ริมระเบียงรับลมโชย > ล้างรูป

รวมแหล่งหารูปสวยๆ ที่เที่ยวดีๆ

(1/6) > >>

sithiphong:
ในกระทู้นี้ ผมขอรวบรวมการหาแหล่งรูปสวยๆ  ที่เที่ยวดีๆ  มาฝากทุกๆท่าน

 :13:  :19:


.

sithiphong:
วันเดียวเที่ยวได้กับ 8 จังหวัด ใกล้กรุง
-http://travel.kapook.com/view65178.html-
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก หนังสือคู่มือวันเดียวเที่ยวได้ อสท. เล่มเล็ก ปีที่ 53 ฉบับที่ 10 พฤษภาคม 2556

.







คู่มือวันเดียวเที่ยวได้ (อ.ส.ท.)

          ในยุคน้ำมันแพงแบบนี้ การเดินทางไปไหนมาไหนต้องมีการวางแผนเสียก่อน ไม่เว้นแม้กระทั่งการไปเที่ยว เพราะในการท่องเที่ยวแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่าย ทั้งค่าน้ำมัน ค่าอาหาร ค่าทางด่วน หากว่าต้องไปในแหล่งท่องเที่ยวที่มีระยะทางไกลมาก ไม่สามารถไป-กลับภายในวันเดียวได้ ก็มีค่าที่พักเพิ่มเข้ามาด้วย อนุสาร อ.ส.ท. จึงได้จัดทำคู่มือ “วันเดียวเที่ยวได้” เพื่อส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวหันมาขับรถเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์ เน้นเส้นทางระยะสั้น การเดินทางไป-กลับภายใน 1 วัน สถานที่ท่องเที่ยวนั้นต้องอยู่ใกล้กรุงเทพฯ การเดินทางสะดวก เที่ยวแบบสบาย ๆ ไม่เหนื่อย

          โดยจะขอแนะนำแหล่งท่องเที่ยว 8 จังหวัด ใกล้กรุง ขับรถไม่เกิน 2 ชั่วโมง ตามเส้นทางหลัก ได้แก่ นนทบุรี, พระนครศรีอยุธยา, ชลบุรี, นครปฐม, ฉะเชิงเทรา, นครนายก, สมุทรปราการ และสุพรรณบุรี มาเป็นตัวอย่าง นอกจากนั้นยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ได้กล่าวถึงอีกหลายที่ ซึ่งอนุสาร อ.ส.ท. พร้อมจะนำเสนอในโอกาสต่อไป

8 เส้นทางวันเดียวเที่ยวได้



sithiphong:
วันเดียวเที่ยวได้กับ 8 จังหวัด ใกล้กรุง
-http://travel.kapook.com/view65178.html-
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก หนังสือคู่มือวันเดียวเที่ยวได้ อสท. เล่มเล็ก ปีที่ 53 ฉบับที่ 10 พฤษภาคม 2556


สัมผัสวิถีคนมอญที่เกาะเกร็ด

          เกาะใหญ่กลางลำน้ำเจ้าพระยามีพื้นที่มากกว่า 2,498 ไร่ เป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดนนทบุรี ตัวเกาะเกิดจากการขูดคลองลัดแม่น้ำเจ้าพระยาในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระแห่งกรุงศรีอยุธยา เพื่อย่นระยะทางการเดินเรือสินค้าจากอ่าวไทยไปยังอยุธยาการ ได้มาเยือนเกาะเกร็ดนอกจากเรื่องท่องเที่ยวแล้ว ยังได้เรียนรู้วิถีชีวิตชาวมอญที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา เลือกชมเลือกซื้อเครื่องปั้นดินเผาที่เป็นอกลักษณ์ของเกาะเกร็ด ชิมอาหารและขนมไทยสูตรโบราณอร่อย ๆ เช่น ทอดมันหน่อกะลา ดอกไม้ทอด ข้าวแช่ ทองหยิบ ทองหยอด ฯลฯ นอกจากเรื่องของอาหารการกินแล้ว การไหว้พระขอพรก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน




          วัดปรมัยยิกาวาส เป็นสัญลักษณะของเกาะเกร็ดไปแล้ว เมื่อเรานั่งเรือข้ามฟากจะเห็นเจดีย์เอียง คือ เจดีย์ทรงรามัญที่จำลองแบบมาจากพระธาตุเจดีย์มุเตา เมืองหงสาวดี ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เนื่องจากเจดีย์อยู่ติดแม่น้ำจึงทำให้กระแสน้ำกัดเซาะฐานรากเอียง ภายในวัดมีพิพิธภัณฑ์วัดปรมัยยิกาวาสและหอไทยนิทัศน์เครื่องปั้นดินผา จัดแสดงโบราณวัตถุและศิลปวัตถุต่าง ๆ เช่น พระพิมพ์ เครื่องแก้ว เครื่องถ้วยชาม

          วัดเสาธงทอง หรือวัดสวนหมาก มีเจดีย์ศิลปะอยุธยาที่มีความสูงที่สุดในอำเภอปากเกร็ดประดิษฐานอยู่ ภายในโบสถ์มีลายเพดานสวยงาม พระประธานเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยขนาดใหญ่ คนมอญเรียกวัดนี้ว่า “เพียะอาล้าต”

          วัดไผ่ล้อม สร้างสมัยอยุธยาตอนปลาย มีพระอุโบสถที่สวยงาม ลายหน้าบันจำหลักไม้เป็นลายดอกไม้ มีคันทวยและบัวหัวเสาที่งดงาม


วันเดียวเที่ยวได้กับ 8 จังหวัด ใกล้กรุง

          กวานอาม่าน หรือพิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินผา เป็นศูนย์วัฒนธรรมพื้นบ้านชาวมอญ จัดแสดงเครื่องปั้นดินเผาลายโบราณ เปิดให้เข้าชมทุกวัน

          คลองขนมหวาน และคลองอื่น ๆ ในเกาะเกร็ด ชาวบ้านจะทำขนมหวาน เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง และขนมหวานอื่น ๆ อีกมากมาย พร้อมสาธิตวิธีการทำให้นักท่องเที่ยวได้ชม พร้อมซื้อกลับไปเป็นของฝากได้อีกด้วย



การเดินทาง

          จากห้าแยกปากเกร็ด ขับตรงไปทางท่าน้ำปากเกร็ดประมาณ 1 กิโลเมตร จะเห็นป้ายบอกทางเข้าวัดสนามเหนือ ให้เลี้ยวเข้าไปจอดแล้วลงเรือข้ามฟากที่ท่าเรือของวัดไปยังเกาะเกร็ด ค่าเรือคนละ 2 บาท ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานกรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ 0 2250 5500 ต่อ 2991-5

