คุณ noneasy2go ว่า
ถ้าคุณมีคุณสมบัติที่แสนวิเศษ มี Q ทั้ง 6 ที่พร้อมตั้งแต่เกิดก็ยินดีด้วยค่ะ
มาดูคำถามกันก่อน "ศาสนาเป็นปัจจัยที่ 5 ในการดำรงชีวิต ใช่หรือไม่"
คำว่า "ปัจจัย" อีก 4 อย่างที่เหลือ คือ 1 อาหาร 2 ที่อยู่อาศัย 3 เครื่องนุ่งห่ม 4 ยารักษาโรค
ล้วนแต่เป็นปัจจัย ในการรักษาความเป็นปกติของ ชีวิต
ดังนั้น คำว่า "ชีวิต" ในที่นี้หมายถึง ร่างกาย และธาตุต่างๆ ที่ประกอบเป็นร่างกาย
ฉะนัันตอบแบบง่ายๆ เลย ว่า "ไม่ใช่" ศาสนาไม่ใช่ปัจจัยที่ 5 เพราะร่างกายสามารถดำรงอยู่ได้ โดยไม่ต้องการศาสนา
แต่มาดู argument ที่คุณนำมาสนับสนุน แนวคิดกัน
...ศาสนาสำหรับบางคนมีไว้พยุงคนจิตใจอ่อนแอง่อนแง่น ราวกับ ไม้เท้า ก็ไม่ปาน
ดังนั้นศาสนาเป็นปัจจัยที่ 5 สำหรับบางคน เพราะบางคนทำราวกับว่าชีวิตขาดมันไม่ได้...
จริงๆ แล้ว คนมองศาสนาต่างกัน หากมองว่าเป็นความเชื่อเหลวไหลไร้สาระ
มันก็ไม่แปลกที่จะมีคนมองคนมีศาสนาว่าเป็นคนอ่อนแอ อยู่ไม่ได้ด้วยจิตวิญญาณของตัวเอง
แต่สำหรับดิฉันแล้ว ศาสนาเป็นแค่ช่องทางในถ่ายทอด หลักการต่างๆ ในการดำรงชีวิต ตั้งแต่ไร้สาระอย่างที่สุดจนถึงมีเหตุผลอย่างที่สุด
ดังนั้น หลักการที่ศาสนามอบให้ ก็ไม่ต่างกับ บรรดาหลักการอื่นๆ ของโลกที่มีอยู่มากมาย เพียงแต่มีชื่อเรียกว่าศาสนา
และในบรรดาหลักการอื่นๆ ที่โลกมอบให้ ก็ทับซ้อนกันอยู่กับหลักการทางศาสนา เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเหมือนกัน
และแน่นอนว่า บรรดาหลักการนอกศาสนานั้นๆ ก็ประกอบไปด้วยส่ิงที่เหลวไหลที่สุด ไปจนถึงสิ่งที่มีเหตุผลที่สุด
คำตอบก็คือ ถึงแม้ว่าคุณจะไม่นับถือศาสนาไหนเลย คุณย่อมมีความเชื่อหรือหลักการที่โลกมนุษย์ให้คุณ
ซึ่งมันอาจจะเหลวไหลที่สุด หรือมีสาระที่สุดก็ได้
อาจจะเหมือนหรือไม่เหมือนกับหลักการของศาสนาใดก็ได้
สรุป ปัจจัยที่ 5 ที่คุณว่า แท้จริงแล้วไม่ใช่ศาสนา
แต่คุณหมายถึง จิตวิญญาณ ที่อาศัยความเชื่อและหลักการ เพื่อดำรงอยู่
เลือกจะทิ้งหลักการใดๆ ที่ให้คุณประโยชน์ เพียงเพราะคำว่าศาสนา
หรือเลือกที่มองข้ามหลักการใดๆ ที่มีเหตุผล เพียงเพราะอยู่นอกศาสนา
มันก็กะลาพอๆ กัน
นู๋บี ว่า อืม...ถึงอิฉัน จะไม่ได้ มี คุณสมบัติที่แสนวิเศษ
มี Q ทั้ง 6 ที่พร้อมตั้งแต่แรกเกิด แต่ Q ทั้งหลาย ในตัวอิฉัน
มันก็มีวิวัฒนาการที่ดีขึ้นตามลำดับ อ่ะเจ้าคะ
ก็ตามประสาคนวาสนาดี มีปัญญา นั่นแหล่ะคร้าาาาา
ถึงได้มีคนตั้งฉายาให้ว่า บัวผ่องเป็นยองเป็นใย ไงค๊ะ
แหม๊ พูดแล้วจะหาว่า คุย เนี่ย แจ่มไม่แจ่มไม่รู้
แต่ ถึง ขนาด มีอิป่วนท็อป ทรี ที่ลานธรรมจก
สถาปนาให้เป็น ปูชะนียะบุคคล ด้วยนะเจ้าคะ หุหุ
ส่วน รุ่นน้องที่ ทำงาน ก็ยัง ชมเปาะ เรยอ่ะ
มัน บอกประมาณว่า
ไม่ต้องไปหาพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบที่ไหนไกล
