ริมระเบียงรับลมโชย > ธรรมะอินเทรนด์ - ธรรมะติดปีก

"พาแม่กลับบ้านนะลูก..."

<< < (2/3) > >>

ฐิตา:



แม่เงียบกริบ ไม่ตอบคำ สีหน้าเรียบเฉยของแม่ทำให้เธอห่วงหน้าพะวงหลัง
ออกจากห้องไม่​ใคร่​ได้ ห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ​ แทบไม่มี​ที่ว่างเช่นนี้ แม่​ต้องไม่คุ้นเคย ​
แต่งานในหน้า​ที่ก็ฉุดกระชากเธอ​ไปจาก​ความห่วงใย
หวังเพียงว่าแม่​จะอยู่​​ได้​ถ้าทำทุกอย่างตาม​ที่เธอสอนไว้

เย็นนั้น​ เฉลา​ต้องอยู่​เคลียร์งาน​ที่ฝาก​เพื่อนครูไว้ตอนลา
เธอมองแสงสีส้มของกลางวัน​ที่ค่อยจางหายปล่อยให้แสงสีเทาของกลางคืนโรยตัวลง
มาปกคลุมแทนอย่างไม่สบายใจ แม่​จะ​เป็นอย่างไรบ้าง​ ​จะกลัวไหม​ถ้ามืดแล้ว​ไม่เห็นเธอกลับ

กว่าเธอ​จะ​ได้ออกจาก​ที่ทำงาน นั่งรถเมล์จนกว่า​จะถึงหอพักเวลาก็ล่วงเลย​​เป็นค่ำมืด
ถึงอย่างไรเธอก็ยัง​ต้องแวะซื้อข้าวมื้อเย็นให้ตัวเอง​กับแม่ ไหนยัง​จะหาซื้อหม้อหุงข้าวไฟฟ้า
ซื้อข้าวสาร อาจ​จะ​ต้องซื้อน้ำปลาไว้ให้แม่สักขวด เผื่อแกง​จะจืด​ไป
หรือ​จะซื้อพริกขี้หนูด้วย สมองเธอคิดหาทางให้แม่อยู่​​ได้อย่างมี​ความสุข

"แม่ แม่ หนูกลับมาแล้ว​"

เธอเคาะประตู ​พร้อม​กับส่งเสียงเรียก โล่งใจ​ที่​ได้กลับถึง​ที่พักเสียที
ข้าวของสองมือพะรุงพะรังหนักอึ้งนิ้ว​จะขาด

ภายในห้องเงียบกริบ ​แม้​แต่แสงไฟก็ไม่ลอดออกมา เฉลาใจหายวาบ

"แม่ แม่ เปิดประตูสิแม่"

​ความกลัวเกาะกินใจเธออย่างรุนแรง
รีบวางข้าวของในมือลง​กับพื้น สองมือระดมทุบประตูอย่างขวัญเสีย

"มีอะไร​หรือน้อง"
​เพื่อนร่วมหอโผล่หน้าออกมาดู

"แม่หนูค่ะ​พี่ แม่หนูอยู่​ในห้อง ​แต่หนูเรียกแล้ว​แม่ไม่เปิดประตู ไฟก็ไม่เปิด"

เธอพร่ำบอกเสียงขาด​เป็นห้วง ๆ​ น้ำตาพรั่งพรูทำอะไร​ไม่ถูก
เธอผู้นั้น​จึงมาลองขยับลูกบิดประตู มันติดล็อคข้างในอย่าง​ที่เฉลาทำให้แม่​เมื่อเช้า​นี้

"น้องมีกุญแจห้องหรือเปล่าล่ะ"

"มีค่ะ​มี"
เธอลนลานล้วงกระเป๋าหยิบกุญแจห้องส่งให้​เพื่อนไขประตู

ฐิตา:


:Toshi Nakamura

ประตูเปิดผลัวะ​พร้อม​กับร่างของเฉลา​ที่ผวาตามบานประตูเข้า​ไป
แม่นั่งชันเข่าอยู่​​กับพื้นใน​ความมืดนิ่งเฉย สติของเฉลาก็ขาดผึง

"แม่ ทำไมแม่ทำอย่างนี้ล่ะ ทำไมไม่เปิดประตู"

เธอตะโกนอย่างระงับอารมณ์ไม่อยู่​ น้ำเสียงเช่นนั้น​
เฉลาไม่เคยพูด​กับแม่ หรือ​กับ​ใครเลย​ก็ว่า​ได้ ​แต่คราวนี้ วันนี้
มันหลุดออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ​ที่เหน็ดเหนื่อย หวาดกลัว​ที่สู้ทนเก็บข่มมาหลายวัน

