ชีวิตนี้แสนสั้น เราย่อมไม่อาจที่จะใช้ชีวิตที่มีเวลาอยู่นี้
ไปในการขบคิดใคร่ครวญเรื่องทางอภิปรัชญา
อย่างไม่มีวันสิ้นสุด เพราะอภิปรัชญาไม่อาจนำไปสู่..
.. สัจจะอันยิ่งใหญ่ได้เลย
ชีวิตของเราจะสูญเปล่าไป หากเราหลีกหนี..
.. การใช้ชีวิตตามความจริง
เมื่อไปอยู่ในโลกแห่งความคิดอันล้ำลึกแล้ว
เราก็จะเป็นเพียงวิญญาณพเนจร
หากยังวุ่นวายอยู่ด้วยความคิด
ว่ามีหรือไม่มี ชีวิตก็จะสูญเปล่าไปเสีย
ให้ดูทุกข์ และความไม่มีทุกข์ ที่มีอยู่ในใจ
จึงจะเข้าถึงธรรมที่ปราศจากทุกข์ได้
ปาฏิหาริย์ที่แท้
อยู่ในชีวิตประจำวันธรรมดาๆ นี่เอง
ให้กิจวัตรประจำวัน
ดำเนินไปตามครรลองของมันอย่างเป็นธรรมชาติ
ชีวิตคุณมีอยู่เพียงขณะเดียว
อดีตก็ละไปแล้ว อนาคตก็ยังมาไม่ถึง ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
คนเราสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ก็แต่ในขณะปัจจุบันเท่านั้น
เดี๋ยวนี้ คือสิ่งที่เรา เป็น มันไม่สามารถจะเป็น เป้าหมาย
หรือ ภาวะ ที่เราจะต้อง มุ่ง ไปให้ถึง
เดี๋ยวนี้ คือการกระทำ หรือ ความเคลื่อนไหว
ซึ่งปรากฏอยู่ในขณะนี้ ก่อนที่ ความคิด จะปิดบังมันไว้เสีย
พระเจ้ามีจริงหรือไม่
นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่
บุญกุศลคืออะไร
จงหลีกเลี่ยงเรื่องเหล่านี้ โดยเห็นว่า
เป็นเรื่องไร้สาระ
หากแต่..มุ่งในการทำตัวเอง
ให้แจ่มแจ้งในปัจจุบันขณะนั้นก็พอ
แสวงหาธรรม แล้วมุ่งเข้าหาวัดกลับติดในวัด ติดในพิธีกรรม
ความเชื่อ ความศรัทธา
เข้าหาคัมภีร์ กลับติดในตัวอักษร ถ้อยคำ ความหมาย
ปรุงแต่งไปไม่จบสิ้น
เข้าหาคุรุ กลับติดในคุรุ ยกย่องชื่นชมศรัทธา จนกลายเป็นอัตตางมงาย
ธรรมะแท้จริงอยู่ที่ไหน ? หรือธรรมะมิใช่อยู่ที่เธอ ?
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อม แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ทรงเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
เกิดอุบัติเหตุจากการขับขี่ของชายผู้หนึ่ง
คนเชื่อดวงบอกว่า...เขาดวงไม่ดี
คนเชื่อเรื่องผีเทวดาบอกว่า...เพราะไม่บูชาเทวดาประจำตัว
คนเชื่อกรรมบอกว่า...เป็นเวรกรรมของเขาจากชาติก่อน
แต่หมอ...บอกว่า เมาจึงขับขี่ประมาท
......สรุปแล้วความจริงอยู่ที่ความเชื่อแต่ละบุคคล....
แล้วอะไรคือมาตรฐาน"แห่งความจริง"
“ ถ้า “ นิพพานคือการพ้นกรอบ
ดังนั้น.. เธอกล้าแหกกรอบหรือไม่ ?
มีกฎธรรมชาติสูงสุดว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นต้อง..
..มีเหตุมีปัจจัยมาปรุงแต่งเสมอ
ถ้าอยากศึกษาพุทธศาสนาที่แท้จริง อันดับแรก
วางความเชื่อทั้งหมดลงก่อน ทำใจให้เป็นอิสระ
อันดับต่อมา ทำความเข้าใจขันธ์5 และปฎิจจสมุปบาท
ให้รู้จักต้นกำเนิดของการเกิดความรู้สึกว่าเป็นเรา
อันดับสาม ทดลองปฎิบัติโดย ปล่อยวางความยึดถือว่ามีตัวตน
จนพบความเย็นสงบ
ถ้าดับทุกข์ด้วยตนเองได้แล้ว ก็มีดวงตาเห็นธรรม
ความเชื่อเรื่องกรรมจากชาติก่อนจะหายไป
ไม่มีหรอก ที่ตายแล้ววิญญาณออกจากร่าง ไปเกิดใหม่
เพราะวิญญาณเกิดขึ้น เมื่อมีการกระทบของผัสสะเป็นครั้งคราว
เช่น ตากระทบรูป ก็เกิดจักษุวิญญาณ ปรุงเป็นตัวกูผู้เห็น
แล้วปรุงต่อ ว่าสวย หรือ น่าเกลียด ปรุงต่อไปเป็นตัณหา กูรัก...
..กูอยากได้ หรือ กูเกลียด กูอยากทำลาย
พอสิ้นสายเป็นกรรม คือการกระทำ ก็เกิดวิบากกรรม
คือรับผล จากการกระทำ เป็นอันจบ สังสารวัฎ1สาย
จากนั้น...ก็เกิดการกระทบใหม่ เกิดตัวกูใหม่ ปรุงใหม่
ไม่จบสิ้นตามผัสสะ ที่มากระทบ
หากเข้าใจ ว่ากูก็ไม่ใช่กู จิตก็ไม่ใช่จิต แค่ธาตุต่างๆตามธรรมชาติ
ทำปฎิกิริยาต่อกัน แค่ขณะต่อขณะ
ความยึดมั่นถือมั่น ความเชื่อ ความกลัว ความงมงายจะหายไป
เหตุที่พระอริยเจ้า บอกว่าชาติสิ้นแล้ว ภพสิ้นแล้ว กิจที่ควรทำจบแล้ว
เพราะท่านเข้าใจ ปฎิจจสมุปบาทนี่แหละ.......
ตัวกู.... ไม่มี แล้วอะไรๆที่เกี่ยวเนื่องจากตัวกูจะมีได้อย่างไร
สัมมาทิฐินั้น ทำลายอวิชชา ชาติ ภพ กรรม วิบากกรรม
เจ้ากรรมนายเวร ตัวตน เรา เขา สัตว์ บุคคล หมด.....สาธุ สาธุ
ไม่มีใคร ไม่มีอะไร ขังเธอไว้ได้หรอก
มีแต่เธอขังตัวเธอเองเท่านั้น
ขังไว้ใน ความเชื่อ ความศรัทธา ความงมงาย
ความรู้ทางธรรมอีกมากมาย
ความกลัว ความปรารถนาทั้งหลาย แม้กระทั่ง
ความปรารถนาในนิพพาน
ที่ความรู้สึกนึกคิดของเธอปรุงแต่งขึ้นมาเองทั้งสิ้น
Credit by
>>> F/B สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา >>
Devilgirl Suratthaniนำมาแบ่งปันโดย >>> F/B ธรรมดีที่น่าทำ >>
Isara Tong