อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
สมาธิเพื่อชีวิต (๑), (๒)
ฐิตา:
ช่างประดิษฐ์ทำสมาธิในการประดิษฐ์
เมื่อไม่นานมานี้ มีคฤหบดีท่านหนึ่งอุตส่าห์นั่งรถมาจากกรุงเทพฯ
พอมาถึงเขาก็มาบอกหลวงพ่อว่า
“ผมจะมาขอขึ้นครูกรรมฐานกับท่าน ได้ทราบว่าท่าน
สอนกรรมฐานเก่ง”
หลวงพ่อก็ถามว่า “คุณมีอาชีพอะไร” เขาตอบว่า
“ผมมีอาชีพในการประดิษฐ์สิ่งของขาย”
“ไหนคุณลองเล่าดูซิว่า ขณะที่คุณประดิษฐ์สิ่งของขายนั่นน่ะ
คุณคิดประดิษฐ์ของคุณอยู่นั่น
มันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง” เขาก็เล่าให้ฟังโดยยกตัวอย่างว่า
“สมมติว่าผมจะสร้างตุ๊กตาสักตัวหนึ่ง ผมก็มาคิดว่าจะทำใบหน้าอย่างนั้น
ทรงผมอย่างนี้ รูปร่าง ลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้ ผมก็คิดไปตามที่ผมจะคิดได้
คิดไปคิดมามันมีอาการเคลิ้ม เหมือนกับจะง่วงนอน แล้วก็มีอาการหลับวูบลงไป
รู้สึกหลับไปพักหนึ่ง ในขณะที่รู้สึกหลับไปพักหนึ่งนั่น จิตก็เกิดสว่าง
มองเห็นภาพตุ๊กตาที่คิดจะสร้างลอยอยู่ข้างหน้า ที่นี้จิตก็ดูของมันอยู่
จนกระทั่งแน่ใจ แล้วก็ถอนขึ้นมา ตื่นขึ้นมาจากภวังค์”
…ในช่วงที่จิตมันวูบนั่น นอนหลับไปแล้วเกิดฝันขึ้นมา
ฝันเห็นตุ๊กตาลอยอยู่ต่อหน้า เขาก็มาสร้าง ตุ๊กตาตามที่เขาฝันเห็น
เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ส่งออกขายในท้องตลาดก็เป็นที่นิยมแก่ลูกค้า
หลวงพ่อก็บอกว่า “คุณ คุณทำสมาธิเก่งแล้ว
คุณไม่ต้องมาขึ้นครูกรรมฐานกับฉันก็ได้ ให้คุณทำสมาธิ
ด้วยการประดิษฐ์ตุ๊กตาของคุณต่อไป นั่นแหละคือสมาธิ
ที่คุณต้องการจะเรียนจากฉัน ถ้าคุณต้องการจะให้สมาธิของคุณดียิ่งขึ้น
ให้คุณสมาทานศีล ๕ เสีย แล้วสมาธิของคุณจะเป็นไปเพื่อการละความชั่ว
ประพฤติความดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาดได้”
มีต่อค่ะ
ฐิตา:
ทำสมาธิโดยการบริกรรมภาวนา
หมายถึงการท่องคำบริกรรมภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่ง
เช่น พุทโธ ยุบหนอพองหนอ สัมมาอรหัน เป็นต้น
ผู้ภาวนาท่องบริกรรมภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่ง
จนจิตสงบประกอบด้วยองค์ฌาณ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
จิตสงบจนกระทั่งตัวหาย ทุกสิ่งทุกอย่างหายไป
เหลือแต่จิตที่สงบนิ่งสว่างอยู่ ความนึกคิดไม่มี
เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิ พอรู้สึกว่ามีกาย ความคิดเกิดขึ้น
ให้กำหนดสติตามรู้ทันที อย่ารีบออกจากที่นั่งสมาธิ
ถ้าปฏิบัติอย่างนี้จะได้ปัญญาเร็วขึ้น
…ในช่วงนี้ถ้าเราไม่รีบออกจากสมาธิ ออกจากที่นั่ง
เราก็ตรวจดูอารมณ์จิตของเราเรื่อยไป โดยไม่ต้องไปนึกอะไร
เพียงแต่ปล่อยให้จิตมันคิดของมันเอง อย่าไปตั้งใจคิด
