็นกุศล และไม่มีความยินดีในกามคุณ 5 (มีความยินดีในฌาน หรือเป็นอนาคามีบุคคล) และไม่ยินดีในการมีรูป ก็จะเกิดใหม่ในอรูปภูมิ

ถ้าตอนใกล้ตายจิตยินดีในพระนิพพาน ไม่มีความยึดมั่นสิ่งใดๆ เลย (พระอรหันต์) ก็จะพ้นจากการเกิดใหม่ครับ (ดูเรื่องภพภูมิในพระพุทธศาสนา ในหมวดธรรมทั่วไป ประกอบ)

แต่ก็เป็นธรรมดาที่คนที่ถือศีล 5 ได้บริสุทธิ์ เมื่อใกล้ตายโอกาสจะนึกถึงสิ่งที่เป็นอกุศลก็ย่อมจะน้อยกว่าคนที่ผิดศีลอยู่เป็นประจำนะครับ

ส่วนบุญ หรือบาปต่างๆ ที่ทำเอาไว้ ถ้าไม่ได้โอกาสในการเป็นกรรมนำเกิด (คือนำให้ไปเกิดในภพภูมิต่างๆ) ก็จะส่งผลในขณะที่เกิดแล้วต่อไป ไม่สูญหายไปไหน (จนกว่าจะปรินิพพานถึงจะตัดยอดกันไป)

และอีกอย่างก็คือถ้าในชีวิตประจำวันตามปรกติ ผู้ที่ส่วนใหญ่จิตน้อมไปในทางกุศล เมื่อใกล้ตายโอกาสที่จิตจะน้อมไปในทางกุศลก็มีมากกว่าผู้ที่ปรกติจิตเป็นอกุศลนะครับ


สำหรับผลของการผิดศีล 5 ในแต่ละข้อนั้นก็มีผล เช่น การฆ่าสัตว์จะทำให้อายุสั้น ร่างกายไม่แข็งแรง มีโรคมาก การลักทรัพย์จะทำให้ทรัพย์ที่มีอยู่ถึงความพินาศ สูญหายได้ง่าย การประพฤติผิดในกามจะทำให้เกิดเป็นกะเทย หรือถูกตอน การพูดปดทำให้ไม่มีใครเชื่อถือ การเสพของมึนเมาทำให้สติไม่ดี ฯลฯ

ถ้ายังไม่กระจ่าง หรือมีข้อสงสัยอะไรอีก ก็เชิญถามมาได้ใหม่นะครับ ไม่ต้องเกรงใจ


ธัมมโชติ
7 ตุลาคม 2545

http://www.geocities.com/tmchote/Thumma/Sila/sl020.htm
ศีลข้อ 3 (เพิ่มเติม)



ผู้สนใจท่านหนึ่งได้เมล์มาถามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางผู้ดำเนินการเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ แก่ท่านอื่นๆ ด้วย จึงขออนุญาตนำมาลงเอาไว้ ณ ที่นี้ ดังนี้


--------------------------------------------------------------------------------

คำถาม

(เป็นคำถามต่อเนื่องจากเรื่องศีล 5 กับการเกิดเป็นคน - ธัมมโชติ)

อ่านในเวบฯๆ บอกว่า... (มากข้อ) แต่เจอข้อหนึ่งที่บอกว่าหญิงที่มารดาห้าม .. ก็เลยคิด (เอาเองอีกแล้ว) ว่ามารดาคงห้ามทุกคนแน่ๆ ดังนั้นผิดหมดแน่นอน ขอโทษค่ะ ไม่ค่อยเข้าใจ

แต่ถ้าเอาประเพณีเป็นที่ตั้ง ปัจจุบันนี้ก็ผิดหมดอยู่ดีสิคะ เพราะค่านิยม (อย่างน้อยก็ตามอรรถ) ให้มีภรรยาคนเดียว และภรรยาคนเดียวที่ว่าก็คงไม่มีใครไม่เจ็บช้ำแน่นอน ในกรณีที่สามีจะมีภรรยามากกว่าหนึ่งคน

ข้อสามเนี่ยดูยุ่งกว่าเพื่อน ข้ออื่นๆ ชัดเจนดีหมด มีเจตนา และลงมือกระทำ ก็จบ ผิดแล้ว


