อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > ท่านพุทธทาสภิกขุ

ปณิธาน ๓ ประการ :พุทธทาสภิกขุ

(1/2) > >>

ฐิตา:




ปณิธาน ๓ ประการ :พุทธทาสภิกขุ
อานิสงส์ของการขอโทษ–อดโทษ
แถลงเรื่องทำบุญล้ออายุ
>> ปณิธานข้อที่ ๑ พยายามเข้าถึงหัวใจศาสนาของตน
ปณิธานข้อที่ ๒ การทำความเข้าใจระหว่างศาสนา
ปณิธานข้อที่ ๓ การนำโลกออกมาเสียจากวัตถุนิยม
ปณิธานข้อหนึ่ง พยายามเข้าถึงหัวใจศาสนาของตน
ธรรมบรรยาย วันล้ออายุ ภาคเช้า ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๒๙

          ปณิธานข้อแรก สรุปความว่า เข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตน ๆ แล้วแต่ว่าจะกำลังถือศาสนาอะไร. คำว่าศาสนาในที่นี้ หมายถึงศาสนาที่ถูกต้อง, ไม่ใช่ศาสนาวัตถุนิยม ไม่ใช่ศาสนาเงิน ไม่ใช่ศาสนากามารมณ์, แต่เป็นศาสนาที่ถูกต้อง ที่มี อยู่สำหรับคุ้มครองโลก แต่ละศาสนาก็มีหัวใจคือความมุ่งหมายส่วนสำคัญ, นี้เรียกว่า จะตรงกันทุกศาสนาก็ได้ คือเพื่อสันติสุขของโลก ด้วยเครื่องมือคือความไม่เห็นแก่ตัว, ทุกศาสนามุ่งหมายจะกำจัดความเห็นแก่ตัว.

ความเห็นแก่ตัวเป็นอันตรายมาก
ความเห็นแก่ตัวนี้เป็นอันตราย เป็นศัตรูร้ายยิ่งกว่าสิ่งใดของมนุษย์; เพราะเห็นแก่ตัวนั่นแหละมันจึงเกิดความโลภ, เมื่อมี อะไรมาทำให้โลภ มันเกิดความโกรธ, เมื่อมีอะไรมาทำให้โกรธ, เกิดความโง่ ในเมื่อมีอะไรมาทำให้โง่. มันเป็นผลแห่งการที่ควบคุมสัญชาตญาณไว้ไม่ได้.

          เรื่องนี้สำคัญมาก ควรจะทราบไว้เป็นหลักเกณฑ์ว่าชีวิตทุกชนิด ชีวิตระดับมนุษย์ ชีวิตระดับสัตว์เดรัจฉาน ชีวิตระดับต้นไม้ต้นไล่, มันมีสัญชาตญาณ คือความรู้สึกเกิดได้เอง โดยไม่ต้องอบรมสั่งสอนอะไร; เช่นความรู้สึกว่ามีตัวตนเป็นตัวตนนี้ก็มี, ไม่มีชีวิตมันก็ไม่รู้จะดำเนินอยู่อย่างไร มันมีสัญชาตญาณว่ามีตัวตน มีตัวฉัน, แล้วมันก็ต้องเกิดสัญชาตญาณที่ จะต้องกินอาหาร จะต้องแสวงหาอาหาร จะต้องต่อสู้เมื่อควรต่อสู้ จะต้องหนีภัยเมื่อควรหนีภัย; นี้มันเป็นได้ในสิ่งที่มี ชีวิต แม้ในระดับต้นไม้.

          อย่าไปพูดเขลา ๆ ตาม ๆ กันว่า ต้นไม้ไม่มีจิต ไม่มีวิญญาณ; มันก็มีความรู้สึกตามระดับอันน้อยอันต่ำของต้นไม้, มันมี ความรู้สึกในความหมายอย่างเดียวกัน คือมันต้องการจะมีอยู่, มันต้องการจะคงชีวิตอยู่ มันจึงมีการสืบพันธุ์มีเจตนาที่จะสืบพันธุ์, แล้วมันก็มีเจตนาที่จะหล่อเลี้ยงชีวิต มันก็จะต่อสู้กับสิ่งทุกสิ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต, แล้วก็จะป้องกันสิ่งที่เป็นอันตรายแก่ชีวิต; อย่างนี้เป็นเสมอกันหมด มันเป็นสัญชาตญาณที่จำเป็นอย่างยิ่ง ถ้ามันขาดเสียแล้วชีวิตมันเป็นไปไม่ได้. นี้เรียกว่าสัญชาตญาณพื้นฐาน, เป็นความรู้ที่ได้เกิดเองตามพื้นฐาน, เป็นพื้นฐานของสิ่งที่เรียกว่าชีวิต ขาดสัญชาตญาณแล้ว ชีวิตมันก็ไม่มีรากฐานอะไร มันก็อยู่ไม่ได้.

          เอ้า ทีนี้สัญชาตญาณนี่แหละ มันมีปัญหาว่าควบคุมไว้ได้หรือไม่? ควบคุมให้ดำเนินไปถูกต้องได้หรือไม่? ถ้าไม่มีการควบคุมที่ถูกต้อง สัญชาตญาณมันก็เปลี่ยนไปเป็นกิเลสคือความเห็นแก่ตนตามธรรมดาที่ถูกที่ควรนั้น มันก็เปลี่ยนไปเป็นเห็นแก่ตน, มันรุนแรงเป็นความเห็นแก่ตน; นี่คือเป็นต้นเหตุแห่งปัญหาทั้งปวง, เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์.

          ตามหลักพุทธศาสนาถือว่า อัตตวาทุปาทาน-เป็นยึดมั่นหมายมั่นว่ามีตัวมีตน มีของกู มีตัวกู เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์. นี้เพราะสัญชาตญาณพื้นฐานกลาง ๆ นั้นควบคุมไว้ไม่ได้ มันจึงตกมาเป็นญาณชนิดที่อันตราย เป็นกิเลส; แต่ถ้าสัญชาตญาณนั้นควบคุมไว้ได้ด้วยระเบียบปฏิบัติที่ถูกต้อง สัญชาตญาณก็เปลี่ยนรูปเปลี่ยนตัวไปเป็นโพธิ, โพธิคือมีความรู้อันถูกต้องในทางที่จะดับทุกข์.

          นี้เราเรียกว่าสัญชาตญาณพื้นฐาน ธรรมดา ๆ นั้น ถ้ามันเปลี่ยนไปในทางต่ำ เป็นธรรมชาติฝ่ายต่ำ มันก็เป็นปัญหา เกิดกิเลสและเกิดทุกข์; ถ้าเป็นไปในทางฝ่ายสูง เป็นธรรมชาติฝ่ายสูงขึ้นมา ก็เป็นโพธิ, มันก็รู้เรื่องที่จะดับทุกข์ ที่จะแก้ ปัญหา. ฉะนั้นเราจะโชคดี โชคร้ายอะไร มันก็อยู่ที่ตรงนี้ ไม่ใช่มีอะไรอื่น ว่าบังคับสัญชาตญาณไว้ในทางที่จะเป็นโพธิ สูงขึ้นไปได้หรือไม่? ถ้าได้มันก็ปลอดภัย, ถ้าไม่ได้มันก็เปลี่ยนมาเป็นสัญชาตญาณที่เป็นกิเลส หรือฝ่ายต่ำ เกิดโลภะ โทสะ โมหะหมด มันก็ต้องทนทุกข์ทรมาน.

          นี่แหละเรียกว่าสัญชาตญาณที่ควบคุมไว้ในระดับที่ถูกต้องไม่ได้นั่นแหละ มันเกิดเป็นตัวตน เป็นของตนขึ้นมา, แล้วมันเห็นแก่ตน เป็นปัญหาแก่คนทุกคน เดือดร้อนลงไปถึงสัตว์และถึงต้นไม้. ความเห็นแก่ตนนี่มันทำความเดือดร้อนแก่คนทุกคน ทุกฝ่าย, และลงไปถึงสัตว์ถึงต้นไม้ พลอยได้รับความเดือดร้อน เพราะความเห็นแก่ตนของคน.

          ผู้มีปัญญาในอดีต ที่ได้ให้กำเนิดแก่ศาสนาทั้งหลายมองเห็นสิ่งนี้ร่วมกัน ว่าความเห็นแก่ตนเป็นต้นเหตุ จะต้องกำจัด จะต้องทำลาย, หรืออย่างน้อยก็ว่าควบคุมตามที่ควรจะควบคุม. ที่จริงสัญชาตญาณนั้น จะทำลายเลิกล้างไปหมดไม่ได้ มันได้แต่ควบคุม, ควบคุม ๆ คือพัฒนาจนกว่าจะถึงที่สุด มันจึงจะสิ้นสุด, มันจะเป็นได้ต่อเมื่อเป็นพระอรหันต์. เมื่อพูดอย่างคนธรรมดาสามัญ เราก็ไม่ต้องพูดถึงว่ากำจัดสัญชาตญาณได้โดยสิ้นเชิง, เราจะพูดแต่เพียงว่าควบคุมสัญชาตญาณไว้ได้เป็นไปในทางแห่งโพธิ. ดังนั้นขอให้พิจารณาดูว่า ศาสนาทุกศาสนามุ่งหมายจะกำจัดความเห็นแก่ตน ไม่ว่าศาสนาไหน ไม่ว่าศาสนาที่จะถูกประณามว่าดุร้าย หรืออะไรก็สุดแท้เถอะ, แต่เจตนาส่วนใหญ่จะกำจัดความเห็นแก่ตนของสังคม. ในบางศาสนา ในบางถิ่น บางกาละ บางเทศะ ต้องใช้อำนาจเด็ดขาด; เพราะฉะนั้นพระศาสดาแห่งศาสนานั้น จึงใช้วิธีการอันเด็ดขาดรุนแรง, แต่พุทธศาสนานี้เป็นไปในทางสงบ คือต้องการสติปัญญา, ไม่ต้องใช้ความรุนแรงก็มีหลักระเบียบวางไว้. แต่ว่าทุกศาสนามุ่งหมายที่จะกำจัดความเห็นแก่ตน. ดังนั้นขอให้แต่ละคน ๆ ไม่ว่าจะถือศาสนาอะไรอยู่ ขอให้มุ่งหมายที่จะกำจัดความเห็นแก่ตน, แล้วมันจะไม่ เกิดโลภะ โทสะ โมหะ ในระดับที่เป็นอันตรายรุนแรงจนกว่ามันจะหมดสิ้นไปนั่นแหละ.