ถ้า อยากเจอคนที่รู้แจ้งเห็นจริง ในเรื่องการปฏิบัติ
ในโรงบาลนี้ก็มี เก๊าะ อิตั้วเจ้นู๋บี นี่แหล่ะ
เป็นผู้ที่ปฏิบัติ แล้ว รู้แจ้งเห็นจริง
พี่เค้า ภูมิสูง กว่า เรา และ พระบ้าน ๆ หลาย ๆ รูป แถวนี้ซะอีก
อิอิ เอามาแพล่ม อวดให้ฟังอ่ะคะ
เพราะนาน ๆ ที ถึงจะเจอ ผู้ที่มีมุทิตาจิต
คิดมาแสดงความยินดี กับ สารพัดคิว อันสูงส่ง ของอิฉัน ด้วยความจริงใจ อิอิ
อืม.... อิฉันเห็นเหมือนคุณ ในประเด็นที่ว่า
ศาสนาเป็นแค่ช่องทางในถ่ายทอด หลักการต่างๆ ในการดำรงชีวิต
ตั้งแต่ไร้สาระอย่างที่สุดจนถึงมีเหตุผลอย่างที่สุด นะ
ประมาณว่า สาดหนา คือหนังสือ ฮาวทู เล่มนึง ที่เหมือน ดาบสองคมมั้ง
เราจึงควรสำเหนียก สำนึก และ หมั่นตั้งคำถามกับตัวเองเสมอ ว่า
ที่เรา ซื้อหา หนังสือเล่มนี้ เอาไว้ในครอบครองนั้น
เราจะสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้คุ้มค่ากับการลงทุนไหม
และ เนื้อหาในหนังสือนั่น มันมีโทษอะไร
ที่แอบแฝงปนเปื้อน เข้ามาในหนังสือเล่มนี้ หรือเปล่า ?
ที่สำคัญ ถ้าเรา ตกผลึกความคิด กลั่นกรองเอาสาระ จากมัน
คั้นเอาแต่หัวกะทิจนเหลือแต่กากเสร็จแล้ว
เราจะจัดการยังไงกับมันดี เอาเก็บไว้ใส่หิ้งบูชา
หรือว่า เอาไปชั่งโล ขายให้ซาเล้ง ดีล่ะ
หรือว่า ถ้าจะให้เจ๋งกว่านั้น หลังตกผลึกทางความคิด
เห็นทั้ง ส่วนที่เป็น สัมมาทิฏฐิ แล มิจฉาทิฏฐิ ในหนังสือนั้นแล้ว
เราก็มาทำการ คิดล้างครู โดย เขียนหนังสือ อีกเล่ม
มาชำแหละ เอ๊ย วิแคะแกะเกา ไอ้เจ้า หนังสือ ฮาวทู ที่เราเคยอ่าน
เพื่อเป็นการชี้โพรงให้กระรอกดีล่ะ
สรุป ปัจจัยที่ 5 ที่อิฉันว่า แท้จริงแล้วอิฉัน ต้องการจะเจาะลึก
ในประเด็น ของศาสนา ( เน้นเรื่องของศรัทธาจริต ) นั่นแหล่ะคร้าาาา
ไม่ใช่ เน้นเรื่อง จิตวิญญาณ ( ขันธสันดาน )
ที่อาศัยความเชื่อและหลักการ เพื่อดำรงอยู่ ( ทิฏฐิ )
อิฉันถึงได้ต้องลากเอาเรื่อง สารพัดคิว มาเอี่ยวไง
เพราะ ทุกครั้งที่เห็น มีคนมาตั้งกาทู้ ถาม ประมาณว่า ทำไมต้องนับถือศาสนา
เหล่าศรัทธาจริตจ๋า ก็มักจะออกมาเต้นแร้งเต้นการ้อง เย้ว ๆ
แล้วบอกว่า ถ้าพวกเมิงไม่นับถือศาสนา คุณจะเป็นคนดีศรีสังคม ได้ไง
แล้ว ไอ้คำถามที่ น่าขำมากกว่านั้น คือ ไอ้คำถามกลับ ประเภท
ถ้าคุณไม่นับถือศาสนา
เมื่อคุณต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ มาก ๆ
คุณจะทำอย่างไร จะใช้ วิธีไหน ในการ รับมือกับมัน
ดูคนเหล่านั้น มันจะภาคภูมิใจเสียนี่กระไร
กับความมีศาสนา ของตัวเองน่ะ
ส่วน อิพวก จขกท. นี่ก็ โคตรแหย มากมาย
ไม่ยักกะสวนกลับสักแอะ แต่ก็นั่นแหล่ะนะ
บางครั้งด้วย ภูมิรู้ ภูมิศีล ภูมิธรรม ที่ยังไม่มากพอ
คนตั้งกาทู้ มันก็เลย ไม่กล้าที่จะไปต่อกร
ก๊ะ บรรดาศรัทธาจริตจ๋า เขี้ยวโง้งเหล่านั้น
แต่บังเอิญ อิฉัน มันไม่ใช่พวกอิอ่อนสอนขัน แต่เป็น ตัวแม่นี่คร้าาา
ก็เลยกล้าที่จะ ตั้งกะทู้ถาม และ ก็กล้าที่จะงัดภูมิกึ๋น
