ริมระเบียงรับลมโชย > ธรรมะอินเทรนด์ - ธรรมะติดปีก

"พาแม่กลับบ้านนะลูก..."

(1/3) > >>

ฐิตา:



"พาแม่กลับบ้านนะลูก..."
โดย..สร้อยดอกหมาก
ตรงหน้าตึกร้างหัวมุมถนน ยายคนนั้น​ยังคงนั่งอยู่​​ที่เดิม

ยายในชุดผ้านุ่งไหมเก่า ๆ​ สีน้ำตาลอมเขียว​กับเสื้อคอกลมแขนสั้นสีขาวมอ ๆ​
ผมสีเงินแซมสีเทาสั้นเกือบติดหนังหัว ​และดอกเข็มสีแดงดอกจิ๋วในรู​ที่ติ่งหู​ทั้งสองข้าง
ทำให้เดา​ได้ไม่ยากว่ายายมาจากไหน ข้าง ๆ​ ตัวยาย​คือตะกร้าไม้ไผ่สานใบเล็ก ๆ​
มีผ้าสีแดงคล้ำโผล่ให้เห็นพอมองออกว่า​เป็นผ้าเช็ดน้ำหมาก

เฉลาเห็นภาพนี้จนเจนตาชินใจ ราว​กับมัน​คือสิ่งเดียว​กับทุกอย่าง​ที่นั่น
สี่แยก​ที่รถติด​เป็นแพ​ทั้งเช้า​สายบ่ายค่ำ ตึกร้างไร้ผู้คน
​และยาย​ที่สอดส่ายสายตาตามผู้คน​และรถรา​ที่ขวักไขว่

ยายไม่ใช่ขอทาน​ที่มานั่งรอเศษเงินจากผู้ใจบุญ ​ที่ ๆ​ ยายนั่งแทบ​จะไม่มีคนเดินผ่านเสียด้วยซ้ำ





"เฉลา นี่น้าหลวงนะ ฉลวยหาไม่แล้ว​"
นั่น​คือเสียงดังมาจากโทรศัพท์มือถือถูก ๆ​ ​ที่เธอซื้อมาให้ตัวเอง​และพี่สาว​เมื่อรับเงินเดือนเดือนแรก

"หา...​น้าหลวงว่ายังไงนะ"
เอ๊ะ ฝันหรือว่าตื่นอยู่​หรือนี่ เธอยกมือขึ้น​ลูบหน้าขับไล่​ความง่วงงุน พยายามรวบรวมสติให้อยู่​​กับปัจจุบัน

"พี่ฉลวยของเอ็งตายเสียแล้ว​ลูก ​เมื่อกี้นี่เอง"
เสียงของน้าชายต่ำพร่า ย้ำว่าเธอไม่​ได้ฝัน ​แต่ทำไมล่ะ
ทำไมพี่สาวคนเดียวของเธอถึงตาย ก็พี่​เขายังสาว ยังแข็งแรง

"งูกัดลูกเอ๋ย พา​ไปหาหมอไม่ทัน ดำหมด​ทั้งตัวเลย​"
เสียงน้าชายบอกต่อ​ไปเหมือนรู้ว่าเธอ​จะถาม

"พรุ่งนี้มาเลย​นะลูก พี่ฉ่ำให้สวดสามวันแล้ว​เผา"
น้ายังคงพร่ำสั่งนู่นนี่​ที่เธอ​ต้องทำ แม่ว่าอย่างนั้น​หรือ อ้อ...​

"หนูขอพูด​กับแม่หน่อย​นะน้าหลวง"
เธอรวบรวมสติขึ้น​มา​ได้​เมื่อน้าชายเอ่ยถึงแม่
แม่​จะ​เป็นอย่างไรบ้าง​​เมื่อพี่ฉลวยมาจาก​ไปกะทันหันอย่างนี้

"โหล ๆ​" เสียงแม่ดังมาตามสาย "เหลาหรือลูก หลวยไม่มีแล้ว​ลูกเอ๋ย"
เสียงนั้น​สงบราบเรียบเหมือนพูดเรื่อง​ปกติธรรมดา​ที่เกิดขึ้น​ทุกวัน
เฉลาฟังแล้ว​ใจชื้น แม่​เป็นอย่างนี้เอง ไม่มีอะไร​​ที่แม่หวาดหวั่น รวม​ทั้ง
​ความตายของลูกในไส้ด้วยหรือ

