คลายวิถีทุกข์ด้วยธรรมะ > ธรรมะเสวนา

มันเป็นเช่นนี้...

<< < (5/6) > >>

ฐิตา:


ไปดูมะพร้าวนาฬิเกร์กลางทะเลขี้ผึ้ง ที่นั่นมันว่างจากบุญและบาป กุศลและอกุศล ซึ่งเป็นทะเลขี้ผึ้ง โผล่ขึ้นพ้นทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกไม่ต้องฟ้าร้องไม่ถึง นี่ก็มีความหมายอย่างเดียวกันแหละ จะเรียกชื่อว่า นิพพานก็ได้ จะเรียกชื่อว่า อสังขตธรรมก็ได้ จะเรียกชื่อว่าอมตธรรม ก็ได้ แล้วแต่เถอะ มันเป็นสิ่งที่อยู่เหนืออำนาจการปรุงแต่งโดยประการทั้งปวง ไม่มีเหตุปัจจัยอะไร อีกต่อไป

เดี๋ยวนี้เราก็ไม่อาศัยเหตุปัจจัยอะไรอีกต่อไป ไม่ยุ่งกับเหตุปัจจัยอะไรต่อไป หย่าขาดจากเหตุปัจจัย ทั้งหลาย ทั้งปวงทั้งสิ้นนี่คือ "อตัมมยตา" ถ้าสงสารผู้พูดว่า เหนื่อยเกือบตายแล้ว ก็ช่วยจำไว้ให้ได้ และก็เอาไปใช้ ให้เป็นประโยชน์ให้ได้ ทีละนิด ทีละนิด ไว้ตวาด ตวาดสิ่งที่จะไปหลงรักมัน ไปหลงยึดมั่นถือมั่นกับมัน จนหัวอกเป็นหนอง

หมายเหตุ "สังขตะ" แปลว่า มีเหตุปัจจัยผสมปรุงแต่งให้มีขึ้น
ที่มา มาฆบูชาเทศนา ปี ๒๕๓๑

ฟังเพลงมะพร้าวนาฬิเกร์ โดย จีวันแบนด์ และเสียงขับร้องแบบพื้นบ้าน
โดยชาวบ้าน จ.สุราษฎร์ธานี (ตอนท้าย)
มะพร้าวนาฬิเกร์



Credit by  “สะพานศิลป์สู่ถิ่นนิพพาน”
นำมาแบ่งปันโดย >>> Isara Tong >> F/B กลุ่ม ธรรมดีที่น่าทำ

ฐิตา:



ทางดีไม่มีคนเดิน

โสณทัณฑะ เป็นชื่อพราหมณ์ท่านหนึ่งซึ่งเย่อหยิ่งทะนงตนในความเป็นพราหมณ์ อีกทั้งยังครองตนอยู่ในลาภยศสรรเสริญที่ได้จากพระราชาและชาวบ้าน ต่อเมื่อพระพุทธองค์กระตุ้นให้พิจารณาด้วยตนเองว่า คุณสมบัติที่แท้ของความเป็นพราหมณ์คืออะไร โดยไล่เรียงไปตามลำดับ แล้วตัดออกไปทีละข้อ ๆ จากชาติกำเนิด การศึกษา รูปงาม จนเหลือแต่ศีลและปัญญา ซึ่งไม่อาจจะตัดข้อหนึ่งข้อใดออกไปได้ เนื่องจากทั้งสองอย่างนี้ต้องอาศัยกันและกันฯ

ต่อเมื่อโสณทัณฑะเห็นชัดว่าอะไรคือแก่นสาร อะไรคือกระพี้ พุทธองค์ก็ชี้ให้เห็นต่อไปอีกว่า ทางที่พระองค์เดินเป็นอย่างไรและนำไปสู่ตรงไหน แต่โสณทัณฑพราหมณ์ แม้จะเห็นดีเห็นงามไปกับพระพุทธองค์ทุกประการ จนไม่มีคำถามและข้อโต้แย้งใดๆ แต่ก็ไม่ประสงค์เดินทางที่พระองค์ทรงชี้ให้ เนื่องจากเห็นว่าลาภยศสรรเสริญสำคัญกว่าสิ่งใด จึงขอเดินตามทางของตนต่อไป มิหนำซ้ำยังกราบทูลให้พระพุทธองค์ทราบอีกว่า ตนจะขอทำความเคารพพระพุทธองค์ในท่ามกลางคนหมู่มากด้วยวิธีการอื่นที่ไม่ใช่การกราบไหว้ เนื่องจากจะทำให้ชาวบ้านเสื่อมศรัทธาตนอีกด้วย

ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นตัวตนของคนจำนวนไม่น้อยในปัจจุบัน ทั้งที่เดินทางและกำลังเดินทางอย่างโสณทัณฑพราหมณ์ โดยเห็นลาภยศสรรเสริญเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดในชีวิต จนลืมคิดไปว่ายังมีความสุขอีกแบบหนึ่งซึ่งไม่ต้องอาศัยอามิส (การบูชาด้วยการแสดงความเคารพนับถือ หรือการนำสิ่งของไปสักการะไปบูชา) หรืออาศัยอามิสแต่น้อย ในการยังชีพแห่งตน

บุคคลที่เลือกเดินทางเช่นนี้ ขณะที่มีชีวิตอยู่ก็จะตะเกียกตะกายหาเงินหาทองให้ได้มากๆ โดยคิดว่าปั้นปลายชีวิตจะได้สุขสบายแต่สุดท้ายก็ไปไม่ถึง ส่วนคนที่ไปถึง ก็รู้สึกว่าชีวิตว่างเปล่าไร้จุดหมาย จนต้องใช้เงินซื้อหาความสุขทางใจในช่วงสุดท้ายแห่งชีวิต ซึ่งก็เดินทางผิดอีกเช่นกัน

ด้วยเหตุดังนั้น ถ้าเราไม่ต้องการเดินทางตามโสณทัณฑพราหมณ์ หรือเดินตามโสณทัณฑพราหมณ์ แต่กอปรไปด้วยสิ่งที่เรียกว่า “ธรรมะ” อยู่เต็มหัวใจคล้ายกับอนาถบิณฑิกเศรษฐี ก็ควรใช้วิถีแห่งปัญญาในการพิจารณาแยกแยะให้ตลอดสาย มีกัลยาณมิตร และมีศรัทธาอย่างยิ่งยวดที่จะค้นหาแก่นและกระพี้ ก็เชื่อแน่ว่าเราจะไม่เดินหลงทางอีกต่อไป ทางดีที่ไม่มีคนเดิน หรือมีคนเดินกันน้อยก็จะค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้นไปเรื่อยๆ

สถาบันอ้อผะหญา
___________________
ที่มา: ทางดีไม่มีคนเดิน
>>> F/B Sathid Tongrak
3 พฤศจิกายน 2013


ฐิตา:


สภาวะจิตเเบบไหนก็ไม่ต้องดิ้นรน
ซ้อนเข้าไป ปล่อยให้มันอิสระธาตุอิสระขันธ์กันเต็มที่ไปเลย
ไม่ต้องคอยผูกคอยเเก้อะไรมันทั้งนั้น ปล่อยให้ทุกสภาวะจิตปรับเปลี่ยนกันเอง
จบกันเองในสภาพของมันเอง
ไม่ต้องหลงมีเราจอมปลอมไปคอยเป็นผู้จัดการ
ไร้เราท่ามกลางไปเลย อิสระจากเราที่ไปคอยเป็นเจ้าข้าวเจ้าของสภาวะจิต..
..
..
จะเอาหลุดจะเอาพ้น
ก็เลยไม่พ้นจากตัวจะเอาซักที..!!!
หลุดพ้นหรือไม่หลุดพ้น ก็ไม่ต้องเลือกเอา
จะเอาหลุดจะเอาพ้นนี่ มันเป็นตัณหาดิ้นรน
ไม่ต้องดิ้น..ยิ่งดิ้นยิ่งติด ยิ่งดิ้นยิ่งอัตตา
30 ธันวาคม 2013
..
..

..
..
มันไม่เกี่ยวกับว่า จิตจะคิดหรือจิตจะไม่คิด
มันไม่ใช่การปฏิเสธความคิดเเล้วเลือกเอาการหยุดคิด
มันเป็นการนอกเหนือจิต ดังนั้นมันก็พ้นจากคิดไม่คิดด้วย
ความคิดจะมีหรือความคิดจะไม่มี ก็ไม่เกี่ยว
ความว่างนี้ มันว่างจากตัณหาคอยเลือก..
มันว่างจากการยอมรับ.เเละว่างจากการปฏิเสธ..
21 ธันวาคม 2013
..
..


ว่างเเบบอรูปพรหมต่างจากว่างของนิพพาน
ก็ตรงที่อรูปพรหมมีตัวเองแช่อยู่ในภาวะว่าง
หรือเรียกว่ามีตัวเองเเช่อยู่ในสภาวะจิต
ส่วนนิพพานไม่เกี่ยวกับจิต เเละไม่เกี่ยวกับตัวเอง
ไม่ใช่รูป ลักษณะ สภาวะ อาการ ไม่จัดว่าเป็นอะไร..
19 ธันวาคม 2013
..
..


