ริมระเบียงรับลมโชย > ธรรมะอินเทรนด์ - ธรรมะติดปีก
"พาแม่กลับบ้านนะลูก..."
ฐิตา:
"พาแม่กลับบ้านนะลูก..."
โดย..สร้อยดอกหมาก
ตรงหน้าตึกร้างหัวมุมถนน ยายคนนั้นยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
ยายในชุดผ้านุ่งไหมเก่า ๆ สีน้ำตาลอมเขียวกับเสื้อคอกลมแขนสั้นสีขาวมอ ๆ
ผมสีเงินแซมสีเทาสั้นเกือบติดหนังหัว และดอกเข็มสีแดงดอกจิ๋วในรูที่ติ่งหูทั้งสองข้าง
ทำให้เดาได้ไม่ยากว่ายายมาจากไหน ข้าง ๆ ตัวยายคือตะกร้าไม้ไผ่สานใบเล็ก ๆ
มีผ้าสีแดงคล้ำโผล่ให้เห็นพอมองออกว่าเป็นผ้าเช็ดน้ำหมาก
เฉลาเห็นภาพนี้จนเจนตาชินใจ ราวกับมันคือสิ่งเดียวกับทุกอย่างที่นั่น
สี่แยกที่รถติดเป็นแพทั้งเช้าสายบ่ายค่ำ ตึกร้างไร้ผู้คน
และยายที่สอดส่ายสายตาตามผู้คนและรถราที่ขวักไขว่
ยายไม่ใช่ขอทานที่มานั่งรอเศษเงินจากผู้ใจบุญ ที่ ๆ ยายนั่งแทบจะไม่มีคนเดินผ่านเสียด้วยซ้ำ
"เฉลา นี่น้าหลวงนะ ฉลวยหาไม่แล้ว"
นั่นคือเสียงดังมาจากโทรศัพท์มือถือถูก ๆ ที่เธอซื้อมาให้ตัวเองและพี่สาวเมื่อรับเงินเดือนเดือนแรก
"หา...น้าหลวงว่ายังไงนะ"
เอ๊ะ ฝันหรือว่าตื่นอยู่หรือนี่ เธอยกมือขึ้นลูบหน้าขับไล่ความง่วงงุน พยายามรวบรวมสติให้อยู่กับปัจจุบัน
"พี่ฉลวยของเอ็งตายเสียแล้วลูก เมื่อกี้นี่เอง"
เสียงของน้าชายต่ำพร่า ย้ำว่าเธอไม่ได้ฝัน แต่ทำไมล่ะ
ทำไมพี่สาวคนเดียวของเธอถึงตาย ก็พี่เขายังสาว ยังแข็งแรง
"งูกัดลูกเอ๋ย พาไปหาหมอไม่ทัน ดำหมดทั้งตัวเลย"
เสียงน้าชายบอกต่อไปเหมือนรู้ว่าเธอจะถาม
"พรุ่งนี้มาเลยนะลูก พี่ฉ่ำให้สวดสามวันแล้วเผา"
น้ายังคงพร่ำสั่งนู่นนี่ที่เธอต้องทำ แม่ว่าอย่างนั้นหรือ อ้อ...