--------------------------------------------------------------------------------

ตอบ

สวัสดีครับ

ขอบคุณครับที่ให้ความสนใจเว็บไซต์ ธัมมโชติ

เรื่องศีลข้อ 3 นี้ ละเอียดอ่อนครับ ต้องพิจารณาตามยุคสมัย รวมถึงประเพณีในสถานที่นั้นประกอบด้วยครับ ขอแยกตอบเป็นกรณีนะครับ

สำหรับโลกมนุษย์ในปัจจุบันนี้ ยกเว้นชาวมุสลิมที่มีภรรยาได้ 4 คนแล้ว ศาสนาอื่นๆ โดยทั่วไปแล้วถ้ามีภรรยามากกว่า 1 คน ก็มีโอกาสผิดศีลได้มากอยู่แล้วครับ (ขึ้นกับเงื่อนไขอื่นๆ ตามที่อธิบายไปแล้วด้วย)


ที่ว่าคิดว่ามารดาคงห้ามทุกคนแน่ๆ นั้น ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นครับ จะมียกเว้นบ้างก็บางคนเท่านั้น อย่างเช่น แม่บางคนขายลูกสาวตัวเองก็มีข่าวนะครับ หรืออาจจะมีแม่บางคนคิดว่าลูกสาวจะได้ดีมีสุขก็เลยยอมยกให้กับคนรวยๆ หรือคนมีอำนาจ ก็อาจจะมีนะครับ


เรื่องที่ว่าภรรยาเก่าจะต้องเจ็บช้ำแน่นอนนั้น ผมเคยทราบว่ามีเรื่องเกิดขึ้นจริงๆ ดังนี้ครับ (เรื่องนี้มีภรรยา 2 คน แต่ไม่ผิดศีลข้อ 3) คือภรรยา (คนแรก) ไม่มีลูก อยากจะให้ครอบครัวมีลูกไว้สืบสกุล หรือสืบสมบัติก็ไม่ทราบนะครับ (เป็นคนฐานะดีครับ) เลยไปขอหลานสาวของตนเองมาให้สามี ซึ่งทุกฝ่ายก็ยินยอมพร้อมใจกัน แล้วก็อยู่ด้วยกันด้วยดี

พอภรรยาคนที่ 2 มีลูก ภรรยาคนแรกก็รักลูกนั้น เหมือนเป็นลูกของตนเองจริงๆ ลูกก็เรียกทั้งแม่แท้ๆ และภรรยาคนแรกของพ่อว่าแม่ ทุกวันนี้ฝ่ายสามี และภรรยาคนแรกเสียชีวิตไปแล้วครับ เหลือแต่ภรรยาคนที่สอง และลูกๆ ผมรู้จักครอบครัวนี้ตั้งแต่ตอนที่ฝ่ายภรรยาคนแรกยังมีชีวิตอยู่ แต่สามีเสียชีวิตไปแล้ว ก็เห็นเขารักใคร่ และช่วยกันทำงานดีครับ

เรื่องนี้ละเอียดอ่อนมากๆ ครับ ต้องพิจารณาให้ดี (ผมอธิบายไปตามหลักการนะครับ ไม่ได้เข้าข้างใคร)

แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดก็มีคนเดียวสบายใจกว่าครับ ถ้าจะให้สบายใจที่สุดก็คือการอยู่คนเดียวนะครับ ไม่ต้องวุ่นวายใจเรื่องเหล่านี้เลย

ถ้ายังไม่กระจ่าง หรือมีข้อสงสัยอะไรอีก ก็เชิญถามมาได้ใหม่นะครับ ไม่ต้องเกรงใจ


ธัมมโชติ
7 ตุลาคม 2545

http://www.geocities.com/tmchote/Thumma/Sila/sl021.htm
ศีลข้อ 3 และข้อ 5



ผู้สนใจท่านหนึ่งได้เมล์มาถามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางผู้ดำเนินการเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ แก่ท่านอื่นๆ ด้วย จึงขออนุญาตนำมาลงเอาไว้ ณ ที่นี้ ดังนี้