สงบจากการเเสวงหา
ไม่ใช่มัวเเต่เเสวงหาความสงบ
การเเสวงหามันไม่พาสงบหรอก
การเเสวงหามันจะพาดิ้นรน
ยิ่งหายิ่งเป็นตัณหา..
15 ธันวาคม 2013
..
..
ความผันผวนเเปรเปลี่ยนนี่เเหละ
มันคือธรรมชาติธรรมดาเเห่งจิต
การเอะอ่ะลังเลวิภาควิจารณ์สภาวะจิตนั่นเเหละ''
มันคือความผิดปรกติจากธรรมชาติธรรมดาซะเอง
มันคือการไม่ยอมจบซะเอง..
จะจิตเเบบไหน ก็ไม่ต้องไปวิจารณ์มัน
จบตัวเองซะเอง...
11 ธันวาคม 2013
..
..
ธรรมชาตินี้เอง ย่อมดับในธรรมชาตินี้เอง
อารมณ์นี้เอง ย่อมดับในอารมณ์นี้เอง
ภาวะมันเอง ย่อมดับในภาวะมันเอง
ตัวมันเอง ย่อมดับในตัวมันเอง
การดับกิเลส ไม่สำเร็จด้วยการดิ้นรนไปดับมัน
เเต่หมายถึง ยุติความหลงตัวเข้าไปดับมัน
นี้เรียกว่า ดับความหลงสำคัญตัว..
..
..
นิพพานนั้นมันไม่ใช่การเอาชนะจิตใจ
เเต่มันคือการนอกเหนือจิตใจ
จะจิตเเบบไหนก็ไม่มีการข้องเกี่ยว..!!!!
10 ธันวาคม 2013
..
..
ความบริสุทธิ์ดั้งเดิมแท้นั้น
มันไม่ใช่ตรงจิตชนิดไหนทั้งนั้น
10 ธันวาคม 2013
..
..


พักการอุปโลกตัวเองบ้าง
ไม่ต้องมัวจริงจังกับอะไร
ไม่ต้องจริงจังในการใช้ธาตุใช้ขันธ์
ไม่ต้องจริงจังในการใช้รู้ใช้เห็น
เรียกว่าเป็นการพักผ่อนทางจิตวิญญาณ
ตื่นอยู่ก็เหมือนนอนหลับ
มันเป็นการพักผ่อนไปในตัว
ธาตุขันธ์ไม่ถูกกดดันจากตัวคอยจริงจัง...
3 ธันวาคม 2013
..
..
นิพพานนั้น จะมามัวใช้การทำเอา
หรือปฏิบัติเอาไม่ได้ ยิ่งทำเอายิ่งห่างไกลนิพพาน
เพราะมันเป็นเรื่องของตัณหาทั้งขบวนการ
จุดอ่อนของผู้บำเพ็ญ ก็ตรงที่ใช้...
ความอยากได้อยากมีอยากเป็นกับนิพพานนี่เเหละ
เลยไม่นิพพานซักที.....!!
ไม่ต้องตั้งเอาอะไร..เเม้แต่นิพพานก็ไม่ต้อง..!!!'
ไม่ตั้งเอานิพพาน.. ก็จะตรงต่อนิพานอยู่เเล้วทันที..
3 ธันวาคม 2013
..
..


สุขก็สุขไม่จริง ทุกข์ก็ทุกข์ไม่จริง
มีเต่อนิจจังนั่นแหละจริง
ให้พร้อมเสมอกับการปรับเปลี่ยน
ไร้เงื่อนไขกับทุกสถานะการณ์
15 พฤศจิกายน 2013
..
..


หลุดพ้นหรือไม่หลุดพ้นก็ไม่ต้องเอา.."
ถ้าเอาก็ไม่หลุด..
14 พฤศจิกายน 2013
..
..
จะเอาหลุดเอาพ้น..มันไม่หลุดไม่พ้นหรอก..''
เพราะความหลุดความพ้น..มันพ้นจากตัวจะเอา.
8 พฤศจิกายน 2013
..
..
ไม่ต้องเอาจิตชนิดไหนมาเป็นเครื่องอยู่
จิตบริสุทธิ์ จิตไม่บริสุทธิ์ก็ไม่ต้องเอา
เพราะตัวจะเอา คือตัวไม่บริสุทธิ์ซะเอง...
7 พฤศจิกายน 2013
..
..


มันไม่ใช่การพัฒนาจิตให้ผ่องใส
เเล้วก็อยู่กับจิตที่ผ่องใสนั้น..
แม้จิตที่ผ่องใสนั้น..ก็ไม่ใช่
สิ่งที่ควรจะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
จิตผ่องใสได้..จิตก็เศร้าหมองได้
สลายการคอยเลือก..คอยเจาะจง"
จะจิตชนิดไหน..ก็ไม่ต้องเอา...!!!
ไม่ต้องคอยอยู่กับจิตชนิดไหนทั้งนั้น..
4 พฤศจิกายน 2013
..
..