          พวกที่ถือศาสนาเงิน ถือศาสนากามารมณ์ ถือศาสนาอะไรก็ควรจะพิจารณาดู ว่าสิ่งเหล่านี้มีผลอย่างไร, เดือดร้อนอย่างไร, เห็นจริงแล้ว รู้จักแล้ว มันจะได้บรรเทากันเสียบ้าง ก็มาเข้าหลักเดียวกันว่ามนุษย์จะรอดได้ด้วยการทำลายความเห็นแก่ตน. ความเห็นแก่ตนลุกลาม จนอยากจะเป็นเจ้าโลก อยากจะครองโลก, คุมพวกกันบ้าง แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายบ้าง ที่จะครองโลก จึงเกิดปัญหายืดเยื้อคือสงครามอันถาวร. เราไม่มีสันติภาพถาวร แต่เรากลับมีวิกฤตการณ์อันถาวร เพราะเรามี ความเห็นแก่ตน; เมื่อใดทำลายความเห็นแก่ตนเสียได้ เมื่อนั้นก็จะมีสันติภาพเกิดขึ้นในโลก.

          ถ้าทุกคนเข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตนแล้ว ก็ทำลายความเห็นแก่ตนได้, แล้วโลกทั้งโลกมันก็เป็นโลกที่ปราศจากความเห็นแก่ตน, ก็เป็นโลกที่มีสันติภาพอันถาวร. ดังนั้นข้าพเจ้าจึงขวนขวายอย่างยิ่ง ที่จะทำให้ทุกคน เข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตน ๆ ตามวิธีการปฏิบัติแต่ละระดับแต่ละขั้นแต่ละตอน ตามแต่วิธีการจะมีอยู่อย่างไร. ขอแต่ให้กำจัดหรืออย่างน้อยก็บรรเทา ความเห็นแก่ตนเสียให้ได้.


ฐิตา:




พยายามทะลุเปลือกเข้าถึงหัวใจศาสนาให้ได้
เราจะต้องเข้าถึงหัวใจแห่งศาสนา ก็เพราะว่ามันมีเปลือกนอกหุ้มอยู่; กล้าพูดว่าศาสนาทุกศาสนามีเปลือกหรือมีเนื้องอกที่เกิดขึ้นหุ้มห่อศาสนานั้น ๆ, ส่วนที่เป็นหัวใจจึงอยู่เป็นส่วนที่ลึก เข้าใจได้ยาก มันจำเป็นที่จะต้องมีเปลือก. อย่าไปเสียใจเลย เรื่องพิธีรีตอง เรื่องลัทธิประกอบข้างนอก ซึ่งเป็นเปลือกนั้นมันต้องมีศาสนาตั้งอยู่ได้ก็เพราะเปลือก. นี่พูดแล้วคล้าย ๆ กับว่า มันตรงกันข้าม ดูตั้งแต่ว่าผลไม้ ผลไม้ ผลไม้แต่ละชนิดต้องมีเปลือก; ถ้าไม่มีเปลือกมันเป็นผลไม้ไม่ได้, เนื้อในมันก็เสียหายหมดกินไม่ได้. ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า เมื่อต้นไม้มันจะออกผลนี้ มันต้องออกเปลือกก่อนเสมอแหละ, มันตั้งต้นเป็นเปลือกเล็ก ๆ ขึ้นมา แล้วก็ค่อย ๆ เจริญเติบโตขยายใหญ่ แล้วมีเนื้อในเพิ่มขึ้นทีหลัง, นี่มันรู้จักออกเปลือกก่อน เพื่อจะคุ้มครองเนื้อใน, มันต้องมีเปลือกจำเป็นที่จะต้องมีเปลือก, ไม่มีเปลือกมันมีเนื้อในไม่ได้.

          ศาสนาที่อยู่มาได้นี้ ก็เพราะว่ามีเปลือก คือพิธีต่าง ๆ อะไรต่าง ๆ ที่ค่อนข้างดูแล้วมันก็เป็นความงมงาย, หรือเป็นความเชื่ออย่างงมงาย มันก็เป็นเปลือก ที่มันจะห่อหุ้มสติปัญญาอันลึกซึ้งไว้. เราจะต้องค่อย ๆ ทำลายเปลือกเข้าไป ๆ ให้ถึงเนื้อในซึ่งเป็นหัวใจแห่งศาสนาของตน ๆ; ไม่ใช่จะดูหมิ่นสบประมาทอะไร ในการที่จะพูดว่า ทุกศาสนามีเปลือกกำลังมี เปลือกหุ้มห่อ, และถ้าสาวกในชั้นหลังเปลี่ยนแปลงหนักเข้าก็สร้างเปลือกให้ศาสนาตนเองมากเข้า ๆ จนย้อนกลับไปสู่ ระดับไสยศาสตร์, ไสยะ แปลว่า หลับ, ไสยศาสตร์เป็นความรู้ของคนหลับ.

          พุทธศาสตร์ พุทธะ แปลว่า ตื่น พุทธศาสตร์จึงเป็นศาสตร์ของคนตื่น, ไสยศาสตร์เป็นศาสตร์ของคนหลับ; แต่แล้วมันก็ ทิ้งกันไม่ได้ ไสยศาสตร์มันก็เป็นเปลือกคือความเชื่อตามธรรมดาสามัญของคนที่ไม่มีความรู้อะไร, มันก็ต้องมีความเชื่อ มีความอยากจะเอาตัวรอด ก็ต้องยึดถือชั้นเปลือก ๆ ไปก่อน แล้วก็ค่อย ๆ เข้าถึงชั้นใน, ไสยศาสตร์จึงคู่กันมากับพุทธศาสตร์.

          ไม่ว่าในของศาสนาไหน ประชาชนโดยทั่วไปก็ต้องมีลักษณะเป็นคนหลับ ถือไสยศาสตร์, โดยเฉพาะอย่างยิ่งหวังพึ่งปัจจัยภายนอก. ดังนั้นถ้าศาสนาไหนเกิดขึ้นมา สอนให้พึ่งปัจจัยภายนอกก็ได้เปรียบ สอนง่ายเข้าใจกันได้ง่าย รับถือกันได้โดยง่าย; แต่ในที่สุดมันดับทุกข์สิ้นเชิงไม่ได้, มันก็ต้องเลื่อนชั้นเป็นศาสนาตื่นมีสติปัญญาสามารถจะขจัดปัญหาอันละเอียดอันสุขุมของโมหะของอวิชชา.

          เป็นอันว่า เรื่องมีเปลือกนี้จำเป็นที่จะต้องมี เหมือนกับว่าผลไม้ถ้าไม่มีเปลือก เนื้อในมันก็อยู่ไม่ได้; แต่เรากินเปลือกนั้นกินไม่ได้, แล้วมันต้องรู้จักแกะเปลือกออกไป เข้าถึงเนื้อในแห่งผลไม้. พระศาสนานี้ก็เหมือนกัน ควรจะเข้าถึงหัวใจกันให้ได้ ว่าความไม่เห็นแก่ตัว. ความเห็นแก่ตัวนั้นไม่ต้องสอน มันมาจากสัญชาตญาณที่ควบคุมไม่ได้, มันเตลิดเป็นธรรมชาติฝ่ายต่ำ มันก็เห็นแก่ตัว ปัญหามันก็เกิดขึ้น มีความทุกข์ทรมาน. เมื่อเกิดความทุกข์ทรมานก็เท่ากับเป็นการลงโทษ, เมื่อรับโทษหนักเข้า ๆ รับโทษนั่นแหละหนักเข้า ๆ คือมีความทุกข์มากเข้า ๆ มันก็รู้สึกได้เองว่านี่เป็นความทุกข์, มันจึงหันไปหาสภาพที่ตรงกันข้าม คือนึกถึงความดับทุกข์. นี่เรียกว่า มีความทุกข์ถึงที่สุดแล้ว ก็จะเหลียวหาเครื่องดับทุกข์ เป็นที่พึ่งเพื่อดับทุกข์โดยสิ้นเชิง, ศรัทธาเปลี่ยนจากความงมงายนั้นไปหาสิ่งที่จะดับทุกข์ได้จริง.

          ฉะนั้น ตามหลักปฏิจจสมุปบาท สูตรที่สมบูรณ์นั้นกล่าวศรัทธาต่อท้ายจากความทุกข์; ปฏิบัติส่วนสมุทยวารกล่าวถึงความทุกข์เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว ก็กลับขึ้นรอบใหม่, ก็มีศรัทธา คิดจะดับทุกข์ จึงแสวงหา, ไปหาสัตตบุรุษคบสัตตบุรุษ ปฏิบัติตามสัตตบุรุษ, จนกระทั่งรู้จักเรื่องมรรค ผล นิพพาน. ฉะนั้นความทุกข์นั่นเองบีบบังคับคนเรา ให้ทนอยู่ไม่ ได้ต้องเปลี่ยน, ก็เปลี่ยนจากความทุกข์ ก็มามีศรัทธา, แล้วตั้งต้นกันใหม่ในสิ่งที่จะดับทุกข์ได้. ก่อนนี้เป็นศรัทธางมงายของอวิชชา, เดี๋ยวนี้เปลี่ยนมาเป็นศรัทธาของสติปัญญา, มีสติปัญญาแล้ว จึงศรัทธา ก็สามารถที่จะเดินไปในทางที่ถูกต้อง เพื่อจะดับทุกข์ได้.

          นี่ เห็นไหมว่า เราจะต้องเจาะเปลือก, เราจะต้องปอกเปลือก จะต้องเจาะเปลือก เพื่อเข้าถึงเนื้อใน ถึงหัวใจแห่งพระศาสนาที่จะช่วยได้, ก็ให้อภัยกันได้ ที่ว่าศาสนามันต่าง ๆ กัน. จำเป็นที่จะต้องมีศาสนาต่าง ๆ กัน เพราะว่ามนุษย์มันมี หลายชนิดมีหลายชั้น, เรียกว่ามีภูมิหลังต่างกันคือมีวัฒนธรรมเป็นภูมิหลังของชีวิตต่างกัน; ฉะนั้นเขาจะต้องเลือกหาศาสนาที่เหมาะสมกับภูมิหลังแห่งชีวิตของเขา; ดังนั้นจึงมีศาสนาต่าง ๆ ต่าง ๆ เรียกว่ามากพอที่จะให้เลือกครบทุกระดับแห่งมนุษย์ที่มีชีวิต คือมีภูมิหลังต่าง ๆ กัน. นี้เราจึงจำเป็นจะต้องมีศาสนาต่างกัน แต่แล้วเราจะมาทะเลาะวิวาทกันไม่ได้, เราต้องเข้าถึงหัวใจของศาสนาทุกศาสนา ซึ่งจะกำจัดความเห็นแก่ตัว.