"หนูขอพูดกับแม่หน่อยนะน้าหลวง"
เธอรวบรวมสติขึ้นมาได้เมื่อน้าชายเอ่ยถึงแม่
แม่จะเป็นอย่างไรบ้างเมื่อพี่ฉลวยมาจากไปกะทันหันอย่างนี้
"โหล ๆ" เสียงแม่ดังมาตามสาย "เหลาหรือลูก หลวยไม่มีแล้วลูกเอ๋ย"
เสียงนั้นสงบราบเรียบเหมือนพูดเรื่องปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นทุกวัน
เฉลาฟังแล้วใจชื้น แม่เป็นอย่างนี้เอง ไม่มีอะไรที่แม่หวาดหวั่น รวมทั้ง
ความตายของลูกในไส้ด้วยหรือ
"ทำไมล่ะแม่ ทำไมพี่เขาถึงตายได้ล่ะ"
เฉลาไม่ได้เข้มแข็งอย่างแม่ ตั้งแต่เล็กจนโตเธอถูกเลี้ยงมาอย่างตัวเล็กของบ้าน
เป็นลูกคนเล็กของแม่ เป็นน้องสาวคนเล็กของพี่ คำยืนยันของแม่ทำให้เธอกลัวจนตัวสั่น
มือที่ถือโทรศัพท์เย็นชื้นด้วยเหงื่อ น้ำตาทะลักทะลายออกมาเหมือนทำนบพัง
"เขาไปรายเบ็ดเมื่อหัวค่ำ แล้วไม่กลับมาสักที แม่ก็เลยออกไปตาม พบนอนอยู่บนคันนาไม่หายใจแล้ว"
ฤดูฝนน้ำเจิ่งนองทั่วท้องทุ่ง พี่ฉลวยคงออกไปธงเบ็ดหาปลาเหมือนกับที่เคยทำมาชั่วตาปี
"แม่จะอุ้มกลับมาก็อุ้มไม่ไหว จึงไปตามเณรเฉิมมาช่วย เพิ่งหามมาถึงเรือนเดี๋ยวนี้เอง
ให้พวกนี้เขาช่วยกันหาไม้กระดานมาทำโลงอยู่ หนูมาพรุ่งนี้ก็ได้นะ ลางานอะไรเสียให้เรียบร้อย
แม่ไม่เอาไว้นานหรอก สวดสามคืนก็พอ หนูจะได้รีบกลับมาทำงาน ไม่ต้องลาหลายวัน เท่านี้ก่อนนะลูก
เดี๋ยวแม่ต้องไปเตรียมผ้าอาบน้ำให้พี่เขา"
แม่วางสายไปแล้ว แต่เฉลายังใจสั่นริก ๆ ทำอะไรไม่ถูก พี่สาวคนเดียวของน้อง
ตายเสียแล้วอย่างนั้นหรือ
ฐิตา:
"ไปเถอะ ไม่ต้องห่วง พี่ยังอยู่ทั้งคน"
นั่นคือคำมั่นสัญญาของพี่ เมื่อวันที่เธอได้บรรจุเป็นครูในกรุงเทพฯ
ซึ่งนับเป็นเรื่องที่หาไม่ได้เลยในหมู่บ้านของเธอ
ที่จริงนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เฉลาไปกรุงเทพ เมื่อเธอเรียนจบมัธยมหกจากโรงเรียนประจำอำเภอ
คะแนนของเฉลาสามารถเข้าสถาบันราชภัฏที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของประเทศใน กรุงเทพได้
เธอเกือบจะต้องสละสิทธิ์เพราะไม่สามารถไปเรียนได้
พี่ฉลวยคนนี้เองที่ใจใหญ่คิดจะจำนองที่นาเอาเงินมาส่งเสียเธอ
ดีที่อาจารย์ใหญ่สาวโสดยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ให้ยืมค่าหน่วยกิต
และค่าหอพักจนกว่าเธอจะเรียนจบ มีเพียงค่ากิน และค่าใช้จ่ายส่วนตัวเพียงเล็กน้อยที่ต้องออกเอง
แต่ก็คือรายได้เกือบทั้งหมดจากการทำงานหนักของแม่และพี่สาวคนเดียว
เฉลาเรียนจบภายในเวลาเพียงสามปีครึ่งด้วยความสำนึกในความยากลำบากของทุก ๆ คน
เธอไม่ลงชื่อเข้าพิธีรับปริญญา เพราะนั่นเท่ากับหยาดเหงื่ออีกมากมายของแม่และพี่