มันไม่ใช่การเข้าถึงสัจธรรม
แต่มันคือธรรมโดยธรรมอยู่เองแล้ว..
เพียงยุติอัตตา..ที่พยายามจะเข้าถึงธรรม
มันก็จะตรงต่อว่างอยู่แล้วทันที..ไร้ผู้เข้าถึงธรรม
และไม่มีธรรมที่ถูกเข้าถึง...
4 พฤศจิกายน 2013
..
..


........ไม่ต้องวิตกกังวลกับสภาวะจิตชนิดไหนทั้งนั้น
....ทุกสภาวะจิตอนิจจังเหมือนกันหมด....
............ไม่ต้องคอยปล่อยคอยวางอะไรให้เมื่อย....
......ทุกสภาวะมันปล่อยวางกันเองอยู่แล้วของมันเอง..
2 พฤศจิกายน 2013
..
..


ในเเต่ละวัน..เราใช้กาย..ใช้วาจา..ใช้จิตใจ..
ขับเคลื่อนธาตุขันธุ์ ทำการงาน ก็ย่อมเกิดการ
กระทบกระทั่ง..กับบุคลรอบข้าง.สรรพชีวีตรอบข้าง
น้อมสำนึก และก็ขออโหสิกรรม ในทุกกรณีกรรม
ที่ประมาทพลาดพลั้งไป ทุกสิ่งทุกอย่าง อโหสิ อโหสิ อโหสิ
29 ตุลาคม 2013
..
..


ยืนแล้วๆไป..เดินก็แล้วๆไป นั่งก็แล้วๆไป
นอนก็แล้วๆไป จิตมันคิดมันนึกก็แล้วๆไป
รู้ก็แล้วๆไป..เห็นก็แล้วๆไป...
มันแล้วๆไป..ของมันเองอยู่แล้วทุกเรื่อง
เรียกว่า..มันสักแต่ว่า.,อยู่แล้วทุกเรื่อง
ไม่ต้องหลงมีเรา..ไปคอยสักแต่ว่า..!!!!
29 ตุลาคม 2013
..
..
การเสียสละ..เป็นการทำให้..ไม่ใช่ทำเอา
ถ้าการเสียสละ..เป็นการหวังผลจากการเสียสละ
หรือหวังผลจากบุญ..ทีตนได้ทำจนเกินไป
มันก็ไม่ต่างจาก..แม่ค้าที่คิดว่า
ลงทุนเท่านี้..ต้องได้กำไรเท่านั้น
การเสียสละ..ไม่ใช่การค้า..สละแล้วๆไป..!!
27 ตุลาคม 2013
..
..
บรรลุธรรม ไม่บรรลุธรรม..มันเป็นเพียงทิฏฐิคู่
เป็นเพียงความเห็นคู่..ความหมายคู่
สละเลย..ไม่ใช่ตรงที่บรรลุหรือไม่บรรลุ
หมดห่วงหมดภาระไปเลย....
27 ตุลาคม 2013
..
..


สภาวะอารมณ์ มันเป็นของปรับเปลี่ยน
มันจบตัวมันเองอยู่แล้ว ทุกๆอารมรมณ์
มันผ่านมาเอง แล้วก็ผ่านไปเองอยู่แล้ว
ไม่ต้อง มาคอยคิดหนี คิดสู้อะไรกับมัน
ยอมไร้ตัวเอง ท่ามกลางนั้นแหละ..!
ไม่ต้องคิดผูกคิดแก้อะไร..ให้มันต้องขวางทางอนิจจัง
นี่แหละ..เนื้อหา ไม่ข้อง ไม่คา ไม่ติด ไม่ขัด อยู่แล้ว..!!!!
27 ตุลาคม 2013
..
..
ไม่ใช่ละอวิชชา แล้วมาคว้าเอาวิชชา
ละความหลง แล้วมาเอาความไม่หลง
สละหมดหน้าตักไปเลย..หลงไม่หลงไม่ต้องเอา
มันจะได้ไร้ร่องรอย..ของตัณหาที่คอยยึดคอยเกาะ..!!!!
26 ตุลาคม 2013
โดเงน เซ็นจิ
— กับ สรรพสิ่งล้วนไม่มีตัวตน แล้วจะไปทำลายตัวตนจากไหนเล่า
..
..

ฐิตา:


นิพพานนั้น..เป็นเรื่องของการวางเรา หรือสลายเรา..,
ดังนั้น..จึงไม่มีเราเป็นผู้..เข้าถึงนิพพาน..!!!
25 ตุลาคม 2013
..
..