--------------------------------------------------------------------------------

คำถาม

ได้อ่านเรื่องศีลจากหลายแหล่งแล้ว ยังมีข้อสงสัยดังนี้ครับ

กรณีซึ่งพบได้มากในสังคมยุคนี้ คือคน ๒ คน บรรลุนิติภาวะ ทำงานการ และแยกมาจากบิดามารดาแล้ว มามีสัมพันธ์กัน อาจเป็นแบบครั้งคราว หรืออยู่ ด้วยกันโดยญาติไม่รู้ (ถ้ารู้ก็ไม่ได้) นับว่าเป็นการผิดศีล ๓ เพราะญาติไม่ได้รับรู้ เห็นชอบ เป็นการละเมิดบุคคลที่มีญาติหวงห่วง ทำให้ผู้อื่นเจ็บช้ำน้ำใจ ใช่ไหมครับ


กรณีศีลข้อสุรา บางคนอ้างว่าดื่มพอรู้รส เข้าสังคม ไม่ได้ดื่มจนเมามาย ขาดสติ จึงไม่นับว่าผิดศีล ใช่หรือครับ
และกรณีการสูบบุหรี่ หรือเคี้ยวหมาก ก็จัดเป็นกิจที่สงฆ์ไม่ควรกระทำ ใช่ไหมครับ

ขอบคุณมากครับ


--------------------------------------------------------------------------------

ตอบ

สวัสดีครับ

ขอบคุณครับที่ให้ความสนใจเว็บไซต์ ธัมมโชติ

ขอตอบคำถามดังนี้ครับ

ใช่แล้วครับ เพราะการบรรลุนิติภาวะแล้ว ก็คือการเป็นผู้ใหญ่แล้วตามกฎหมาย แต่ในเรื่องของความสัมพันธ์ทางจิตใจระหว่างพ่อแม่ลูกนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ต้องแยกกันพิจารณา


เรื่องการดื่มสุรานั้น ผู้ที่ดื่มจะรู้ดีที่สุดว่าเขามีเจตนาอย่างไร ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ และไม่ขาดสติก็มีโทษน้อยหน่อย แต่ก็ไม่ใช่จะไม่มีโทษเสียเลย เพราะการกระทำที่เริ่มต้นเพียงเล็กน้อยนั้น นานเข้าก็ย่อมจะลุกลามใหญ่โตได้ คือดื่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคตนั่นเอง สู้ไม่เริ่มเสียเลยดีกว่า

และการอ้างเรื่องสังคมนั้น ถ้าเราพูดไปอย่างเด็ดขาดเลยว่าไม่ดื่ม ก็ไม่เห็นจะทำให้เข้าสังคมไม่ได้ตรงไหน และถ้าเรายืนยันชัดเจนก็จะไม่มีใครมารบเร้าเราเรื่องนี้อีก แต่ถ้ายังมีคนอย่างนั้นจริงๆ ก็คงต้องพิจารณาแล้วล่ะครับ ว่าเราควรจะคบคนที่ชักจูงเราไปในทางที่ผิดศีลเช่นนั้นหรือเปล่า
การสูบบุหรี่ หรือเคี้ยวหมากนั้นเป็นการผิดศีลข้อ 5 อยู่แล้ว เพราะเป็นของมึนเมา คงไม่ต้องพูดถึงศีล 227 นะครับ ถ้าภิกษุยังทำเป็นตัวอย่างอย่างนี้ แล้วสังคมจะเป็นยังไงล่ะครับ

ถ้ายังไม่กระจ่าง หรือมีข้อสงสัยอะไรอีก ก็เชิญถามมาได้ใหม่นะครับ ไม่ต้องเกรงใจ

ธัมมโชติ
12 ตุลาคม 2545

sithiphong:
http://www.geocities.com/tmchote/Thumma/Sila/sl022.htm
ขายอุปกรณ์ฆ่าสัตว์



ผู้สนใจท่านหนึ่งได้ถามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางผู้ดำเนินการเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ แก่ท่านอื่นๆ ด้วย จึงขออนุญาตนำมาลงเอาไว้ ณ ที่นี้ ดังนี้


--------------------------------------------------------------------------------

คำถาม

ในศีลข้อห้ามฆ่าสัตว์ ถึงเราจะไม่ได้เป็นคนฆ่าโดยตรง แต่เราขายอุปกรณ์ที่นำไปฆ่า ถือว่าผิดและบาปไหมค่ะ


--------------------------------------------------------------------------------

ตอบ

สวัสดีครับ

ขอบคุณครับที่ให้ความสนใจเว็บไซต์ ธัมมโชติ

ในศีลข้อปาณาติบาตนั้นเน้นที่เจตนา และความพยายามในการฆ่า ซึ่งทั้งเจตนาและความพยายามนี้ มีความหมายรวมทั้งกรณีฆ่าด้วยตนเอง และใช้ให้คนอื่นฆ่าด้วยครับ คือพยายามสื่อความให้คนอื่นฆ่าก็ผิดศีลข้อนี้เช่นเดียวกัน

