แสงธรรมนำใจ > ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น

No teacher can do for you.

(1/4) > >>

ฐิตา:


No teacher can do for you.
No one can remove your greed,
hatred or jealousy.
And no one can take away your egoism.
Everyone must do on one own.

- Tenzin Palmo

沒有一位大師能代替我們做,
沒有一位大師能消除我們的貪婪、憤怒和嫉妒,
沒有一位大師能除掉我們的自我,
每個人必須自己做到。

——丹津.葩默

ไม่มีครูบาอาจารย์องค์ใดทำแทนคุณได้หรอก
ไม่มีท่านองค์ไหนจะมา ดับ ความโลภ
ความโกรธ หรือความขี้อิจฉาของคุณได้
และไม่มีท่านองค์ใดสามารถ ดับ อหังการในตัวคุณ
ทุกคนต้องพากเพียรกระทำเอาเอง.

ภิกษุณีเทนจิน พลัมโม


F/B Clearmind Zhao Ping
7 กันยายน 56

ฐิตา:

"เซน" สอนว่า

ไม่พุ่ง
ถาม "สติปัญญาระดับแว่นต้วนเป็นอย่างไร"
ตอบ จิตใจเยือกเย็นไม่พุ่งไป

22 ตุลาคม 2013


ไม้เท้ากับคำตวาด
สมัยก่อนเจ้าอาวาสชอบใช้ไม้เท้า เพื่อแสดงความน่าเชื่อถือ แต่ตอนนี้นอกจากแสดงความน่าเชื่อถือแล้วยังใช้ไม้เท้าเพื่อตีลูกศิษย์ด้วย คำตวาดของอาจารย์ก็เหมือนไม้เท้า

ลูกศิษย์สองคนไปเรียนฌานกับอาจารย์ แต่ไม่ว่าทั้งสองคนจะหลบหลีกเร็วขนาดไหน ก็ถูกอาจารย์ตีอยู่ดี วันหนึ่งอาจารย์พูดกับลูกศิษย์สองคนว่า “เรียนที่นี่แต่ถูกตี อาตมาจะหาอาจารย์ใหม่ให้”
สองคนรู้สึกว่าไม่มีทาง แต่ก็ดีกว่าถูกตีทุกวัน
สองคนเมื่อมาถึงห้องอาจารย์ใหม่ นึกว่ายืนไกลๆ อาจารย์จะตีไม่ถึง แต่เวลาตอบคำถามไม่ถูก อาจารย์ก็ตวาดลูกศิษย์ทั้งสอง ลูกศิษย์ทั้งสองกลัวจนตัวสั่น เดินไม่ไหว

22 ตุลาคม 2013



แม่น้ำคด ส่วนน้ำนั้นไม่คด
ไม่แกล้งปดดูให้ดีมีเหตุผล
กายกับใจไม่ลามกไม่วกวน
แต่กิเลสแสนกลนั้นเหลือคด

จิตล้วนล้วนนั้นเป็นประภัสสร
กิเลสจรครอบงำทำยุ่งหมด
กิเลสเปรียบลำน้ำที่เลี้ยวลด
จิตเปรียบน้ำตามกฎไม่คดงอ

อันจิตว่างมีได้ในกายวุ่น
ในน้ำขุ่นมีน้ำใสไม่หลอกหนอ
ในสงสารมีนิพพานอยู่มากพอ
แต่ละข้องวยงงชวนสงกา

พระตรัสให้ตัดป่าอย่าตัดไม้
ไม่เข้าใจตัดได้อย่างไรหนา
รู้แยกน้ำจากแม่น้ำตามว่ามา
จึงนับว่าผู้ฉลาดสามารถเอย ฯ



:จิตเดิมนั้นประภัสสรอยู่ปรกติเป็นกลาง ๆ มิได้คด มิได้มีกิเลส
"กิเลสต่างหากคด" และคนเข้าใจผิดคิดว่า "จิตคด"

เหมือนน้ำซึ่งไม่คด แต่แม่น้ำหรือคลองต่างหากคด.
ข้อนี้หมายถึง
ต้องกำจัดกิเลสที่จู่เข้ามาเป็นครั้งคราว
ไม่ใช่ไปทรมานจิตเดิมแท้ที่ประภัสสรอยู่เองแล้ว.