ความสุขปรากฎขึ้น เพื่อจบลง
ความทุกข์ปรากฎขึ้น เพื่อจบลง
ล้วนแล้วแต่ตกอยู่ภายใต้กฎของ อนิจจังด้วยกันหมด
ลดการคาดหวัง ลดการเอาเป็นเอาตาย
กับความสุขกับความทุกข์ลงบ้าง
ชีวิตก็จะ คล่องตัวขึ้น...
สุขก็ได้ ทุกข์ก็ได้..ไม่ต้องจริงจังอะไร ของชั่วคราว....!!!!
25 ตุลาคม 2013
..
..


การให้การสละนั้น ไม่ต้องมาคอยห่วง....,,
ว่าผู้รับจะมีศิลมากศิลน้อยขนาดไหน....
จะได้อานิสงมากน้อยขนาดไหน..ก็ไม่ต้องห่วง
เพราะการให้ ไม่ใช่การเอา..!!
เมื่อให้ก็จบตรงที่ให้ไปเลย..เป็นทานที่บริสุทธิ์หมดจด....
23 ตุลาคม 2013
..
..


จิตใจจะสงบ..หรือไม่สงบ..ก็ไม่ต้องเอา
นั่นแหละสงบแล้ว..สงบจากตัวจะเอา
ตัวจะเอาความสงบหน่ะ ..
มันคือความไม่สงบซะเอง..
23 กันยายน 2013
..
..
นิพพานไม่ใช่เรื่องของ เรา
เเละไม่ได้เกี่ยวกับ เรา เลยแม้แต่นิดเดียว.!!
เพียงแต่เมื่อ ยุติเรา หรือ วางเรา เมื่อไหร่นั่นแหละนิพพาน
มี เรา ทำอะไรเพื่อนิพพานเมื่อไหร่
กลายเป็นการบดบังนิพพานเมื่อนั้น
เรากับนิพพานเนี่ย มันเป็นของแสลงต่อกันอย่างมาก
เมื่อหมด เรา ที่จะดิ้นรนทำอะไรเพื่อนิพพาน
นั่นแหละจะตรงต่อพระนิพพาน
.......แท้จริงแล้วนิพพานไม่ได้ต้องการ เรา
มีแต่เรานั่นแหละที่ หลง ต้องการนิพพาน.......!!
ดังนั้นยุติเหตุ ก็คือยุติ เรา ที่จะเอานิพพานนั่นเอง..!!
10 กันยายน 2013
..
..


เย็นวันนี้ หลวงพ่อได้พูดถึง เรื่องไม่ต้องพยายามวาง
เเต่ให้วางความพยายาม
เเละให้เลิกหวังที่จะบรรลุธรรมยุติเป้าหมายทั้งหมด
แม้แต่การปล่อยก็ไม่ต้องไปคอยปล่อย
การคอยปล่อยมันยังเป็นเรื่องของตัณหา
5 กันยายน 2013
..
..
การที่เราไม่สามารถ หมดภาระหรือจบกิจได้นั้น
ทั้งๆที่การจบกิจนั้นไม่ต้องทำอะไรเลย แต่เราก็ไม่แจ้งได้
ก็เพราะมันมีการถูกผลักดัน ด้วยเหตุอดีตที่เคยมุ่งหวังตั้งเอา
มาต่อภพต่อชาติต่อกันต่อกัปมา เรียกว่าตัณหาอยากบรรลุธรรม
มาชาตินี้ก็จะเอาอีก มุ่งจะบรรลุให้ได้ ซึ่งเป็นเรื่องผิดธรรม
หลวงพ่อจึงให้ประกาศสละ เพื่อล้างเหตุคือตัวมุ่งหวังตั้งเอา
เมื่อตัวมุ่งลดลงหรือหมดไป ก็ไม่ต้องถามหานิพพาน
นิพพานเอง ซึ่งนิพพานนี้มันนิพานอยู่แล้ว
ที่มันรู้สึกว่าไม่นิพพานซักที ก็เพราะตัวมุ่งมันบัง ตัณหามันบัง
ดังนั้นเราก็ประกาศสละกันเรื่อยๆ ยุติเหตุทั้งอดีตเเละปัจุบันครับ
5 กันยายน 2013
..
..


คนที่1 ติดกรอบ ตอบไม่ถูก
คนที่2 พันผูก ทั้งซ้ายขวา
คนที่3 อยากออก บอกจะลา
คนที่4 ชื่นอุรา พานิพพาน
........คือ.ผู้หลุดพ้น..........
4 กันยายน 2013
..
..
มัวแต่อยากจะรู้แจ้ง ก็เพราะมันยังไม่แจ้งเรื่องความอยากรู้'!
31 สิงหาคม 2013
..
..
ปัญญาวิมุติ ก็คือวิมุติจากปัญญา ไม่ใช่ใช้ปัญญาแสวงหาวิมุติ
ปัญญาเป็นแค่การปรุงแต่งของขันธ์5
วิมุตินอกเหนือการปรุงแต่ง และนอกเหนือขันธ์ทั้ง5
ดังนั้นยิ่งใช้ปัญญาก็ยิ่งมุดยิ่งคุดยิ่งไม่หลุดจากจากตัวเอง

ปัญญาวิมุติก็คือหลุดพ้นจากปัญญา หลุดพ้นจากการปรุงแต่ง
การที่ไม่ต้องใช้สติปัญญาอะไรเลยนั่นแหละวิมุติตลอดกาล
30 สิงหาคม 2013
..
..