และ สารพัดคิว ของตัวเองมาอวดไง
ก็คนมัน เจ๋งจิง อะไรจริง นิ จะมีอะไรต้องกลัวล่ะ
นี่ยังขำอยู่เลยนะ ที่ในกระทู้อิฉัน ไม่มี ชาวบ้านที่ไหน มาโพส
อ้างว่า ศาสนาทำให้เป็นคนดี มีศีลธรรม หรือ ว่า ทำให้พ้นทุกข์เลย
ก็แหง๋ละนะ จะทำได้ไงล่ะ ในเมื่อ อิฉัน งัดเรื่อง ๖ คิว มาอ้างดักคอไว้แล้วนิ
ตราบใดที่ ยังมีสารพัดคิว และ ภูมิศีลภูมิธรรม ไม่เลิศเลอเปอร์เฟค เช่นอิฉัน
ใครหน้าไหน ก็ไม่สามารถ มาดีเบต ชนะ อิฉัน หรอกนะ
เพราะ เหตุผล และ ตรรกะ ของอิฉัน ค่อนข้าง เอาอยู่ อิอิ
อ้อ แต่จริงๆ แล้ว อิฉันไม่ได้มองว่า
ศาสนาเป็นความเชื่อเหลวไหลไร้สาระ หรอกนะ
สาดหนามันก็มีทั้งส่วนที่เป็นโคลนตม
และ ส่วนที่เป็น ดวงดาวอันพราวพราย นั่นแหล่ะ
เพียงแต่ว่า อิฉันแปลกใจ ที่ทำไม หลายคน
ถึงไม่เคยตั้งคำถามกับตัวเอง เลยว่า
แท้จริงแล้ว ตนนั้นนับถือศาสนา ไปทำติ้งอะไร
สาดหนามันมีประโยชน์จริงไหม ?
หรือว่า ที่ถือ ๆ กันมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย
มันเป็นไปในสไตล์ ตัวถ่วงความเจริญกันแน่
ทำไมไม่ร้จัก ทำอะไรให้มัน บูรณาการ เอาซะเรย
มัวแต่เชื่อตามโคตรพ่อโคตรแม่อยู่ได้
ใช้สไปนอลคอร์ด มาโยนิโส ไม่เป็นหรือไงฟระ ฯลฯ
แต่ไอ้เรื่อง คนมีศาสนา เป็นคนอ่อนแอ
อยู่ไม่ได้ด้วยจิตวิญญาณของตัวเอง นี่มันก็เรื่องจริงนี่
เพียงแต่บางครั้ง การยอมรับ ว่าตัวเอง มีข้อด้อย นี่
ลึก ๆ แล้ว มันก็เป็นปมด้อยทำให้รู้สึกเจ็บปวด และ อับอายขายขี้หน้ามั้ง
ศาสนิกชนทั้งหลายก็เลยทำใจลำบาก พิลึก
ที่จะเชิดหน้า ยอมรับความจริง ว่าตัวเอง เป็นคนอ่อนแอ
ฉะนั้น อิฉัน ไม่ได้เลือกจะทิ้งหลักการใดๆ
ที่ให้คุณประโยชน์ เพียงเพราะคำว่าศาสนา
หรือเลือกที่มองข้ามหลักการใดๆ ที่มีเหตุผล เพียงเพราะอยู่นอกศาสนา
อันไหน เข้าท่า อิฉัน ก็หยิบเอามาใช้ ( อาทิเช่น เรื่องของการถือศีลหก)
เพียงแต่ อิฉัน เอามันมาใช้ แบบ หนังสือฮาวทู อ่ะ
ครึ้ม ๆ ก็ต่อยอดเอาเอง หนังสือมันเขียนไม่เข้าท่า
ก็มีด่าคนเขียนออกอากาศ เพื่อช่วยเตือนชาวบ้านทางอ้อม5555
คืออิฉันไม่ได้ นับถือศรัทธาอะไร ในหนังสือ เล่มนี้ นักหนา
จน ถึงขั้นที่จะ จุดธูปเทียนไปไหว้บูชา
หรือ ต้องเอามันมาเป็นสรณะ
ทำละหมาด วันละ ห้าเวลา เพื่อ เพิ่มความขลัง นิ
สาดหนา จึงไม่ใช่ ปัจจัยที่ ๕ ในการดำรงชีวิตของอิฉัน
และถึงไม่มีมัน อิฉันก็อยู่ได้ อย่างชิล ๆ
เจริญดี ทั้งภูมิศีล ภูมิธรรม อ่ะค่ะ
ถึงได้ ขบขันแกมเวทนาเสมอ
เวลาที่ เห็น พวกศาสนิกชน
เอา หนังสือฮาวทู มาใส่พานวางไว้บนหิ้ง
แล้ว ทิ้งไว้ให้หยากไหย่ ขึ้นไง
แล้วก็สงสัยอีกว่า ทำไม ต้องมานั่งชาบู ๆ
ไอ้หนังสือฮาวทู เล่มนี้กันนักวะ
ก็แค่ อ่านเสร็จ วิเคราะห์ สังเคราะห์ เอาไปใช้
แล้วพอมันหมดประโยชน์ เก๊าะ โล๊ะทิ้งเอาไปชั่งโลขาย ก็เท่านั้น
อะไรคือเหตุปัจจัยที่ทำให้ พวกคุณทำไม่ได้ล่ะ ?