15 ตุลาคม 2013



ศิษย์วอนถามอาจารย์ฐานร้อนใจ
"ทำอย่างไรไปนิพพานอาจารย์ขา?"
"อ๋อ มันง่ายนี่กระไรบอกให้นา
คือคำว่าฝนอิฐเป็นกระจกเงา"

"อาจารย์ครับเขาคงว่าเราบ้าใหญ่
แม้ฝนไปฝนไปก็ตายเปล่า"
"นั่นแหล่ะเน้อมันสอนให้แล้วไม่เบา
ว่าให้เรา หยุดหา หยุดบ้าไป

ไม่มีใครฝนอิฐเป็นกระจก
ไม่ต้องยกมากล่าวเข้าใจไหม
นิพพานนั้นถึงได้เพราะไม่ไป
หมดตนไซร้ว่างเห็นเป็นนิพพาน

ถ้าฝนอิฐก็ฝนให้ไม่มีเหลือ
ไม่มีเชื้อเวียนไปในสงสาร
ฝนความวุ่นเป็นความว่างอย่างเปรียบปาน
ฝนอิฐด้านให้เป็นเงาเราบ้าเอง" ฯ



:ยิ่งวิ่งไล่ยิ่งยืดไกลออกไป นี่คือ ตัณหา ล่ะ ให้เหนื่อยหอบ.
ยิ่งอยาก "ยิ่ง" ไม่ได้หยุด แม้อยากเป็นพระอรหันต์;
เพราะพระอรหันต์ คือ ผู้ "หมดอยาก" และเป็นผู้หยุดสนิทแล้ว.
เอา ธาตุอยาก วิ่งไล่ ธาตุหยุดอยาก ฉันใด,
ฝนอิฐเป็นกระจกก็เหนื่อยเปล่าฉันนั้น.
ถ้าจะฝนต้องฝนให้หมด
ไม่มีเหลือ ไม่เป็นอิฐ ไม่เป็นกระจกอีกเลย.
ขอขอบคุณ ท่านพุทธทาส

15 ตุลาคม 2013



เจ้านั่นล่ะบาป
พระอาจารย์เซนรูปหนึ่งออกธุดงค์พร้อมกับศิษย์
ในขณะที่เดินผ่านแม่น้ำ
ผู้เป็นศิษย์เห็นเรือโดยสารที่เจ้าของเรือกำลังเข็นออกจากฝั่ง
ซึ่งระหว่างทางที่เข็นจากฝั่งเพื่อลงไปในแม่น้ำ
ได้ทับกุ้งหอยปูปลาตายเป็นอันมาก
ผู้เป็นศิษย์เกิดความสังเวชขึ้นในใจ จึงได้เปรยขึ้นว่า

"ช่างไม่กลัวบาปกลัวกรรมกันเลยหรืออย่างไร ถึงได้พรากชึวิต
ให้แตกดับไปเป็นอันมากเช่นนั้น"
"นายเรือไม่บาป" พระอาจารย์แย้งขึ้นด้วยเสียงที่เรียบเฉย
"เช่นนั้นเป็นบาปของผู้โดยสารหรือขอรับพระอาจารย์
เพราะเป็นต้นเหตุให้นายเรือต้องทำเช่นนั้น"
"ผู้โดยสารไม่บาป"
"แล้วบาปในครั้งนี้ตกอยู่ที่ใครละขอรับ"
"เจ้านั่นล่ะบาป"
ได้ยินเช่นนั้นความสงสัยก็เกิดขึ้นในใจของผู้เป็นศิษย์ทันที
เพราะเขาไม่เข้าใจเลยว่าอยู่ๆ บาปทำไมถึงมาตกที่เขาได้

"พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า กรรมต้องมีเจตนาเป็นที่ตั้ง
เมื่อไม่มีเจตนากรรมย่อมไม่เกิด
แต่เจ้ากลับชี้ถูกผิดในสิ่งที่ไม่มีตัวตน
แล้วบาปจะตกอยู่ที่ใครถ้าไม่ใช่เจ้า"

"เหตุบางอย่างเราก็ไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้
อย่างเรื่องของเจตนา คนที่รู้ดีก็คือตัวของผู้กระทำ
เจ้าสามารถชี้ชัดได้หรือไม่
หากเขาไม่มีเจตนาแต่เจ้ากลับชี้ชัดลงไปว่าเขามีเจตนา เจ้าถึงได้บาป"