..
..
ความหมดจดกับความไม่หมดจด ก็เหมือนกันนั่นแหละ
มาจากตัวหลงมอง ถ้าไม่หลงมอง ไม่มีหรอกหมดจดไม่หมดจด
18 สิงหาคม 2013
..
..


ตราบใดที่เธอยังเปิดโอกาสให้กับคำว่ายังไม่บรรลุธรรม
กับบรรลุธรรมแล้ว มามีอิทธิพลกับเธอ
เธอก็จะถูกจองจำอยู่ในลูกกรง2เส้นอันแสนจะคับแคบและน่าอึดอัด
เธอควรที่จะลืมมันซะ2คำนี้ อย่าให้มันตามหลอกหลอนและรังควานเธอได้
เมื่อนั้นแหละภาระกองโตที่เธอหลงเเบกมาเป็นกัปๆก็จะสิ้นสุดลง THE END
17 สิงหาคม 2013
..
..

ไม่เอาแม้แต่การบรรลุธรรม
ภิกษุฮังฉิเป็นอาจารย์องค์หนึ่ง ในนิกายธยานะ ท่านได้ไปหาท่านสังฆปรินายก และได้ตั้งคำถามขึ้นว่า ผู้ปฏิบัติควรส่งจิตของตนพุ่งไปยังสิ่งใด อันจะทำให้การบรรลุธรรมของเขา เป็นสิ่งที่ไม่สามารถวัดได้ ด้วยเครื่องวัดคุณวิเศษ ตามที่คนทั่วไปเขารู้กัน สังฆปรินายกถามว่า: ก็ท่านกำลังปฏิบัติอยู่อย่างไรเล่า ภิกษุฮังฉิตอบว่า: แม้ธรรมคืออริยสัจ ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงสอนไว้ ข้าพเจ้าก็ไม่มีความจำเป็นอะไร ที่จะต้องเข้าไปแตะต้องด้วย พระสังฆปรินายกถามต่อไปว่า: แล้วเดี๋ยวนี้ท่านอยู่ในคุณวิเศษชั้นไหนเล่า ภิกษุฮังฉิย้อนว่า: จะมีชั้นคุณวิเศษที่ไหนเล่า ในเมื่อข้าพเจ้าปฏิเสธที่จะเข้าเกี่ยวข้องด้วย แม้อริยสัจที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายได้สอนไว้ การตอบได้อย่างทันควันของภิกษุฮังฉิ ทำให้สังฆปรินายกเกิดความนับถือ ถึงกับยกเธอขึ้นเป็นหัวหน้าคณะ ท่านพูดกับภิกษุฮังฉิว่า ท่านควรไปประกาศธรรม ในท้องถิ่นของท่านเอง เพื่อที่คำสอนจะไม่ลับหายสิ้นสุดไป@ มันไม่ใช่การดิ้นรนอะไรอยู่แล้ว ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไปศึกษาแม้อริยะสัจ ก็ตรงต่อวางอยู่แล้ว ไม่เริ่มก็จบอยู่แล้ว เมื่อจับปลาได้แล้ว ลอบก็ไม่จำเป็น
14 สิงหาคม 2013
..
..