สำหรับกรณีที่ถามมานั้น ขอแยกตอบเป็นกรณีดังนี้ครับ

ถ้าขายอุปกรณ์สำหรับฆ่าสัตว์ พร้อมด้วยความรู้สึก หรือเจตนาว่าต้องการให้มีการฆ่าสัตว์เกิดขึ้น หรือรู้สึกยินดีทำนองว่าสัตว์จะถูกฆ่าเพราะเครื่องมือนั้น อย่างนี้ก็ผิดศีลข้อนี้เต็มๆ ครับ และเป็นมิจฉาอาชีวะด้วยครับ


ถ้าขายโดยไม่มีความรู้สึก หรือเจตนาอย่างในข้อ 1. แต่ขายด้วยความรู้สึกเพียงว่าเป็นการหาเลี้ยงชีพ ก็ไม่ผิดศีลข้อปาณาติบาตโดยตรง แต่จัดได้ว่าเป็นมิจฉาอาชีวะ (ถึงไม่ผิดทางโลก แต่ก็ผิดทางธรรมครับ)

มิจฉาอาชีวะ มีหลายอย่าง เช่น ขายสุรา ขายอาวุธ ขายยาพิษ ขายมนุษย์ เลี้ยงสัตว์เพื่อฆ่าเอง หรือเพื่อให้เขาเอาไปฆ่า กรณีนี้ก็เป็นการขายอาวุธครับ

ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ผิดทางธรรม และเป็นบาปกรรมทั้ง 2 กรณีครับ แต่กรณีที่ 1 หนักกว่ากรณีที่ 2

ถ้ายังไม่กระจ่าง หรือมีข้อสงสัยอะไรอีก ก็เชิญถามมาได้ใหม่นะครับ ไม่ต้องเกรงใจ


ธัมมโชติ
21 กุมภาพันธ์ 2546

http://www.geocities.com/tmchote/Thumma/Sila/sl023.htm
ฉีดยาเกินขนาดจนคนไข้ตาย



ผู้สนใจท่านหนึ่งได้เมล์มาถามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางผู้ดำเนินการเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ แก่ท่านอื่นๆ ด้วย จึงขออนุญาตนำมาลงเอาไว้ ณ ที่นี้ ดังนี้


--------------------------------------------------------------------------------

คำถาม

สวัสดีครับ

มีปัญหารบกวนเรียนถาม ดังนี้ครับ

เพื่อนซึ่งเป็นแพทย์ดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ปรึกษาว่า ในกรณีที่ผู้ป่วยระยะสุดท้าย ได้รับความทุกข์ทรมานเจ็บปวดเป็นที่สุด จำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวดมอร์ฟีนฉีดเป็นจำนวนมาก และบ่อยๆ (ซึ่งยานี้มีผลกดการหายใจ) เมื่อให้ไปแล้วแต่ผู้ป่วยยังทรมานอยู่ ร้องครวญคราง ก็จำเป็นต้องให้ต่อไปอีกเพื่อให้ผู้ป่วยสงบ มีผลทำให้เสียชีวิตจากยาตามมา เช่นนี้ จะถือว่าเป็นบาปหรือไม่

โดยส่วนตัวได้แสดงความเห็นว่า ดูเจตนาเป็นหลัก การให้ยานั้น ให้เพื่อรักษา เพื่อลดความเจ็บปวดทรมาน ไม่ได้ตั้งใจให้เพื่อให้หยุดหายใจ แต่เมื่อจำเป็นต้องใช้ยาเป็นจำนวนมากเพื่อการรักษา แล้วเกิดผลข้างเคียง และเราไม่กู้ชีวิตผู้ป่วย (หมายถึงการใส่ท่อช่วยหายใจ ให้ยาช่วยต่อชีวิต ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่ก็ไม่ต้องการ) จนผู้ป่วยตาย ไม่คิดว่าเป็นบาป