"ใจเย็น ๆ​ น้อง ใจเย็น"
​เพื่อนส่งเสียงเตือนเบา ๆ​ แล้ว​เดินมาเปิดไฟให้

​เมื่อนั้น​เอง​ที่เฉลา​ได้เห็นสีหน้าของแม่ สีหน้านั้น​ของแม่
เฉลาก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน มันช่างไร้ชีวิต เหนื่อยล้า สิ้นหวัง เศร้าสร้อย ทุกข์ตรม
เหมือนไม่ใช่แม่คนเข้มแข็งของเธอ

"แม่อย่าทำอย่างนี้ แม่อย่าทำ หนูกลัว"
เฉลาผวาเข้ากอดแม่ เขย่าร่างนั้น​สะอื้นไห้จนตัวโยน แม่ค่อย ๆ​ อ้าแขนออกโอบเธอ
ตบหลังให้เบา ๆ​ เหมือน​เมื่อเธอ​เป็นเด็ก ​แต่ดูเหมือนแม่​จะ​เป็นใบ้​ไปเสียแล้ว​
ไม่มีคำพูดใด ๆ​ หลุดจากปากแม่มาให้เฉลา​ได้ยิน

แม่คงกลัว ดูเหมือนแม่​จะนั่งอยู่​​ที่เดียว​กับ​ที่เฉลาเห็น​เมื่อเช้า​ไม่​ได้ขยับ​ไปไหน

โถแม่...​"พี่​ไปนะ"
เสียง​เพื่อนเอ่ยขึ้น​เบา ๆ​ ทำให้เฉลา​ได้สติ เธอหัน​ไปขอบคุณ​เพื่อน

"ไม่​เป็นไรหรอกน้อง มีอะไร​ให้ช่วยก็บอกนะ แม่พี่ก็เคยมานอนค้าง​กับพี่เหมือนกัน"
เธอบอกอย่างคนเข้าใจสถานการณ์

แม่ยังคงเงียบเฉยหม่นหมองจนเฉลาทำงานแทบไม่​ได้ กลางวันแม่กินข้าวเท่า​ที่เฉลาจัดไว้ให้
แม่ไม่แตะ​ต้องสิ่งอื่น ไม่ว่าน้ำปลาหรือพริกขี้หนู​ที่แม่เคยเกร็ดกิน​กับข้าวอย่างเอร็ดอร่อย​
เมื่อครั้งอยู่​​ที่บ้าน ​แม้​แต่หมาก​ที่แม่​ต้องเคี้ยวอยู่​ตลอดเวลา เฉลาก็เห็นมันอมค้างอยู่​ในปากแม่

ฐิตา:




เฉลาพยายามเร่งทำทุกอย่างใน​ที่ทำงานให้เสร็จทันเวลาเลิกงานทุกวัน ​
เพื่อ​จะ​ได้รีบกลับมาอยู่​​กับแม่ ซื้อหมากพลู ซื้อ​กับข้าวมาให้แม่

ตอนเช้า​ก่อนออกจากห้องก็​จะซักผ้า ถูพื้นไว้เรียบร้อย​ ไม่ให้แม่​ต้องทำอะไร​
​แต่แม่ก็ไม่ดีขึ้น​ บางคืนเฉลายัง​ได้ยินเสียงแม่ละเมอเรียกชื่อพี่



แล้ว​วันหนึ่ง​ เฉลาก็เห็นแม่ออกมานั่งหน้าประตูห้องคอยเธอกลับจากทำงาน

บนทางเดินยาวเหยียดหน้าห้องพัก​ที่ติดกัน​เป็นแถวของแสงยามเย็น
หญิงวัยกลางคนร่างผอมคล้ำดูร่วงโรยในผ้าถุงดำตัวเก่า​กับเสื้อคอกระเช้า​สีน้ำตาล​
ที่นั่งชันเข่าพิงประตูห้อง หันหน้ามาทางถนนเข้าหอพักอย่างรอคอย สะเทือนร้าวเข้า​ไปในหัวใจของเฉลา

"แม่ ทำไมมานั่งอยู่​ตรงนี้ล่ะ ประตูล็อคข้างใน เข้าห้องไม่​ได้หรือ"
เฉลาผวาเข้า​ไปหาแม่อย่างตื่นตกใจ

"เหลา พาแม่กลับบ้านนะลูก"
แม่เอื้อมมือมาคว้ามือเฉลา เงยหน้าขึ้น​พูดอย่างอ้อนวอน
น้ำตาเต็มนัยน์ตาของแม่ เหมือนไม่ใช่แม่คนเดิม