และการที่เจ้าจะหาคนที่จะรับผลของบาปก็เช่นเดียวกัน
กุ้งหอยปูปลาเหล่านั้นซ่อนตัวอยู่ใต้พื้นทราย
นายเรือรู้หรือไม่ ผู้โดยสารรู้หรือไม่
นายเรือประกอบอาชีพเพื่อเลี้ยงครอบครัว
ผู้โดยสารมีเหตุจำเป็นต้องไปยังฝั่งตรงข้าม
เช่นนี้แล้ว หากโทษว่าใครบาป ใครไม่บาป
มิต้องโทษไปถึงสาเหตุเหล่านั้นอีกหรือ
เช่นนี้ เจ้านั่นล่ะบาป
:::  แง่คิด  :::
ผิดไม่ผิด บาปไม่บาป ผู้กระทำเท่านั้นที่จะรู้เจตนาดีที่สุด

7 ตุลาคม 2013


>>> F/B นิทานเซน
Pics :Pebble Art of NS by :Sharon Nowlan

ฐิตา:


มายาภาพ ใช้ธรรมจักษุ มองให้เห็นธาตุแท้ของสรรพสิ่ง
คนส่วนใหญ่มักจะมีชีวิตที่เร่งรีบ เครียดกับการงาน จิตใจก็ลุกลี้ลุกลน
ยากที่จะทำใจให้สงบได้
จึงมักจะเป็นเหมือนศิษย์เซนพวกนั้น ถูกมายาภาพหลอกหลอนจนหัวหมุน

กุมธาตุแท้ของสรรพสิ่งไม่ได้ ก็ควานหาปมเงื่อนของเรื่องไม่เจอ ส่งผลโดยตรงต่อความถูกต้อง เช่น ความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีมานี้ ปรากฏการณ์อันสลับ ซับซ้อน ทำให้ผู้คนสับสน เห็นต่างกัน ผู้คนแตกแยกทางความคิดต่อสู้สะเปะสะปะ แต้ถ้าเราใช้ธรรมจักษุมามองปัญหา เราจะรู้ว่าอะไรคือมายาภาพ อะไรคือธาตุแท้ และทางออกที่เหมาะสมที่สุดควรเป็นเช่นใด



อวิชชามักทำให้เราหลงทิศผิดทาง หลงตัวเอง คิดว่าตัวเองถูกต้องที่สุด ทั้งที่ในความเป็นจริง โลกนี้คือมายา กฏมนุษย์ทั้งหลายล้วนเป็นกฏสมมุติ ทางออกจึงมิได้มีเพียงถูก - ผิด, ดี - ชั่ว, ซ้าย - ขวา จงมองให้เห็นโลกใบใหญ่ แล้วเราก็จะรู้ว่าสรรพสิ่งมันดำรงอยู่เช่นนั้นเอง ไม่มีดี ไม่มีชั่ว ไม่มีเทพ ไม่มีมาร เราไม่สมควรใช้อคติไปตัดสินว่าสิ่งนี้สมควรอยู่ในโลกใบนี้ สิ่งนั้นสมควรถูกลบทิ้งไป เมื่อเข้าใจกฏแห่งธรรมชาติ จิตใจของเราจะเปิดกว้าง ยอมรับความจริง ยอมรับการดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง

5 พฤศจิกายน 2013



ชีวิตที่ชั่วช้าสามานย์ ถึงอยู่นานร้อยปีมิมีค่า
ถึงจะมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี
แต่ร้อยปีนั้น
หมดเปลืองไปกับสิ่งที่ไร้แก่นสาร
คนผู้นั้นจะแตกต่างอะไรกับเศษสวะ
ที่ล่องลอยไปตามกระแสน้ำ