          การเรียนของเรา ก็ต้องเรียนให้รู้หัวใจของศาสนา, การรู้ของเราก็ต้องรู้หัวใจของศาสนา, การปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติให้ถึงหัวใจของศาสนา, การได้รับผลของการปฏิบัติก็ต้องเข้าถึงหัวใจ ชั้นที่เป็นผลของการปฏิบัติ. นี่เรียกว่าต้องเข้าถึงหัวใจของศาสนา. ศาสนาอื่นต่างออกไป ก็มีหลักเกณฑ์ที่ต่างออกไป ไปศึกษาได้. ในที่นี้จะบรรยายระบุเฉพาะพุทธศาสนา ให้เข้าถึงหัวใจของศาสนาแต่ละศาสนาแล้วก็จะสำเร็จประโยชน์.

          พระศาสดาเป็นผู้เปิดเผยพระศาสนา, ศาสนาเกิดขึ้นเพราะการเปิดเผยของพระศาสดา. ชนทั้งหลายเป็นศาสนิกคือเป็นผู้ ฟังและปฏิบัติตาม, ศาสนามีความสัมพันธ์กันอย่างยิ่งระหว่างพระศาสดากับศาสนาและศาสนิกแห่งศาสนานั้น ๆ, เป็นหน้าที่ของศาสนิกแห่งศาสนานั้น ๆ จะต้องเข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตน ๆ.


ฐิตา:



หลักการของศาสนามีสองประเภท
ในที่นี้จะขอสรุป เพื่อเป็นการง่ายเข้า ว่าศาสนาทั้งหลายบรรดามีในโลกนี้ เอามารวมกันแล้ว คัดแยกไปตามประเภทที่มี หลักการอย่างไร ก็จะพบได้ว่ามีอยู่ ๒ ศาสนาเท่านั้นแหละ ศาสนาอย่างหนึ่งถือปัจจัยภายนอก ว่ามีพระเจ้าเป็นต้น เป็นผู้ สร้าง, เลยเชื่อว่าโลกนี้สากล โลกนี้มันมีผู้สร้าง. ส่วนศาสนาอีกประเภทหนึ่งนั้นมีการเชื่อว่าไม่มีใครสร้าง, ไม่มีบุคคลใดสร้าง เป็นวิวัฒนาการตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ซึ่งมีกฎเกณฑ์อย่างนั้น โดยเฉพาะถือกฎอิทัปปัจจยตา, จึงแบ่งแยกได้เป็น ๒ ชนิด หรือ ๒ ศาสนา ศาสนาแรกนั้นเป็นพวก creationist, creationist พวกที่ถือว่ามีผู้สร้าง, พวกที่ ๒ เรียกว่า evolutionist คือพวกที่ถือว่าเป็นไปตามวิวัฒนาการ.

          นี่แยกกันอย่างไรในที่สุดก็จะพบได้ว่า มันมีอยู่ ๒ ประเภท เราไม่ดูถูกซึ่งกันและกันดอก เพราะว่ามันเหมาะสมแก่ มนุษย์แห่งถิ่นนั้น ยุคนั้น ในสมัยนั้น ตามภูมิหลังแห่งวัฒนธรรมของตน ใช้ได้ด้วยกัน, ให้เหมาะสมกับความจำเป็นหรือความต้องการของตน, ไม่ต้องดูถูกกันในเรื่องนี้. ยิ่งดูถูกกันเท่าไร ยิ่งทำความผิดมากเท่านั้น ไม่อาจจะเกิดความร่วมมือกันในการสร้างสันติภาพ. ถ้าเชื่อว่ามีพระผู้สร้าง ก็ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์เรื่องมีพระผู้สร้าง; ถ้าไม่มีพระผู้สร้าง มีแต่วิวัฒนาการตามกฎของธรรมชาติ ก็ประพฤติให้ถูกตามกฎของธรรมชาติ.

          ทีนี้ ถ้าจะมาสัมพันธ์กัน มันก็ต้องทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ถ้าคำว่าผู้สร้างนั้น เปลี่ยนความหมายจากภาษาคนมาเป็นภาษาธรรม ก็ได้แก่กฎเกณฑ์ของธรรมชาติอีกนั่นเอง, ซึ่งต่อไปในอนาคตอาจจะเหลือเพียงศาสนาเดียวก็ได้ คือศาสนาที่ ว่ามีผู้สร้างนั้นจะต้องหายไป เพราะการศึกษาของมนุษย์ในยุคต่อไป เจริญโดยหลักของวิทยาศาสตร์ เข้าใจเรื่องวิวัฒนาการได้ง่ายกว่าที่จะไปเข้าใจเรื่องผู้สร้าง. หลักฐานพยานต่าง ๆ มันขัดแย้งกัน ว่าถ้ามีผู้สร้างจริง ผู้สร้างก็ควรจะฉลาด สร้างให้โลกนี้มีแต่สิ่งที่ดีที่งาม; เดี๋ยวนี้มันมีปัญหามากขึ้นทุกที มีปัญหามากขึ้นทุกที; มันกลายเป็นผู้ลงโทษเสียแล้ว. มันกลายเป็นไม่ใช่ผู้สร้าง.

          โลกในอนาคตอาจจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่มนุษย์สมัยนั้นจะยอมรับได้; ถ้ามนุษย์ทุกคนมีภูมิหลังเป็นวิทยาศาสตร์หมดแล้ว ก็จะเหลือแต่ศาสนาเดียว คือศาสนาที่ถือว่าเป็นวิวัฒนาการตามกฎของธรรมชาติ. เดี๋ยวนี้เราก็ยังเป็นอย่างนั้นไม่ได้ เรากำลังถือศาสนาประเภทไหน ก็จงเจาะเข้าไปให้ถึงหัวใจของศาสนาประเภทนั้นด้วยกันทุกฝ่าย.

          แต่ในตอนนี้อยากจะขอบอกกล่าวไว้เป็นพิเศษสักอย่างหนึ่งว่า เขาอาจจะกล่าวไว้อย่างถูกต้องในแบบภาษาธรรมะ, แล้วคนชั้นหลังมาเปลี่ยนคำอธิบายนั้น ๆ มาเป็นภาษาคน. ฉะนั้นในบางคัมภีร์ของศาสนามันจึงมีเรื่องที่ขัดกัน กล่าวไว้ในภาษาคนชนิดที่มันจะเข้ากับสถานการณ์ใด ๆ ไม่ได้ ถ้าเปลี่ยนความหมายแห่งภาษาคนเหล่านั้นเป็นภาษาธรรมแล้ว มันก็จะเหมือนกันหมดแหละ คือเป็นไปตามกฎอันแท้จริงของธรรมชาติ; นั่นแหละคือหัวใจ-หัวใจ, หัวใจของทุกศาสนาที่ จะต้องเข้าให้ถึง; เมื่อเข้าถึงหัวใจอันเดียวกันแล้วปัญหาหมดแน่ ไม่มีการขัดแย้งอะไรกันอีกต่อไป.

          เดี๋ยวนี้ เรายังจำเป็นที่จะต้องมีหลักเกณฑ์อย่างนี้คือแยกเป็น ๒ ประเภท อย่างนี้กันต่อไปอีกนานก็ได้; แต่ก็ควรจะมุ่งหมายให้เข้าถึงหัวใจกันไว้เรื่อยแหละ, มุ่งหมายให้เข้าถึงหัวใจของศาสนากันไว้เรื่อย ๆ มันจะไปถึงจุดหนึ่งที่จะพบกัน เป็นสัจจะของธรรมชาติ, สัจจะเป็นกฎอันหนึ่ง กฎนั้นมีเพียง ๑ เดียว เอก หิ สจจ น ทุติยมตถิ

          ตามหลักพระบาลีว่า กฎหรือสัจจะนั้นมีเพียงอย่างเดียว มี ๒ อย่างไม่ได้; แต่เดี๋ยวนี้คนเขาเอาสัจจะน่ะไปพูดในภาษาคนบ้าง, อีกทางหนึ่งเอาไปพูดในภาษาธรรม, มันเลยเกิดขัดแย้งกันทั้งที่เรียกว่าสัจจะ. แต่ถ้าเข้าถึงหัวใจของสัจจะแล้ว มันจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในโลกวิทยาศาสตร์คงจะแก้ปัญหานี้ได้, การศึกษาวิทยาศาสตร์ จะช่วยให้ศาสนิกของทุกศาสนา เข้าถึงหัวใจของศาสนาของตน ๆ ได้สักวันหนึ่งเป็นแน่นอน.

          เดี๋ยวนี้มันก็จะต้องแยกกันไปก่อน เพราะสถานการณ์มันอยู่ในลักษณะอย่างนี้ มันจะเปลี่ยนเร็วนักไม่ได้; เช่นว่าพวกหนึ่งจะถือว่า ความทุกข์ยากลำบากหรือความดับทุกข์ก็ตามเป็นความประสงค์ของพระเป็นเจ้า นี้ก็ขอให้ทำให้ถูกตามประสงค์ของพระเป็นเจ้าเถิด. อีกพวกหนึ่งถือว่าสุขทุกข์หรือความดับทุกข์นี้ มันเป็นผลของการกระทำผิดหรือกระทำถูกต่อกฎอิทัปปัจจยตา ซึ่งเป็นกฎของธรรมชาติ.

          ถ้าตามหลักพุทธศาสนาก็ต้องถือว่าเป็นไปโดยกฎอิทัปปัจจยตา มีพระบาลีกล่าวไว้ชัดเจน ซึ่งพวกเราก็ไม่ค่อยจะได้ยินได้ฟัง, พระบาลีนั้นตรัสว่า สุขและทุกข์มิใช่เป็นผลของกรรมเก่า; เรามักจะเชื่อว่าเป็นผลของกรรมเก่าแล้วยึดมั่นถือมั่นในหลักเกณฑ์อันนี้กันมากนัก, ถ้ามันเป็นผลของกรรมเก่า เราก็แก้ไขไม่ได้. แต่ทีนี้ สุขทุกข์มันขึ้นอยู่กับการทำผิดหรือทำถูกต่อกฎอิทัปปัจจยตา; แม้ว่ามันจะเป็นผลของกรรมเก่า ถ้าเราเอากฎของอิทัปปัจจยตาเข้ามาถือเป็นหลักต่อสู้ มันก็ตี ผลของกรรมเก่าแตกกระเจิงไป มันก็ไม่มีเหมือนกัน, เดี๋ยวนี้เราอาจมีการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของอิทัปปัจจยตาให้ถูกต้อง แล้วมันก็ไม่ต้องมีความทุกข์.

