ริมระเบียงรับลมโชย > ธรรมะอินเทรนด์ - ธรรมะติดปีก
"พาแม่กลับบ้านนะลูก..."
ฐิตา:
แม่เงียบกริบ ไม่ตอบคำ สีหน้าเรียบเฉยของแม่ทำให้เธอห่วงหน้าพะวงหลัง
ออกจากห้องไม่ใคร่ได้ ห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ แทบไม่มีที่ว่างเช่นนี้ แม่ต้องไม่คุ้นเคย
แต่งานในหน้าที่ก็ฉุดกระชากเธอไปจากความห่วงใย
หวังเพียงว่าแม่จะอยู่ได้ถ้าทำทุกอย่างตามที่เธอสอนไว้
เย็นนั้น เฉลาต้องอยู่เคลียร์งานที่ฝากเพื่อนครูไว้ตอนลา
เธอมองแสงสีส้มของกลางวันที่ค่อยจางหายปล่อยให้แสงสีเทาของกลางคืนโรยตัวลง
มาปกคลุมแทนอย่างไม่สบายใจ แม่จะเป็นอย่างไรบ้าง จะกลัวไหมถ้ามืดแล้วไม่เห็นเธอกลับ
กว่าเธอจะได้ออกจากที่ทำงาน นั่งรถเมล์จนกว่าจะถึงหอพักเวลาก็ล่วงเลยเป็นค่ำมืด
ถึงอย่างไรเธอก็ยังต้องแวะซื้อข้าวมื้อเย็นให้ตัวเองกับแม่ ไหนยังจะหาซื้อหม้อหุงข้าวไฟฟ้า
ซื้อข้าวสาร อาจจะต้องซื้อน้ำปลาไว้ให้แม่สักขวด เผื่อแกงจะจืดไป
หรือจะซื้อพริกขี้หนูด้วย สมองเธอคิดหาทางให้แม่อยู่ได้อย่างมีความสุข
"แม่ แม่ หนูกลับมาแล้ว"
เธอเคาะประตู พร้อมกับส่งเสียงเรียก โล่งใจที่ได้กลับถึงที่พักเสียที
ข้าวของสองมือพะรุงพะรังหนักอึ้งนิ้วจะขาด
ภายในห้องเงียบกริบ แม้แต่แสงไฟก็ไม่ลอดออกมา เฉลาใจหายวาบ
"แม่ แม่ เปิดประตูสิแม่"
ความกลัวเกาะกินใจเธออย่างรุนแรง
รีบวางข้าวของในมือลงกับพื้น สองมือระดมทุบประตูอย่างขวัญเสีย
"มีอะไรหรือน้อง"
เพื่อนร่วมหอโผล่หน้าออกมาดู
"แม่หนูค่ะพี่ แม่หนูอยู่ในห้อง แต่หนูเรียกแล้วแม่ไม่เปิดประตู ไฟก็ไม่เปิด"
เธอพร่ำบอกเสียงขาดเป็นห้วง ๆ น้ำตาพรั่งพรูทำอะไรไม่ถูก
เธอผู้นั้นจึงมาลองขยับลูกบิดประตู มันติดล็อคข้างในอย่างที่เฉลาทำให้แม่เมื่อเช้านี้
"น้องมีกุญแจห้องหรือเปล่าล่ะ"
"มีค่ะมี"
เธอลนลานล้วงกระเป๋าหยิบกุญแจห้องส่งให้เพื่อนไขประตู
ฐิตา:
:Toshi Nakamura
ประตูเปิดผลัวะพร้อมกับร่างของเฉลาที่ผวาตามบานประตูเข้าไป
แม่นั่งชันเข่าอยู่กับพื้นในความมืดนิ่งเฉย สติของเฉลาก็ขาดผึง
"แม่ ทำไมแม่ทำอย่างนี้ล่ะ ทำไมไม่เปิดประตู"
เธอตะโกนอย่างระงับอารมณ์ไม่อยู่ น้ำเสียงเช่นนั้น
เฉลาไม่เคยพูดกับแม่ หรือกับใครเลยก็ว่าได้ แต่คราวนี้ วันนี้
มันหลุดออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจที่เหน็ดเหนื่อย หวาดกลัวที่สู้ทนเก็บข่มมาหลายวัน