 
ไหว้พระ ชมวังที่บางปะอิน-พระนครศรีอยุธยา

          เป็นเส้นทางใกล้กรุงอีกเส้นที่น่าสนใจ ขับรถสบาย ๆ ใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น ไม่ต้องเข้าไปถึงใจกลางเมืองพระนครศรีอยุธยาก็ได้ แค่รอบนอกของตัวเมืองยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกไม่น้อย กรุงเก่าที่ใคร ๆ เรียกขาน วันวานนั้นอาจจะขมขื่นกับเรื่องราวในอดีตครั้งเสียกรุงให้แก่พม่า ซึ่งเหลือไว้แค่ซากปรักหักพัง ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ แต่แหล่งท่องเที่ยวของพระนครศรีอยุธยาไม่ใช่จะมีแต่โบราณสถานเพียงอย่างเดียว ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทรงคุณค่าอื่น ๆ ให้ไปเยือนอีกมากมาย เช่นที่อำเภอบางปะอิน เป็นต้น



          พระราชวังบางปะอิน เป็นพระราชวังโบราณตั้งแต่สมัยอยุธยา สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งเป็นที่ประสูติของพระองค์ ใช้เป็นสถานที่ประทับแรมของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา หลังจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 พระราชวังบางปะอินถูกปล่อยให้รกร้างมาระยะหนึ่ง จนถึงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้เริ่มการบูรณะพระราชวังขึ้นมาอีกครั้ง และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้บูรณะครั้งใหญ่ โดยสร้างพระที่นั่ง พระตำหนัก และตำหนักต่าง ๆ ขึ้นมา ปัจจุบันพระราชวังบางปะอินอยู่ในความดูแลของสำนักพระราชวังพระราชวังบางปะอินเปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น.

          ตลาดโก้งโค้ง ตลาดโบราณย้อนยุคที่น่าสนใจ ชื่อตลาดเป็นคำที่ใช้เรียกตลาดในสมัยอยุธยา โดยคนขายจะนั่งขายสินค้าอยู่บนพื้นดิน ดังนั้น คนที่มาซื้อสินค้าจึงต้องโก้งโค้งเพื่อเลือกดูสินค้า ส่วนสินค้าที่มีจำหน่าย ได้แก่ อาหารสด-แห้ง อาหารคาว-หวาน ผักผลไม้ปลอดสารพิษจากสวนชาวบ้าน ฯลฯ เอกลักษณ์ของตลาดแห่งนี้ คือ พ่อค้าแม่ค้าจะแต่งชุดไทยแบบชาวบ้านออกมาขายของ เสมือนว่าได้เข้าไปอยู่ในยุคนั้นจริง ๆ ตลาดโก้งโค้งจัดขึ้นทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 10.00-16.00 น.



     
          วัดใหญ่ชัยมงคล สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น ในสมัยพระเจ้าอู่ทอง ประมาณปี พ.ศ. 1900 พระองค์ทรงสร้างวัดป่าแก้วขึ้นตรงบริเวณที่พระราชทานเพลิงศพเจ้าแก้วเจ้าไท ต่อมาสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีได้ชัยชนะพระมหาอุปราชาแห่งพม่า แล้วมีพระราชศรัทธาบูรณปฏิสังขรณ์วัดใหญ่ขึ้น พร้อมทั้งได้ทรงสร้างพระเจดีย์ชัยมงคล เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการที่ได้ทรงทำยุทธหัตถีชนะสมเด็จพระมหาอุปราชาแห่งพม่า เมื่อ พ.ศ. 2135 ชาวบ้านได้นำเอาชื่อวัดกับนามพระเจดีย์มารวมกัน จึงเรียกขานกันต่อมาว่า “วัดใหญ่ชัยมงคล” จวบจนทุกวันนี้

           วัดพนัญเชิง เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรวิหาร แบบมหานิกาย เป็นวัดที่มีมาก่อนการสร้างกรุงศรีอยุธยา ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้าง ตามพงศาวดารเหนือกล่าวว่า พระเจ้าสายน้ำผึ้ง ซึ่งครองเมืองอโยธยาเป็นผู้สร้างวัดขึ้นตรงบริเวณที่พระราชทานเพลิงศพพระนางสร้อยดอกหมาก และพระราชทานนามวัดว่า วัดพระเจ้าพระนางเชิง (หรือวัดพระนางเชิง) คนไทยเรียกทั่วไปว่า หลวงพ่อโต หรือหลวงพ่อพนัญเชิง ส่วนคนจีนเรียกว่าซำปอกง ในสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โปรดให้บูรณะใหม่ทั้งองค์เมื่อปลาย พ.ศ. 2397 แล้วถวายพระนามพระพุทธรูปใหม่ว่า “พระพุทธไตรรัตนนายก”



การเดินทาง

          จากกรุงเทพฯ ใช้ถนนพหลโยธิน เมื่อถึงประตูน้ำพระอินทร์ให้ข้ามสะพานวงแหวนรอบนอก จากนั้นให้เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 308 ตรงไปประมาณ 7 กิโลเมตร ถึงพระราชวังบางปะอิน จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 3477 (บางปะอิน-พระนครศรีอยุธยา) วิ่งตรงไปจะพบแหล่งท่องเที่ยวอยู่บนถนนเส้นนี้จนถึงวัดใหญ่ชัยมงคล ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานพระนครศรีอยุธยา โทรศัพท์  0 3524 6076-7


ขับรถเลียบชายหาด อ่างศิลาถึงบางแสน

          บางแสนจัดเป็นชายทะเลที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาช้านาน นักท่องเที่ยวนิยมมาพักผ่อนเพราะอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ขับรถเพียงชั่วโมงเศษก็ถึง วันเดียวเที่ยวบางแสนมีอะไรน่าสนใจบ้าง นอกจากการได้พักผ่อนริมชายหาดแล้ว บางแสนก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ให้ความรู้แก่เรา ๆ ท่าน ๆ ได้อีกด้วย




          หาดบางแสน น้อยคนที่ไม่รู้จักชื่อนี้ สถานที่พักผ่อนชายทะเลขึ้นชื่อของเมืองไทย เมื่อเราเดินบนชายหาดจะเห็นร่มและผ้าใบสีสันสดใสเรียงรายกันยาวตลอดเกือบ 2 กิโลเมตร ร้านขายของ อาหาร และเครื่องดื่มนับร้อยร้าน มีกิจกรรมหลากหลาย ไม่ว่าจะเห็นบานาน่าโบ๊ท เจ็ตสกี วอลเลย์บอลชายหาด ปั่นจักรยาน และกิจกรรมใหม่ ๆ ที่เทศบาลตำบลแสนสุขจัดขึ้น เช่น บางแสนย้อนยุค บางแสนไทยแลนด์ สปีด บางแสนไบค์วีก และกิจกรรมอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกมากมายบนชายหาดมหาชนแห่งนี้

          หาดวอนนภา เป็นชายหาดตอนใต้ของหาดบางแสน จากบริเวณวงเวียนบางแสนแล้วแยกไปทางซ้าย มีชายหาดยาวประมาณ 2 กิโลเมตร บรรยากาศเงียบสงบกว่าหาดบางแสน

          สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา เก็บรวบรวมตัวอย่างพืชและสัตว์ทางทะเล มีนิทรรศการเกี่ยวกับเครื่องมือประมง เครื่องมือสำรวจทางสมุทรศาสตร์และโบราณคดีใต้น้ำ เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น.