ที่นี้พอออกจากสมาธิมาแล้ว พอมันคิดอะไรขึ้นมา ก็ทำใจดูมันให้ชัดเจน
ถ้าจิตมันคิดไปเรื่อย ๆ ก็ดูมันไปเรื่อย ๆ จะคิดไปถึงไหน ช่างมัน
ปล่อยให้มันคิดไปเลย เวลาคิดไป เราก็ดูไป ๆๆๆ
มันจะรู้สึกเคลิบเคลิ้มในความคิด
แล้วจะเกิดกายเบา จิตเบา กายสงบ จิตสงบ
กายเบา กายสงบ ได้กายวิเวก
จิตเบา จิตสงบ ได้จิตวิเวก
ทีนี้จิตสงบแล้ว จิตเป็นปกติได้
ก็ได้อุปธิวิเวกในขณะนั้น
บริกรรมพุทโธ กับการตามรู้จิต คือหลักเดียวกัน
…ภาวนาพุทโธเอาไว้
พอจิตมันอยู่กับพุทโธก็ปล่อยให้มันอยู่ไป
พอทิ้งพุทโธแล้วไปคิดอย่างอื่น
ปล่อยให้มันคิดไปแต่ให้มีสติตามรู้…
พุทโธที่เรามาท่องเอาไว้
๑. เพื่อระลึกถึงพระบรมครู
๒. เพื่อกระตุ้นเตือนจิตให้เกิดความคิดเอง
ทีนี้เมื่อจิตทิ้งพุทโธปั๊บ มันไปคิดอย่างอื่นขึ้นมาได้
แสดงว่าเขาสามารถหาเหยื่อมาป้อนให้ตัวเองได้แล้ว
เราก็ไม่ต้องกังวลที่จะหาอารมณ์มาป้อนให้เขา
ปล่อยให้เขาคิดไปตามธรรมชาติของเขา
หน้าที่ของเรามีสติกำหนดตามรู้อย่างเดียวเท่านั้น
นี่หลักการปฏิบัติเพื่อจะได้สมาธิ สัมพันธ์กับชีวิตประจำวัน ต้องปฏิบัติอย่างนี้
มีต่อค่ะ
ฐิตา:
อย่าข่มจิตถ้าจิตอยากคิด
ถ้าเราภาวนาพุทโธ ๆ
แม้ว่าจิตสงบเป็นสมาธิถึงขั้นละเอียด ถึงขั้นตัวหาย
เมื่อสมาธินี้มันจะได้ผล ไปตามแนวทางแห่งการปฏิบัติ
เพื่อมรรค ผล นิพพาน
ภายหลังจิตที่เคยสงบนี้มันจะไม่ยอมเข้าไปสู่ความสงบ
มันจะมาป้วนเปี้ยนแต่การยืน เดิน นั่ง นอน
รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด
ซึ่งอันนี้ก็เป็น ประสบการณ์
ที่หลวงพ่อเองประสบมาแล้ว
พยายามจะให้มันเข้าไปสู่ความสงบอย่างเคย
มันไม่ยอมสงบ ยิ่งบังคับเท่าไรยิ่งดิ้นรน
นอกจากมันจะดิ้นแล้ว
อิทธิฤทธิ์ของมันทำให้เราปวดหัวมวนเกล้า
ร้อนผ่าวไปทั้งตัว เพราะไปฝืนความเป็นจริงของมัน
ทีนี้ภายหลังมาคิดว่า แกจะไปถึงไหน
ปรุงไปถึงไหน เชิญเลย ฉันจะตามดูแก
ปล่อยให้มันคิดไป ปรุงไป ก็ตามเรื่อยไป
ทีนี้พอไป ๆ มา ๆ ตัวคิดมันก็คิดอยู่ไม่หยุด
ตัวสติก็ตามไล่ตามรู้กันไม่หยุด พอคิดไปแล้ว
มันรู้สึกเพลิน ๆ ในความคิดของตัวเอง
มันคล้าย ๆ กับว่ามันห่างไกล ไกลไปๆๆ
เกิดความวิเวกวังเวง กายเบา จิตเบา กายสงบ จิตสงบ
และพร้อมๆ กันนั้นน่ะ ทั้งๆ ที่ความคิด
มันยังคิดไวเร็วปรื๋อจนแทบจะตามไม่ทัน
ปีติและความสุขมันบังเกิดขึ้น แล้วทีนี้มันก็มีความเป็นหนึ่ง
คือ จิตกำหนดรู้อยู่ที่จิต ความคิดอันใดเกิดขึ้นกับจิต
สักแต่ว่าคิด คิดแล้ว "ปล่อยวางไป"ๆ
มันไม่ได้ "ยึดเอามา" สร้างปัญหาให้ตัวเองเดือดร้อน
…แล้วในที่สุดเมื่อมันตัดกระแสแห่งความคิดแล้ว
มันวูบวาบๆ เข้าไปสู่ความสงบนิ่งจนตัวหาย
เหมือนอย่างเคย จึงได้ข้อมูลขึ้นมาว่า
…อ๋อ ธรรมชาติของมัน เป็นอย่างนี้...