เรียนถามความเห็นจากคุณธัมมโชติด้วยครับ


--------------------------------------------------------------------------------

ตอบ

สวัสดีครับ

ขอบคุณครับที่ให้ความสนใจเว็บไซต์ ธัมมโชติ

ขอแยกเป็น 3 ช่วงเวลา ดังนี้ครับ

จะเห็นได้อย่างชัดเจนนะครับว่า ตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงการให้ยาครั้งสุดท้ายนั้น ทำไปด้วยเจตนาที่ต้องการช่วยเหลือคนไข้ตลอด ไม่ได้มีจิตคิดจะให้คนไข้ตายเลย ดังนั้น จิตจึงเป็นกุศลคือเป็นบุญนะครับ ไม่ได้เป็นบาปเลย และเมื่อไม่มีเจตนาจะให้ตายจึงไม่เป็นการผิดศีลอีกเช่นกันนะครับ


เมื่อทราบว่าผู้ป่วยนั้นตายแล้ว ขอแยกเป็นกรณี ดังนี้ครับ


ตรงจุดนี้ ถ้าวางใจให้เป็นอุเบกขาได้ (เช่น โดยการพิจารณาเห็นตามข้อ 1.) ก็ไม่เป็นบุญหรือบาปครับ


ถ้าใช้พิจารณาให้เห็นตามความจริงว่า ชีวิตมีความตายเป็นธรรมดา คนโดยทั่วไปไม่มีใครรู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อไหร่ เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ประมาท อย่างนี้ก็เป็นบุญเป็นกุศลครับ (เป็นบุญตรงที่พิจารณา และไม่ประมาทนะครับ ไม่ใช่เป็นบุญที่คนไข้ตาย)


แต่ถ้ารู้สึกเสียใจ เป็นทุกข์ ซึ่งจัดเป็นโทสะอ่อนๆ หรืออาจถึงขั้นโกรธตัวเอง อย่างนี้จิตเป็นอกุศล เป็นบาป (ทำจิตให้เศร้าหมอง) ครับ ถึงแม้จะเป็นบาปขั้นเล็กน้อยก็ไม่ควรจะให้เกิดขึ้นโดยไม่จำเป็นนะครับ


ส่วนการที่ไม่กู้ชีวิตผู้ป่วยนั้น ก็ต้องดูที่เจตนาประกอบด้วยนะครับ


คือถ้าคิดว่ายังไงก็กู้ไม่สำเร็จอยู่แล้ว หรือทำไม่ทันเพราะข้อติดขัดทางเทคนิค หรือทางฝ่ายผู้ป่วยเองไม่ต้องการ อย่างนี้ก็ไม่เป็นบาปครับ


แต่ถ้าไม่กู้เพราะความตระหนี่ คือกลัวว่าจะสิ้นเปลือง หรือเพราะคิดว่าถ้าทำอย่างนั้นจะเป็นการฟ้องว่าให้ยาผิดพลาด กลัวตนเองจะเดือดร้อน อย่างนี้จิตก็เป็นอกุศล เป็นบาปนะครับ แต่ไม่ถึงขั้นผิดศีล และไม่ล่วงกรรมบถ (อกุศลกรรมบถ 10 - ดูเรื่องอกุศลกรรมบถ 10 ในหมวดธรรมทั่วไป ประกอบ)


แต่ถ้าไม่ช่วยเพราะมีความไม่พอใจผู้ป่วยนั้นอยู่ เลยปล่อยให้ตาย อย่างนี้ก็ล่วงอกุศลกรรมบถ ข้อพยาบาท แต่ไม่ผิดศีลเพราะไม่ได้มีเจตนาฆ่า เพียงแต่ไม่ช่วยเหลือเท่านั้นครับ
ถ้ายังไม่กระจ่าง หรือมีข้อสงสัยอะไรอีก ก็เชิญถามมาได้ใหม่นะครับ ไม่ต้องเกรงใจ


ธัมมโชติ
28 กุมภาพันธ์ 2546

http://www.geocities.com/tmchote/Thumma/final.htm
บทส่งท้าย



ด้วยผลแห่งความทุ่มเทมาเป็นเวลา 2 ปีกว่า ในการสร้างสรรค์บทความธรรมะเกือบ 200 บทความ ซึ่งครอบคลุมความรู้ในการปฏิบัติธรรม ทั้งในเรื่องของทาน ศีล สมาธิ และวิปัสสนา ตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงขั้นสูง รวมทั้งความรู้พื้นฐานทางพระพุทธศาสนาในแง่มุมต่างๆ ที่บุคคลทั่วไปควรจะทราบอีกเป็นจำนวนมาก