ถ้ามันไม่ใช่ความอ่อนแอทางใจ ( หรืออีกนัยหนึ่ง เก๊าคือ ความพิการทางจิต นั่นแหล่ะ )
อืม...จะให้ ทั่นด๊อคเตอร์ เลคเว่ตอร์ มาใช้ ทฤษฎี จิตวิเคราะห์ ค้นหาให้ไหม
บางทีมันอาจจะเป็นเพราะว่า ลึก ๆ แล้ว พวกคุณยังไม่มีมั่นใจในคุณค่าความเป็นมนุษย์ของตัวเอง
และ ยังไม่ นับถือตัวเอง เพียงพอใง พวกคุณก็เลย ต้อง อาศัย สิ่งสมมุติ อะไรสักอย่าง
ที่เป็นตัวแทนด้านสว่าง ซึ่งสามารถให้คุณ ให้โทษ กับตัวเอง ได้
เช่น พระเจ้า พระพุทธเจ้า มาเป็น หลักยึดเหนี่ยวทางจิตใจ เป็นศูนย์รวมความคาดหวัง
แถมยังอาศัย ความเชื่อเรื่อง นรกสวรรค์ บาปบุญคุณโทษ
การเวียนว่ายต่ายเกิด เพื่อเป็นราวเกาะ ให้คุณมีความคาดหวัง
ที่จะปฏิบัติตามแนวทางที่คุณคิดว่า มันดีงาม
แต่ถามหน่อยเหอะ ถ้า สมมุติว่า หากนรกไม่มี สวรรค์ไม่มี
ตายแล้วก็สูญ กินหมู ก็ไม่ตกนรก ผิดศีลก็เจ้ากันไป ตายแล้วก็จบ ฯลลฯ
ถ้า ความจริง base on fact มันเป็นงี้จะมีคน อกแตกตายป่ะ
แหม ? น่าเวทนาจังเน๊าะ อุส่า ทำตัวเป็น เด็กดี มาทั้งชีวิต
กลับต้องผิดหวัง เพราะความฝันอันยิ่งใหญ่ ดับสูญ ไปซะแระ อนิจจัง วัฏฏะสังขารัง อิอิ
noneasy2go ว่า
มนุษย์อ่อนแอเป็นเรืองปกติ ถ้าคุณเข้าใจตรงนี้ก็ดีแล้ว ถ้าคุณชอบตั้งคำถามก็ดีแล้ว
ดิฉันไม่รู้ว่าคุณเป็นคนอย่างไรในชีวิตจริง แต่พิจารณาจากอัตลักษณ์ที่คุณสร้างขึ้นมาผ่านการเขียน
คุณยังไม่ใช่คนที่ดีที่สุดหรอก คุณยังดีกว่านี้ได้อีก ดิฉันก็เหมือนกันติดนิสัยอย่างหนึ่งเลิกยากมาก
ศาสนาพุทธเค้าเรียกว่า การเพ่งโทษผู้อื่น การติดดี จิตวิทยาทั่วไปเค้าว่า egocentric คุณน่าจะรู้จัก
ในมุมมองของดิฉัน คำว่า ศรัทธา ไม่ได้แฝงนัยเพียงด้านมืดบอดเพียงอย่างเดียว
แต่ก็แฝงด้วยคุณธรรมข้อหนึ่ง คือ ความกตัญญูกตเวที
ลองพิจารณาดังนี้
ความอ่อนแอ ทำให้เกิดความกลัว ความกลัวทำให้หาสิ่งยึดเหนี่ยว กลายเป็นความเชื่อ
เมื่อปฏิบัติตามความเชื่อแล้วทำให้รุ้สึกดี ได้ผลดี จึงเกิดความศรัทธาในเจ้าของความคิดนั้นๆ
ถ้ามองตามนี้ ศรัทธา มีความหมายใกล้เคียงกับ ความกตัญญูกตเวที ไม่น้อย
เมื่อเจ้าของความคิดนั้นได้ล่วงลับไปแล้ว การแสดงความกตเวทีจึงทำได้ผ่านการสวดมนต์และการกราบไหว้บูชา
เหมือนที่เราศรัทธาในตัวพ่อแม่ ในคำสั่งสอนของท่าน เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ยังคงกราบไหว้และระลึกถึงอยู่เสมอ
ซึ่งการแสดงออกเช่นนี้ มันไปพ้องกับ การสวดมนต์ การกราบไหว้ ผีสางเทวดา สิ่งที่มองไม่เห็น ซึ่งมีรากที่มืดบอด
การมองแต่เพียงรูปแบบภายนอกที่เหมือนกัน ศรัทธาจึงมักถูกผูกกับความงมงายอยู่เสมอ