          แล้วยังมีตรัสว่าสุขและทุกข์นั้นมิใช่เป็นการบันดาลของพระเจ้า; คำว่า พระเจ้าในภาษาบาลีนั้นเรียกว่าอิสระ, ในภาษาสันสกฤตเรียกว่าอีศะวะระ หรือ อีศวร, ในภาษาอื่นก็เรียกว่าพระเจ้า, ไม่ใช่เป็นการบันดาลหรือนิมมานะคือการบันดาลของพระเจ้า แต่ว่ามันเป็นไปตามกฎของอิทัปปัจจยตาที่ปฏิบัติผิด หรือถูกต่อกฎของอิทัปปัจจยตา.

          และอีกอย่างหนึ่งว่า สุขและทุกข์ทั้งหลายนั้น จะว่าไม่มีเหตุปัจจัยนั้นไม่ได้, มันมีเหตุมีปัจจัย. เหตุปัจจัยนั้นก็คือกฎเกณฑ์ของอิทัปปัจจยตา; ปฏิบัติอย่างไรให้เกิดความทุกข์ มันก็เกิดความทุกข์, ปฏิบัติอย่างที่มันดับทุกข์ มันก็ดับความทุกข์.

          ฉะนั้นสรุปความว่าหัวใจของพุทธศาสนา ถือในหลักทฤษฎีชั้นต้นนี้ทั่วไปว่าความสุขและความทุกข์ มาจากการปฏิบัติ ผิดหรือปฏิบัติถูกต่อกฎเกณฑ์ของอิทัปปัจจยตา; ไม่ใช่เพราะกรรมเก่า, ไม่ใช่เพราะการบันดาลของพระเจ้า, และไม่ใช่ เป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุมีปัจจัยอะไรเสียเลย. เราถือหลักนี้แล้วปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์นั้น ๆ ก็จะเข้าถึงหัวใจ, หัวใจของพระพุทธศาสนาว่าจะดับทุกข์กันได้อย่างไร.


 หลักพุทธศาสนาไม่มีตัวตน
ในพุทธศาสนานี้ถือว่า ไม่มีตัวตน ทุกอย่างเป็นธาตุตามธรรมชาติ ธาตุน่ะ ธา-ตุ ไม่ใช่ ทา-สะ, เป็นธาตุตามธรรมชาติ ไม่ มีอะไรที่ควรจะถือได้ว่าเป็นตัวตน มันไม่มีตัวตน แม้ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เวลานี้ ที่นั่งอยู่เดี๋ยวนี้, มันก็ไม่มีตัวตน; จะเป็นขันธ์ ๕ แต่ละขันธ์ ๆ ก็มิใช่ตัวตน เป็นการปรุงแต่งตามกฎของธรรมชาติ. หรือจะลดลงไปถึงธาตุทั้ง ๖ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ มันก็เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติ มิใช่ตัวตน; เมื่อเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีตัวตนและมิใช่ตัวตนแล้ว มันจะเอาตัวตนที่ไหนตาย แล้วมันจะเอาตัวตนที่ไหนไปเกิดใหม่.

          นี่เมื่อกล่าวถึงความจริงโดยปรมัตถ์มันเป็นอย่างนี้, พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้; แล้วก็ตรัสตำหนิ ติเตียน ดุ ภิกษุเกวัฏฏะบุตร ในที่ประชุมสงฆ์ว่า เธอ อย่าพูดอย่างนั้น, ได้ยินว่าเธอพูดว่าวิญญาณนี้แหละไปเกิด วิญญาณนี้แหละไปเกิด เธอพูดอย่างนั้นจริงไหม? ภิกษุนั้นก็รับว่าพูดอย่างนั้นจริง. พระองค์ตรัสว่า โอ, เธออย่าพูดอย่างนี้; ไม่มีวิญญาณนี้ไปเกิด, ไม่มี ตัวตนอะไรไปเกิด, นี้เมื่อท่านกล่าวโดยปรมัตถธรรมเป็นอย่างนี้.

          แต่ถ้าท่านกล่าวตามภาษาคน กับคนที่เชื่อว่ามีตัวตนที่เขาเชื่อว่ามีตัวตน กล่าวไว้ในที่ทั่วไปมากมายเหมือนกันว่าหลังจากตาย เพราะทำลายแห่งกายนี้ เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ได้ก็มี, หลังจากทำลายแห่งร่างกายนี้แล้ว เข้าถึงอบายทุคติ วินิบาตบ้าง อย่างนี้ก็มี. ขอให้รู้ว่านี้เป็นหลักสำหรับกล่าวโดยภาษาคนสอนคนที่ยังมีตัวตน, ไม่อาจจะเข้าใจความไม่มี ตัวตน ก็จะยึดถือตัวตนที่ดี ปฏิบัติในทางดี เป็นสุคติ เป็นสวรรค์มากกว่า, ก็ยอมทิ้งไว้ว่า เขาเชื่อกันมาแต่ก่อนโน้นว่าอะไรไปเกิด เอ้าก็อันนั้นแหละไปเกิด; แต่ขอปฏิบัติอย่างนี้ แล้วก็จะได้ไปเกิดมีความสุข.

          แต่พอถึงคราวพูดจริง พูดเรื่องจริง, พูดความจริงกันแล้วว่าเดี๋ยวนี้ที่อยู่ที่นี่ มันก็มิใช่มีตัวตน มีแต่นามและรูป มาจากธาตุ ตามธรรมชาติ; แม้มิใช่ตัวตนมันก็ทำหน้าที่ของมันได้ ร่างกายมิใช่ตัวตน มันก็ทำหน้าที่ของร่างกายได้ จิตใจมิใช่ตัวตน มันก็ทำหน้าที่ของมันได้. เพราะฉะนั้นมันจึงทำหน้าที่ไปตามความสามารถ; จิตใจคิดนึกได้ คิดนึกอย่างไรก็ทำไปอย่างนั้น : ทำผิดก็มีความทุกข์, มีความทุกข์หลายครั้งเข้ามันก็เข็ดหลาบ, มันก็เหลียวกลับไปทางอื่น มันก็มีความคิดที่ถูกต้อง เดินไปทางที่ตรงกันข้าม คือดับทุกข์.

          ถ้าเข้าใจไปว่า ถ้าไม่มีตัวตน มิใช่ตัวตนแล้ว มันจะรู้จักทำอะไรได้, มันจะไม่รู้จักทำอะไร. มันรู้จักทำอะไรได้ตามคุณสมบัติหรือคุณค่าของธาตุตามธรรมชาตินั้นแหละ; ธาตุดินทำหน้าที่ให้เป็นวัตถุขึ้นมา, ธาตุน้ำ เกาะกุมธาตุทั้งหลายไว้, ธาตุไฟ ก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง, ธาตุลม ก็ทำให้เกิดการเลื่อนลอย ขยายตัว; มันเป็นหน้าที่ของธาตุตามธรรมชาติ รวมกลุ่มกันแล้วก็ปฏิบัติร่วมกัน จนมีชีวิต, แล้วก็มีจิตใจ ก็คิดไปได้ตามธรรมชาติของจิตใจ. ไม่ต้องมีตัวตน, ไม่ต้องมี ตัวตน มันก็ทำของมันอย่างนี้ได้. แล้วทีนี้เมื่อมันเป็นทุกข์ขึ้นมาแล้วมันก็มีความคิดที่จะเดินทางตรงกันข้ามได้. ฉะนั้น จิตใจของเราเกิดมาจากท้องแม่ ไม่มีความรู้ติดมาจากในท้อง ก็มาทำผิด ๆ กันสักพักหนึ่ง, มีความทุกข์มากเข้า นานเข้าก็ เกิดความคิดตรงกันข้ามมาหาความรู้โดยเฉพาะทางหลักธรรมะสูงสุด เพื่อจะดับความทุกข์นั้นเสีย.

          นี่เรียกว่าเกิดมาด้วยความโง่ มันก็ต้องทำผิดแหละ เป็นทุกข์เรื่อย ๆ มา จนกว่าจะเบื่อระอาต่อความทุกข์, แล้วก็เกิดความฉลาด ก็รู้จักวิธีที่จะดำรงชีวิต คือกายและใจ นามและรูปนั้น ไปในทางที่ถูกต้องของนามรูปนั้นเอง; เพราะส่วนที่เป็นนามหรือจิตนั้น มันฉลาดขึ้นทุกที ฉลาดขึ้นทุกที, มันก็รู้มากขึ้นทุกที จนเพียงพอที่จะดับทุกข์ได้. ไม่มีตัวตน อย่างนี้แล้ว มันก็จะอยู่เหนือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย.


-http://www.buddhadasa.org/html/life-work/panithan/panithan3-1.html#top

ฐิตา:



ปฏิบัติถูกต้องตามพระองค์จะพ้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ท่านทั้งหลายมักจะสวดบทพระพุทธภาษิตครึ่งท่อน เพียงครึ่งท่อนที่ว่า "เรามีความเกิดเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเกิดไปได้, เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้, เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้, เรามี ความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้", แล้วก็นั่งร้องไห้โฮ ๆ อยู่อย่างนั้น นั้นสวดครึ่งท่อน. พระพุทธเจ้าได้ ตรัสไว้ว่า ถ้าสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ได้อาศัยตถาคตเป็นกัลยาณมิตรแล้ว สัตว์ที่มีความเกิดเป็นธรรมดา จะพ้นจากความเกิด, สัตว์ที่มีความแก่เป็นธรรมดา จะพ้นจากความแก่, สัตว์ที่มีความตายเป็นธรรมดา จะพ้นจากความเจ็บและความตายเป็นธรรมดา, พ้นหมด ถ้าได้อาศัยพระองค์เป็นกัลยาณมิตร.

          อาศัยพระองค์เป็นกัลยาณมิตรนั้น ต้องหมายความว่าปฏิบัติตามอย่างถูกต้องตามคำสั่งสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคืออริยมรรคมีองค์แปด; แต่ในพระบาลีนั้น ท่านตรัสไว้สมบูรณ์ว่า สัมมัตตะ ๑๐, มีระบบสัมมัตตะ ๑๐ นั่นแหละคือการมี พระองค์เป็นกัลยาณมิตร, ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ในส่วนที่เป็นเหตุเสร็จแล้ว ก็มีผลเกิดขึ้นเป็นสัมมาญาณะและสัมมาวิมุตติ นี้เป็นส่วนผลอีก ๒ องค์ รวมกันทั้ง ๓ องค์เรียกว่าสัมมัตตะ ๑๐, มีระบบสัมมัตตะ ๑๐ เข้ามาแล้ว ก็พ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งหมดทั้งสิ้น.