มีต่อค่ะ
ฐิตา:
ศีลอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา ปัญญาอบรมจิต
ความคิดอันใดที่สติรู้ทันทุกขณะจิต
ความคิดอันนั้นคือปัญญาในสมาธิ
เป็นลักษณะของจิตเดินวิปัสสนา
พร้อมๆ กันนั้นถ้าจะนับตามลำดับขององค์ฌาน
ความคิด เป็น ตัววิตก
สติรู้พร้อมอยู่ที่ความคิด เป็นตัววิจารณ์
เมื่อจิตมีวิตก วิจารณ์ ปีติ และสุขย่อมบังเกิดขึ้นไม่มีปัญหา
ทีนี้ปีติเกิดขึ้นแล้ว จิตมันก็อยู่ในสภาพปกติ กำหนดรู้ความคิด
ที่เกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา ก็ได้ความ เป็นหนึ่ง
ถ้าจิตดำรงอยู่ในสภาวะเป็นอย่างนี้ ก็เรียกว่าจิตดำรงอยู่ในปฐมฌาน
คือ ฌานที่ ๑ ประกอบ ด้วยองค์ ๕ : วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
มีต่อค่ะ
ฐิตา:
ปล่อยจิตให้คิด เกิดความฟุ้งซ่านหรือเกิดปัญญา
…ความคิดที่จิตมันคิดขึ้นมาเอง เป็นวิตก
สติรู้พร้อม เป็นวิจารณ์ เมื่อจิตมีวิตก วิจารณ์
ปีติ และความสุขย่อมเกิดขึ้นไม่มีปัญหา
ผลที่จะเกิดจากการตามรู้ความคิด
ความคิดเป็นอารมณ์สิ่งรู้ของจิต เป็นสิ่งระลึกของสติ
เมื่อสติสัมปชัญญะดีขึ้น เราจะรู้สึกว่า…
ความคิด เป็นอาหารของจิต
ความคิด เป็นการบริหารจิต
ความคิด เป็นการผ่อนคลายความตึงเครียด
ความคิด เป็นนิมิตหมายให้เรารู้ว่าอะไรเป็นเรื่องทุกข์ เป็นอนัตตา
แล้วความคิดนี่แหละมันจะมายั่วยุให้เราเกิดอารมณ์ดี อารมณ์เสีย
เมื่อเรามองเห็นอารมณ์ดี อารมณ์ เสีย มองเห็นอิฏฐารมณ์
อนิฏฐารมณ์ ที่ก่อเป็นตัวกิเลส ทีนี้เมื่อจิตมีอิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์
มันก็มี ก็มองเห็น สุขบ้าง ทุกข์บ้าง คละกันไป ในที่สุด ทุกข์อริยสัจ
…ถ้าจิตมันเกิดทุกข์ขึ้นได้ สติรู้พร้อม มองเห็นทุกข์อริยสัจ
ถ้า"จิตมีปัญญารู้สึก" มันจะบอกว่า
อ้อ ! "นี่คือ..ทุกข์อริยสัจที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้"
แล้วมันจะดูทุกข์กันต่อไป
สุข ทุกข์ ทั้งสองอย่างเกิดขึ้นสลับกันไป
อันนี้คือกฎอริยสัจแล้วในที่สุด จิตมีสติมีปัญญาดีขึ้น
มันจะกำหนดหมายรู้ว่า นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ
แล้วจะมองเห็นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นดับไปเกิดขึ้นดับไปอยู่อย่างนั้น
ยัง กิญจิ สมุทย ธัมมัง สัพพันตัง นิโรธ ธัมมันติ
ท่านอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมว่า
สิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา… คือจุดนี้
มีต่อค่ะ
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version