เฉลานิ่งอึ้ง พยักหน้ารับ "จ้ะ​แม่"

คืนนั้น​สองแม่ลูกนอนกอดกันเหมือน​เมื่อครั้งอยู่​บ้าน
เนื้อตัวของแม่ดูมีชีวิตชีวาแข็งแรง​และอบอุ่นขึ้น​มาทันตาเห็น
สีหน้าแช่มชื่นมี​ความหวัง ดวงตาสุกใส​เป็นประกาย

เฉลาพาแม่​ไปส่งในวันหยุดสุดสัปดาห์นั้น​ นอนค้าง​กับแม่หนึ่ง​คืนแล้ว​กลับมาทำงาน
เธอเพิ่มรายการค่า​ใช้จ่ายลง​ไปในงบประมาณประจำเดือน
สำหรับการกลับบ้านมานอนกับแม่เดือนละหนึ่ง​ครั้ง
ในโอกาสนี้เธอยัง​ได้​ไปเยี่ยมเยียนอาจารย์ใหญ่ผู้มี​พระคุณด้วยตนเอง
บางครั้งก็​ได้​ไปงานบุญงานบวชของญาติพี่น้องบ้านใกล้เรือนเคียง
​ได้ช่วยเหลือเกื้อกูล​ซึ่งกัน​และกันอย่างใกล้ชิด

แม่เองก็​ได้กลับ​ไปอยู่​บ้านของแม่ ​ที่มีญาติพี่น้อง ต้นไม้ไร่นา ปลาในหนอง น้ำในห้วย ​
และฟ้ากว้าง​ที่ครอบทุ่งโล่งสวยงามสุดสายตา ​แม้ไม่มีพี่ฉลวย
แม่ก็มีเฉลา​ที่​จะมาหาแม่ทุกเดือนไม่​ได้ขาด หน้านาแม่ก็ยังทำนาปลูกข้าวบนผืนดินเล็ก ๆ​ ของตัวเอง
ยามเจ็บไข้ก็มีหลาน ๆ​ ญาติ ๆ​ ใกล้ชิดมาประคับประคองรอเวลาเฉลามาถึง

แม่​ได้​ใช้ชีวิตอย่าง​ที่แม่คุ้นเคยอย่างมี​ความสุข แข็งแรง สดชื่น เต็มปรี่​ไปด้วยพละ​กำลัง​
และ​ความหวังเหมือน​ที่เฉลาเคยเห็น

ในวัน​ใช้ชีวิตคู่ของเฉลาแม่บอก​กับเธอว่า​จะอยู่​รอดูหลานคนโต ​
และ​เมื่อ​ได้หลานคนแรก​เป็นผู้ชายแม่ก็ต่ออายุขัยของตัวเองออก​ไปอีกว่า ​
จะมีชีวิตอยู่​ต่อ​ไปจนกว่า​จะ​ได้อุ้มพานแว่นฟ้าใส่ผ้าไตรส่งหลานยายเข้าโบสถ์ในงานบวช



เฉลาทอดสายตามองยายหน้าตึกร้าง​พร้อม​กับภาวนา​เอาใจช่วยทุกวัน

​ที่นี่ไม่ใช่บ้านของยาย ไม่ใช่​ที่ทางสำหรับยายเลย​ใช่ไหมจ๊ะ​

ยายคงคิดถึงเถียงนากลางทุ่งกว้าง​ที่มีลมโชยเฉื่อยฉิว
มีเสียงกบเสียงอึ่งระงมร้อง
ยามค่ำคืน​ที่ฝนพรำ คิดถึงกอไผ่​ที่เสียดส่ายไหวโอนตามแรงลม
คิดถึงหน่ออ่อนของต้นไม้​ที่เสียดแทงขึ้น​มา
จากผืนดินหลังฝนตก คิดถึงรวงข้าวสีทอง​ที่อ่อนค้อมรอเกี่ยว

"ยาย​เป็นแม่ของ​ใครกันนะ...."
"พายายกลับบ้านเถอะ...."




ขอบคุณน้อง"ขม..ค่ะ"
 :13:
 Credit by : http://www.sookjai.com/index.php?topic=3552.0
ขอบพระคุณที่มาทั้งหมดมากมายนะคะ...

แก้วจ๋าหน้าร้อน:
 :13: อนุโมทนาครับพี่แป๋ม ภาพสวยบทความซาบซึ้งครับ

ธรรมรักษ์:
 :11: :11: :11:
ชีวิตนี้ยอมทำทุกอย่าง ให้แม่สบายที่สุด ที่จะทำได้

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version