ผู้เขียน หัวข้อ: ใดๆในโลกนี้ล้วนเป็นธรรมทั้งสิ้น :สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี  (อ่าน 2224 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด




ใด ๆในโลกนี้ ล้วนเป็นธรรมทั้งสิ้น
จะเป็นกุศลธรรม และอกุศธรรม ก็ล้วนเป็นธรรมทั้งสิ้น
การที่ให้คำว่า..ธรรมชาตินั้น หมายความว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอะไร
จะดีก็ตาม จะชั่วก็ตาม ธรรมชาติคือการเกิดขึ้นตามธรรมดา
ตามธรรมดา ตามความเป็นอยู่อย่างปกติ..

:สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี
**************




คำว่าธรรมเพียงคำเดียวมีความหมายมากมาย หลายประการ แต่ประการที่สำคัญที่สุดนั้น
ธรรมะคือหน้าที่ที่มนุษย์ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎธรรมชาติ ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา
เพื่อมีชีวิตอยู่อย่างผาสุก  ทั้งส่วนตัว ส่วนรวม หรือทั้งโลก

การรู้จักธรรมคือการรู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างถูกต้อง จนไม่หลงใหลในสิ่งใด  แม้ในความ
เอร็ดอร่อยที่กำลังรู้สึกอยู่กับจิตใจอย่างยิ่งยวด  ไม่ว่าจะเป็นความสุขชนิดไหน  ย่อมไม่เป็นที่ตั้งแห่ง
ความหลงใหล  สำหรับผู้ที่รู้ธรรมอย่างแท้จริง  ความเห็นแก่ตัวย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ด้วยเหตุนี้ 
ความรักเพื่อนมนุษย์ด้วยกันมีได้โดยง่ายแม้ว่าจะมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงมากมายกว่ากันสักเพียงไร
 ผู้ประพฤติธรรมย่อมรู้สึกเป็นสุขเมื่อรู้ว่าตนได้ประพฤติธรรมหรือได้ทำหน้าที่ของมนุษย์อย่างถูกต้อง
 ความเคารพตัวเองในข้อนี้ทำให้รู้สึกเป็นสุข  ไม่หวังความสุขอันเป็นมายาคือสุขเวทนาทางเนื้อหนัง
 คือหู ตา จมูก สิ้น กาย และใจ ที่ตกเป็นทาสของเวทนาเหล่านั้นเสียแล้ว

         ธรรมะช่วยให้เรามีชีวิตอย่างถูกต้อง  รู้จักสิ่งแวดล้อมชีวิต  และใช้มันอย่างถูกต้อง
 มีหน้าที่การงาน ทรัพย์สมบัติ เกียรติยศชื่อเสียง มิตรสหาย ฯลฯ อย่างถูกต้อง  คือเป็นไปเพื่อสันติสุข
ส่วนบุคคล และสันติภาพของส่วนรวมโดยส่วนเดียว  ไม่สร้างวิกฤตกาลใด ๆ ขึ้นแก่ใคร
 
แม้แก่สัตว์เดรัจฉาน และพฤษชาติทั้งปวง  ไม่เป็นคนทำลายโลก หรือหนักแผ่นดิน  แม้แต้หน่อยเดียว 
สิ่งที่เรียนว่าบาป  โชคร้าย  หรือซวยตลอดชาติย่อมไม่มีแก่ผู้ประพฤติธรรมข้อนี้หมายความว่านรก
ไม่มีสำหรับบุคคลชนิดนี้ มีแต่สวรรค์ นับตั้งแต่วินาทีที่เขาประพฤติธรรมเป็นต้นไปทีเดียว
          เรามี ตา หู ลิ้น กาย ใจ สำหรับการศึกษาเพื่อให้รู้จักสิ่งทั้งปวง  อย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง
 เพื่อมีชีวิตอยู่ได้อย่างสงบสุข  ทิใช่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สำหรับไว้เป็นสื่อ ให้เราตกอยู่
ในทาสของกิเลส  จนโงหัวไม่ขึ้นเหมือนที่เป็นอยู่มากในโลกปัจจุบัน  ซึ่งกำลังขาดธรรมะ

 เราบังคับโลกนอกตัวเราไม่ได้จริง แต่เราสามารถควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ  ให้สัมผัสโลกแต่ในลักษณะ
ที่จะไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่เราได้โดยอาศัยธรรมะนั้นเอง ถ้าคนในโลกนี้ทำได้เข่นนี้ โลกนี้ก็เป็นโลกที่งดงาม
น่าอยู่อาศัย หรือโลกของพระศรีอาริยเมตไตรย ขึ้นมาโดยทันทีทันควัน เพราะเป็นโลกที่อิ่มเอิบไปด้วยธรรมะ

พุทธทาส ภิกขุ
:http://www.kroobannok.com/blog/42115



"...ธรรมนั้น หากจะว่าโดยทั่วไปแล้ว เป็นของกว้างขวางมาก สภาวะที่ทรงไว้ซึ่งคุณงามความดี มีอยู่ในโลกนี้ตลอดเวลา เรียกว่า ธรรม
พระพุทธเจ้าจะเกิดหรือไม่เกิดก็ตาม บุคคลจะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติก็ตาม แต่ธรรมมีอยู่เช่นนั้น คิดดูเหมือนกันกับว่า ไฟ เป็นของมีอยู่กับโลกแต่ไหนแต่ไรมา ไฟเป็นของร้อน เด็กหรือผู้ใหญ่ ใครจะรู้หรือไม่ก็ตาม ไปถูกต้องเข้า จำเป็นจะต้องร้อนหรือไหม้ได้ไม่เลือกหน้า บุญและบาปก็ฉันนั้นเหมือนกัน ใครทำลงไปแล้วต้องได้รับผลตอบแทนตามกำลังแห่งการกระทำของตน ตนทำดีได้รับผลความดี เป็นความสุข ทำชั่วได้รับผลชั่ว เป็นความทุกข์ ไม่ได้เลือกว่ากลางวันกลางคืน หรือว่าคนชั้นใด วรรณะใด คนประเภทไหน ทำลงไปต้องได้รับผลเช่นเดียวกันทั้งหมด..."
                                                                         :หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี


:http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=0761695998d01b73&pli=1