มีคำกล่าวว่าพระอรหันต์เป็นผู้มีสติสมบูรณ์ตลอดเวลา
ก็เลยพากันเจริญสติกันใหญ่เลย หลงสร้างภาระขึ้น
จะทำอะไรต้องรู้ตัวตลอดเลย นั่งเฉยๆนอนเฉยๆก็คอยรู้อยู่นั่นดูอยู่นั่น
คุมตัวเองตลอดเลย เพราะตีไม่ถ่อง ถองไม่แตก เคี้ยวไม่แหลก
แล้วรีบแดกรีบกลืน พระอรหันต์มีสติก็ต่อเมื่อใช้ขันธ์ อัตโนมัติในการใช้
แต่ถ้าอยู่เฉยๆท่านก็ปล่อยว่างไป ไม่ใช่ตรงอะไรไป
พระอรหันต์ที่ไหนจะมาคอยคุมตัวเองตลอดเวลา เป็นภาระตายเลย
ถ้าอยากเป็นอย่างท่านก็เลิกซิ เลิกแล้วจบ@
22 มิถุนายน 2013
..
..
คำว่าบรรลุมันเป็นดั่งคำลวง เป็นเหมือนการสับขาหลอกให้เราหลงทาง
เราเลยมุ่งพยามกันทุกวิถีทางเพื่อที่จะบรรลุ
แล้วก็ได้แห้วไปรับประทานกันทุกคน@
แต่แท้จริงแล้ว มันเป็นการสิ้นสุดความปราถนาที่จะบรรลุอะไรต่างหาก. "
21 มิถุนายน 2013
..
..
โลกียะมาจากการสร้างเหตุ แล้วเสวยผล หรือชัดชัด
ทำกรรมแล้วรับผลกรรม สติ สมาธิ ฌาน ญาณ ปัญญา
เป็นเรื่องของโลกียะทั้งหมด เพราะมาจากการกระทำ
@ แต่อริยะมาจากการทิ้งเหตุ แล้วอริยะผล ชัดชัด การที่
ไม่หลงดิ้นรนอะไร
มันก็ทิ้งเหตุเรียบร้อยแล้ว มันไม่หลงเจริญตัณหา ก็จบเหตุ.
21 มิถุนายน 2013
..
..
นิพพานไม่เนื่องด้วยเหตุปัจจัย แล้วจะเอาเหตุปัจจัย
และวิธีการปฏิบัติต่างๆเพื่อเข้าถึงนิพพานได้ไง?
มันเป็นการเปล่าประโยชน์โมฆะสิ้นดี เหนื่อยไป ใครเหนื่อยไปมัน
ผิดหวังไปตามตามกัน ผิดหวังเพราะหวังผิด
นิพพานเป็นเรื่องของการยุติเหตุไม่สร้างเหตุ จบเหตุ
ลองเลิกกันดูบ้างซิ พระอานนท์บรรลุก็เพราะเลิกนา"
21 มิถุนายน 2013
..
..
สติเป็นสิ่งปรุงแต่งขึ้นมาและอนิจจังเปลี่ยนแปลงตลอด
แล้วจะเอาสติมารักษาจิตได้ไง ในเมื่อตัวสติยังรักษาตัวเองไว้ไม่ได้เลย
เดี๋ยวก็มีสติเดี๋ยวก็ขาดสติ จิตก็อนิจจัง สติก็อนิจจัง
กลายเป็นอนิจจังตามรักษาอนิจจัง @ดังนั้นจะจิตแบบไหนก็ช่างไปเลย
15 มิถุนายน 2013
..
..

..
..
เลิกตั้งเอา
กิเลสกับนิพพานคือสิ่งเดียวกัน คือไม่ใช่สิ่งที่เราจะเลือกเอา
มันเป็นการนอกเหนือการยอมรับเเละปฏิเสธ ไร้การเจาะจง พ้นจากเจตนา
ถ้าเธอมุ่งแต่นิพพาน ธาตุขันธ์จะมีแต่ความขัดแย้งในตัวมันเอง
จนกว่าเธอจะเลิกเจาะจง ไม่แบบไหนกับธาตุขันธ์
ว่า.. ต้องอย่างไรถึงใช่ อย่างไรถึงไม่ใช่ ยกเลิกก็จบ

11 มิถุนายน 2013
..
..
ความสงบเเท้จริงนั้น..
มันไร้พันธนาการ ไร้เงื่อนไข
ไร้ขอบเขต ไร้การเฉพาะเจาะจง
เข้าถึงไม่ได้ด้วยการใช้เจตนา
และไม่เกี่ยวกับจิตชนิดหนึ่งชนิดใดเลย..
โดเงน เซ็นจิ
30 เมษายน
..
..
พยายามรักษาจิตเอาไว้ให้ดี
มันก็จะอยู่เเค่จิตผ่องใสเเละเศร้าหมอง
เดี๋ยวก็ผ่องใสเดี๋ยวก็เศร้าหมอง
เพราะจิตอนิจจังมันไม่อยู่ให้เรารักษาหรอก
จนกว่าจะปล่อย..
มันก็จะเลิกผ่องใสเลิกเศร้าหมองไปเอง
ยิ่งกว่าจิตยิ่งกว่าอารมณ์ไปเอง..!



โดเงน เซ็นจิ
12 พฤษภาคม
— กับ สรรพสิ่งล้วนไม่มีตัวตน แล้วจะไปทำลายตัวตนจากไหนเล่า
https://www.facebook.com/supattro?hc_location=timeline

ฐิตา:


มันไม่ใช่ตรงที่จิตนิ่งหรือตรงจิตเคลื่อนไหว
จิตนิ่งก็ปล่อยของมันเอง จิตไม่นิ่งก็ปล่อยของมันเอง
ปล่อยให้ทุกสภาวะมันปรับเปลี่ยนกันเอง
ไม่ต้องหลงมีเราไปคอยเป็นผู้จัดการซ้อนธาตุขันธุ์
ก็จะตรงต่อธาตุที่ของมันอยู่เองเเล้ว หมดภาระอยู่เเล้ว..
..
..