บัดนี้ ผู้ดำเนินการคิดว่าเว็บไซต์ธัมมโชติแห่งนี้ มีความสมบูรณ์ในเนื้อหา ตามกำลังความรู้ ความสามารถ เท่าที่ผู้ดำเนินการจะสามารถกระทำได้แล้ว

ดังนั้น จึงสมควรแก่เวลาแล้ว ที่ผู้ดำเนินการจะได้ปลีกตัวออกแสวงหาความสงบ และความเจริญก้าวหน้าในธรรมในร่มกาสาวพัสตร์ต่อไป ถ้าไม่มีอะไรติดขัด ผู้ดำเนินการก็จะออกบวชในเวลาอันใกล้นี้

ขอฝากเว็บไซต์แห่งนี้เอาไว้ในโลกอินเทอร์เน็ต เพื่อประโยชน์แก่ผู้สนใจในธรรม ในการค้นคว้าหาความรู้ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติ เพื่อเข้าถึงแก่นแท้แห่งพระพุทธศาสนาโดยถ้วนทั่วกัน

ผู้สนใจท่านใดที่เห็นคุณค่าของเว็บไซต์แห่งนี้ และมีความประสงค์จะนำข้อมูลไปเผยแพร่ หรือประชาสัมพันธ์ ในรูปแบบใดๆ ก็ตาม รวมถึงการทำเป็น Mirror Site เพื่อยืดอายุของบทความธรรมะเหล่านี้ ในโลกอินเทอร์เน็ตให้ยืนนาน (เพราะไม่ทราบว่าทาง Geocities จะเก็บเว็บไซต์ธัมมโชตินี้ เอาไว้อีกนานเท่าไหร่) อันจะเป็นประโยชน์ในการเผยแพร่พระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง เพื่อประโยชน์สุขแก่ชาวโลกต่อไป ผู้ดำเนินการยินยอมให้กระทำได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตใดๆ ทั้งสิ้น โดยมีเงื่อนไขดังนี้
จะต้องไม่ขัดต่อคุณธรรม และจริยธรรมอันดี รวมทั้งกฎหมายบ้านเมืองใดๆ ทั้งสิ้น


การเผยแพร่ หรือประชาสัมพันธ์นั้น จะเป็นการให้บริการฟรี หรือคิดค่าใช้จ่าย (ในราคาอันสมควร) ก็ได้


ลิขสิทธิ์ทั้งหมดของบทความ รวมทั้งข้อมูลต่างๆ ในเว็บไซต์แห่งนี้ ผู้ดำเนินการขอมอบให้เป็นของพระพุทธศาสนา ผู้ดำเนินการไม่ขอมอบลิขสิทธิ์ให้กับผู้ใดผู้หนึ่งเป็นการเฉพาะ แต่อนุญาตให้ผู้สนใจทุกท่านนำบทความ รวมทั้งข้อมูลต่างๆ ในเว็บไซต์แห่งนี้ ไปเผยแพร่ หรือประชาสัมพันธ์ได้ ภายใต้เงื่อนไขที่ระบุไว้นี้


กรุณาอย่าย่อ หรือตัดข้อความในบทความต่างๆ ออกไป เพราะบางเรื่องผู้ดำเนินการอธิบายอย่างละเอียดจนอาจดูเยิ่นเย้อ แต่ที่ทำอย่างนั้นเพื่อป้องกันการเข้าใจคลาดเคลื่อนของผู้อ่าน การตัดข้อความบางตอนออกไปอาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจคลาดเคลื่อนได้


ถ้าจะมีการแทรกข้อความอะไรลงไปในบทความ กรุณาใส่ในวงเล็บ และลงชื่อกำกับเอาไว้ด้วย เพื่อให้ผู้อ่านทราบที่มาที่ชัดเจน
บุญกุศลอันใดที่บังเกิดขึ้นแล้ว และจักบังเกิดขึ้น จากการสร้างสรรค์เว็บไซต์ธัมมโชตินี้ ขอผลบุญนั้นจงดลบันดาลให้ผู้ใฝ่ธรรมทุกๆ ท่าน มีความเจริญก้าวหน้าในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป และขอให้หลักธรรมของพระพุทธศาสนาแพร่หลาย และเจริญรุ่งเรืองอยู่คู่โลก เพื่อสร้างความสงบสุขให้แก่โลก ตราบนานเท่านานเทอญ.