          แหลมแท่น เป็นช่วงปลายแหลมของหาดบางแสนตอนเหนือต่อกับอ่าวเขาสามมุข มีศาลาทรงไทยและลานชมทิวทัศน์ มีประติมากรรมหินแกรนิตรูปปลาโลมากับเกลียวคลื่นตั้งอยู่



          พระตำหนักมหาราช พระตำหนักราชินี สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์ในระหว่างที่ทรงสำเร็จราชการแทนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเสด็จประพาสยุโรป ปัจจุบันกรมศิลปากรขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน

          สะพานปลา เดิมเรียกว่าสะพานหิน ปัจจุบันเป็นท่าเทียบเรือประมงขององค์การสะพานปลา มีสินค้าท้องถิ่นและอาหารทะเลจำหน่ายหลายชนิด

          เขาสามมุข เป็นเนินเขาเตี้ย ๆ อยู่กึ่งกลางระหว่างบ้านอ่างศิลาและหาดบางแสน เชิงเขาเป็นที่ตั้งศาลเจ้าแม่เขาสามมุข บนยอดเขามีลิงป่าอาศัยอยู่จำนวนมาก จากจุดชมวิวบนเขายามเย็นจะมองเห็นทะเลบางแสนได้อย่างสวยงาม

           อ่างศิลา ชุมชนชาวประมงริมทะเล มีชื่อเสียงมากเรื่องครกหินและการสกัดหินเป็นรูปต่าง ๆ มีตลาดเก่าอายุ 133 ปี จำหน่ายสินค้าพื้นเมือง เช่น อาหารทะเลตากแห้ง และขนมหวานโบราณชนิดต่าง ๆ

          ตลาดหนองมน ขายสินค้าพื้นเมืองและของที่ระลึก ได้แก่ อาหารทะเลตากแห้ง ขนม และอาหารสำเร็จรูป ที่พลาดไม่ได้คือข้าวหลวมหนองมน มีรสชาติหวานมัน ใครมาต้องซื้อติดไม้ติดมือกลับไปฝากญาติมิตร เพื่อนฝูงทุกครั้ง



การเดินทาง

          จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 3 (สุขุมวิท) ไปจังหวัดชลบุรี จากนั้นไปอีกประมาณ 13 กิโลเมตร ถึงสามแยกบางแสน เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 3137 (ถนนลงหาดบางแสน) ไปประมาณ 2 กิโลเมตร จะถึงชายหาด ส่วนแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่บริเวณอ่างศิลาให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 3134 (บางแสน-อ่างศิลา) ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานพัทยา โทรศัพท์ 0 3842 7667, 0 3842 8750 และ 0 3842 3990


ชมวัง ไหว้พระ สักการะองค์พระปฐมเจดีย์

          หากนึกถึงเส้นทางสายตะวันตกที่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นนครปฐม เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารการกิน และอุดมสมบูรณ์ด้วยพืช ผัก ผลไม้ จะเห็นได้จากการมีตลาดน้ำและตลาดอาหารชื่อดังอยู่หลายที่ เป็นเมืองที่ได้รับอารยธรรมและพระพุทธศาสนาจากประเทศอินเดียเป็นที่แรก จึงทำให้มีแหล่งท่องเที่ยวทางศาสนาอยู่หลายแห่ง



          พระปฐมเจดีย์ สัญลักษณ์ของจังหวัดนครปฐม นับเป็นปูชนียสถานที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ที่ทรงส่งสมณทูตมาเผยแผ่พระพุทธศาสนา และมาตั้งหลักฐานประกาศหลักธรรมคำสอนที่นครปฐมเป็นครั้งแรก

          พระราชวังสนามจันทร์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ประทับครั้งเสด็จมานมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ สิ่งสำคัญได้แก่ พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ เป็นการผสมระหว่างศิลปะเรอเนซองส์ของฝรั่งเศส กับอาคารแบบฮาล์ฟทิมเบอร์ของอังกฤษ มีอนุสาวรีย์ย่าเหล ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงสุนัขทรงเลี้ยง



          พุทธมณฑล สถานที่สำคัญทางพุทธศาสนา มีพื้นที่กว้างขวางถึง 2,500 ไร่ ประดิษฐานพระศรีศากยะทศพลญาณประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์ สูงประมาณ 15 เมตร รอบองค์ประธานเป็นสถานที่จำลองของสังเวชนียสถานและศาสนสถานสำคัญอื่น ๆ

          พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย จัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งที่หล่อจากไฟเบอร์กลาสแห่งแรกของเมืองไทยไว้เป็นชุด เช่น ชุดพระบรมรูปอดีตพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรี ชุดพระอริยสงฆ์ ชุดสมเด็จพระปิยมหาราชกับการเลิกทาส ฯลฯ หุ่นแต่ละรูปนั้นมีลักษณะเหมือนคนจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผิว ดวงตา แขน และเส้นผม


       
          ตลาดริมน้ำวัดดอนหวาย ตลาดเก่าสมัยรัชกาลที่ 6 อยู่ริมแม่น้ำท่าจีน มีอาหารและสินค้าทางการเกษตรมาจำหน่ายที่วัดตอนหวายทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.00-08.00 น. และมีเรือบริการนำเที่ยวชมทิวทัศน์ของสองฝั่งแม่น้ำท่าจีน วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์



การเดินทาง

          จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงเลข 338 (ปิ่นเกล้า-นครชัยศรี) ผ่านถนนบรมราชชนนี ผ่านพุทธมณฑล นครชัยศรี แล้วต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 4 (เพชรเกษม) ไปจนถึงตัวจังหวัดนครปฐม ส่วนตลาดริมน้ำวัดตอนหวายจะมีทางแยกเข้าตั้งแต่พุทธมณฑลสาย 5 ให้สังเกตป้ายบอกทางให้ดี ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานสมุทรสงคราม โทรศัพท์ 0 3475 2847-8

sithiphong:
วันเดียวเที่ยวได้กับ 8 จังหวัด ใกล้กรุง
-http://travel.kapook.com/view65178.html-
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก หนังสือคู่มือวันเดียวเที่ยวได้ อสท. เล่มเล็ก ปีที่ 53 ฉบับที่ 10 พฤษภาคม 2556

.