เธอไปขอรับปริญญาจากฝ่ายธุรการของสถาบันฯ นำมันมาวางลงบนฝ่ามืออันหยาบกร้านของทั้งสองที่บ้าน
แม่อมยิ้ม แต่พี่ฉลวยฉีกยิ้มเสียจนแก้มดำ ๆ บานแฉ่ง ความภูมิอกภูมิใจที่พี่ฉลวยแสดงออกนั้น
ลึกล้ำฉ่ำเย็นอยู่ในใจเฉลาอย่าง แนบแน่น
เงินเดือนข้าราชการครูปริญญาตรีเมื่อต้องอยู่ในกรุงเทพนับว่ากระเบียด กระเสียรอย่างมาก
เฉลาวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ รายการค่าใช้จ่ายของเธอมีไม่มากอย่าง
ค่าหอพักถูก ๆ ย่านชานเมือง ค่ารถเมล์ต่อเดียวถึงที่ทำงาน ค่าข้าวเช้าไม่มี
ซึ่งเธอก็ทำมาแล้วตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา ค่าข้าวเที่ยงไม่ต้องเพราะทางโรงเรียนเลี้ยง
ค่ามื้อเย็นเท่านั้นที่เธอตั้งงบไว้สำหรับแกงและข้าวอย่างละถุงหิ้วมากิน ที่ห้อง
บางครั้งก็เปลี่ยนเป็นกล้วยน้ำว้าที่ซื้อมาเป็นหวี ปลิดกินวันละสองลูกแทนข้าว
ฐิตา:
ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ของเธอคือเงินที่จะใช้คืนอาจารย์ใหญ่ และส่งให้แม่กับพี่
ที่เหลือจึงเก็บไว้สำหรับตัวเองเพียงเล็กน้อย ไม่มากกว่าที่เคยใช้เมื่อเป็นนักศึกษา
ด้วยหวังว่าแม่และพี่จะได้สบายขึ้นบ้าง ทดแทนสิ่งที่ทั้งสองทำให้กับเธอตลอดมา
"โอ๊ย พี่ไม่เอาตังค์ของหนู พี่กับแม่อยู่บ้านไม่อดหร็อก ข้าวเราก็มีกิน ปูปลาก็หาได้ถมไป
เคยเกลือก็นิด ๆ หน่อย ๆ หาปลาไปขายเอาตังค์มาซื้อก็เกินพอ"
พี่บอกอย่างนั้น น้ำเสียงเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองพูดอย่างแน่นหนัก
"หนูนั่นแหละเอาไว้ใช้เอง ซึ้อเสื้อผ้าใส่มั่งสิ พี่เห็นเดี๋ยวนี้เขาใส่เสื้อยืดกางเกงขายาวกันสวย ๆ ของหนูไม่เห็นมี"
ดวงตาสุกใสบนใบหน้าอวบกลมนั้นฉายประกายแห่งความสุข ความสุขที่น้องได้ดี
พี่ฉลวยเป็นคนร่างท้วม อวบกลม เดินเหินว่องไวคล่องแคล่ว ญาติพี่น้องเรียกเธอว่า "เณรหลวย"
ด้วยเธอทำงานอย่างผู้ชายได้ทุกอย่าง น้ำใสใจคอเล่าก็กว้างขวางซื่อตรง เป็นหลักให้น้องพึ่ง
เป็นคู่ชีวิตให้แม่อบอุ่นนับจากสิ้นพ่อ
วันเวลาที่สวยงามลงตัวเพิ่งเกิดขึ้นไม่ทันถึงปี
"แม่ไปอยู่กับหนูเถอะ พี่ฉลวยไม่อยู่แล้ว แม่อยู่คนเดียว หนูเป็นห่วง"
เฉลาอ้อนวอนแม่ครั้งแล้วครั้งเล่า
เมื่องานศพเสร็จลง ญาติพี่น้องที่มาช่วยงานต่างพากันกลับบ้าน เหลือกันอยู่แค่สองคนแม่ลูก
บ้านเหมือนไม่ใช่บ้านเมื่อไม่มีพี่ฉลวยคอยทำนู่นทำนี่อยู่ใกล้ ๆ
เฉลาหยิบจับอะไรแทบไม่ถูกเมื่อไม่มีพี่คอยแนะนำ
แม้แต่แม่เองถึงจะทำทุกอย่างได้อย่างเคย แต่ก็นิ่งขึงพูดไม่ออกเป็นพัก ๆ
"ก็ดีเหมือนกันนะพี่ฉ่ำ ลองไปอยู่กับเฉลามันสักพัก ก็เหลือกันอยู่แค่นี้ อยู่ด้วยกันดีกว่า