31 ตุลาคม 2013


Snake River headwaters Grand Teton National Park,Wyoming

โยนทิ้งเสียบ้าง
ชายหนุ่มผู้เฉลียวฉลาดคนหนึ่ง เขามีความเจริญก้าวหน้าในทุกด้าน แต่ยังห่างไกลจากความเป็นนักวิชาการที่มีความรู้อันล้ำลึก สร้างความห่อเหี่ยวแก่เขาไม่น้อย จึงไปปรึกษาพระอาจารย์เซนท่านหนึ่ง
พระอาจารย์พูดว่า “เราไปปีนเขากันเถิด ไปถึงยอดเขา เจ้าจะเข้าใจเองแหละว่าควรทำอย่างไร”
ภูเขาลูกนั้นเต็มไปด้วยเพชรนิลจินดา น่าเย้ายวนเหลือเกิน เขาอดใจไม่ไหว เดินไปเจอก้อนหินสวยๆ น้ำงามๆ เข้า ก็เก็บใส่เป้หลังเพียงครู่เดียว เป้หลังก็แอ่น ตุง และเขาก็แทบจะเดินต่อไปไม่ไหว
“อาจารย์ เดินช้าๆ หน่อย ข้าเดินไม่ไหวแล้ว” เขาโอดครวญ”
“ก็แบกมาเสียเยอะแยะแบบนั้น” พระอาจารย์เซนพูดยิ้มๆ
“กลับกันเถอะ ไม่ขึ้นเขาแล้ว” ชายหนุ่มวิงวอน
“ตั้งใจว่าจะขึ้นให้ถึงยอดเขาไม่ใช่หรือ” พระอาจารย์แหย่
ชายหนุ่มเหมือนจะคิดได้ จึงถามว่า “ข้าควรทำอย่างไร”
“เจ้าคิดว่าควรทำอย่างไรล่ะ” พระอาจารย์ย้อนถาม
“ปล่อยวาง” ชายหนุ่มตอบ
“แล้วทำไมไม่ปล่อยวางล่ะ แบกก้อนหินหนักๆ ปืนขึ้นเขา ทำอย่างนั้นทำไม” พระอาจารย์สอน



::: แง่คิด :::
ทิ้งได้ เป็นความงามอย่างหนึ่ง
เพชรนิลจินดาที่เรียงรายอยู่ตามทาง ความรู้ที่กว้างใหญ่ไพศาล กิเลสตัณหาที่ยั่วยวนใจคน... เหล่านี้ล้วนเป็นอุปสรรคในชีวิตของคนเรา ถ้าหากจัดการได้ไม่เหมาะสม อยากได้ใคร่มีมากเกินไป โลภเกินไป หลงเกินไป ชีวิตก็จะเต็มไปด้วยภาระ หากเราเก็บทุกสิ่งทุกอย่างไว้ ไม่ยอมทิ้งเสียบ้าง มันก็เหมือนคนที่กินเข้าไปแล้วไม่ยอมขับถ่าย แบบนั้นไม่ถึงครึ่งเดือนมีหวังตาย
“ทิ้งได้” เป็นคำที่งดงามนัก ต้องทิ้งก่อน แล้วก็จะได้ จริงๆแล้ว เวลาที่เรา “ได้” เราก็กำลัง “สูญเสีย”
ต้องรู้จักปล่อยวาง ทิ้งได้ ชีวิตที่มีเวลาอันจำกัดจึงจะแข็งแรง สวยสดงดงาม

6 มกราคม 2014



ออกไป
วันหนึ่งอาจารย์มาถามเณร “พระธรรมเทศนายาวนาน แต่อาตมาสามารถใช้หนึ่งประโยคสรุปได้ โยมเชื่อมั้ย”
“อาจารย์พูดอะไร อาตมาก็เชื่อ” เณรตอบ
อาจารย์ชี้ไปทางซ้ายมือ แล้วบอกว่า “ไปโน่น” เณรกำลังไปทางซ้าย ทันใดอาจารย์ก็ตะโกนขึ้นว่า “ออกไป เพราะไม่มีความคิดเป็นของตนเอง”
เณรอีกคนหนึ่งรู้เรื่องนี้แล้วมาตอบคำถามให้อาจารย์ว่า “อาตมาเชื่อ”
อาจารย์ชี้ทางขวา พูดว่า “ไปทางนี้”
แต่เณรคนนี้ไม่ขยับตัว อาจารย์ก็ตะโกน “โยมมาหาอาตมา แต่ไม่เชื่อฟัง ออกไป”

6 ธันวาคม 2013



คิดเสียว่า เพื่อเอาชีวิตรอด
พระอาจารย์รูปหนึ่งพาลูกศิย์ออกธุดงค์ แต่เห็นว่าศิษย์ยังไม่ใส่ใจในการฝึกฝนตนเท่าที่ควร ในขณะเดินผ่านป่าพระอาจารย์หันไปเห็นจิ้งจอกกำลังไล่กระต่ายเพื่อจับเป็นอาหาร จึงชี้ไปให้ศิษย์ดูแล้วถามว่า
"จิ้งจอกตัวนั้นก็เหมือนเจ้าในเวลานี้" ผู้เป็นศิษย์ไม่เข้าใจที่พระอาจารย์เปรียบเปรย แต่ด้วยความสงสารกระต่ายจึงอยากช่วยเหลือ "เราควรจะช่วยกระต่ายตัวนั้นหรือไม่ขอรับ"