แต่ความศรัทธาและความกตัญญูกตเวทีเช่นนี้ก็มีผลเสียมหาศาล หากเกิดการกลายพันธุ์ไปเป็น ลัทธิบูชาตัวบุคคล
ทำให้ยึดมั่นทุกสิ่งอย่างที่ ตัวบุคคลที่เราศรัทธานั้นบอก โดยมองข้ามการพิจารณาเนื้อหาสาระ
การแยกแยะไม่ออกถึงผลดีผลเสียและความถูกต้อง กลายเป็นต่อต้านความคิดที่แย้งกับตัวบุคคลนั้น
ปลายทางกลายเป็นความชั่วร้าย เช่น สงครามศาสนา การลงโทษพวกนอกรีต
นู๋บีว่าอืม...ก่อนอื่น อิฉัน ต้องบอกว่า เซอร์ไพร๊ซ์ มากมายอ่ะนะ
ที่ คุณ มาคลิ๊ก ถูกใจ คห. 31 ของอิฉัน
ตอนแรกนึกว่า อ่านแร้วจะ เต้นดิสโก้ผาง ๆ เป็นเพื่อน อินังญิ๋งเล็กซะแระ
เพราะว่าที่โพส ๆ ไป นั้น มันค่อนข้างจะ กวนซ่งติง มากมาย แหะ ๆ
เฮ้ออ แต่จะว่าไป ระบบแท็ก นี่มันก็ดีงี้นี่เอง ทำให้เราได้เปิดหูเปิดตา
และพบว่า ถึงในห้องศาสดาจะมีแต่พวกศรัทธามากล้นเกินปัญญา
แต่ คนจากห้องอื่นนี่ก็มี พุทธจริต ยอมรับความเห็นต่าง อยู่แยะเหมือนกันแฮะ
แลกเปลี่ยนความเห็นด้วย แล้ว เซลสมองมันมีพัฒนาการ ลื่นปื้ดๆ ดี
งี้ค่อยสมกับเป็น พันติ๊ปเวอร์ชั่นใหม่ สังคมอุดมปัญญาหน่อย อิอิ
เออนี่ ๆ คุณ เข้าใจความหมาย ของ การเป็น ปัจเจกชน ไหมล่ะ
คุณสมบัติอย่างหนึ่งของ ปัจเจก คือ เขาเหล่านั้น มักจะไร้ ศรัทธาจริตโดย สิ้นเชิงนะ
เฮ้อออ รู้ป่ะ นอกจากอิฉันจะเป็น เปอร์เฟคชันนิสต์ ที่มี ปมเขื่องแบบนาร์ซิซัส แล้ว
อิฉัน ค่อนข้างจะเป็น ปัจเจก นะ นั่นก็คือ ไร้ซึ่งศรัทธาจริต อย่างสิ้นเชิง
มองทุกสิ่งทุกอย่างจาก ประโยชน์ใช้สอยเท่านั้น
และนั่น คือ เหตุปัจจัย ที่ทำให้ อิฉัน นับถือศาสนา ไม่ลงไง
เฮ้ออ ความเลื่อมใสศรัทธา นี่ มันก็ เป็น สภาวะจิตชนิดหนึ่ง
ที่มันบังคับกันไม่ได้ แบบเดียวกับ ความรัก ซะด้วย อ่ะดิ
ก็คนมันไม่ศรัทธา จะให้มันเห็น สากหนาเป็นสิ่งจำเป็น ได้ไงฟระ ยัดเยียดกันอยู่นั่นแหล่ะ
ที่รู้ว่า ไม่ได้เลื่อมใส เพราะสมัยเด็ก ๆ
เคยมีความรู้สึกเลื่อมใสศรัทธา มาก่อนไง
ก็ ศรัทธาประสาสะ ตามโคตรพ่อโคตรแม่ นั่นแหล่ะ
เห็นพ่อเห็นแม่ศรัทธา ก็เลย เชื่อตามกัน
แต่พอถึง ป.๓ - ป.๔ คงเริ่มใช้สมองคิดเองเป็น มั้ง
เลยชักจะ ตั้งคำถามมากมาย
แล้วก็ ขบขันแกมสมเพช
ก๊ะปาฏิหารย์งี่เง่า ของพระพุทธเจ้า
ทั้ง เกิดมาเดินได้เจ็ดเก้า และ นิทานชาดกปัญญาอ่อน
ว่าด้วยสารพัดสัตว์พูดได้กับ การ อวยศาสดาตัวเอง
ที่อ่านแล้วเลี่ยนจนแทบอ้วก
หนำซ้ำยังพิสูจน์ ทางวิทยาศาสตร์ ไม่ได้
แต่ก็ยังตะแบงเอามายัดเยียดให้ตรูเรียนอยู่นั่นแหล่ะ
ไหนจะยัง พิธีกรรมอันน่าเบื่อ
ที่ต้องมาแหกปากสวดมนต์หน้าเสาธงอีก
วันหยุดทางศาสนา คุณครูก็ยังทะลึ่งมาบังคับ
ให้ไปเวียนเทียนอี๊ก จุกจิกไร้สาระจิง ๆ ฯลฯ