ตามรอยวิถีไทยเมืองแปดริ้ว ฉะเชิงเทรา

          เป็นจังหวัดใกล้กรุงที่น่าเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง ระยะทางก็อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ไม่มากนัก สามารถขับรถไปเที่ยวโดยใช้เวลาเพียงชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึง เมืองแปดริ้วมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมายหลากหลาย ทั้งธรรมชาติและวิถีชีวิตที่น่าสนใจ วันเดียวเที่ยวเมืองแปดริ้วนอกจากการขับรถไปแล้ว ยังมีการเดินทางรูปแบบอื่นที่น่าสนใจไม่แพ้กัน รถไฟก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่แสนคลาสสิก หรือการท่องเที่ยวโดยทางเรือ ซึ่งนับเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ แถมยังได้อรรถรสในการเที่ยวอีกด้วย



          ตลาดคลองสวน 100 ปี ชิมอาหารอร่อยทั้งอาหารคาวที่มีสูตรเฉพาะ ขนมหวาน กาแฟสูตรโบราณดั้งเดิม ชมของเก่า และสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่า ตลาดจะมีคนเยอะเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์

          วัดโสธรวรารามวรวิหาร เพื่อความเป็นสิริมงคลต้องไปกราบพระขอพรจากพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองแปดริ้ว พระพุทธโสธรเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางสมาธิ หน้าตักกว้าง 1.65 เมตร สูง 1.48 เมตร ฝีมือช่างล้านช้าง ตามประวัติเล่าว่าเกิดปาฏิหาริย์ลอยน้ำมาและมีผู้อัญเชิญขึ้นมาประดิษฐานที่วัดแห่งนี้



          วันจีนประชาสโมสร หรือวัดเล่งฮกยี่ เป็นวัดจีนในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 มีวิหารประดิษฐานเทพเจ้าต่าง ๆ เช่น วิหารบูรพาจารย์ วิหารเจ้าแม่กวนอิม พระอุโบสถประดิษฐาน พระพุทธรูปศิลปะมหายาน 3 องค์ พร้อมด้วยองค์ 18 อรหันต์ ทำจากกระดาษที่นำมาจากเมืองจีน

          วัดอุภัยภาติการาม เดิมเป็นวัดจีนแต่ปัจจุบันแปรสภาพเป็นวัดญวนในลัทธิมหายาน สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 พระวิหารประดิษฐาน “หลวงพ่อโต” ชาวจีนนิยมเรียกว่า “เจ้าพ่อซำปอกง” ที่มีอยู่เพียง 3 องค์ในประเทศไทย

          ค้างคาวแม่ไก่วัดโพธิ์บางคล้า ค้างคาวแม่ไก่สายพันธุ์ใหญ่ที่สุดในโลก อาศัยอยู่ใต้ร่มไม้ภายในวัดโพธิ์บางคล้าจำนวนนับแสนตัว ลักษณะมีปีกสีดำ หน้าตาเหมือนสุนัขป่า คือมีจมูกและใบหูเล็ก ตาใหญ่ ขนสีน้ำตาลแกมแดง ในเวลากลางวันจะเกาะห้อยหัวลงตามกิ่งไม้อยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่ ยามพลบค่ำก็ออกหากิน

          ตลาดร้อยปีบ้านใหม่ ตลาดโบราณอันเลื่องชื่อมีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จำหน่ายทั้งอาหารคาว-หวาน ก๋วยเตี๋ยว กาแฟโบราณ เครื่องดื่มโบราณ สมุนไพร ขนมไทย-จีน ของเล่น ของฝากต่าง ๆ ตลาดจะเปิดขายเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์



การเดินทาง

          จากรุงเทพฯ ไปฉะเชิงเทราได้หลายเส้นทาง เส้นทางแรกใช้ทางหลวงหมายเลข 304 (กรุงเทพฯ-มีนบุรี-ฉะเชิงเทรา) ระยะทางประมาณ 75 กิโลเมตร เส้นทางที่สอง ใช้ทางด่วนมอเตอร์เวย์ สังเกตป้ายชี้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่จังหวัดฉะเชิงเทราตามทางหลวงหมายเลข 314 หรือใช้ถนนสายอ่อนนุช-ฉะเชิงเทรา ผ่านสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ขับตรงไปจะผ่านตลาดคลองสวน 100 ปี อยู่ด้านซ้ายมือ หากขับตรงไปอีกจะเจอทางหลวงหมายเลข 314 เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ตัวจังหวัด ส่วนวัดโพธิ์บางคล้า จากตัวเมืองฉะเชิงเทราให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 304 มุ่งหน้าสู่อำเภอพนมสารคาม เมื่อถึงกิโลเมตรที่ 17 ให้เลี้ยวซ้ายเข้าอำเภอบางคล้า ถึงบริเวณทางแยกป้อมตำรวจอำเภอบางคล้า ให้เลี้ยวซ้ายและตรงไปอีกประมาณ 200 เมตร ก็จะถึงวัดโพธิ์บางคล้า

          ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานกรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ 0 2250 5500 ต่อ 2991-5

 
 ผจญภัย ท่องธรรมชาติที่นครนายก
         
          เมืองเล็ก ๆ แห่งการแสวงหาธรรมชาติที่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด เรียกว่าเป็นปฐมบทแห่งการเริ่มต้นท่องเที่ยวก็ไม่ผิดนัก นครนายกมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวหลากหลายรูปแบบ เพียบพร้อมไปด้วยธรรมชาติ ป่าไม้ ภูเขา น้ำตก สวนผลไม้ กิจกรรมผจญภัยอันหลากหลายที่นักท่องเที่ยวเมื่อไปเยือนแล้วต้องกลับมาด้วยความประทับใจ



          เที่ยวเขตทหารโรงเรียนนายร้อย จปร. สักการะพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 เข้าชมพิพิธภัณฑ์โรงเรียนนายร้อย จปร. 100 ปี เรียนรู้เรื่องราวของทหาร ประวัติศาสตร์เหตุการณ์ครั้งสำคัญ ร่วมกิจกรรมวัดใจคนกล้า เช่น โรยตัวจากผาจำลอง โหนเชือกข้ามลำน้ำ ฝึกยิงปืนอย่างถูกวิธี หัดพายเรือแคนู หรือขี่จักรยานท่องเที่ยว สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ทุกวันหยุดราชการ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวได้ที่ โรงเรียนนายร้อย จปร. โทรศัพท์ 0 3739 3185, 0 3739 3010



          เขื่อนขุนด่านปราการชล หรือที่เรียกกันติดปากว่า เขื่อนคลองท่าด่าน เป็นเขื่อนคอนกรีตบดอัดที่มีความยาวที่สุดในโลก เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเพื่อบรรเทาความทุกข์ยากที่เกิดกับประชาชน บริเวณเขื่อนมีกิจกรรมล่องแก่งเรือยางและเรือคายัก ช่วงที่เหมาะกับการล่องแก่ง คือ เดือนมิถุนายน-ตุลาคม ส่วนฤดูแล้งเขื่อนจะเปิดน้ำให้ล่องแก่งได้ วันเสาร์-อาทิตย์ จะมีนักท่องเที่ยวมาที่แก่งสามชั้นเป็นจำนวนมาก

          ตลาดผลไม้หนองชะอม ตลาดผลไม้เก่าแก่ของนครนายก ผลผลิตเริ่มออกช่วงปลายเดือนมีนาคม-เมษายน ผลผลิตขึ้นชื่อได้แก่ มะยงชิดลูกขนาดเท่าไข่ไก่ ทุเรียนหลากหลายพันธุ์ และพืชผักพื้นบ้านปลอดสารพิษ ตลาดเปิดเวลา 09.00-21.00 น.