          ฉะนั้นขอให้ระลึกถึงข้อนี้ว่า เรามีทางที่จะพ้นจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย โดยอาศัยพระพุทธองค์เป็นกัลยาณมิตร; แล้วก็มีการปฏิบัติครบถ้วนตามหลักที่เรียกว่าสัมมัตตะ ๑๐ : มรรคมีองค์ ๘ รู้จักกันดีอยู่แล้ว เป็นความถูกต้องเพียง ๘ ในส่วนปฏิบัติ หรือส่วนที่เป็นเหตุ, ต้องมีส่วนที่เป็นผลอีก ๒ คือ สัมมาญาณะ และ สัมมาวิมุตติ ครบถ้วนทั้ง ๑๐ แล้ว ชื่อว่ามีพระพุทธองค์เป็นกัลยาณมิตรแล้วก็พ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย.

          นี้เป็นหัวใจของพุทธศาสนาโดยตรง โดยเฉพาะและอย่างยิ่ง คือทำให้พ้นจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย, ไม่ มีความยึดถือใด ๆ ในสิ่งใด ๆ ว่าเป็นตัวเป็นตน; ส่วนที่เป็นธาตุแต่ละธาตุ ก็ไม่ใช่ตัวตน, ส่วนที่เป็นอายตนะแต่ละอายตนะ ก็มิใช่ตัวตน. ส่วนที่เป็นขันธ์แต่ละขันธ์ ก็มิใช่ตัวตน. นี่เห็นความไม่มีตัวตน เข้าถึงความไม่มีตัวตน อย่างนี้แล้วก็คือว่าเข้าถึงหัวใจแห่งพระศาสนา; นี่คือหลักทั่วไป เป็นหลักชั้นลึกชั้นหัวใจของพระพุทธศาสนา.

          (การบรรยายนี้มีกำหนดกฎเกณฑ์ไว้ว่า เพียง ๑๐ นาฬิกาแล้ว ก็จะต้องหยุดพักเพื่อประกอบพิธีอย่างหนึ่งก่อน แล้วจึงจะค่อยบรรยายต่อไป ดังนั้นจึงขอหยุดการบรรยายนี้ไว้ชั่วระยะหนึ่ง)

          ต่อไปนี้ก็จะได้บรรยายต่อจากที่ได้กล่าวมาแล้วว่าการเข้าถึงหัวใจของศาสนาของตน ๆ ซึ่งตามหลักพุทธศาสนาก็คือรู้ว่า ไม่มีตัวตน, มันไม่มีสิ่งใดที่ควรจะยึดถือเอาโดยความเป็นตัวตน หรือเป็นของ ๆ ตน เป็นตัวตนของตน; นั่นแหละคือหัวใจของพุทธศาสนา ที่จะกำจัดความเห็นแก่ตนได้สิ้นเชิง, ต่างจากศาสนาอื่นใดทั้งหลาย ที่ว่ามีตัวตน แล้วก็ไปจบลงด้วยความมีตัวตน ไปมีตัวตนอยู่อย่างถาวร. ถ้ามีความรู้สึกอย่างนั้น ก็จะยังมีความรู้สึกซึ่งเป็นเหมือนกับการแบกหรือถือไว้ ซึ่งตัวตน เป็นความหนัก; นั้นมิใช่เป็นที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์, มิใช่ดับทุกข์สิ้นเชิง มิใช่นิพพาน. พุทธศาสนามีหลักจบสิ้นสุดลงด้วยความไม่มีตัวตน, ต่ำลงไปกว่านั้นก็ไปมีตัวตนอยู่ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ซึ่งเป็นการถาวร. ดังนั้น พระพุทธศาสนาจึงมีการจบลงด้วยความว่าง, คือว่างจากตัวตนโดยประการทั้งปวง.



 ความรู้สึกว่ามีตัวตน เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์
ควรจะมองเห็นหัวใจของพระพุทธศาสนาในลักษณะอย่างนี้ แล้วพยายามเข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนานี้กันจงทุกคน; รู้จักสังเกตให้ดี ว่าเมื่อจิตใจเกลี้ยงเกลาไปจากความรู้สึกว่ามีตัวตนนั้น มันไม่หนักอะไร; มันจะหนักอะไรได้ มันจะถืออะไรได้ มันจะไม่เกิดการได้การเสีย การแพ้การชนะ การเอาเปรียบการได้เปรียบ การมีกำไร การขาดทุนใด ๆ เพราะว่ามันไม่มีตัวตน, จนกระทั่งว่ามันไม่มีตัวตนที่จะไปเกิดชาติใหม่ เพราะเดี๋ยวนี้ที่นี่มันก็ไม่มีตัวตนเสียแล้ว.

          แต่ก็มีคำสอนอีกประเภทหนึ่ง ไว้สอนสำหรับผู้ที่ยังมีตัวตน นับตั้งแต่ระดับลูกเด็ก ๆ ขึ้นมา, เขายังต้องมีตัวตน เขาไม่ อาจจะเข้าใจความไม่มีตัวตน ก็ต้องสอนกันไปก่อน เพื่อให้มีตัวตนที่สูงขึ้น ๆ, ให้เกิดความรู้สึกที่เป็นตัวตนตามสัญชาตญาณนั้น เดินไปในทางที่ถูกต้อง คือเป็นโพธิ เป็นตัวตนที่ถูกต้อง, อย่าให้มาเป็นตัวตนของกิเลส ซึ่งจะเป็นมิจฉาทิฏฐิ แล้วจะเพิ่มความทุกข์ให้มากขึ้น,

          รู้จักแยกทางกันที่ตรงนี้ คืออย่าให้สัญชาตญาณตามธรรมชาติพื้นฐานนั้น เจริญรุ่งเรืองเกินขอบเขตจนเป็นกิเลส คือความเห็นแก่ตน; แต่ให้ไปในทางตรงกันข้าม คือเป็นโพธิ, โพธิปัญญา รู้ว่าไม่มีตน มีแต่ธาตุตามธรรมชาติ : จะเรียกว่าอายตนะ จะเรียกว่า ขันธ์ จะเรียกว่า สุข จะเรียกว่า ทุกข์ จะเรียกว่าอะไรก็สุดแท้ ล้วนแต่มิใช่ตัวตน จิตมันก็ว่างจากความรู้สึกว่ามีตัวตน, ชีวิตก็ได้รับผลแห่งความไม่มีตัวตน.

          นี่แหละเป็นเรื่องดับทุกข์ ตามวิถีทางของพระพุทธศาสนา ตัดต้นเหตุแห่งความทุกข์เสีย, ต้นเหตุแห่งความทุกข์ก็คือความรู้สึกว่ามีตัวตน, เกิดความรู้สึกว่ามีตัวตนเมื่อไร ก็จะมีความทุกข์เมื่อนั้น. ขอให้สังเกตดูให้ดี ๆ ให้ละเอียดประณีตที่สุดว่า ในชีวิตของเราแต่ละวัน ๆ : เมื่อไร ความรู้สึกว่าตัวตนมีตัวตนเกิดขึ้นในจิตแล้ว ก็ร้อนด้วยโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง, หรือว่าด้วยความรักบ้าง ความโกรธบ้าง ความเกลียดบ้าง ความกลัวบ้าง ความวิตกกังวลบ้าง ความอาลัยอาวรณ์บ้าง ความอิจฉาริษยาบ้าง ความหวงความหึงบ้าง, มันก็มีเป็นทุกข์เป็นไฟขึ้นมา. แต่แล้วมันก็มีระยะที่มันมิได้เกิด มันมิได้เกิด คือมันมิได้มีการปรุงแต่งเป็นตัวตน ชนิดนี้, ระยะนั้นก็สงบเย็นหรือมันว่าง มันว่างจากตัวตนมีความว่างจากตัวตน ก็มีความหมายเป็นนิพพาน คือเป็นความเย็น.

          ขอให้สังเกตดูให้ดี ๆ ว่าเรามีเวลาที่ว่างจากตัวตน ว่างจากกิเลส มีอยู่ไม่น้อย; ถ้ามันไม่มีเลย ๒๔ ชั่วโมงมีแต่กิเลส หรือตัวตนแล้ว มันก็ตาย; ภายในไม่เท่าไรดอกก็จะเป็นโรคประสาท จะเป็นบ้า แล้วมันก็จะตาย. เดี๋ยวนี้ธรรมชาติได้จัดมาให้ เป็นอย่างดี ว่ามีระยะที่ว่างจากตัวตน เพราะว่ามันหยุดคิดหยุดนึกก็ได้; เช่นหลับไปเสียก็ได้, หรือว่าตื่นอยู่ แต่มีความรู้มี สติปัญญา ควบคุมไม่ให้เกิดความรู้สึกที่เป็นตัวตนก็ได้ หรือว่าตามธรรมชาติธรรมดามันก็ว่างจากตัวตนอยู่แล้ว.


 เวลาที่สบายที่สุด เป็นนิพพาน คือไม่รู้สึกว่ามีตัวตน
ขอให้สังเกตอย่างยิ่งว่า เวลาไหนที่สบายที่สุดสำหรับคนเรา เวลาที่รู้สึกสบายที่สุดสูงสุด ก็คือเวลาที่จิตมันไม่มีความคิดรู้สึกว่าตัวตน ซึ่งมันก็มีอยู่ได้เองตามธรรมชาติ; แต่เรากลับไม่สนใจกลับมองข้ามไป. นี้คือสิ่งที่มีบุญคุณสูงสุดแก่เรา จะเรียกว่าพระนิพพานชั่วคราว, พระนิพพานตัวอย่าง, พระนิพพานน้อย ๆ ชั่วระยะอันสั้น คือระยะที่ว่างจากตัวตนนั่นแหละมันจึงรอดชีวิตอยู่ได้. พูดให้ชัดก็ต้องพูดว่า ชีวิตนี้รอดอยู่ได้เป็นปกตินี้ เพราะมีพระนิพพานน้อย ๆ เข้ามาแทรกเป็นระยะ ๆ อยู่อย่างนี้

          ขอทุกคนอย่าได้มองข้ามไป, จะเป็นการเนรคุณอย่างยิ่งต่อพระนิพพานชนิดนี้ คือความที่ว่างจากตัวตนอยู่ได้เป็นระยะ ๆ; ตามธรรมชาติก็ดี, หรือตามที่เราควบคุมไว้ด้วยสติปัญญา คือการปฏิบัติธรรมะก็ดี, ให้รู้ว่า ชีวิตนี้รอดอยู่ได้นี้ เพราะพระนิพพานชั่วคราวหล่อเลี้ยงเอาไว้ถูกต้องสมบูรณ์ตามระยะตามสมควร เราจึงไม่เป็นบ้าและไม่ตาย; ถ้าขาดอันนี้เสีย ก็มีกิเลสตลอด ๒๔ ชั่วโมง วันเดียวก็ตายหมดแหละ ไม่มีอะไรเหลือ.