สุดท้าย ก็เลยจนเกิดความขัดแย้ง ระหว่าง ความจริงที่เห็น
กับ ความเชื่อ ที่อาจานพยามกรอกหู
( บวกกับความเซ็งเรื่องหยุมหยิมที่ เกะกะน่ารำคาญ ด้วยมั้ง )
พอ ทำใจเชื่อไม่ได้ ก็เลยค่อย ๆ เลิกเลื่อมใสศรัทธา ไปเอง
เลิกแขวนพระ ตะแต่ อยู่ ป.๔
พอขึ้น มัธยมต้น ก็ค้นพบความจริง ว่า
ตัวเองนั้น มันไม่ได้นับถือ ศาสนาอะไรเลย
เพราะ เคยถามตัวเองแล้วว่า มีใคร หรือ อะไร ในโลกนี้บ้าง
ที่ทำให้ รู้สึกเลื่อมใส ศรัทธา แต่ว่า ก็ไม่มีคำตอบ อ่ะนะ
มันเป็นของมันเองโดยกมลสันดาน ที่สะสมมามั้ง
ลองพิจารณาดังนี้
ความเข็มแข็งในดวงจิต ที่มี ทำให้เป็นคนที่ไม่อ่อนแอ
สามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยขาตัวเองและ ไม่เกิดความกลัว
จึงไม่คิดจะไปหาสิ่งยึดเหนี่ยว
ประกอบกับมี AQ ในระดับดีมาดถึงมากที่สุด
จึงลอยตัวอยู่เหนือปัญหาได้ อย่าง ชิล ๆ มาตลอดทั้งชีวิต
เชื่อ ป่ะ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยเจอ ทุกขังกาละมัง แบบหนัก ๆ
ที่ทำให้รู้สึก ท้อแท้ หมดอาลัยตายอยากเลยนะ
ถึงจะเจอเรื่องแย่ ๆมาตามยถาสภาวะ
แต่ก็งัด สารพัดคิว และ อารมณ์ขันพิเรนทร์
มาแก้ปัญหาได้อย่าง ชิล ๆ
และ ด้วย MQ และ SQ ที่มีคุณภาพ
ก็เลยนึกครึ้ม ถือศีล ๕ เพราะรู้สึกเวทนาสัตว์โลกตาดำ ๆ
แถมตอนหลัง เริ่มกรึ่ม ๆ เลยเพิ่ม ศีลข้อ ๖ ไปอีกข้อ
เพื่อ ทดสอบศักยภาพในการรับมือกับตัณหาและเวทนา
ว่า สวยแจ่มเจ๋ง อย่างตรู จะ เอาอยู่ใหม
ซึ่งก็ทำได้อย่าง สบาย ๆ ผ่านฉลุย
ก็ตามประสาคนเกิดวันที่ 12 ผู้ได้รับพรจากพระเจ้ามั้ง
เรยสนใจหยิบจับเรื่องอะไร จึงมีพรสวรรค์ทำได้ทู๊กอย่าง 5555
ส่วน ไอ้สติปัฏฐาน ทั้งหลาย มันก็ต่อยอดเจริญไปเรื่อย
ตามเหตุปัจจัยโดยเริ่มจากการ รักษาศีลนั่นแหล่ะ
แต่ก็ไม่ได้ มีคูบาอาจานที่ไหน มาสอนหรอกนะ
แทบจะพูดได้อย่างเต็ม ๆ ปากเต็มคำเลยด้วยซ้ำ
ว่า ในส่วนของ กาย และ เวทนา นี่ เกิดเอง ก่อนจะคิดฝึกปฏิบัติด้วยซ้ำ
ไม่ได้ไปจำขี้ปากสมณโคดม มาสักแอะ
แต่อาศัยว่า วันหนึ่ง ไปฟัง อิตาหมอสม สุจิรา พูด
ใน รายการ สุริวิภามั้ง เกี่ยวกับเรื่อง สติปัฏฐาน มั้ง
เรยรู้สึกว่า เฮ้ย ไม สิ่งที่ สมณะโคดม เลคเชอร์ไว้
มันถึงได้ เหมือนก๊ะ เทคนิกที่ กรูใช้ฟระ
ก็เลย ลองไปซื้อ หนังสือของ อิตาสมมาอ่านดู
( ไอสไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น กับ เดอะ ท็อป ซีเคร็ต )
อ่านไปเช่นเคย อ่านแบบหนังสือฮาวทู สูบเอา ความรู้เฉย ๆ
แถมยัง ต้องทนเลี่ยนแทบอ้วก กับ สำนวนอวยสมณโคดม ของ อิตาสม
ส่วน ตอนที่ขึ้น จิตตา และ ธรรมมานุปัสนา
นี่มันก็บังเอิญ ขึ้นได้ อย่างฟลุ๊ค ๆ
