อวสาสโนวาทของ
พระเทพโมลี วัดประยูรวงศาวาส
เมื่อพระปรวาทีกับพระสกวาทีปุจฉาวิสัชชนากันในอริยสัจจกถา
พอสมควรแก่เวลาแล้ว ต่างก็นมัสการลาไปสู่สถานที่อยู่ของตนๆ
เพราะฉะนั้นสาธุชนพุทธบริษัทเมื่อได้สดับอริยสัจจเทศนา
โดยปุจฉาวิสัชชนาดังนี้แล้ว ควรจะมีมนสิการกำหนดอริยสัจจไว้ในใจให้แจ้งชัด
เพราะอริยสัจจเปน
สามุกํสิกภาษิตพระพุทธเจ้ายกขึ้นตรัสด้วยพระองค์เองก่อน แล้วจึงทรงสั่งสอน
เวไนยสัตว์ตามลำดับต่อมา แลทรงตรัสยืนยันแก่ท่านปัญจวัคคีย์
อันมีปรากฎในท้ายพระธรรมจักกัปปวัตนสูตรว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความรู้ความเห็นในอริยสัจจทั้ง ๔ อันมีปริวัฏฏ์ ๓ อาการ ๑๒ ซึ่งเราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาในกาลก่อนยังไม่บริสุทธ์แก่เราเพียงใดเพียงนั้น ก็ไม่กล้าปฏิญญาตนเองว่าเปนพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตลอดทั่วทั้งโลกทั้งเทวดา มารพรหม สมณะพราหมณ์ได้ ต่อเมื่อความรู้ความเห็นในอริยสัจจทั้ง ๔ เช่นนั้นบริสุทธิ์แก่เราแล้ว เราจึงได้ปฏิญญาตนว่าเปนพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดทั่วภพจบนิกายได้
ข้อนี้เปนพยานชี้ให้เห็นชัดว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกจริงด้วยมีอริยสัจจ ๔ เปนที่อ้างอิงให้สมกัน เมื่อพุทธบริษัทได้สดับอริยสัจจเข้าใจแจ้งชัดเมื่อใด เมื่อนั้นพึงเข้าใจว่าเหมือนได้เห็นพระพุทธเจ้า ข้อนี้สมตามนัยพระพุทธภาษิตที่ตรัสยืนยันแก่พระวักกลิภิกขุว่า โย โข วกกลิ ธมมํ ปสสติ โส มํ ปสสติ ดูกรวักกลิภิกขุผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นชื่อว่าเห็นเราพระตถาคต มีอธิบายว่าการเห็นพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นเจ้าของธรรมหรือบริบูรณ์ด้วยพระธรรมคุณก็เหมือนเห็นพระธรรม การเห็นพระธรรมคืออริยสัจจทั้ง ๔ ก็เหมือนเห็นพระพุทธเจ้า เพราะอริยสัจจนั้นพระองค์ตรัสรู้ขึ้นนั้นเองหรือทรงไว้ซึ่งความตรัสรู้คือความเปนพระพุทธเจ้านั้นเองแต่ในที่นี้ประสงค์เห็นด้วยปัญญาตาญาณไม่ประสงค์เห็นด้วยตาเนื้อ
พระอริยสัจจธรรมนั้นตามที่ท่านจำแนกไว้มีถึง ๔ ประการ ถ้าจะย่อลงมาก็คงเปน ๒ ประการ ด้วยเหตุกับผลได้ในสาวกนิพนธ์ว่าเย ธมมา เหตุปปภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต (อาหุ)