          นี้ก็เป็นหัวใจที่จะต้องเข้าถึงจะต้องรู้จัก ว่าเรารอดชีวิตอยู่ได้ โดยเหตุที่มีภาวะปราศจากการปรุงแต่งโดยประการทั้งปวง, แล้วมันว่าง มันจะเป็นเองก็ได้, หรือว่าถ้ามันเหนื่อยขึ้นมา มันก็หยุดปรุงแต่งเองแหละ มันก็ต้องนอนหลับแหละ มันก็ เป็นการนอนพักว่างจากการเผาผลาญของกิเลส. นี่เป็นพระนิพพานน้อย ๆ, พระนิพพานตัวอย่าง, พระนิพพานชั่วขณะ, ซึ่งมีความหมายว่าเย็น - เย็น.

          คำว่าพระนิพพานนั้น เป็นคำชาวบ้าน ที่ถูกทางศาสนายืมไปใช้ เป็นชื่อของความเย็นสูงสุด; ตามธรรมดา พระนิพพานนี้ก็เรียกกันอยู่ในหมู่มนุษย์ คือว่าเย็น - เย็นนี้. เรื่องเหล่านี้ท่านทั้งหลาย ไม่เคยได้ยินได้ฟัง; ขอยืนยันว่ามีในพระบาลีนั้นเองว่า ชาวบ้านทั้งหลาย เขาใช้พูดคำว่านิพพาน นิพพานนี้อยู่เป็นประจำในบ้านในเรือน. เมื่อช่างทองหลอมทองเหลวคว้าง เพื่อจะทำเป็นทองรูปพรรณนั้นก็มีคำกล่าวว่า นิพพาปย; ช่างทองนั้นจะต้องทำให้ทองที่เหลวคว้างนั้นนิพพานเสียก่อน โดยเอาน้ำราดลงไป เป็นนิพพาปย, ทำให้ทองที่เหลวคว้างนั้นให้เย็น แล้วก็มาใช้ทำเป็นรูปพรรณใด ๆ ได้. นี่ภาษาธรรมดาใช้คำว่านิพพานอย่างนี้; แม้ในครัวก็ใช้คำว่านิพพาน ว่าถ้ายังร้อนอยู่รับประทานไม่ได้ ต้องรอให้มันเย็นเสียก่อน, และใช้แม้แก่วัตถุล้วน ๆ เช่น ถ่านไฟแดง ๆ พอมันดำลง ๆ ก็เรียกว่ามันนิพพาน. คำนี้ใช้คำว่านิพพาน ภาษาธรรมดาอย่างนี้; รวมความว่าของร้อนที่เย็นลงนั่นแหละคือนิพพาน นี่ในภาษาคนพูดอยู่ตามธรรมดาอย่างนี้.

          ครั้นถึงภาษาธรรมในทางพระศาสนา ก็เย็นจริง, ตัดต้นเหตุแห่งความร้อนได้จริง คือตัดโลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งเป็นมูลเหตุแห่งความร้อนได้จริง, มันก็เย็นจริงเย็นตลอดกาล. นั่นแหละคำว่านิพพานในความหมายทางภาษาธรรม, เป็นคำบัญญัติทางพระศาสนา. ถ้าเป็นคำธรรมดาของชาวบ้านอะไรเย็นก็ได้; มีคำกล่าวว่า แม้แต่ สัตว์เดรัจฉานนี้ก็นิพพานได้ ถ้ามันหมดพิษหมดพยศ; เช่น ช้าง ม้ามาฝึกจนหมดพยศสนิทเป็นแมวไปแล้ว ก็เรียกว่ามันนิพพานเหมือนกัน, คำนี้มีคำกล่าวไว้ในคัมภีร์บาลี.

          เราจะต้องรู้จักความเย็นชนิดนี้กันให้มากขึ้น, เย็นเพราะหมดต้นเหตุแห่งความร้อน คือ โลภะ โทสะ โมหะ; เมื่อใดโลภะ โทสะ โมหะ ไม่เกิดขึ้น ไม่ปรุงขึ้นมาเป็นความร้อน ก็อยู่ด้วยความเย็น, แม้จะชั่วคราว แม้จะไม่ใช่สมบูรณ์ แม้จะไม่ใช่ แท้จริง แต่ก็มีผลอย่างเดียวกัน. ของชั่วคราวกับของถาวรนั้น มันต้องเป็นเหมือนกัน, เพียงแต่ผิดกันเพียงชั่วคราวหรือถาวร.

          เราจงทำพระนิพพานชั่วคราว ๆ ที่เกิดอยู่ในชีวิตประจำวันนี้ ให้ยาวออกไปให้ยาวออกไป, ให้ระยะที่มันเย็นนี้มากเข้า, ระยะที่มันร้อนมันลดลง หรือให้มันมากขึ้นให้มันสูงขึ้น เพราะตัดต้นเหตุแห่งความร้อนได้มากขึ้น ก็จะมีความเย็น เย็นมากขึ้น เย็นมากขึ้น จนเป็นนิพพานที่สมบูรณ์ ที่ไหนก็ทำได้ ที่บ้านก็ทำได้ เป็นฆราวาสก็ทำได้; หากแต่ว่าฆราวาสไม่ ค่อยสะดวก ถ้าไปบวชเป็นบรรพชิต มันสะดวกเท่านั้นเอง; มันไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากมาย มันจะต้องปฏิบัติอย่างเดียวกัน มีกิเลสอย่างเดียวกัน มีความทุกข์อย่างเดียวกัน ดับทุกข์อย่างเดียวกัน แต่การดับทุกข์ของบรรพชิตนั้นสะดวกเพราะออกไปอยู่ในชีวิตรูปแบบที่สะดวก. ฉะนั้นเราก็จะต้องยอมรับว่า แม้เป็นฆราวาสก็จะต้องรู้เรื่องนี้ จะต้องปฏิบัติ เรื่องนี้ เพื่อทำให้ชีวิตนี้เย็นเป็นนิพพาน. นี้ก็เป็นหัวใจแห่งพระพุทธศาสนา ที่จะต้องเข้าใจไว้.


ฐิตา:


ศึกษาคำ "นิพพาน" ให้เข้าใจ
ทีนี้จะสรุปสั้น ๆ ให้เข้าใจง่ายว่า นิพพาน ๆ ในทุกความหมายเลย ไม่เกี่ยวกับความตาย; เราได้รับการสั่งสอนมาผิด ๆ ว่านิพพานเป็นการตายของพระอรหันต์, มันผิดหลายชั้นนัก มันจะเป็นการหลับตาพูดเสียมากกว่า ว่านิพพานเป็นความตายในความหมายใดความหมายหนึ่ง. พระอรหันต์นั้นตายไม่ได้ โดยเฉพาะพระพุทธเจ้าแล้วก็ยิ่งตายไม่ได้; แต่ว่าสังขารร่างกายกลุ่มที่รองรับจิตใจนี้ มันแตกทำลายได้ ฉะนั้นจะเอาไปเป็นชื่อของการตายของพระอรหันต์ไม่ได้; ส่วนพระอรหันต์ไม่ตาย แต่ว่าร่างกายของพระอรหันต์นั้นแตกทำลายได้ ก็เรียกว่าท่านดับขันธ์ด้วยอนุปาทิเสสนิพพาน, ตามธรรมดาท่านมีนิพพานชั้นสูงสุดอยู่เป็นประจำ แล้วการดับขันธ์ดับร่างกายของท่าน มันดับไปในลักษณะที่มีนิพพานชนิดนี้คงมีอยู่, เพราะฉะนั้นขอให้เข้าใจเสียใหม่ว่าท่านดับขันธ์ด้วยอนุปาทิเสสนิพพาน, ตัวอนุปาทิเสสนิพพานนั้นมิใช่ความตาย ความตายอยู่ที่ขันธ์ทั้งหลาย ของพระอรหันต์ทั้งหลายก็ดี ของพระพุทธเจ้าก็ดี, มันก็เป็นการดับของขันธ์. อย่าไปพูดว่าการดับหรือการนิพพานของพระพุทธเจ้าหรือของพระอรหันต์ เราจะสูญเสียพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ไปหมด ด้วยความโง่ของเราเอง ที่ไปเข้าใจและไปพูดว่า พระพุทธเจ้านิพพานคือตาย, พระอรหันต์นิพพานคือตาย.

          นิพพานไม่ได้เกี่ยวกับความตาย นิพพานชั้นสูงสุดแล้วยิ่งไม่เกี่ยวกับความตาย คืออยู่เหนือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย โดยประการทั้งปวง; แม้แต่นิพพานน้อย ๆ นิพพานชั่วคราว นี้ยิ่งไม่เกี่ยวกับความตาย. ดังนั้นจงรู้จักพระนิพพานที่มีอยู่แล้ว เป็นตัวอย่างเป็นเดิมพัน ว่ามีอยู่กับเราทุกวัน ๆ. อย่าพูดพล่ามพูดฝันเพ้อไปว่า อีกแสนกัปป์แสนชาติกว่าจะนิพพาน, ทำได้แต่ปัจจัยแก่พระนิพพานต่อแสนกัปป์แสนชาติอย่างนี้ไม่ใช่พุทธศาสนา ไม่ใช่พุทธบริษัท.

          คำว่านิพพานไม่เกี่ยวกับความตายโดยประการใด ๆ ไม่ว่านิพพานในระดับไหน นิพพานแท้จริง หรือนิพพานชั่วคราว หรือนิพพานอะไร; เมื่อใดจิตไม่มีการปรุงแต่งเป็นกิเลสและความทุกข์ เมื่อนั้นมีภาวะของนิพพานปรากฏอยู่ในความรู้สึกหรือในจิตนั้น, เดี๋ยวนี้จิตปฏิบัติตนทั้งกายและใจจนอยู่ในสภาพที่จะมีอะไรมาปรุงแต่งไม่ได้ ไม่มีสิ่งแวดล้อมภายนอกใด ๆ มาปรุงแต่งจิตนี้ให้เกิดกิเลสได้ จิตนี้เรียกว่าถึงวิสังขาร. จิตบรรลุถึงวิสังขาร คือสภาพที่อะไร ๆ มาปรุงแต่งจิต ให้เกิดกิเลสไม่ได้ นี้ก็เป็นนิพพานอันถาวร เป็นจุดมุ่งหมายปลายทางของทุกคน; แม้ว่าเดี๋ยวนี้ยังไม่ถึง ก็ต้องมุ่งหมายที่จะถึง ถ้ามิฉะนั้นมิใช่พุทธบริษัท, มิใช่สาวกของพระพุทธเจ้า.