"ไม่ต้องหรอก เจ้าช่วยกระต่ายได้ก็จริง แต่ก็จะกลายเป็นว่าทำบาปที่เป็นต้นเหตุให้หมาจิ้งจอกอดอาหารไปหนึ่งมื้อ มันเป็นวัฏจักรเจ้าต้องรู้จักปล่อยวาง แต่ถึงเจ้าไม่ช่วย กระต่ายก็น่าจะเอาตัวรอดได้"
"ทำไม พระอาจารย์ถึงมั่นใจเช่นนั้นขอรับ ผมคิดว่าหมาจิ้งจอกตัวใหญ่กว่า แรงก็มีมากกว่า น่าจะจับกระต่ายได้แน่ๆ อยู่แล้วนี่ขอรับ"
"ดูไปเถอะ"
แล้วก็เป็นอย่างที่พระอาจารย์ว่า กระต่ายก็หนีได้ไปในที่สุด ผู้เป็นศิษย์ไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนเห็น จึงถามผู้เป็นอาจารย์เพื่อคลายข้อสงสัย "ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นขอรับพระอาจารย์"

"ฝ่ายหนึ่งคิดว่าอดแค่หนึ่งมื้อก็ยังไม่ตาย ส่วนอีกฝ่ายคิดว่านี่คือวาระสุดท้าย หากไม่พยายามชีวิตก็ไม่รอด เจ้าคิดว่าฝ่ายไหนจะมีความพยายามมากกว่ากัน" แม้ผู้เป็นศิษย์จะรู้ว่าฝ่ายเอาชีวิตรอดน่าจะมีความพยายามมากกว่า แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าพระอาจารย์ต้องการสอนอะไรตน ทำสีหน้าครุ่นคิด จึงได้เอ่ยต่อไปว่า
"เจ้าก็คือฝ่ายหมาป่าที่คิดว่ายังหนุ่มแน่นมีเวลาเรียนรู้พระธรรมอีกมาก จึงไม่พยายามให้เต็มที่ ทั้งที่จริงเจ้าน่าจะคิดว่าคนเราก็มีเพียงชีวิตเดียว หากไม่พยายามให้เต็มที่ก็จะไม่รอด"

"กิเลสก็ไม่ต่างอะไรกับจิ้งจอกที่หิวกระหาย หากไม่พยายามให้เต็มที่ก็จะตกอยู่ใต้อำนาจกิเลสโดยง่าย เจ้าต้องทำตัวเป็นกระต่ายที่คิดเสมอว่าตนเองมีชีวิตเดียว เจ้าก็จะรอดจากกิเลสได้ทุกเมื่อ"

:แง่คิด คนส่วนโหญ่มักคิดว่าชีวิตเป็นเรื่องง่าย จึงทำให้ขาดความจริงจังและความพยายาม และบ่อยครั้งก็ล้มเลิกความตั้งใจเอาเสียเฉยๆ เพราะคิดว่าพรุ่งนี้ค่อยเริ่มต้นใหม่ก็คงไม่เป็นอะไร ทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ยาก ชีวิตคนเรานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีความตายตามหลังอยู่ทุกขณะจิต จะตายวันตายพรุ่งไม่มีใครรู้ นิทานเซนเรื่องนี้จึงสอนให้คิดเสมอว่าให้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่หากไม่พยายามก็จะไม่รอด !!!

7 ตุลาคม 2013


>>> F/B นิทานเซน

時々होशདང一རພຊຍ๛:

:07: :07: :07:
ขอบพระคุณ ครับ พี่ แป๋ม :07:

http://www.youtube.com/v/2IdbJPH1iZU?version=3&hl=th_TH

ฐิตา:


ก้อนหินในกระเป๋า

เย็นวันหนึ่ง ในขณะที่พวกเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์กำลังเตรียมตั้งกระโจมทำการพักผ่อนนอนหลับนั้นเอง พวกเขาก็เห็นลำแสงเปล่งรัศมีเจิดจ้าขึ้น ประสาทที่หกบอกพวกเขาว่า เทพเจ้ากำลังจะปรากฏ ณ บัดนี้แล้ว พวกเขารีบคุกเข่าลงกับพื้นอย่างนอบน้อม และแล้ว เทพเจ้าก็ปรากฏกายขึ้นจริงๆ เทพเจ้าพูดกับเหล่าสาวกผู้ซื่อสัตย์ว่า “พรุ่งนี้ เวลาเดินทาง เจอก้อนหินที่ไหนก็ให้เก็บใส่กระเป๋ามากๆ ตกกลางคืน พวกเจ้าจะมีความสุขสุดๆ แต่ขณะเดียวกัน พวกเจ้าจะมีความทุกข์ด้วย” พูดจบ เทพเจ้าก็หายไป เหล่าสาวกต่างผิดหวังไปตามๆกัน พวกเขาคิดว่าเทพเจ้าจะนำโชคก้อนใหญ่มาให้พวกเขาเสียอีก ที่ไหนได้ เทพเจ้ากับสั่งให้พวกเขาทำงานบ้าๆ บอๆ ชิ้นหนึ่ง คือเก็บก้อนหินใส่กระเป๋า