เตสญจ โย นิโรโธ จ เอวํวาที มหาสมโณธรรมใดมีเหตุเปนแดนเกิดพระตถาคตเจ้าตรัสเหตุแห่งธรรมนั้นด้วย
ตรัสความดับแห่งธรรมนั้นด้วย พระมหาสมณะตรัสอย่างนี้มีอธิบายว่า ธรรมได้แก่ทุกข์ ๑๑ กอง มีชาติทุกข์เปนต้น ซึ่งจัดเปน
ผลฝ่ายชั่วเพราะทำสัตว์ให้เดือดร้อน เหตุได้แก่
ตัณหา ๓ ประการ ซึ่งจัดเปน
เหตุฝ่ายชั่วเพราะยังทุกข์ให้เกิด
ความดับได้แก่นิโรธธรรมคือพระนิพพานซึ่งจัดเปน
ผลฝ่ายดี เพราะเปนอุบายเครื่องระงับดับทุกข์โดยไม่เหลือ
ปัญญาสัมมาทิฏฐิอันสัมปยุตด้วยพระอริยมรรคทั้ง ๗ ประการ ย่อลงมาเปนศีล สมาธิ ปัญญาก็ได้ เปนสมถวิปัสสนาก็ได้ เปนวิชชา วิมุตติก็ได้ ซึ่งจัดเปน
เหตุฝ่ายดี เพราะเปนทางดำเนินให้ถึงความระงับดับทุกข์ได้จริง
อีกนัยหนึ่งอริยสัจจนั้นย่อลงเปน ๒ ประการคือ
ทุกขสัจจกับสมุทัยสัจจ จัดเปนวัฏฏสัจจเพราะเปนสัจจที่ยังสัตว์ให้หมุนเวียนว่ายตายเกิด ถือเอากำเนิดในภพน้อยภพใหญ่ไม่รู้จักสิ้นสุด ส่วน
นิโรธสัจจกับมรรคสัจจจัดเปน
วิวัฏฏสัจจ เพราะเปนสัจจที่ทำให้สัตว์ปราศจากทุกข์โทษเช่นนั้น ตรงกันข้ามอริยสัจจนั้น
โดยย่อจัดเปนเหตุแลผลบ้าง เปนวัฏฏสัจจแลวิวัฏฏสัจจบ้าง ดังวิสัชชนามาด้วยประการฉะนี้เพราะฉะนั้นพุทธบริษัทพร้อมทั้งท่านผู้เปนหัวหน้า เมื่อได้สดับอริยสัจจเทศนา โดยปุจฉาวิสัชชนาดังนี้แล้วควรมีมนสิการกำหนดจดจำไว้ แต่นั้นพึงตั้งใจปฏิบัติตาม เว้นข้อห้ามทำตามข้อที่พระองค์ทรงอนุญาตจึงจะไม่ปราศจากผล ถ้าเปนแต่ฟังไม่ทำตาม เหมือนดอกไม้มีสีงามแต่ไม่มีกลิ่นหอม ถ้าฟังแล้วตั้งใจกระทำตาม เหมือนดอกไม้ทั้งสีก็งามกลิ่นก็หอมหวลชวนให้ทัดทรงประดับประดาฉะนั้น ครั้นฟังแล้วควรน้อมพระธรรมเข้ามาสู่ตนหรือน้อมตนไปสู่พระธรรม แล้วให้เกิดตัวสันทิฏฐิโก คือเห็นด้วยตนของตนเองไม่เปนแต่เชื่อ หรือทำตามเขาว่าเขากล่าวเท่านั้นตัวเราเองก็เปนผู้ได้รู้ได้เห็นคุรานิสงส์แห่งการปฏิบัติธรรมด้วยผู้หนึ่ง ซึ่งจัดเปนพยานทางพระพุทธศาสนาอันเปนนิยยานิกธรรม ซึ่งได้รู้ผลด้วยใจของตนผู้ปฏิบัติ ต่อนั้นควรสาธุชนพุทธบริษัทอย่ามีความประมาท เพราะพุทธโอวาทานุศาสน์ที่ตรัสสอนสรรพสัตว์หมดทั้งมวลล้วนแต่ตรัสมิให้สัตว์มัวเมาประมาท นั่นแหละเปนข้อใหญ่ใจความอย่างสำคัญ
มีเรื่องเปรียบไว้ฝ่ายคดีโลกว่า บรรดารอยเท้าสรรพสัตว์ทั้งมวล
ล้วนมาประชุมลงในรอยเท้าคชสารทั้งสิ้น เพราะเปนของใหญ่ฉันใด