"ใจเย็น ๆ น้อง ใจเย็น"
เพื่อนส่งเสียงเตือนเบา ๆ แล้วเดินมาเปิดไฟให้
เมื่อนั้นเองที่เฉลาได้เห็นสีหน้าของแม่ สีหน้านั้นของแม่
เฉลาก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน มันช่างไร้ชีวิต เหนื่อยล้า สิ้นหวัง เศร้าสร้อย ทุกข์ตรม
เหมือนไม่ใช่แม่คนเข้มแข็งของเธอ
"แม่อย่าทำอย่างนี้ แม่อย่าทำ หนูกลัว"
เฉลาผวาเข้ากอดแม่ เขย่าร่างนั้นสะอื้นไห้จนตัวโยน แม่ค่อย ๆ อ้าแขนออกโอบเธอ
ตบหลังให้เบา ๆ เหมือนเมื่อเธอเป็นเด็ก แต่ดูเหมือนแม่จะเป็นใบ้ไปเสียแล้ว
ไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดจากปากแม่มาให้เฉลาได้ยิน
แม่คงกลัว ดูเหมือนแม่จะนั่งอยู่ที่เดียวกับที่เฉลาเห็นเมื่อเช้าไม่ได้ขยับไปไหน
โถแม่..."พี่ไปนะ"
เสียงเพื่อนเอ่ยขึ้นเบา ๆ ทำให้เฉลาได้สติ เธอหันไปขอบคุณเพื่อน
"ไม่เป็นไรหรอกน้อง มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ แม่พี่ก็เคยมานอนค้างกับพี่เหมือนกัน"
เธอบอกอย่างคนเข้าใจสถานการณ์
แม่ยังคงเงียบเฉยหม่นหมองจนเฉลาทำงานแทบไม่ได้ กลางวันแม่กินข้าวเท่าที่เฉลาจัดไว้ให้
แม่ไม่แตะต้องสิ่งอื่น ไม่ว่าน้ำปลาหรือพริกขี้หนูที่แม่เคยเกร็ดกินกับข้าวอย่างเอร็ดอร่อย
เมื่อครั้งอยู่ที่บ้าน แม้แต่หมากที่แม่ต้องเคี้ยวอยู่ตลอดเวลา เฉลาก็เห็นมันอมค้างอยู่ในปากแม่
ฐิตา:
เฉลาพยายามเร่งทำทุกอย่างในที่ทำงานให้เสร็จทันเวลาเลิกงานทุกวัน
เพื่อจะได้รีบกลับมาอยู่กับแม่ ซื้อหมากพลู ซื้อกับข้าวมาให้แม่
ตอนเช้าก่อนออกจากห้องก็จะซักผ้า ถูพื้นไว้เรียบร้อย ไม่ให้แม่ต้องทำอะไร
แต่แม่ก็ไม่ดีขึ้น บางคืนเฉลายังได้ยินเสียงแม่ละเมอเรียกชื่อพี่
แล้ววันหนึ่ง เฉลาก็เห็นแม่ออกมานั่งหน้าประตูห้องคอยเธอกลับจากทำงาน
บนทางเดินยาวเหยียดหน้าห้องพักที่ติดกันเป็นแถวของแสงยามเย็น
หญิงวัยกลางคนร่างผอมคล้ำดูร่วงโรยในผ้าถุงดำตัวเก่ากับเสื้อคอกระเช้าสีน้ำตาล
ที่นั่งชันเข่าพิงประตูห้อง หันหน้ามาทางถนนเข้าหอพักอย่างรอคอย สะเทือนร้าวเข้าไปในหัวใจของเฉลา
"แม่ ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ ประตูล็อคข้างใน เข้าห้องไม่ได้หรือ"
เฉลาผวาเข้าไปหาแม่อย่างตื่นตกใจ
"เหลา พาแม่กลับบ้านนะลูก"
แม่เอื้อมมือมาคว้ามือเฉลา เงยหน้าขึ้นพูดอย่างอ้อนวอน
น้ำตาเต็มนัยน์ตาของแม่ เหมือนไม่ใช่แม่คนเดิม