"ทำไมล่ะแม่ ทำไมพี่​เขาถึงตาย​ได้ล่ะ"
เฉลาไม่​ได้เข้มแข็งอย่างแม่ ตั้งแต่เล็กจนโตเธอถูกเลี้ยงมาอย่างตัวเล็กของบ้าน
​เป็นลูกคนเล็กของแม่ ​เป็นน้องสาวคนเล็กของพี่ คำยืนยันของแม่ทำให้เธอกลัวจนตัวสั่น
มือ​ที่ถือโทรศัพท์เย็นชื้นด้วยเหงื่อ น้ำตาทะลักทะลายออกมาเหมือนทำนบพัง

"​เขา​ไปรายเบ็ด​เมื่อหัวค่ำ แล้ว​ไม่กลับมาสักที แม่ก็เลย​ออก​ไปตาม พบนอนอยู่​บนคันนาไม่หายใจแล้ว​"
ฤดูฝนน้ำเจิ่งนองทั่วท้องทุ่ง พี่ฉลวยคงออก​ไปธงเบ็ดหาปลาเหมือน​กับ​ที่เคยทำมาชั่วตาปี

"แม่​จะอุ้มกลับมาก็อุ้มไม่ไหว จึง​ไปตามเณรเฉิมมาช่วย เพิ่งหามมาถึงเรือนเดี๋ยวนี้เอง
ให้พวกนี้​เขาช่วยกันหาไม้กระดานมาทำโลงอยู่​ หนูมาพรุ่งนี้ก็​ได้นะ ลางานอะไร​เสียให้เรียบร้อย​
แม่ไม่​เอาไว้นานหรอก สวดสามคืนก็พอ หนู​จะ​ได้รีบกลับมาทำงาน ไม่​ต้องลาหลายวัน เท่านี้ก่อนนะลูก
เดี๋ยวแม่​ต้อง​ไปเตรียมผ้าอาบน้ำให้พี่​เขา"

แม่วางสาย​ไปแล้ว​ ​แต่เฉลายังใจสั่นริก ๆ​ ทำอะไร​ไม่ถูก พี่สาวคนเดียวของน้อง
ตายเสียแล้ว​อย่างนั้น​หรือ

ฐิตา:



"​ไปเถอะ ไม่​ต้องห่วง พี่ยังอยู่​​ทั้งคน"
นั่น​คือคำมั่นสัญญาของพี่ ​เมื่อวัน​ที่เธอ​ได้บรรจุ​เป็นครูในกรุงเทพฯ ​
ซึ่งนับ​เป็นเรื่อง​​ที่หาไม่​ได้เลย​ในหมู่บ้านของเธอ

​ที่จริงนี่ไม่ใช่ครั้งแรก​ที่เฉลา​ไปกรุงเทพ ​เมื่อเธอเรียนจบมัธยมหกจากโรงเรียนประจำอำเภอ
คะแนนของเฉลา​สามารถเข้าสถาบันราชภัฏ​ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง​ของประเทศใน กรุงเทพ​ได้
เธอเกือบ​จะ​ต้องสละสิทธิ์​เพราะไม่​สามารถ​ไปเรียน​ได้

พี่ฉลวยคนนี้เอง​ที่ใจใหญ่คิด​จะจำนอง​ที่นา​เอาเงินมาส่งเสียเธอ
ดี​ที่อาจารย์ใหญ่สาวโสดยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ให้ยืมค่าหน่วยกิต ​
และค่าหอพักจนกว่าเธอ​จะเรียนจบ มีเพียงค่ากิน ​และค่า​ใช้จ่าย​ส่วนตัวเพียงเล็กน้อย​ที่​ต้องออกเอง
​แต่ก็​คือราย​ได้เกือบ​ทั้งหมดจากการทำงานหนักของแม่​และพี่สาวคนเดียว

เฉลาเรียนจบภายในเวลาเพียงสามปีครึ่งด้วย​ความสำนึกใน​ความยากลำบากของทุก ๆ​ คน
เธอไม่ลงชื่อเข้าพิธีรับปริญญา ​เพราะนั่นเท่า​กับหยาดเหงื่ออีกมากมาย​ของแม่​และพี่
เธอ​ไปขอรับปริญญาจากฝ่ายธุรการของสถาบันฯ นำมันมาวางลงบนฝ่ามืออันหยาบกร้านของ​ทั้งสอง​ที่บ้าน
แม่อมยิ้ม ​แต่พี่ฉลวยฉีกยิ้มเสียจนแก้มดำ ๆ​ บานแฉ่ง ​ความภูมิอกภูมิใจ​ที่พี่ฉลวยแสดงออกนั้น
​ลึกล้ำฉ่ำเย็นอยู่​ในใจเฉลาอย่าง แนบแน่น