ลูกมันก็ทำมาหากินได้แล้ว มันเลี้ยงพี่ได้อยู่หรอก"
น้าเฉิมมองเห็นความเปล่าเปลี่ยวของเราสองแม่ลูก
"อยู่ทางนี้ ฉันจะคอยดูแลให้ นาของพี่ฉันจะทำให้แล้วขายข้าวส่งค่าเช่าให้เป็นเงิน
พี่ไม่ต้องเป็นห่วง บ้านนี่ก็ปิดไว้ ไม่มีอะไร อยู่ใกล้กันแค่นี้ ว่าง ๆ ก็จะมานอนให้"
น้าชายช่วยแม่คิดแก้ปัญหาต่าง ๆ
คนชล:
อ่านแล้วซึ้งครับ ได้เห็นความรักความรับผิดชอบ ที่น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีๆในสังคมของทุกวันนี้ :46:
ฐิตา:
แม่ยังพูดอะไรไม่ออก ดูเหมือนสมองแม่หยุดคิดไปหลังจากไม่มีพี่ฉลวย
เฉลาไม่เคยเห็นแม่เป็นอย่างนี้
เมื่อครั้งพ่อตายเธอก็ยังเด็กเกินไปที่จะซึมซับอารมณ์เศร้าหมองของผู้เป็นแม่ แต่เมื่อพี่มาจากไป
เฉลาเห็นซึ้งถึงความเงียบเหงาวังเวงใจของแม่ เธอจะทิ้งแม่ในสภาพนี้ไปได้อย่างไร
"แม่ไปอยู่กับหนูเถอะ หนูลาต่อไม่ได้แล้ว เด็กกำลังจะสอบ หนูต้องไปสอน"
เฉลาพะว้าพะวัง เธอไม่กล้าเสียประวัติการทำงาน ชีวิตเธอกว่าจะมาถึงตรงนี้ได้นั้น
ยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนักทั้งของตนเองและคนรอบข้าง ถ้าต้องมาเสียไปเธอจะมีปัญญาที่ไหนหามาได้อีก
"ไปก็ไป"
แม่พูดแค่นั้น แล้วเดินเข้าใต้ถุนไปเงียบ ๆ เฉลาสงสารแม่จับใจ แต่เธอไม่มีเวลาคิดเป็นอย่างอื่น
"แม่ หนูซื้อข้าวกับแกงไว้ให้แม่ อยู่ในถุงนี้นะ น้ำกินก็ในขวดนี้
แม่หิวตอนไหนก็กินตอนนั้น ไม่ต้องคอยหนูนะ ตอนเย็นหนูกลับมาจะซื้อมาอีก"
เฉลาต้องย้ายห้องพักจากห้องเตียงเล็กอยู่คนเดียวไปเป็นห้องเตียงใหญ่
สำหรับสองคน เพิ่มค่าเช่าอีกเกือบเท่าตัว แต่มันก็เป็นเพียงห้องเล็ก ๆ แคบ ๆ
มีหน้าต่างบานเล็กเปิดออกไปเป็นที่ตากผ้า ดีที่มีห้องน้ำห้องส้วมอยู่ในห้อง
แม่จะได้ไม่ต้องลำบากออกไปข้างนอก
เรื่องอาหารการกินนั้น มื้อเช้า ปกติเมื่ออยู่ที่บ้านแม่จะกินตอนสาย ๆ อยู่แล้ว
เพราะต้องออกไปนาแต่เช้ามืด เธอจึงซื้อเพียงกับข้าวมื้อเดียวให้แม่กินใกล้เที่ยง
ตอนเย็นเธอจะซื้อมาอีกครั้งสำหรับสองคน
เธอสอนให้แม่เปิดปิดประตูห้องที่ใช้ลูกบิด สอนให้แม่ใช้ส้วมชักโครก สอนให้แม่อาบน้ำฝักบัว
และคิดว่าเย็นนี้จะซื้อหม้อหุงข้าวไฟฟ้าใบเล็ก ๆ กับข้าวสารมาให้แม่ได้หุงข้าวกินเองตอนมื้อเที่ยง
เงินเก็บเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เพียรสะสมมาตั้งแต่เริ่มทำงาน
รวมกับเงินทำบุญงานศพที่เหลือคงจะหมด ไปในคราวนี้
เฉลาไม่คิดเสียดาย ถึงเวลาที่เฉลาจะได้ดูแลแม่บ้างแล้ว เธอตั้งใจจะทำอย่างเต็มที่
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
Go to full version