ฝ่ายคดีธรรมบรรดาสรรพธรรมที่เปนกุศลทั้งมวลล้วนมาประชุมลง
ในความไม่ประมาททั้งหมด เพราะเปนยอดของกุศลธรรมฉันนั้น
อนึ่งพระพุทธโอวาทที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพร่ำสอน
จาตุรงคพุทธบริษัทอยู่ในระหว่าง ๔๕ ปี ก็ย่อลงมาสู่ความไม่ประมาท
คำเดียวเท่านั้น ดังปัจฉิมพุทธภาษิตที่ตรัสจวนจะเสด็จปรินิพพาน ว่า
หนททานิ ภิกขเว อามนตยามิ โว ยธมมา สงขารา
อปปมาเทน สมปาเทถ ดูกร ภิกษุทั้งหลายผิฉะนั้นบัดนี้เราจะ
เตือนท่านทั้งหลาย สังขารมีความดับเปนธรรมดา ท่านทั้งหลายพึง
ยังประโยชน์ตนและประโยชนท่านให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด
พุทธโอวาทนี้เปนเครื่องเตือนใจ ให้เราท่านรับปฏิบัติอยู่เปนนิตย์ เพราะเปนพุทธภาษิตสุดท้ายภายหลัง ดังมารดาบิดาที่ตั้งอยู่ในธรรมพร่ำสอนบุตรแล้วแลล่วงลับไปยังโลกหน้า ถ้อยคำนั้นควรที่บุตรแลธิดาจะตั้งใจกระทำตามเปนนิตย์ฉันใด พระปัจฉิมพุทธภาษิตที่ได้แสดงมาแล้วนั้น ก็สมควรยิ่งนักที่พุทธบริษัทจะตั้งใจรับปฏิบัติบำเพ็ญให้เปนนิตย์นิรันดร์ฉันนั้น เมื่อพุทธบริษัทได้ตั้งตนอยู่ในพระอัปปมาทธรรมดังนี้แล้ว ก็เปนเหตุเปนปัจจัยที่จะได้ประสบความสุขตามชั้นตามภูมิของตนๆ ตลอดจนบรรลุนิรามิสสุขคือพระนฤพานเปนอวสาน
ณ กาลที่สุดพระธรรมเทศนานี้ อาตมาขออัญเชิญคุณพระรัตนตรัย
มาประสาทพรแก่พุทธบริษัทพร้อมทั้งท่านผู้เปนหัวหน้าว่า
อรหํ สมมาสมพุทโธ อุตตมํ ธมมมชฌคา
มหาสงฆํ ปโพเธสิ อิจเจตํ รตนตตยํพระผู้มีพระภาคผู้เปนพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ยังพระสงฆ์ให้เบิกบานเต็มตื่นจากกิเลสนิทรานี้
จัดว่าเปนพระรัตนตรัยได้แก่
พระพุทธรตน ธรรมรตน สังฆรตน
เอเตน สจจวชเชน สุวตถิ โหตุ สพพทา ด้วยสัจจวาจา ภาษิตนี้ ขอสวัสดิพิพัฒนมงคลศุภอิฏฐวิบูลยผล
พร้อมทั้งจาตุพิธพุทธพรธรรมทั้ง ๔ ประการ คือ อายุ วรรณ สุข พล
จงมีแก่พุทธศาสนิกชนผู้เคารพพระพุทธศาสนา
ตลอดทุกทิพาราตรีกาลดังรับประทานวิสัชชนาพระธรรมเทศนา
โดยปุจฉาวิสัชชนาสมควรแก่เวลาเพียงนี้
...................
ขอขอบคุณที่มาบทความ : หนังสือสาธุการีธรรมากร
เผยแพร่โดย วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ( หลวงปู่จาม มหาปุญโญ )
บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
10 ตุลาคม 2550 เวลา 08:09 น.
: http://www.dhammasavana.or.th/article.php?a=352