เงินเดือนข้าราชการครูปริญญาตรี​เมื่อ​ต้องอยู่​ในกรุงเทพนับว่ากระเบียด กระเสียรอย่างมาก
เฉลาวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ รายการค่า​ใช้จ่ายของเธอมีไม่มากอย่าง
ค่าหอพักถูก ๆ​ ย่านชานเมือง ค่ารถเมล์ต่อเดียวถึง​ที่ทำงาน ค่าข้าวเช้า​ไม่มี ​
ซึ่งเธอก็ทำมาแล้ว​ตั้งแต่ยัง​เป็นนักศึกษา ค่าข้าวเ​ที่ยงไม่​ต้อง​เพราะทางโรงเรียนเลี้ยง
ค่ามื้อเย็นเท่านั้น​​ที่เธอตั้งงบไว้สำหรับแกง​และข้าวอย่างละถุงหิ้วมากิน ​ที่ห้อง
บางครั้งก็เปลี่ยน​เป็นกล้วยน้ำว้า​ที่ซื้อมา​เป็นหวี ปลิดกินวันละสองลูกแทนข้าว

ฐิตา:



ค่า​ใช้จ่าย​ส่วนใหญ่ของเธอ​คือเงิน​ที่​จะ​ใช้คืนอาจารย์ใหญ่ ​และส่งให้แม่​กับพี่
​ที่เหลือจึงเก็บไว้สำหรับตัวเองเพียงเล็กน้อย ไม่มากกว่า​ที่เคย​ใช้​เมื่อ​เป็นนักศึกษา
ด้วยหวังว่าแม่​และพี่​จะ​ได้สบายขึ้น​บ้าง ทดแทนสิ่ง​ที่​ทั้งสองทำให้​กับเธอตลอดมา

"โอ๊ย พี่ไม่​เอาตังค์ของหนู พี่​กับแม่อยู่​บ้านไม่อดหร็อก ข้าวเราก็มีกิน ปูปลาก็หา​ได้ถม​ไป
เคยเกลือก็นิด ๆ​ หน่อย​ ๆ​ หาปลา​ไปขาย​เอาตังค์มาซื้อก็เกินพอ"
พี่บอกอย่างนั้น​ น้ำเสียงเชื่อมั่นในสิ่ง​ที่ตัวเองพูดอย่างแน่นหนัก

"หนูนั่นแหละ​​เอาไว้​ใช้เอง ซึ้อเสื้อผ้าใส่มั่งสิ พี่เห็นเดี๋ยวนี้​เขาใส่เสื้อยืดกางเกงขายาวกันสวย ๆ​ ของหนูไม่เห็นมี"
ดวงตาสุกใสบนใบหน้าอวบกลมนั้น​ฉายประกายแห่ง​ความสุข ​ความสุข​ที่น้อง​ได้ดี

พี่ฉลวย​เป็นคนร่างท้วม อวบกลม เดินเหินว่องไวคล่องแคล่ว ญาติพี่น้องเรียกเธอว่า "เณรหลวย"
ด้วยเธอทำงานอย่างผู้ชาย​ได้ทุกอย่าง น้ำใสใจคอเล่าก็กว้างขวางซื่อตรง ​เป็นหลักให้น้องพึ่ง ​
เป็นคู่ชีวิตให้แม่อบอุ่นนับจากสิ้นพ่อ

วันเวลา​ที่สวยงามลงตัวเพิ่งเกิดขึ้น​ไม่ทันถึงปี

"แม่​ไปอยู่​​กับหนูเถอะ พี่ฉลวยไม่อยู่​แล้ว​ แม่อยู่​คนเดียว หนู​เป็นห่วง"
เฉลาอ้อนวอนแม่ครั้งแล้ว​ครั้งเล่า

​เมื่องานศพเสร็จลง ญาติพี่น้อง​ที่มาช่วยงานต่างพากันกลับบ้าน เหลือกันอยู่​แค่สองคนแม่ลูก
บ้านเหมือนไม่ใช่บ้าน​เมื่อไม่มีพี่ฉลวยคอยทำนู่นทำนี่อยู่​ใกล้ ๆ​

เฉลาหยิบจับอะไร​แทบไม่ถูก​เมื่อไม่มีพี่คอยแนะนำ
​แม้​แต่แม่เองถึง​จะทำทุกอย่าง​ได้อย่างเคย ​แต่ก็นิ่งขึงพูดไม่ออก​เป็นพัก ๆ​

"ก็ดีเหมือนกันนะพี่ฉ่ำ ลอง​ไปอยู่​​กับเฉลามันสักพัก ก็เหลือกันอยู่​แค่นี้ อยู่​ด้วยกันดีกว่า
ลูกมันก็ทำมาหากิน​ได้แล้ว​ มันเลี้ยงพี่​ได้อยู่​หรอก"
น้าเฉิมมองเห็น​ความเปล่าเปลี่ยวของเราสองแม่ลูก

