ผู้เขียน หัวข้อ: การปล่อยสัตว์น้ำด้วยเจตนาอันเป็นกุศล?!?!  (อ่าน 1371 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด

                   

การปล่อยสัตว์น้ำด้วยเจตนาอันเป็นกุศล?!?!
*****************************************
เรื่องนี้หลายๆคนอาจคงยังไม่รู้...เครดิต By F/B คุณ ประดิษฐ์ศักดิ์ บุญสิทธิ์
นำมาฝากค่ะ..
คำถาม คำตอบนี้ น่าสนใจ.. เพื่อนๆลองอ่านดูนะคะ...
*********************************************************************************
ถาม : การที่ใครสักคนหนึ่งไปจับปลามาขังรวมๆ กันไว้ในกะละมังใบใหญ่ แล้วเปิดให้ใครต่อใครมาซื้อไปปล่อยอีกต่อหนึ่ง โดยพยายามประชาสัมพันธ์ว่าการปล่อยปลา เป็นการทำบุญที่มีอานิสงส์มาก ถามว่าการทำบุญด้วยวิธีนี้เป็นบุญที่มีอานิสงส์มาก อย่างคำที่เขาว่าจริงหรือเปล่า ?
รัชดา / กรุงเทพฯ

ตอบ : การปล่อยปลาโดยการไปจับเอาปลามาทำเป็นธุรกิจพุทธพาณิชย์อย่างนั้น มองอย่างไรก็ได้บุญน้อยเหลือเกิน เพราะผู้ประกอบการไม่ได้ทำการนี้ด้วยจิตกุศล แต่ทำเพราะคิดเป็นการพาณิชย์ (=โลภ) เมื่อจิตไม่เป็นกุศลเสียแล้ว บุญจะเกิดได้อย่างไร ถ้าอยากได้บุญ วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ปล่อยให้ปลาอยู่ของมันตามธรรมชาติในแม่น้ำลำคลองนั่นแหละดีที่สุดแล้ว

*************************************
อนึ่ง การปล่อยสัตว์ถ้าจะให้ได้บุญจริงๆ ก็ควรให้เป็นไปตามกลไกธรรมชาติ คือ เกิดจากการที่เรามีจิตเป็นกุศลจริงๆ อยากช่วยเหลือปลาหรือสัตว์ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์จริงๆ เช่น ไปเจอปลาหรือสัตว์น้ำ กำลังจะตายอยู่ในหนองน้ำแห้ง หรือในที่คับขันขาดน้ำ ตรงไหนก็แล้วแต่ (และปลานั้นต้องไม่มีเจ้าของ) จากนั้นจึงนำปลาหรือสัตว์น้ำนั้นๆ ไปปล่อยในที่ๆ มีน้ำด้วยจิตสงสาร หวังจะให้ปลาหรือสัตว์นั้นมีชีวิตรอด ทำอย่างนี้จึงเป็นกุศล และได้บุญมาก
******************************************
ไม่ใช่ปล่อยปลา เพื่อให้ตัวเองพ้นเคราะห์ แต่กลับทำให้ปลาอีกจำนวนมากมีเคราะห์แทนตัวเอง อย่างนี้เป็นการปล่อยโดยคำนึงถึงตัวเองเป็นหลัก เอาปลามาเป็นเงื่อนไขให้ตัวเองรอด แต่กลายเป็นว่า ไปช่วยให้ธุรกิจจับปลามาปล่อย รุ่งเรืองมากขึ้น และคนเหล่านั้นที่มองเห็นทางรุ่งเรืองของธุรกิจด้านนี้ ก็จะพากันไปจับปลามาสืบต่อธุรกิจของตนออกไปอีกเรื่อยๆ ซึ่งก็เท่ากับว่า เราไปสนับสนุนธุรกิจการเบียดเบียนสัตว์เท่านั้นเอง
**********************************************************************

ทีนี้ถ้าตอบตามหลักการของพระพุทธศาสนา การเลี้ยงสัตว์ไว้ปล่อย อย่างนั้นก็ไม่เหมาะสม เพราะมีพุทธพจน์ตรัสว่า การค้าขาย 5 อย่างที่ไม่ควรทำ คือ......
1. ค้าขายอาวุธ (เครื่องมือประทุษร้ายคน / สัตว์ทุกชนิด)
2. ค้าขายมนุษย์ (โดยเฉพาะค้าขายมนุษย์เป็นทาส / เป็นโสเภณี)
3. ค้าขายเนื้อสัตว์ (=เลี้ยงสัตว์ไว้ขาย)
4. ค้าขายของมึนเมา (=สุราและเครื่องดื่มประเภทเดียวกันทั้งหมด)
5. ค้าขายยาพิษ (คนกินก็ตาย สัตว์กินก็ม้วย)

เมื่อปลายปี 2545 ผู้เขียนเคยพานักศึกษาชาวต่างชาติและนักศึกษาไทยกลุ่มหนึ่ง ที่สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับไทยคดีศึกษา ไปตามรอยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆังโฆษิตาราม ฝั่งธนบุรี ขากลับออกมา มีนักศึกษาสามสี่คนซื้อปลาไหล ปลาดุก หอยขม หอยโข่ง มาปล่อยที่ท่าน้ำด้วย เมื่อปล่อยเสร็จแล้ว ก็พาเดินมาขึ้นเรือที่ท่าน้ำ เดินมาได้หน่อยหนึ่งยังไม่ทันถึงท่าเรือ ก็มีบางคนในกลุ่ม เรียกให้ดูเด็กๆ ที่เล่นน้ำอยู่ตรงท่าบริเวณที่ปล่อยปลาลงไปก่อนหน้านี้

ภาพที่เห็นก็คือ เด็ก 5 – 6 คนที่ทำท่วงทีเป็นว่าเล่นน้ำอย่างสนุกสนานเหล่านั้น ต่างพากันดำผุดดำว่าย จับปลาไหลบ้าง (ปลาไหลคงจะล้าเต็มที เพราะถูกมือคนจับวันละไม่รู้กี่ครั้ง ขนาดลงน้ำแล้วยังไหลหนีไม่เป็นเลย) หอยบ้าง ที่กลุ่มนักศึกษาปล่อยไปก่อนหน้านั้นขึ้นมา ใส่ถังเหลืองๆ ได้หลายตัว ส่วนหอยนั้นคงเก็บมาได้เกือบทั้งหมด

เจ้าภาพที่ซื้อสัตว์น้ำเหล่านั้นปล่อย เห็นแล้วทำหน้าพะอืดพะอม ไม่มั่นใจว่าตัวเองได้บุญหรือได้บาป บางคนที่ทนไม่ได้ก็ถึงกับสบถออกมาแรง ๆ ต่อหน้าเพื่อนๆ “มันแหกตากันนี่หว่า”

การจับสัตว์น้ำมาปล่อยด้วยเจตนาอันไม่เป็นกุศลเช่นที่กล่าวมานี้ ไม่ใช่วิธีที่จะทำให้เกิดบุญเกิดกุศลอะไรเลย เลิกได้ก็เลิกเสียเถิด มีวิธีทำบุญอีกมากมายให้เลือกทำ ทำบุญบูชาบาปอย่างนี้ ขอเสียทีได้ไหม .....

-http://www.facebook.com/tiger.ton.9