          ชมและชิมผลไม้ในสวน นครนายกนับว่าเป็นเมืองผลไม้ มีผลไม้หลายชนิด เช่น เงาะ ส้มโอ ทุเรียน มังคุด กระท้อน ลองกอง กล้วย ขนุน มะยงชิด สวนผลไม้หลายแห่งเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว มีที่พักและกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย เช่น ท่าด่านโฮมสเตย์ มีกิจกรรมต่าง ๆ ชิมผลไม้สด ๆ จากต้นตามฤดูกาล สามารถกางเต็นท์พักแรมได้ สอบถามข้อมูลได้ที่หมายเลข โทรศัพท์ 0 3738 5015, 08 3738 5015, 08 1804 4503, บ้านสวนสายสมร เปิดเป็นที่พักและมีกิจกรรมต่าง ๆ มีผลไม้หลายชนิด เช่น เงาะ ส้มโอ ทุเรียน มังคุด กระท้อน ลองกอง กล้วย ขนุน มะยงชิด เป็นต้น สอบถามข้อมูลได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08 7030 1824, 08 0566 1901, สวนละอองฟ้า มีสวนทุเรียนมากกว่า 100 สายพันธุ์ ที่เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ทุเรียนหายาก เหมาะสำหรับคนรักทุเรียนตัวจริง สามารถเข้าชมและชิมทุเรียนโบราณรสชาติดีได้ด้วย สอบถามข้อมูลได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 3821 6035-6

          ศูนย์ไม้ดอกไม้ประดับ ตั้งอยู่ที่ถนนรังสติ-นครนายก คลอง 15 เป็นแหล่งเพาะขยายพันธุ์ไม้ดอก ไม้ประดับใหญ่ที่สุดในเมืองไทย และจัดส่งไปยังแหล่งจำหน่ายต่าง ๆ ทั่วประเทศ นักท่องเที่ยวสามารถซื้อได้ในราคาขายส่ง



การเดินทาง

          จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 305 (รังสิต-นครนายก) เลียบคอลงรังสิต ผ่านอำเภอองครักษ์ อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครนายก ระยะทางประมาณ 105 กิโลเมตร ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานนครนายก โทรศัพท์ 0 3731 2282, 0 3731 2284


 เที่ยวสบาย ๆ สไตล์สุพรรณบุรี

          ใช้เวลาขับรถจากกรุงเทพฯ ประมาณ 1 ชั่วโมงเศษก็ถึงสุพรรณบุรี เป็นเส้นทางท่องเที่ยวต่างจังหวัดที่ดีที่สุดเส้นทางหนึ่ง ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลเกินไป ทำให้มีเวลาท่องเที่ยวได้อย่างคุ้มค่า คุ้มเวลา สถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งมีป้ายบอกชัดเจน แต่ละสถานที่อยู่ไม่ไกลกันมาก วันเดียวเที่ยวสุพรรณบุรี จึงเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ



          วัดป่าเลไลยก์ เป็นวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นวัดเก่าแก่สันนิษฐานว่ามีอายุราว 1,200 ปี ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐาน หลวงพ่อโต ปางป่าเลไลยก์ เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนขนาดใหญ่ มีความสูงถึง 23.47 เมตร บริเวณด้านข้างวัดมีเรือนขุนช้าง เป็นเรือนไม้สักไทยโบราณ ตามวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ขึ้นไปบนเรือนจะเห็นภาพวาดตัวละครขุนช้าง ห้องต่าง ๆ จัดแสดงเครื่องใช้สมัยโบราณ

          สวนเฉลิมภัทรราชินี หอคอยบรรหาร-แจ่มใส ตั้งอยู่ในบริเวณใจกลางเมืองสุพรรณบุรี เป็นหอคอยแห่งแรกที่สูงที่สุดในประเทศไทย มีความสูง 123.25 เมตร มีชั้นสำหรับชมวิวสูง 78.75 เมตร ด้านบนติดตั้งกล้องส่องทางไกลไว้รอบด้าน มีร้านขายของที่ระลึกและอาหารว่าง มีการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับเมืองสุพรรณบุรี ส่วนบริเวณสวนเฉลิมภัทรราชินีประดับด้วยไม้ดอกนานาพันธุ์ สวนปาล์ม สวนน้ำพุ ธารน้ำตก สไลเดอร์ สนามเด็กเล่น ช่วงค่ำมีน้ำพุประกอบดนตรี สีสันสวยงาม

          สามชุก ตลาดร้อยปี ตลาดเก่าที่ยังมีชีวิต แม้เวลาจะผ่านไปแสนนาน ตัวตลาดเก่าที่สร้างด้วยไม้เรียงติดกันอยู่ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำท่าจีน ทุกวันนี้ยังคงอยู่ เมื่อถึงวันเสาร์-อาทิตย์ผู้คนจะหลั่งไหลมาเที่ยวที่ตลาดสามชุกกันอย่างเนืองแน่น เสน่ห์ของการมาตลาดสามชุก คือ ได้เดินชมความคลาสสิกของบ้านไม้อายุนับร้อยปี รวมทั้งกินอาหารอร่อย ๆ ไปตลอดทาง อีกทั้งยังมีพิพิธภัณฑ์บ้านขุนจำนงจีนารักษ์ นายภาษีอากรคนแรก ซึ่งเป็นเจ้าของตลาดสามชุก ที่บอกเล่าถึงความเป็นมาของชุมชนสามชุกในอดีตได้เป็นอย่างดี



          พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร ภายในจัดแสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์จีน ตั้งแต่สมัยตำนานการสร้างโลกยุคแรกเริ่มทางประวัติศาสตร์ และแสดงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของพี่น้องไทยเชื้อสายจีนในประเทศไทย เรื่องราวที่นำเสนอประกอบด้วยเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ ประวัติบุคคลสำคัญ ปรัชญา ภูมิปัญญา และการค้นพบประดิษฐกรรมสำคัญของบรรพบุรุษชาวจีน ผ่านสื่อจัดแสดงที่ทันสมัยและสวยงาม



การเดินทาง

          จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 340 (กรุงเทพฯ-บางบัวทอง-สุพรรณบุรี) เส้นทางนี้สามารถไปได้ถึงตลาดสามชุก ซึ่งอยู่เลยตัวเมืองสุพรรณบุรีไปประมาณ 40 กิโลเมตรเท่านั้น ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานสุพรรณบุรี โทรศัพท์ 0 3553 5789, 03553 6189, 0 3553 6030 หรือเว็บไซต์ http://www.tatsuphan.net/

 
ท่องเมืองนาวี ดูวิถีคนปากน้ำ สมุทรปราการ

          นับเป็นอีกจังหวัดที่น่าท่องเที่ยว อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก จะเรียกว่าเป็นจังหวัดเดียวกันเลยก็ว่าได้ หลายคนมองภาพของจังหวัดนี้ว่ามีแต่โรงงานอุตสาหกรรม คงไม่มีแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจเป็นแน่แท้ แต่หารู้ไม่ว่าเมืองปากน้ำแฝงไว้ด้วยของดีอีกมากมายที่คุณคาดไม่ถึง



          พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ เกิดจากความคิดริเริ่มของ คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ที่สร้างความตื่นตาให้แก่ผู้พบเห็นด้วยช้างสามเศียรขนาดมหึมา เฉพาะส่วนหัวช้างสามเศียรก็มีน้ำหนักรวมหลายร้อยตัน หุ้มด้วยทองแดงทั้งตัว ซึ่งเป็นประติมากรรมลอยตัวที่ใช้เทคนิคการเคาะโลหะด้วยมือเป็นแห่งแรกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ภายในจัดแสดงวัตถุของมีค่า พระพุทธรูป เทวรูปสมัยต่าง ๆ และเครื่องลายครามของจีน สมัยราชวงศ์หยวน ราชวงศ์ชิง ชามสังคโลกสมัยสุโขทัย เครื่องเคลือบเขียวสมัยอยุธยา พระพุทธรูปสำคัญประมาณค่ามีได้ ฯลฯ

          ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ ฟาร์มจระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีการเพาะพันธุ์จระเข้ทุกสายพันธุ์ที่มีอยู่ในโลกนี้ มีจระเข้ทั้งหมดเกือบ 80,000 ตัว มีการแสดงจับจระเข้ด้วยมือเปล่า นอกนั้นยังมีส่วนที่เป็นสวนสัตว์ มีการแสดงช้าง ละครลิง การป้อนนมเสือขาว ให้นักท่องเที่ยวชม



          เมืองโบราณ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ภายในจำลองวิถีชีวิตไทยในอดีต ศูนย์รวมปูชนียสถานที่สำคัญ ๆ ของแต่ละจังหวัด เช่น เขาพระวิหาร ปราสาทหินพนมรุ้ง วัดมหาธาตุสุโขทัย พระพุทธบาทสระบุรี พระธาตุเมืองนคร พระธาตุไชยา ฯลฯ โดยสร้างให้มีขนาดเล็กลง บางแห่งเท่าแบบจริงการท่องเที่ยว ภายในเมืองโบราณควรจอดรถไว้แล้วเช่าจักรยานขี่ชมจะสะดวกกว่า

          สถานตากอากาศบางปู จากอดีตถึงปัจจุบันยังเป็นสถานที่พักผ่อนยอดนิยม กับบรรยากาศยามเย็นรอชมพระอาทิตย์อัสดง และฝูงนกนางนวลที่บินอวดโฉมกางปีกสวยให้เราได้ชมอย่างใกล้ชิดบนสะพานสุขตา ในราวต้นเดือนพฤศจิกายนฝูงนกนางนวลจะบินหนีหนาวมาที่บางปูเป็นจำนวนมาก เมื่อได้คู่ผสมพันธุ์แล้วก็จะทยอยบินกลับไปวางไข่บนที่ราบสูงใกล้ ๆ ทะเลสาบในทิเบตและมองโกเลีย มันจะเริ่มบินย้ายถิ่นกลับในราวเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม มื้อค่ำถ้าหิวก็เดินเข้าไปภายในศาลาสุขใจ ซึ่งเปิดเป็นร้านอาหารไว้บริการ



การเดินทาง

          จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 3 (ถนนสุขุมวิท) เป็นหลักจะสะดวกที่สุด โดยเริ่มจากพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณไปจนถึงสถานตากอากาศบางปู ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ททท. สำนักงานกรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ 0 2250 5500 ต่อ 2991-5



sithiphong:
ธรรมจักรศิลาทวารวดีสมบูรณ์สุดในไทย ของดีที่ “พิพิธภัณฑ์อู่ทอง”/ปิ่น บุตรี
โดย ปิ่น บุตรี    27 มิถุนายน 2556 18:42 น.
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000078345-




       โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)



       เมืองไทยเป็นประเทศที่มีพิพิธภัณฑ์เยอะมากติดอันดับต้นๆของโลก เพราะนอกจากจะมีพิพิธภัณฑ์ของราชการ ของกรมศิลป์แล้วยังมีพิพิธภัณฑ์เอกชน พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น พิพิธภัณฑ์ส่วนตัว พิพิธภัณฑ์ตามวัดต่างๆ สารพัด
       
       แต่น่าแปลกที่คนไทยกลับไม่นิยมเข้าพิพิธภัณฑ์ ทั้งๆที่บ้านเรามีพิพิธภัณฑ์ดีๆ พิพิธภัณฑ์น่าสนใจมากมาย แถมราคาค่าเข้าชมในหลายๆพิพิธภัณฑ์นั้นก็ถูกแสนถูก ถูกกว่ากาแฟแบรนด์ดังแก้วหนึ่งเสียอีก
       
       สำหรับหนึ่งในพิพิธภัณฑ์น่าสนใจที่ผมเพิ่งได้เข้าไปเที่ยวชมมาเมื่อเร็วๆนี้ก็คือ “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง” ที่ตั้งอยู่ในตัวอำเภออู่ทอง จ.สุพรรณบุรี


ภาพการขุดค้นเมืองโบราณอู่ทองในอดีต

       พิพิธภัณฑ์ฯอู่ทอง เป็นแหล่งรวบรวมศิลปวัตถุและแหล่งเรียนรู้อารยธรรมทวารวดีชั้นดี ที่มีความเชื่อมโยงกับ “เมืองโบราณอู่ทอง” หนึ่งในพื้นที่ประวัติศาสตร์สำคัญของเมืองไทยที่ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของอำเภออู่ทอง
       
       รู้จักเมืองโบราณอู่ทอง
       
       จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดีพบว่า ดินแดนที่เป็นเมืองโบราณอู่ทองนั้นเคยมีมนุษย์อาศัยอยู่มายาวนานตั้งแต่ราว 3,000-2,500 ปีก่อนประวัติศาสตร์ เป็นสังคมเกษตรกรรมยุคหินใหม่ต่อเนื่องถึงยุคโลหะ โดยมีการค้นพบหลักฐานจำพวกขวานหินขัด ลูกปัด ภาชนะดินเผา เหล็กปั่นด้าย ฉมวก หอก อาวุธโบราณ และเครื่องใช้ไม้สอยโลหะอื่นๆอีกมากมาย


แผนที่สมัยทวารวดีแสดงให้เป็นว่าอู่ทองเคยเป็นเมืองชายฝั่งติดทะเล

       หลังจากนั้นชุมชนได้เติบโต เริ่มทำการติดต่อค้าขายกับต่างชาติจนพัฒนาเป็นเมืองท่าชายฝั่ง เพราะดั้งเดิมที่เป็นชุมชนชายฝั่งริมทะเล มีเรือสินค้าของชาวต่างชาติแวะเวียนเข้าออก โดยในราวพุทธศตวรรษที่ 5 ขึ้นไปเมืองอู่ทองมีบทบาทเป็นเมืองท่าค้าขายสำคัญ(หากดูในแผนที่โบราณที่จะพบว่า อู่ทองเป็นเมืองติดทะเล ส่วนกรุงเทพฯ อยุธยา สมัยนั้นยังไม่เกิด เพราะผืนแผ่นดินบริเวณนี้ยังเป็นทะเลอยู่เลย)
       
       ราวพุทธศตวรรษที่ 8-10 วัฒนธรรมอินเดียที่รุ่งโรจน์ในยุคนั้นได้แผ่ขยายเข้ามาในดินแดนสุวรรณภูมิปรากฏอย่างชัดเจนในอู่ทอง มีการค้นพบหลักฐานที่แสดงถึงการนับถือพระพุทธศาสนา การใช้ภาษาและตัวอักษรแบบ “ปัลลวะ” เป็นต้น
       