ธัมมโชติ
5 มีนาคม 2546

sithiphong:
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=26&A=7120&Z=7147&pagebreak=0

บทนำพระวินัยปิฎกพระสุตตันตปิฎกพระอภิธรรมปิฎกค้นพระไตรปิฎกชาดกหนังสือธรรมะ



พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๘
ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา



เถรคาถา ทวาทสกนิบาต
๑. สีลวเถรคาถา


คาถาสุภาษิตของพระสีลวเถระ
[๓๗๘] ท่านทั้งหลายพึงศึกษาศีลในศาสนานี้ ด้วยว่าศีลอันบุคคลศึกษาดีแล้ว
สั่งสมดีแล้ว ย่อมนำสมบัติทั้งปวงมาให้ในโลกนี้ นักปราชญ์
เมื่อปรารถนาความสุข ๓ ประการ คือ ความสรรเสริญ ๑ การได้
ความปลื้มใจ ๑ ความบันเทิงในสวรรค์เมื่อละไปแล้ว ๑ พึง
รักษาศีล ด้วยว่าผู้มีศีล มีความสำรวม ย่อมได้มิตรมาก
ส่วนผู้ทุศีลประพฤติแต่กรรมอันลามก ย่อมแตกจากมิตร นรชน
ผู้ทุศีล ย่อมได้รับการติเตียนและความเสียชื่อเสียง ส่วนผู้มีศีล
ย่อมได้รับการสรรเสริญและชื่อเสียงทุกเมื่อ ศีลเป็นเบื้องต้น เป็น
ที่ตั้ง เป็นบ่อเกิดแห่งคุณความดีทั้งหลาย และเป็นประธาน
แห่งธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้น พึงชำระศีลให้บริสุทธิ์ สังวร
ศีลเป็นเครื่องกั้นความทุจริต ทำจิตให้ร่าเริง เป็นท่าที่หยั่งลง
มหาสมุทร คือ นิพพานของพระพุทธเจ้าทั้งปวง เพราะฉะนั้น
พึงชำระศีลให้บริสุทธิ์ ศีลเป็นกำลังหาเปรียบมิได้ เป็นอาวุธ
อย่างสูงสุด เป็นอาภรณ์อันประเสริฐ เป็นเกราะอันน่าอัศจรรย์
ศีลเป็นสะพาน เป็นมหาอำนาจ เป็นกลิ่นหอมอย่างยอดเยี่ยม เป็น
เครื่องลูบไล้อันประเสริฐ บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ย่อมหอมฟุ้งไปทั่ว
ทุกทิศ ศีลเป็นกำลังอย่างเลิศ เป็นเสบียงเดินทางชั้นเยี่ยม เป็น
พาหนะอันประเสริฐยิ่งนัก เป็นเครื่องหอมฟุ้งไปทั่วทิศานุทิศ คนพาล
ผู้มีจิตไม่ตั้งมั่นในศีล ย่อมได้รับการนินทาในเวลาที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้
เมื่อตายไปแล้ว ย่อมได้รับทุกข์โทมนัสในอบายภูมิ ย่อมได้รับทุกข์
โทมนัสในที่ทั่วไป ธีรชนผู้มีจิตตั้งมั่นด้วยดีในศีล ย่อมได้รับการ
สรรเสริญในเวลาที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ครั้นตายไปแล้ว ก็ได้รับความสุข
โสมนัสในสวรรค์ ย่อมรื่นเริงใจในที่ทุกสถานในโลกนี้ ศีลเท่านั้นเป็น
ยอดและผู้มีปัญญาเป็นผู้สูงสุดในโลกนี้ ความชนะในมนุษยโลกและ
เทวโลก ย่อมมีได้เพราะศีลและปัญญา.






เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖ บรรทัดที่ ๗๑๒๐ - ๗๑๔๗. หน้าที่ ๓๐๗ - ๓๐๘.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=26&A=7120&Z=7147&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=378
สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖
http://84000.org/tipitaka/read/?สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่_๒๖
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/mean_reverse.php?text=26&Aindex=%CA%D2%C3%BA%D1%AD

บันทึก ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจาก พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ.
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ DhammaPerfect@yahoo.com


แก้วจ๋าหน้าร้อน:
 :13:อนุโมทนาครับพี่หนุ่ม

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version