          ถ้าจะทำสมาธิใด ๆ ก็ขอให้มีพระนิพพานเป็นจุดหมาย, เอกัคคตาจิต มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ นั่นแหละคือสมาธิที่ถูกต้องในพระพุทธศาสนา; ถ้าเอกัคคตาจิตมิได้มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ สมาธินั้นมิใช่สมาธิในพระพุทธศาสนา, เป็นสมาธิของเดียรถีย์อื่น หรือว่านอกพุทธศาสนา หรือของคนธรรมดาสามัญ, ยักษ์มารทั่วไปเขาก็มีสมาธิกันได้ สมาธิในพุทธศาสนาต้องมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ของเอกัคคตาจิต.

          นี่เราจงสังเกตดูให้ดี บางทีถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ กำหนดเวลาที่จิตของเราว่างจากตัวตน เยือกเย็นเป็นสุขอย่างยิ่ง เมื่อนั้นเป็นทั้งสมาธิเป็นทั้งวิปัสสนา มีศีลรองรับอยู่ในตัวมันเอง เป็นพระนิพพานที่แท้จริง; รู้จักไว้ให้ดี จะได้ขยายให้มากขึ้น จะได้ขยายให้ยาวออกไป. พระนิพพานอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ อยู่กับคน ๆ นั้น แต่บุคคลนั้นไม่รู้จัก; ถ้าเขาไม่มีนิพพานชนิดนี้หล่อเลี้ยงชีวิตแล้วเขาตายแล้ว ไม่กี่นาทีเขาก็ต้องเป็นบ้า. นี่เรามีชีวิตที่หล่อเลี้ยงอยู่ด้วยพระนิพพานเป็นระยะ ๆ.

          ขอให้เข้าถึงความจริงอันนี้ เป็นจุดลึกซึ้งสุดยอดหรือหัวใจของพระพุทธศาสนา เมื่อใดจิตว่างจากตัวตน พระนิพพานก็มีอยู่ที่จิตนั้นแม้ชั่วคราว; เมื่อใดจิตมีตัวตนเมื่อนั้นก็สูญเสียภาวะพระนิพพาน. จิตเดิมแท้ตามธรรมชาติ ถ้าไม่มีกิเลสเข้ามา ก็มีภาวะเป็นนิพพาน มันเป็นจิตประภัสสร; แต่ความเป็นประภัสสรนั้นมันเปลี่ยนได้ มันมีกิเลสแทรกแซงเข้ามาได้. เราต้องฝึกฝน ปรับปรุง ปฏิบัติอบรมจิตประภัสสรตามธรรมชาติชั่วคราวนั้น ให้เป็นจิตประภัสสรถาวรเด็ดขาดลงไป จิตพระอรหันต์เป็นจิตประภัสสรสูงสุด คือประภัสสรที่กลับเศร้าหมองไม่ได้, จิตปุถุชนเป็นประภัสสร ชั่วเวลาที่กิเลสไม่ได้เกิดขึ้น พอกิเลสเกิดขึ้น ก็สูญเสียความเป็นประภัสสรก็เป็นทุกข์.


 การปฏิบัติธรรมพึงระวัง ขณะผัสสะ ไม่ปรุงไปทางที่เป็นทุกข์
เดี๋ยวนี้เมื่อเรามารู้เรื่องนี้ รู้อย่างนี้ ว่าจิตมันเป็นอย่างนี้ แล้วการปฏิบัติพระพุทธศาสนาก็เป็นไปได้ สำหรับบุคคลนั้น, เขาจะรู้จักความจริงอันนี้ แล้วจะปฏิบัติได้; ถ้าไม่รู้จักอย่างนี้ เขาก็ไม่เคยคิดที่จะปฏิบัติ. แม้เขาอยากจะปฏิบัติ มันก็ปฏิบัติ ไม่ได้ เพราะมันเป็นความทุกข์ที่ถาวรตายตัวเสียแล้ว, เดี๋ยวนี้จิตมันยังอยู่ในสภาพที่อะไร ๆ ปรุงแต่งได้.

          เรามีหน้าที่ระวังการปรุงแต่ง อย่าให้ปรุงแต่งไปในทางฝ่ายที่เป็นทุกข์ คือปฏิจจสมุปบาทฝ่ายที่เป็นทุกข์นั้น อย่าให้มันเกิดขึ้นและดำเนินไปได้, ให้มันอยู่แต่ในฝ่ายปฏิจจสมุปบาทที่ดับทุกข์ พอผัสสะมีแล้ว มีสติปัญญามาทันท่วงที, เอาปัญญามาเผชิญหน้ากับอารมณ์ที่มากระทบ. ปัญญาเปลี่ยนรูปเป็นสัมปชัญญะ เผชิญหน้ากับอารมณ์ที่มากระทบแล้วก็ เพิ่มสมาธิคือกำลังจิตอย่างยิ่งลงไป ๆ ในสัมปชัญญะ, สัมปชัญญะก็สามารถเผชิญกับอารมณ์ ไม่ทำให้เกิดกิเลส ไม่ปรุงเป็นกิเลสใด ๆ ขึ้นมาได้, หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าไม่เกิดตัณหาขึ้นมาได้ มันก็ไม่เกิดอุปาทาน หรือภพ หรือชาติ ในปฏิจจสมุปบาทขึ้นมาได้ เราก็รอดตัว; นี้ก็เป็นหัวใจแห่งพระพุทธศาสนาที่จะต้องเข้าถึง.

          พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่า เราบัญญัติแต่เรื่องความทุกข์กับความดับทุกข์เท่านั้น เรื่องอื่นไม่พูด, ไม่มีคำถามว่าตายแล้วเกิดหรือตายแล้วไม่เกิด, หรือเกิดบ้างหรือไม่เกิดบ้าง อะไรก็ตาม ไม่มี, ไม่มีคำถามว่าตายแล้วอะไรไปเกิด, มันกินเวลามากเกินไป, คนเหล่านั้นไม่อาจจะรู้; พระองค์จึงไม่ยอมตรัส จะยอมตรัสแต่เพียงว่าทุกข์เป็นอย่างไร, เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างไร, แล้วจะดำรงอย่างไรจึงจะไม่เกิดเหตุให้เกิดทุกข์, จะยอมพูดแต่เรื่องนี้. ดังนั้นพระองค์จึงตรัสว่า ปุพเพจาห ภิกขเว เอตรหิ จ ทุกขญเจว ปญญาเปมิ ทุกขสส จ นิโรธ ว่าแต่ก่อนก็ดีเดี๋ยวนี้ก็ดี ฉันพูดแต่เรื่องความทุกข์กับความดับทุกข์เท่านั้น; แต่มาพวกเราสาวกชั้นหลัง มันพูดเรื่องอื่นร้อยเรื่องพันแปด หลายร้อยหลายพันเท่า, แทนที่จะพูดกันเรื่องทุกข์กับดับทุกข์เท่านั้น เพราะว่าจิตมันถูกครอบงำถูกชักจูงไปในเรื่องที่มีความยั่วยวน. โดยเฉพาะโลกสมัยวัตถุนิยมนี้ คนก็พูดก็คิดปรึกษาหารือกันแต่เรื่องความสุข สนุกสนานเอร็ดอร่อยทางวัตถุ จนเป็นทาสทางวัตถุ, ปัญญาที่มาคิดมานึกมาพูดปรึกษาหารือเรื่องความทุกข์ความดับทุกข์ มันก็หมดสิ้นไป. นี่จะเอากันอย่างไรพุทธบริษัททั้งหลาย.

          ขอให้ถือตามพระพุทธเจ้าว่า เรื่องอื่นไม่พูดกันไม่คุยกันไม่สนทนากัน พูดแต่เรื่องทุกข์กับดับทุกข์; ถ้าจะต้องพูดเรื่องอื่นไปนอนเสียดีกว่า, จะไม่ให้ผลร้ายใด ๆ. ถ้าไปพูดกันเรื่องอื่นนอกจากความทุกข์กับความดับทุกข์แล้ว มันก็ชวนให้ยุ่งไปหมด, ทำความเนิ่นช้าแก่ความดับทุกข์ไปหมด จะพูดกันจะปรึกษาหารือกัน ก็พูดกันแต่เรื่องความทุกข์กับความดับทุกข์.

          แล้วที่นี้ก็ตรัสต่อไปว่า เรื่องความทุกข์ก็ดี, เหตุให้เกิดความทุกข์ก็ดี, ความดับแห่งทุกข์ก็ดี, หนทางให้ถึงความดับทุกข์ก็ ดี, ตถาคตบัญญัติไว้ในกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งพร้อมทั้งสัญญาและใจ คำว่า "พร้อมทั้งสัญญาและใจนี้" มีความหมายเพียงว่าเป็น ๆ ไม่ใช่คนตาย, คนที่ยังเป็น ในร่างกายของคนเป็น ๆ ที่ยาวประมาณวาหนึ่งนั้น ไปดูเถิดจะพบ ๔ เรื่องนี้. แต่ในกรณีอย่างนี้พระองค์ตรัสว่า โลกก็ดี เหตุให้เกิดโลกก็ดี, ความดับแห่งโลกก็ดี, ทางให้ถึงความดับแห่งโลกก็ดี, ตถาคตบัญญัติไว้ในกายอันยาวประมาณวาหนึ่งนี้พร้อมทั้งสัญญาและใจ; ก็เรายังเป็น ๆ กันอยู่ทุกคน มีสัญญาและใจ มันก็มีอะไรพร้อมในร่างกายนี้ ที่จะดูให้เห็น ๔ ข้อนี้ : ความทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และหนทางให้ถึงความดับทุกข์.

          นี่แหละก็จะค่อยมีความรู้ความเข้าใจ ว่าความทุกข์เกิดขึ้นมาจากการปรุงแต่งอย่างไร; โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่ออารมณ์ภายนอกเข้ามากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นผัสสะแล้ว ไม่มีสติปัญญาที่จะควบคุมมัน มันก็เป็นทุกข์ ในร่างกายอันยาววาหนึ่งนี้.