มันไม่ใช่การตั้งเอากับสภาวะจิต
หรือจะมาคอยเห็นว่า......
จิตชนิดนี้จึงจะok จิตชนิดนั้นไม่ok
เเต่มันคือการนอกเหนือสภาวะจิตทุกชนิด
เเละปราศจากการเฉพาะเจาะจงตรงภาวะหนึ่งภาวะใด
3 มกราคม 2557
..
..


พยามทำจิตให้มันนิ่งให้มันสงบ........
มันก็จะมีเเต่ความขัดเเย้ง ขัดเเย้ง...และขัดเเย้ง.!!!
1 มีนาคม 2014
..
..


จิตดีก็ปล่อย..จิตไม่ดีก็ปล่อย
จิตสงบก็ปล่อย..จิตไม่สงบก็ปล่อย
จิตปรุงเเต่งก็ปล่อย..จิตไม่ปรุงเเต่งก็ปล่อย
จิตว่างก็ปล่อย..จิตไม่ว่างก็ปล่อย
ที่ว่าปล่อย..ก็คือปล่อยให้เป็นเรื่องของมันเอง..
จะจิตชนิดไหนก็ไม่ต้องให้ความสำคัญกับมัน..
มันก็จะนอกเหนือจิตทุกชนิดไปเอง
18 เมษายน 2014
..
..


จิตคิดจิตนึกมันคือความธรรมดาของจิต
การพยายามจะห้ามไม่ให้จิตคิด..
มันคือความผิดปกติของเธอ
จิตจะคิดหรือจิตจะไม่คิดก็ช่าง
ปล่อยให้มันผ่านมาเองเเละผ่านไปเอง
และมันก็ผ่านมาเองเเละผ่านไปเองอยู่เเล้ว
ไม่ต้องไปคอยแทรกแซงอะไรมัน
จบซะเองเลย วางซะเองเลย
ยุตติตัวจุ้นซะเองเลย...
..
..


ความอยากจะให้จิตสงบนี่เเหละ..
มันคือตัวไม่สงบซะเอง..
จิตสงบหรือจิตไม่สงบก็ช่างมันประไร.!!
ไม่ต้องหลงซ้อนอยากเข้าไปอีก
ไม่ต้องยอมรับหรือปฏิเสธจิตชนิดไหนทั้งนั้น
จะจิตสงบหรือจิตวุ่นวายก็อนิจจังเหมือนกันหมด...
19 เมษายน 2014
..
..


ชีวิตที่ผ่อนคลาย ไม่มากไปด้วยความจริงจัง
มันจะเป็นชีวิตที่ทุกข์น้อย ความคับเเค้นน้อย
ที่มันทุกข์น้อยลง ก็เพราะไม่หลงสร้างเหตุไปซะเอง
ดังนั้นความทุกข์ มันจะมากหรือจะน้อย..
มันจะขึ้นอยู่กับระดับความจริงจังของเรานั้นเอง
เกี่ยวข้องกับสิ่งใด ก็ไม่ต้องจริงจังอะไรจนเกินไป
เพราะความจิงจังเเท้จริงแล้ว มันก็คือสมุทัยนั่นเอง..
(สมุทัยก็คือ สาเหตุเเห่งความทุกข์)
24 เมษายน 2014
..
..


มัวเเต่ตระหนักถึงความว่าง...
ก็เลยไม่ว่างกันซักที...
25 เมษายน 2014
..
..


เมื่อไม่เอาจิตชนิดไหนเป็นประมาณ
ความขัดแย้งทั้งหลายที่เคยมีมา...
...มันก็สิ้นสุดลง..
26 เมษายน 2014
..
..


มีเเม่ชีเข้าไปหาหลวงพ่อเเล้วพูดว่า..
แม่ชี : หลวงพ่อคะ หนูเป็นคนที่หวั่นไหวกับคำพูดของคนอื่นมากเลยคะ..
หลวงพ่อ : ไม่ใช่มีเเต่ลูกหรอก"ที่หวั่นไหวกับคำพูดของคนอื่น
ใครๆเค้าก็หวั่นไหว กับคำพูดของคนอื่นกันทั้งนั้นเเหละ..
หลวงพ่อ ; แล้วลูกอยากรู้มั๊ยว่าทำไม ลูกต้องได้ยินเรื่องที่
มันทำให้ลูกต้องหวั่นไหวอยู่เรื่อย ๆๆ
แม่ชี : อยากรู้คะ..
หลวงพ่อ : มันเกิดจากกรรม ที่ลูกชอบพูดให้คนอื่นเค้าหวั่นไหวนั่นแหละ....
26 เมษายน 2014
..
..

โดเงน เซ็นจิ
supattro?hc_location=timeline

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version