       วัฒนธรรมอินเดียที่เข้ามาจากภายนอกได้มาผสมผสานกับวัฒนธรรมภายในของท้องถิ่น เกิดเป็น “วัฒนธรรมทวารวดี” ขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 12-16 ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นยุควัฒนธรรมสมัยแรกสุดของเมืองไทย มีหลักฐานการสร้างตัวเมืองเป็นผังรูปวงรี กว้างประมาณ 1 กิโลเมตร ยาวประมาณ 2 กิโลเมตร มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ


ผังเมืองโบราณอู่ทองเป็นรูปวงรี

       เมืองอู่ทองยุคนี้มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก ในฐานะเมืองท่า ศูนย์กลางการค้า โดยนักวิชาการบางคนเชื่อว่าเมืองอู่ทองมีความสำคัญมากถึงขนาดเคยเป็นเมืองหลวงรุ่นแรกของอาณาจักทวารวดีเลยทีเดียว เพราะมีการค้นพบเหรียญเงินจำนวนหลายเหรียญจารึกคำว่า “ศฺรีทฺวารวตี ศฺวรปุณฺยะ” ที่แปลว่า “พระเจ้าศรีทวารวดีผู้มีบุญอันประเสริฐ” หรือแปลว่า “การบุณย์ของพระเจ้าศรีทวารวดี” ที่ถือเป็นหลักฐานสำคัญเชื่อมโยงต่อข้อสันนิษฐานว่าเมืองหลวงหรือศูนย์กลางของอาณาจักรทวารวดีน่าจะอยู่ที่เมืองอู่ทอง
       
       นอกจากเมืองท่า เมืองหลวงแล้ว อู่ทองยังเป็นดินแดนศูนย์กลางทางพุทธศาสนาแห่งสุวรรณภูมิ และเป็นจุดที่พระพุทธศาสนาเดินทางเข้ามาประดิษฐานเป็นแห่งแรกของเมืองไทย โดยมีข้อสันนิษฐานว่า “พระโสณะ”เถระและ“พระอุตตระ”เถระ 2 ผู้เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ(หลังพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ 300 ปี) ได้เข้ามาสร้างวัดพุทธแห่งแรกขึ้นในเมืองอู่ทอง


ยอดเขาทำเทียม(ในปัจจุบัน)ที่เชื่อว่าเป็นจุดกำเนิดวัดแห่งแรกในเมืองไทย

       สำหรับจุดสร้างวัดพุทธแห่งแรกที่เป็นวัดแห่งแรกของไทยอยู่บนยอดเขาของ “วัดเขาทำเทียม” ในปัจจุบัน ซึ่งมีการค้นพบร่องรอยการใช้เพิงผาถ้ำบนยอดเขาเป็นที่พำนักของพระอัครสาวกทั้ง 2 และค้นพบโบราณวัตถุเป็นก้อนหินสลักคำจารึกว่า “ปุษยคีรี” ที่หมายถึงภูเขาแห่งดอกไม้ และค้นพบธรรมจักรศิลาที่สมบูรณ์ที่สุดในเมืองไทยที่วัดแห่งนี้เช่นกัน (ศิลปวัตถุทั้ง 2 ชิ้นปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์อู่ทอง)
       
       เมืองอู่ทองดำรงความเจริญรุ่งเรืองอยู่นับร้อยปี ก่อนจะโรยร้างไป ซึ่งปัจจุบันมีข้อสันนิษฐานใน 3 แนวทางถึงการเสื่อมสลายของเมืองอู่ทอง ดังนี้


หินสลักคำจารึกว่า “ปุษยคีรี” ที่ขุดพบที่วัดเขาทำเทียม

       -สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สันนิษฐานว่า เมืองอู่ทองเกิดโรคระบาด จึงมีการทิ้งเมืองไทยสร้างพระนครศรีอยุธยา
       
       -ศาสตราจารย์ฌอง บวสเซอลิเยร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ศิลปะในเอเชียอาคเนย์ ชาวฝรั่งเศส สันนิษฐานว่าเกิดน้ำท่วมจากเขื่อนและอ่างเก็บน้ำพัง ชาวเมืองจึงทิ้งบ้านเมืองไป แต่ไม่ได้ทิ้งร้าง หากแต่ยังมีชุมชนอาศัยอยู่เรื่อยมา
       
       -ข้อสันนิษฐานจากลักษณะภูมิประเทศว่า เมืองอู่ทองเกิดการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ เกิดการทับถมของโคลนตะกอนจากแม่น้ำสายต่างๆ จนกลายเป็นแผ่นดิน ปิดเส้นทางสัญจรทางทะเล ส่งผลให้ความเป็นเมืองท่าชายฝั่งของอู่ทองหมดไป
       
       แม้การเสื่อมสลายของเมืองโบราณอู่ทองไม่มีข้อสรุปชัดเจน แต่เมืองโบราณอู่ทองในฐานะแอ่งอารยธรรมทวารวดียังคงมีความสำคัญนับจากอดีตมาจนถึงทุกวันนี้


พิพิธภัณฑ์อู่ทองแหล่งรวมศิลปะยุคทวารวดีที่น่าสนใจ

       ย้อนอดีต สู่ปัจจุบัน เพื่ออนาคต ที่พิพิธภัณฑ์อู่ทอง
       
       สำหรับจุดศึกษา เรียนรู้ ปูพื้น เรื่องราวในยุคสมัยทวารวดีที่สำคัญแห่งหนึ่งของเมืองไทยนั้นก็คือที่ “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง” หรือเรียกที่สั้นๆว่า “พิพิธภัณฑ์อู่ทอง”
       
       พิพิธภัณฑ์อู่ทอง เป็นแหล่งจัดแสดงอารยธรรมทวารวดีและศิลปวัตถุสำคัญๆมากมาย ด้วยเทคนิคการจัดแสดงสมัยใหม่ มีการจัดแสดงเกี่ยวบ้านเรือนชนเผ่าไว้ในส่วนที่เป็นกลางแจ้ง ส่วนภายในแบ่งพื้นที่การจัดแสดงเป็น 2 อาคารหลัก คือ อาคารจัดแสดงหมายเลข 1 และหมายเลข 2


ประติมากรรมดินเผารูปพระภิกษุอุ้มบาตร โบราณวัตถุเกี่ยวกับศาสนาพุทธที่เก่าแกที่สุดในเมืองไทย

       อาคารจัดแสดงหมายเลข 1 แบ่งเป็น 2 ห้องจัดแสดง
       
       ห้องแรก ห้องจัดแสดง “บรรพชนคนอู่ทอง” จัดแสดงพัฒนาการเมืองอู่ทองตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์มาจึงถึงยุคทวารวดี มีโบราณวัตถุชิ้นสำคัญ อาทิ จารึกแผ่นทองแดงเหรียญกษาปณ์โรมัน เงินตราโบราณ พระพุทธรูปสำริด เครื่องประดับทองคำ ลูกปัดแบบต่างๆ และสิ่งของสำคัญคือ ประติมากรรมดินเผารูปพระภิกษุอุ้มบาตร ศิลปะอินเดียแบบอมารวดี(ศิลปะก่อนยุคทวารวดี) ซึ่งเป็นหลักฐานแสดงถึงการค้นพบโบราณวัตถุเกี่ยวกับศาสนาพุทธที่เก่าแกที่สุดในเมืองไทย
       