จากการสังเกต สภาวะจิต ในเรื่อง เวทนานุปัสนา มั้ง
ซึ่งทั้งหลายทั้งปวง เหล่านี้ ก็แทบจะเรียกได้ว่า เรียนรู้ด้วยตัวเอง แทบทั้งหมด
ก็เลย ไม่รู้สึกว่า จะต้องไปเลื่อมใสศรัทธา อะไร ก๊ะ สมณะโคดม มั้ง
จึงไม่รู้สึกว่า จะต้องไป กตัญญูกตเวทิตา ทำไม ( ก็ ตรูทำได้ด้วยตัวเองนี่หว่า )
ถึงได้บอกว่า ศาสนา เหมือน หนังสือ ฮาวทู ไง อิอิ
หรือ ไม่งั้น ศาสนา ก็เหมือน หลอดไฟ มั้ง
ส่วนพระพุทธเจ้า ก็ คือ เอดิสัน
การที่เรา เห็น ผลงานของเอดิสัน
แล้วมันปิ๊งว่า เฮ้ย ไอ้แนวคิดเรื่องหลอดไฟเนี่ย
ไอเดียบางอย่าง มันคล้าย ๆ กับ ของเราจัง
อย่ากระนั้นเลย ไปลองซื้อหลอดไฟของเอดิสัน
มารื้อแผงวงจรไฟฟ้าดูดีกว่า
เผื่อว่าเจออะไรเจ๋ง ๆ แหล่ม ๆ
จะได้ เอามาต่อยอด ใช้สอย
สรุปก็คือ อิฉันรู้สึกกับ เอดิสันไง
อิฉันก็มอง พระพุทธเจ้าแบบนั้นแหล่ะ
ส่วน ไอ้หลอดไฟ มันก็แค่ อุปกรณ์ชิ้นนึงที่เอามาใช้สอย
ไม่เคยคิดจะ ดราม่า ไปยกระดับ อัพเกรด
ให้มันกลายเป็น สิ่งวิเศษวิโสที่ต้องมาตั้ง นโมวันทามิ ซะทีนะ
อ้อ ส่วน ไอ้เรื่องแนวคิดที่ว่า
ศรัทธา มีความหมายใกล้เคียงกับ ความกตัญญูกตเวที นั้นน่ะ
มันก็เป็นไปได้ ตามเหตุปัจจัย ในหลักปฏิจสมุปบาท ล่ะมั้ง
แต่ บางครั้ง ถ้า คนเรา มี MQ ,SQ แหล่ม ๆ
มันก็สามารถเกิด กตัญญูกตเวทิตาได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีศรัทธา อ่ะ
จะยกตัวอย่าง ให้ดูนะ อาทิเช่น ตัวอิฉัน เอง เนี่ย
มองพ่อมองแม่เป็นเหมือนเพื่อนมาตลอด
ไม่เคยรู้สึกทำนองเลื่อมใสศรัทธาอะไรเลย
แถมหลัง ๆ มานี่ ออกแนวอ่อนเพลียระเหี่ยใจ
เผลอๆ ก็เอาป๊ะป๋ามะหม๋า มาเม้าส์มอยให้ชาวบ้านฟังด้วยซ้ำ เอิ๊ก ๆ
แต่ก็ยังคงปฏิบัติวัตรถาน ในสไตล์ ชวนป๋วยปี่แป่กอ อยู่ดี
ในฐานะผู้มีพระคุณที่เลี้ยงดูปูเสื่อกันมาตั้งแต่ ตรีนเท่าฝาหอย อิอิ
อ้อ เห็นด้วย กับ คุณ ในประเด็น ที่ว่า
เรื่อง ความศรัทธาและความกตัญญูกตเวทีก็มีผลเสียมหาศาล
หากเกิดการกลายพันธุ์ไปเป็น ลัทธิบูชาตัวบุคคล
ทำให้ยึดมั่นทุกสิ่งอย่างที่ ตัวบุคคลที่เราศรัทธานั้นบอก
โดยมองข้ามการพิจารณาเนื้อหาสาระ
การแยกแยะไม่ออกถึงผลดีผลเสียและความถูกต้อง
กลายเป็นต่อต้านความคิดที่แย้งกับตัวบุคคลนั้น
ปลายทางกลายเป็นความชั่วร้าย
เช่น สงครามศาสนา การลงโทษพวกนอกรีต
นั่นแหล่ะ ที่น่ากลัวล่ะ
และที่พบเห็นและเป็น อยู่ ในบ้านทรายทอง เอ๊ย ห้องศาสดาแห่งนี้
มันก็เป็นเช่นนั้นแล ไม่เชื่อไปอ่านใน กาทู้นี้ดิ
http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2012/10/Y12789559/Y12789559.htmlน่ากั๊ว น่ากัวววววววววว เสียวถูกลัทธิล่าแม่มด จับนั่งยาง จังเรย อะซิก...อะซิก....