"อยู่​ทางนี้ ฉัน​จะคอยดูแลให้ นาของพี่ฉัน​จะทำให้แล้ว​ขายข้าวส่งค่าเช่าให้​เป็นเงิน
พี่ไม่​ต้อง​เป็นห่วง บ้านนี่ก็ปิดไว้ ไม่มีอะไร​ อยู่​ใกล้กันแค่นี้ ว่าง ๆ​ ก็​จะมานอนให้"
น้าชายช่วยแม่คิดแก้ปัญหาต่าง ๆ​


คนชล:
อ่านแล้วซึ้งครับ ได้เห็นความรักความรับผิดชอบ ที่น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีๆในสังคมของทุกวันนี้  :46:

ฐิตา:




แม่ยังพูดอะไร​ไม่ออก ดูเหมือนสมองแม่หยุดคิด​ไปหลังจากไม่มีพี่ฉลวย
เฉลาไม่เคยเห็นแม่​เป็นอย่างนี้
​เมื่อครั้งพ่อตายเธอก็ยังเด็กเกิน​ไป​ที่​จะซึมซับอารมณ์เศร้าหมองของผู้​เป็นแม่ ​แต่​เมื่อพี่มาจาก​ไป
เฉลาเห็นซึ้งถึง​ความเงียบเหงาวังเวงใจของแม่ เธอ​จะทิ้งแม่ในสภาพนี้​ไป​ได้อย่างไร

"แม่​ไปอยู่​​กับหนูเถอะ หนูลาต่อไม่​ได้แล้ว​ เด็ก​กำลัง​จะสอบ หนู​ต้อง​ไปสอน"
เฉลาพะว้าพะวัง เธอไม่กล้าเสียประวัติการทำงาน ชีวิตเธอกว่า​จะมาถึงตรงนี้​ได้นั้น​
ยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก​ทั้งของตนเอง​และคนรอบข้าง ​ถ้า​ต้องมาเสีย​ไปเธอ​จะมีปัญญา​ที่ไหนหามา​ได้อีก

"​ไปก็​ไป"
แม่พูดแค่นั้น​ แล้ว​เดินเข้าใต้ถุน​ไปเงียบ ๆ​ เฉลาสงสารแม่จับใจ ​แต่เธอไม่มีเวลาคิด​เป็นอย่างอื่น

"แม่ หนูซื้อข้าว​กับแกงไว้ให้แม่ อยู่​ในถุงนี้นะ น้ำกินก็ในขวดนี้
แม่หิวตอนไหนก็กินตอนนั้น​ ไม่​ต้องคอยหนูนะ ตอนเย็นหนูกลับมา​จะซื้อมาอีก"

เฉลา​ต้องย้ายห้องพักจากห้องเตียงเล็กอยู่​คนเดียว​ไป​เป็นห้องเตียงใหญ่
สำหรับสองคน เพิ่มค่าเช่าอีกเกือบเท่าตัว ​แต่มันก็​เป็นเพียงห้องเล็ก ๆ​ แคบ ๆ​
มีหน้าต่างบานเล็กเปิดออก​ไป​เป็น​ที่ตากผ้า ดี​ที่มีห้องน้ำห้องส้วมอยู่​ในห้อง
แม่​จะ​ได้ไม่​ต้องลำบากออก​ไปข้างนอก

เรื่อง​อาหารการกินนั้น​ มื้อเช้า​ ปกติ​เมื่ออยู่​​ที่บ้านแม่​จะกินตอนสาย ๆ​ อยู่​แล้ว​ ​
เพราะ​ต้องออก​ไปนา​แต่เช้า​มืด เธอจึงซื้อเพียง​กับข้าวมื้อเดียวให้แม่กินใกล้เ​ที่ยง
ตอนเย็นเธอ​จะซื้อมาอีกครั้งสำหรับสองคน

เธอสอนให้แม่เปิดปิดประตูห้อง​ที่​ใช้ลูกบิด สอนให้แม่​ใช้ส้วมชักโครก สอนให้แม่อาบน้ำฝักบัว ​
และคิดว่าเย็นนี้​จะซื้อหม้อหุงข้าวไฟฟ้าใบเล็ก ๆ​ ​กับข้าวสารมาให้แม่​ได้หุงข้าวกินเองตอนมื้อเ​ที่ยง

เงินเก็บเล็ก ๆ​ น้อย ๆ​ ​ที่เพียรสะสมมาตั้งแต่เริ่มทำงาน
รวม​กับเงินทำบุญงานศพ​ที่เหลือคง​จะหมด​ ไปในคราวนี้
เฉลาไม่คิดเสียดาย ถึงเวลา​ที่เฉลา​จะ​ได้ดูแลแม่บ้างแล้ว​ เธอตั้งใจ​จะทำอย่างเต็ม​ที่


นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

ตอบ

Go to full version