 อนุสัยที่สะสมไว้ทำให้เกิดทุกข์ได้
ทีนี้ ถ้าในกรณีที่ไม่มีเหตุปัจจัยภายนอก เราก็มีสิ่งที่เรียกว่าอนุสัย คือความเคยชินแห่งกิเลสที่สะสมไว้ในสันดานเรียกว่าอนุสัย; เมื่อคนมีกิเลส มันก็เกิดกิเลส, พอเกิดกิเลสครั้งหนึ่ง ก็สร้างความเคยชินที่จะเกิดกิเลสชนิดนั้นหน่วยหนึ่งเก็บไว้ ในสันดาน, เราโลภทีหนึ่ง ก็เก็บความเคยชินที่จะโลภไว้หน่วยหนึ่งในสันดาน, โกรธทีหนึ่งก็เก็บความเคยชินที่จะโกรธไว้หน่วยหนึ่ง, ความเคยชินหน่วยหนึ่งไว้ในสันดาน, เราโง่ไปทีหนึ่ง สะเพร่าไปทีหนึ่ง เราก็เก็บความเคยชินที่จะโง่และสะเพร่าหน่วยหนึ่งไว้ในสันดาน, แล้วมันเกิดโลภ เกิดโกรธ เกิดหลงกี่ครั้ง มันก็เก็บไว้เท่านั้นหน่วย ที่เก็บไว้ในสันดาน. อย่างนี้เป็นความเคยชินที่จะเกิดกิเลส, อย่างนี้เรียกว่าอนุสัย มันมีอยู่ด้วยกันทุกคนที่ยังมีชีวิต ตลอดเวลาที่ยังมีกิเลส เกิดกิเลสครั้งหนึ่ง เก็บอนุสัยไว้หน่วยหนึ่งเสมอ.

          แต่ในทางที่ตรงกันข้าม ถ้าว่าเราไม่โลภในเมื่อมีกรณีที่ควรจะโลภ เราบังคับไว้ได้ เราไม่โลภ มันจะลดอนุสัยหน่วยหนึ่งด้วยเหมือนกัน, ลดอนุสัยแห่งความโลภหน่วยหนึ่งด้วยเหมือนกัน. ถ้าว่าเราบังคับไว้ได้ไม่ให้โกรธ มันก็ลดอนุสัยแห่งความโกรธไปหน่วยหนึ่ง, บังคับไว้ได้ไม่ให้โง่ ไม่ให้สะเพร่า มันก็ลดอนุสัยแห่งโมหะลงไปหน่วยหนึ่ง; ถ้าเราบังคับไว้ ได้ทุกทีอย่างนี้อนุสัยมันก็ลด ๆ ลดจนกว่าจะหมด. เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นอย่างนั้น มันมีแต่เพิ่ม ๆ โกรธเพิ่มใหม่ โลภเพิ่มใหม่ หลงเพิ่มใหม่, อนุสัยมันก็หนาขึ้น จนเต็มปรี่ในสันดาน พร้อมที่จะออกมาเป็นอาสวะ.

          อาสวะคือกิเลสที่จะกลับออกมาภายนอก จากอนุสัยที่สะสมไว้ในสันดาน; โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีอะไรมากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือทางใจเอง, อนุสัยกิเลสที่เป็นความเคยชินแห่งกิเลสนั้นจะออกมาก็เป็นกิเลส.

          นี้เราจะต้องรู้จักถ่ายถอนอนุสัย คือว่าบังคับไว้ไม่ให้โลภ โกรธ หลงเพิ่ม แล้วเจริญวิปัสสนา ซึ่งเป็นการทำลายอนุสัยโลภ โกรธ หลงนั้นอยู่เสมอไป, อนุสัยก็จะลด ๆ ลด ๆ; ถ้ามันลดหมด มันก็ไม่มีออกมา, มันก็สิ้นกิเลส, สิ้นอนุสัย สิ้นอาสวะ เป็นพระอรหันต์. เดี๋ยวนี้ยังไม่เป็น ก็ควบคุมไว้ให้ดี ถ้ามันจะโลภ บังคับไว้ไม่ให้โลภ มันก็ลดอนุสัย, มันจะโกรธ บังคับไว้ไม่ให้โกรธ มันก็ลดอนุสัย มันจะโง่มันจะสะเพร่าก็บังคับไว้ ไม่ให้โง่ไม่ให้สะเพร่า มันก็ลดอนุสัย; นี้เป็นวิธีการลดอนุสัย.



 อนุสัยก่อให้เกิดนิวรณ์ได้อีก.
เมื่อไม่มีเหตุปัจจัยภายนอกมารบกวน จนถึงเกิดกิเลสอนุสัยนี้ มันก็ส่งไอควันขึ้นมาเป็นนิวรณ์, นิวรณ์ ๕ นั่นแหละไม่ ต้องมีเหตุปัจจัยภายนอก อนุสัยจะส่งขึ้นมาเป็นความรู้สึกทางกามบ้าง, ทางพยาบาทบ้าง, ทางถีนะมิทธะคือหดหู่ซึมเซาบ้าง, ทางอุทธัจจะกุกกุจจะฟุ้งซ่านบ้าง, ทางวิจิกิจฉาลังเลไปหมดบ้าง, นี่เราไม่สังเกตสิ่งที่มันมีอยู่จริง; ถ้าไม่รู้จักแม้แต่ เพียงอนุสัยแล้ว อย่าหวังเลยที่จะไปรู้จักการตัดต้นเหตุของกิเลสและความทุกข์. เราจะต้องรู้จักสิ่งที่เรียกว่านิวรณ์ที่เกิดประจำวัน จนเกลียดชังอย่างยิ่งที่สุดเสียก่อน จึงจะมีความพร้อมที่จะตัดต้นเหตุ หรือทำลายอนุสัย.

          ขอให้ตั้งต้นศึกษาไปจากนิวรณ์เถิด ว่าเวลาที่เราไม่โปร่งใจ ไม่เย็นใจ ไม่สะดวกสบายใจนั้น เพราะมันมีนิวรณ์อย่างใดอย่างหนึ่งรบกวนอยู่ตามกรณี; บางทีก็เกิดมาเป็นความรู้สึกทางกาม มันก็รบกวนจิตใจ สูญเสียความสงบเย็น, บางทีก็ ออกมาเป็นพยาบาท อึดอัดขัดใจนั่นนี่, บางทีก็ไม่มีเหตุผล มันก็อึดอัดไปตามประสาโง่ ๆ นั้นเอง มันก็สูญเสียความสงบเย็น, บางทีมันก็แฟบ จิตใจมันหดหู่มันท้อถอย มีปัจจัยบางอย่างส่งเสริมเข้าด้วย เช่นว่ารับประทานอิ่มมากเกินไปอะไรอย่างนี้ มันก็เป็นหดหู่อย่างนี้ ส่งเสริมนิวรณ์, บางทีก็ฟุ้งซ่านเลื่อนลอยบังคับไว้ไม่ได้ แต่สิ่งสุดท้ายที่เรียกว่าวิจิกิจฉานั้นสำคัญมาก มีอยู่ตลอดเวลาแล้วก็โดยไม่รู้สึกตัวด้วย.

          นิวรณ์ข้อสุดท้ายคือวิจิกิจฉานี้ ยากที่จะจับตัวมัน; แต่ถ้าเราสังเกตดูให้ดี เราก็อาจจะพบได้โดยไม่ยากนักเพราะว่าเรายังไม่แน่ใจ ไม่มีความแน่ใจในความปลอดภัยก็ดี ของชีวิตร่างกายทรัพย์สมบัติก็ดี, สุขภาพอนามัยก็ดี, ความรู้การศึกษา ปัญหาในครอบครัวในอะไรก็ดี; เรามิได้มีความแน่ใจว่าถูกต้องแล้ว เพียงพอแล้ว ปลอดภัยแล้ว, เราจะมีความรู้สึกว่ายังไม่ปลอดภัยอยู่เสมอ. มันเต็มไปหมดจนเราทำเฉย ๆ ลืม ๆ กันไปเสีย ความจริงความรู้สึกว่ายังไม่ถูกต้อง ยังไม่เพียงพอ ยังไม่ปลอดภัย มันซ่อนอยู่ภายใต้ส่วนลึก, แล้วบางทีมันก็ออกมามากจนเรียกว่า สงสัยลังเลว่าในชีวิตนี้ถูกต้องหรือไม่, หรือว่าความรู้การศึกษาที่เรามีอยู่นี้เพียงพอหรือไม่, แล้วมันก็พาลสงสัยลังเลไปถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าจะเป็นที่พึ่งได้จริงหรือไม่. ขอให้สังเกตดูให้ดี ๆ ว่า ความไม่แน่ใจ ความลังเลชนิดนี้ มันอยู่ในส่วนลึกเป็นควันกรุ่นอยู่ เป็นความลังเล; แต่ถ้าเราบังคับไม่ได้ ก็เดือดร้อนจนนอนไม่หลับ, เดี๋ยวนี้มันก็ทำลืม ๆ กันไปเสียได้.

          แต่สังเกตดูให้ดีเถอะว่า นิวรณ์นั่นแหละ ตัวบทเรียนดีที่สุดสำหรับตั้งต้นการศึกษา ว่ามันเกิดมาจากอนุสัย โดยไม่ต้องอาศัยปัจจัยภายนอก ทางตา หู เป็นต้น, อนุสัยก็ส่งออกมาเป็นนิวรณ์ แล้วน่าเกลียดน่าชังอย่างยิ่ง กีดกันความสงบสุขความสงบเย็นอย่างยิ่ง. เมื่อใดจิตไม่มีนิวรณ์อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วเป็นเวลาที่สบายอย่างยิ่ง; แต่ก็หายากเต็มที กล้าพูดว่าในปุถุชนคนธรรมดาสามัญทั่วไปนั้นหาเวลาที่ว่างจากนิวรณ์ได้ยากเต็มที, อย่างน้อยก็มีความลังเลในชีวิตในทุกสิ่งว่ามันปลอดภัยหรือยัง รู้สึกว่าไม่ปลอดภัยมันก็ทำลืม ๆ เฉย ๆ ไปเสียอย่างนั้น ทนอัดกันอยู่อย่างนั้น.

          นี่ถ้าว่ามีข้อสังเกตดี ๆ รู้จักนิวรณ์เกลียดชังนิวรณ์แล้วนั่นแหละจะอยากดับทุกข์ขึ้นมาทันที; ต้องการความสงบเย็นแห่งชีวิต แล้วจะศึกษาเรื่องการดับทุกข์ดับกิเลสมันก็จะดับได้. นี้ก็เป็นหัวใจในทางสำหรับจะศึกษาให้รู้, เป็นหัวใจของพุทธศาสนา ในส่วนที่จะต้องศึกษาให้รู้ เพื่อจะได้หัวใจในส่วนที่เป็นผลคือ เป็นหลุดรอดวิมุตติหลุดรอด.

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

ตอบ

Go to full version