เช้าวันรุ่งขึ้น แม้พวกเขาจะไม่พอใจ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าขัดคำสั่งเทพเจ้า พวกเขาหลับหูหลับตา เก็บก้อนหินก้อนเล็กๆ ใส่กระเป๋าไปตามเรื่อง แล้ววันนั้นก็ผ่านไปอย่างเซ็งๆ ตกเย็น ได้เวลาที่พวกเขาจะต้องางเต็นต์นอนพักกันแล้ว สาวกบางคนล้วงก้อนหินในกระเป๋าออกมาดูโดยมิได้ตั้งใจ ปรากฏว่าหินในกระเป๋ากลายเป็นทองคำ พวกเขาดีใจมาก แต่ขณะเดียวกัน พวกเขาก็รู้สึกเสียใจเป็นที่สุดที่มิได้เก็บก้อนหินใส่กระเป๋าให้มากกว่านี้
แง่คิด คนขยันมักจะโชคดี

เทพเจ้าสั่งให้กลุ่มคนเร่ร่อนเก็บก้อนหินใส่กระเป๋า โดยมิได้บอกให้รู้ว่า ตกเย็นก้อนหินจะกลายเป็นทอง กลุ่มคนเร่ร่อนเกรงกลัวอำนาจเทพเจ้า จึงเก็บก้อนหินใส่กระเป๋าอย่างขอไปที. เทพเจ้าในนิทานเซนเรื่องนี้เปรียบเสมือนเถ้าแก่หรือเจ้าของบริษัท พวกเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์เปรียบเสมือนลูกจ้างพนักงาน เป็นธรรมดาที่เจ้าของบริษัทจะปรารถนาให้พนักงานทำงานอย่างขยันขันแข็ง มีจิตใจเป็นเจ้าของงาน มีความกระตือรือร้น มีความคิดสร้างสรรค์ เช่นเดียวกับลูกจ้างส่วนใหญ่ที่มักจะเห็นบริษัทเป็นศาลาพักร้อนริมทาง พวกเขาจะทำงานอยู่ที่นี่ชั่วคราว แล้วมองบริษัทอื่นที่คิดว่าดีกว่าบริษัทที่ทำงานอยู่ เหตุนี้เอง คนส่วนใหญ่จึงทำงานอย่างขอไปที เจ้านายสั่งให้ทำอะไร ก็ทำพอมิให้ถูกด่า เรื่องบุกเรื่องลุย เรื่องลำบากหนักเหนื่อยเลี่ยงได้ก็เลี่ยง หลบได้ก็หลบ งานใหญ่งานเล็กล้วนมิได้ทำด้วยจิตใจของผู้ที่เป็นเจ้าของงาน

นิทานเซนเรื่องนี้สอนให้เราตระหนักว่า มีแต่คนที่รักงาน ขยันขันแข็ง ไม่เกี่ยงงาน ทำงานด้วยจิตสำนึกของผู้ที่เป็นเจ้าของงานเท่านั้น ชีวิตจึงจะเจริญรุ่งเรือง เปรียบไปก็เหมือนคนเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ที่เก็บหินใส่กระเป๋าอย่างคนที่สำนึกในคำสั่งและภาระหน้าที่ เก็บแต่ก้อนดี เก็บจนเต็มกระเป๋า โดยไม่คำนึกถึงความหนักเหนื่อยที่ตัวเองต้องแบกรับ ซึ่งมีคนประเภทนี้เท่านั้น ในกระเป๋าจึงพูนไปด้วยทองคำก้อนใหญ่ๆ ดีๆ
นอกจากนี้ นิทานเรื่องนี้ยังสอนเราอีกว่า ชีวิตเป็นอะไรที่แปลกมาก สุขมักมาคู่กับทุกข์ ได้มักมาพร้อมกับเสีย ในโชคดีมีโชคร้าย ในโชคร้ายมีโชคดี ความลำบากนำมาซึ่งความสำเร็จ

10 กันยายน 2013

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

ตอบ

Go to full version