เฉลานิ่งอึ้ง พยักหน้ารับ "จ้ะแม่"
คืนนั้นสองแม่ลูกนอนกอดกันเหมือนเมื่อครั้งอยู่บ้าน
เนื้อตัวของแม่ดูมีชีวิตชีวาแข็งแรงและอบอุ่นขึ้นมาทันตาเห็น
สีหน้าแช่มชื่นมีความหวัง ดวงตาสุกใสเป็นประกาย
เฉลาพาแม่ไปส่งในวันหยุดสุดสัปดาห์นั้น นอนค้างกับแม่หนึ่งคืนแล้วกลับมาทำงาน
เธอเพิ่มรายการค่าใช้จ่ายลงไปในงบประมาณประจำเดือน
สำหรับการกลับบ้านมานอนกับแม่เดือนละหนึ่งครั้ง
ในโอกาสนี้เธอยังได้ไปเยี่ยมเยียนอาจารย์ใหญ่ผู้มีพระคุณด้วยตนเอง
บางครั้งก็ได้ไปงานบุญงานบวชของญาติพี่น้องบ้านใกล้เรือนเคียง
ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันอย่างใกล้ชิด
แม่เองก็ได้กลับไปอยู่บ้านของแม่ ที่มีญาติพี่น้อง ต้นไม้ไร่นา ปลาในหนอง น้ำในห้วย
และฟ้ากว้างที่ครอบทุ่งโล่งสวยงามสุดสายตา แม้ไม่มีพี่ฉลวย
แม่ก็มีเฉลาที่จะมาหาแม่ทุกเดือนไม่ได้ขาด หน้านาแม่ก็ยังทำนาปลูกข้าวบนผืนดินเล็ก ๆ ของตัวเอง
ยามเจ็บไข้ก็มีหลาน ๆ ญาติ ๆ ใกล้ชิดมาประคับประคองรอเวลาเฉลามาถึง
แม่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่แม่คุ้นเคยอย่างมีความสุข แข็งแรง สดชื่น เต็มปรี่ไปด้วยพละกำลัง
และความหวังเหมือนที่เฉลาเคยเห็น
ในวันใช้ชีวิตคู่ของเฉลาแม่บอกกับเธอว่าจะอยู่รอดูหลานคนโต
และเมื่อได้หลานคนแรกเป็นผู้ชายแม่ก็ต่ออายุขัยของตัวเองออกไปอีกว่า
จะมีชีวิตอยู่ต่อไปจนกว่าจะได้อุ้มพานแว่นฟ้าใส่ผ้าไตรส่งหลานยายเข้าโบสถ์ในงานบวช
เฉลาทอดสายตามองยายหน้าตึกร้างพร้อมกับภาวนาเอาใจช่วยทุกวัน
ที่นี่ไม่ใช่บ้านของยาย ไม่ใช่ที่ทางสำหรับยายเลยใช่ไหมจ๊ะ
ยายคงคิดถึงเถียงนากลางทุ่งกว้างที่มีลมโชยเฉื่อยฉิว
มีเสียงกบเสียงอึ่งระงมร้อง
ยามค่ำคืนที่ฝนพรำ คิดถึงกอไผ่ที่เสียดส่ายไหวโอนตามแรงลม
คิดถึงหน่ออ่อนของต้นไม้ที่เสียดแทงขึ้นมา
จากผืนดินหลังฝนตก คิดถึงรวงข้าวสีทองที่อ่อนค้อมรอเกี่ยว
"ยายเป็นแม่ของใครกันนะ...."
"พายายกลับบ้านเถอะ...."
ขอบคุณน้อง"ขม..ค่ะ"
:13:
Credit by : http://www.sookjai.com/index.php?topic=3552.0
ขอบพระคุณที่มาทั้งหมดมากมายนะคะ...
แก้วจ๋าหน้าร้อน:
:13: อนุโมทนาครับพี่แป๋ม ภาพสวยบทความซาบซึ้งครับ
ธรรมรักษ์:
:11: :11: :11:
ชีวิตนี้ยอมทำทุกอย่าง ให้แม่สบายที่สุด ที่จะทำได้
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version