       อ้อ!?! สำหรับการชมศิลปวัตถุต่างๆในพิพิธภัณฑ์อู่ทองนั้น ทางเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์บอกกับผมว่า ถ้าชิ้นไหนเป็นของสำคัญจะมีการเติมจุดแดงไว้ที่แผ่นป้ายบอกชื่อและอายุของชิ้นงาน


เครื่องปั้นดินเผาโบราณที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์

       ส่วนห้องที่สอง เป็นห้องจัดแสดง “อู่ทองศรีทวารวดี” จัดแสดงเกี่ยวกับเมืองอู่ทองในฐานะเมืองสำคัญของยุคทวารวดี มีสิ่งน่าสนใจได้แก่ พระพิมพ์ดินเผาปางสมาธิ เหรียญกษาปณ์โรมัน สิงโตสำริด ตุ๊กตาดินเผารูปคนจูงลิง เครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของคนโบราณ งานดินเผารูปหัวคน
       
       ในห้องนี้ยังมีไฮไลท์สำคัญที่ตั้งเด่นสะดุดตาคือ “ธรรมจักรศิลา” พร้อมแท่นและเสา ซึ่งถูกค้นพบที่บนยอดเขาทำเทียมกับหินสลักคำจารึกว่า “ปุษยคีรี”


ธรรมจักรศิลาทวารวดีที่สมบูร์ที่สุดในเมืองไทย

       ธรรมจักรศิลาชุดนี้ เป็นศิลปะทวารวดีมีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ 12-13 (1,300-1,400 ปีมาแล้ว) เป็นธรรมจักรศิลาทรงกลม ฉลุซี่ล้อโปร่ง ที่ฐานสลักลวดลายกลีบบัวบาน ขอบธรรมจักรสลักลายสี่เหลี่ยมเปียกปูนสลับวงกลมเรียงเป็นแถว มีเสาตั้งเป็นแท่งหินรูป 8 เหลี่ยม หัวเสาสลักลวดลายพวงอุบะ มีแท่นรองธรรมจักรเป็นรูป 4 เหลี่ยม นับเป็นธรรมจักรศิลาที่สวยงามสมส่วนยิ่งนัก ซึ่งธรรมจักรศิลาชุดนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นธรรมจักรศิลาสมัยทวารวดีที่สมบูรณ์ที่สุดในเมืองไทย


ธรรมจักรศิลาครบชุดทั้งองค์ธรรมจักร ฐาน และเสาแท่ง 8 เหลี่ยม

       ไปดูสิ่งน่าสนใจในอาคารจัดแสดงหมายเลข 2 กันบ้าง
       
       อาคารจัดแสดงหมายเลข 2 ต่างจากอาคารหมายเลข 1 ตรงที่มุ่งเน้นการให้ข้อมูลและใช้เทคนิคการจัดแสดงสมัยใหม่ ผสม แสง สี เสียง มีการสร้างเรื่องราว ข้าวของส่วนใหญ่เป็นการจำลองทำขึ้นมา ขณะที่การจัดแสดงในอาคารหมายเลข 1 เป็นการมุ่งนำเสนอศิลปวัตถุ โบราณวัตถุที่น่าสนใจ ส่วนใหญ่เป็นของจริงให้คนได้มาสัมผัสกัน
       
       อาคารจัดแสดงหมายเลข 2 มี 2 ชั้น โดยห้องจัดแสดงชั้นบนส่วนที่ 1 เป็นห้อง “พัฒนาการทางประวัติศาสตร์บนผืนแผ่นดินสุวรรณภูมิ” ขณะที่การจัดแสดงส่วนที่ 2 ขอชั้นบนเป็น ห้อง “สุวรรณภูมิการค้าของโลกยุคโบราณ”


แสดงเส้นทางการเดินเรือ การค้า

       มาดูห้องจัดแสดงชั้นล่างของอาคารจัดแสดงหมายเลข 2 กันบ้าง เป็นห้อง “อู่ทองศูนย์กลางแห่งพระพุทธศาสนา” จัดแสดงให้เห็นถึงผังเมืองโบราณอู่ทองด้วยเทคนิคสมัยใหม่ มี แสง สี เสียง ครบ พร้อมกันนี้ยังมีการชูไฮไลท์คือธรรมจักรศิลามาทำเป็นเรื่องราว แสดงเห็นถึงชาวบ้านในยุคนั้นสร้างทำ ธรรมจักรศิลา รวมถึงจำลองร่องการขุดค้นพบมาให้ชม


การนำธรรมจักรมาจัดแสดงบอกร่องรอยการขุดค้นและโยงไปถึงวิถีชีวิตในอดีต

       และนั่นก็เป็นสิ่งน่าสนใจต่างๆในพิพิธภัณฑ์อู่ทอง ซึ่งสำหรับผมแล้วนี่นับเป็นอีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะทำให้ผมได้รับรู้เรื่องราวในยุคทวารวดีเพิ่มเติมมาอีกมากโข ขณะที่เจ้าหน้าที่ก็ดูตั้งใจกันดี ทำงานกันด้วยใจรักด้วยอยากให้ความรู้กับประชาชน
       
       ส่วนที่เป็นปัญหาเหมือนๆกันกับพิพิธภัณฑ์ทั่วประเทศก็คือ การขาดงบประมาณ ขาดการสนใจจากภาครัฐอย่างจริงจัง ซึ่งไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัย ปัญหาของพิพิธภัณฑ์ในบ้านเราก็ยังคงหนีไม่พ้นจากวังวนเดิมๆ นั่นพลอยทำให้คนที่ตั้งใจดูแลพิพิธภัณฑ์ ตั้งใจทำพิพิธภัณฑ์ดีๆ เขาอดรู้สึกน้อยใจไม่ได้ เพราะผมมักได้ยินคนทำพิพิธภัณฑ์ เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์บ่นถึงปัญหาเหล่านี้ให้ฟังอยู่เสมอ

       ***********************************************************
       
       “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง” หรือ พิพิธภัณฑ์อู่ทอง ตั้งอยู่ติดกับที่ว่าการอำเภออู่ทอง ริมถนนมาลัยแมน(สุพรรณบุรี-อู่ทอง) หมายเลข 321 ห่างจากตัวเมืองสุพรรณบุรีประมาณ 40 กม. เปิดทำการทุกวันพุธ-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์(หยุดวันจันทร์-อังคาร) เวลา 9.00-16.00 น. ค่าบริการเข้าชม ชาวไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 150 บาท นักเรียนนักศึกษาในเครื่องแบบ ภิกษุ สามเณร และนักบวชในศาสนาต่างๆเข้าชมฟรี ภายในพิพิธภัณฑ์สามารถถ่ายรูปได้ ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ 0-3555-1021,0-3555-1040
       
       หมายเหตุ : บทความนี้อ้างอิงประวัติศาสตร์อารยธรรมทวารวดีจากเอกสารและข้อมูลของพิพิธภัณฑ์อู่ทอง



นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

ตอบ

Go to full version