อิอิ ว่าแต่ คุณเห็น นัยยะแฝงอะรัย ในกาทู้นู้น บ้างล่ะ
แล้วรู้ไหมว่า อะไร คือ สาระ ที่ จขกท.นู้น ต้องการจะสื่อ
ไงก็ลองไปขูดหาเลขดูน้าาาาา บางทีผู้หญิงปัญญาดี อย่างคุณ
อาจจะเจอ เลขท้าย สามตัวที่ อิฉันซ่อนไว้ ในปริศนาธรรม ก็ได้อ่ะ
แต่ก็ซ่อนไว้ ค่อนข้างจะสลับซับซ้อน ทีเดียว
แบบว่า ไม่อยากให้ อิพวกพุทธมามกะจ๋า มันหาเจอ
อ้อ ใบ้หน่อยก็ได้ว่า มันเกี่ยวข้องกับเรื่อง ลัทธิบูชาตัวบุคคล ที่คุณพูดถึงนั่นแหล่ะ อิอิ
อ้อ และ เนื่องจาก เห็น คุณ พูดเรื่อง ศรัทธา
ก็เลยอยากจะแนะนำให้ไปอ่านนิทานหลอกเด็ก
เรื่อง ปฏิบัติการช่วงชิง ดอกปาริชาติ ของเหล่านางฟ้าทั้ง ๔ จังเรยอ่ะ
คุณรู้ไหม เพราะอะไร นารถดาบส จึงยกดอกไม้นี้
ให้แก่ นางหิริ แทนที่ จะยกให้แก่ นางศรัทธา นางสิริ หรือว่า นางอาสา ?
ปอลิง ส่วนอันนี้ แถม จร้าาาาา
ทั่นจะยัง ปักใจ เชื่อ น้ำลาย เอ๊ยยย คำสอนนั้น ลงไหมเอ่ย ? ถ้า......
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=bsonjb&month=09-2010&date=19&group=2&gblog=4นี่ก็เป็นอีกลิ้งค์ อ่ะนะ ที่ตอกย้ำว่า
อย่าไป ยึดติดกับ ลัทธิบูชาตัวบุคคล
อย่าไปสนใจ ว่า ใครเป็นคนสอน
แต่งจงใช้โยนิโส มาพิณา ดูเนื้อหาสาระที่เขาพูด
ว่ามีประโยชน์อะไรให้เรา นำไปใช้สอย ได้ไหม ?
และต่อให้เป็น คนบ้ามาพล่ามธรรมะ
เราก็ต้องฉกฉวยเอาเนื้อหาสาระดีๆ ที่เขาพูดไปใช้ประโยชน์
แม้ว่า ไอ้คนบ้าคนนั้นมันจะเป็นจวักห่อนรู้รสแกงก็ตาม
noneasy2go ว่า
จริงๆ ดิฉันก็มีอารมณ์ขึ้นมาบ้าง เพราะมีอคติกับคนเขียนหนังสือไม่รู้เรื่อง
แต่ก็พยายามแกะเปลือกออกมา ว่าคุณหมายถึงอะไร
ห้องศาสนา ดิฉันไม่ค่อยนิยมเข้ามากนัก
ดิฉันเหนื่อยดูคนเถียงกันเอาผิดเอาถูก (คนอื่นผิดตัวเองถูก)
เรื่องชาดก และลิงค์ที่คุณให้มาดิฉันจะลองอ่านและพิจารณาดู
ปล.
1. ดิฉันก็ชอบระบบ tag
2. ดิฉันเคยออกความเห็นในเรื่องการสอนศาสนาใว้ ใน http://pantip.com/topic/30086741 ความเห็นที่ 56
สำหรับ คำถามในบรรทัดรองสุดท้าย คำตอบของคุณ ดิฉันให้ A (ถ้าไม่นับเรื่องภาษาวิบัติและเรื่อง Q นานับประการ)