แสงธรรมนำใจ > วัชรยาน

อัตตตา และ ธรรมกาย จากมุมมอง พุทธศาสนานิกายวัชรยาน

(1/2) > >>

มดเอ๊กซ:


คำอธิบายในเรื่องอัตตาและธรรมกาย จากมุมมองพุทธศาสนานิกายวัชรยาน


* ๑ *

 

หมู่นี้มีการพูดเรื่องอัตตา อนัตตากันบ่อย จนถึงกับบางสำนักอวดอ้าง ว่าพระนิพพานเป็นอัตตาก็มี

ในที่นี้ จักไม่ขอไปแสดงวิวาทะกะใคร จะขอพิจารณาถึงเนื้อหาสาระ หรือแก่นของพระพุทธศาสนาในเรื่องอริสัจสี่เสียก่อน ว่าทำไมพระพุทธ องค์จึงทรงเน้นในเรื่องนี้

คำตอบก็คือมนุษย์ต้องการความสุข และต้องการเอาชนะความทุกข์โดย เราต้องรู้ว่าสุขกับทุกข์เกี่ยวข้องกันอย่างไรและความทุกข์เกิดขึ้นได้อย่าง ไร กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คืออริยสัจสี่ชี้แจงแสดงให้เห็นเหตุปัจจัยที่โยงความ ทุกข์ไปถึงความสุข

อริยสัจหรือความจริงที่แท้ อธิบายจำเพาะเจาะจงไปถึงการต่อเนื่องกัน ของสรรพสิ่งอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องอ้างอิงถึงพระผู้สร้าง หรือ อำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ทหัศจรรย์จากภายนอก ที่อ้างว่าควบคุมวิถีชีวิต

อริยสัจมักแสดงออกเป็นดังข้อความสี่ข้อคือ

 

๑ ) ให้รู้เท่าทันความจริงในเรื่องของความทุกข์
๒ ) ให้รู้เท่าทันที่มาของความทุกข์
๓ ) ดับทุกข์เสียได้
๔ ) ด้วยมรรควิธีอันแยบคาย

 

ทุกคนที่ต้องการความสุข และต้องการเอาชนะความทุกข์ ย่อมอาจประ พฤติปฏิบัติให้ลุล่วงไปได้

 

การที่จะปฏิบัติตนให้ล่วงความทุกข์เสียได้ จำต้องเข้าใจในเรื่องตัวหรือ อัตตา กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือบุคคลที่ได้รับความทุกข์คือตัวเรา และคนที่ ต้องการเอาชนะความทุกข์คือตัวเรา ยังเหตุที่ก่อให้เกิดความทุกข์ก็อยู่ใน ตัวเรา เพราะฉะนั้นเมื่อพระพุทธองค์ทรงสั่งสอนเวไนยนิกรในชมภูทวีป เมื่อสองพันห้าร้อยปีมานี้ พุทธทัศนะที่เกี่ยวกับตัวเรา หรือตัวตน จึงต่าง จากเจ้าสำนักอื่น ๆ ในยุคนั้นสมัยนั้นทั้งสิ้น กล่าวคือ พุทธศาสนาปฏิเสธ อัตตาหรือตัวตนที่คงที่ถาวรอย่างไม่แปรเปลี่ยน ดังที่เรียกกันว่าจิตบ้าง วิญญาณบ้าง บ้างก็ว่าจิตหรือวิญญาณนี้เวียนว่ายตายเกิด ข้ามภพข้ามชาติ เป็นตัวกำหนดการกระทำทั้งหมด อย่างมีสภาพที่เหนือร่างกาย



นอกวงการของพุทธศาสนา ถือว่าอัตตาหรือจิตหรือวิญญาณเป็นตัวตนที่ อยู่เหนือนามและรูป หรืออยู่พ้นไปจากร่างกาย ( รูป ) ความรู้สึก ( เวทนา ) ความจำได้หมายรู้ ( สัญญา ) ตราบจนกระบวนและอารมณ์ต่าง ๆ (สังขาร) ตลอดจนการตัดสินใจประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ( วิญญาณ )


ทุกลัทธินิกายในพุทธศาสนาปฏิเสธเรื่องอัตตา หรือตัวตนที่คงสภาพอย่าง ถาวร อยู่นอกเหนือนามและรูป แต่บางนิกายในพุทธศาสนาก็มีทัศนะแผก แตกต่างกันไปในเรื่องตัวตน ซึ่งแฝงเข้ามาปนอยู่ในนามและรูปอย่างไร เช่น บางนิกายถือว่าปัญจขันธ์ทั้งหมดนี้แลคืออัตตา ตราบที่มีอุปาทานยึดมั่นถือ มั่นอยู่ในตัวตน ส่วนบางนิกายนั้นถือว่าอัตตาแนบสนิทอยู่กับนาม เป็นต่าง หากออกไปจากรูป และบางนิกายถือว่าวิญญาณขันธ์ตัวนั้นแลคืออัตตา ( ตราบที่มีอุปาทานติดอยู่ ) ดังใช้คำว่า อาลัยวิญญาณ แทนคำว่า อัตตา

ทางด้านลัทธินิกายปราสังฆิกะ มาธยมิกะ ซึ่งพวกธิเบตถือว่าเป็นคำสั่งสอน หลัก ถือว่ามีอัตตาเป็นผู้เสวยผลหรือเป็นตัวที่ได้ประสบการณ์จากขันธ์ห้า แต่ก็พูดไว้ได้ไม่ชัดเจนว่าอัตตาแฝงอยู่ในขันธ์ห้าตรงไหน อย่างไรบางพวก จึงบอกว่าอัตตาอยู่นอกเหนือขันธ์ห้าออกไป แต่ก็ไม่อาจหาอัตตาได้พบ จึงจำต้องปฏิเสธอัตตาที่ว่านี้ กล่าวคืออัตตาเกิดมีขึ้น เพราะการติดยึดใน ขันธ์ห้านั่นเอง อัตตาจึงเป็นเพียงสิ่งสมมุติ แล้วยึดถือเอาเป็นเรา เป็นของ เรา เป็นตัวกู ของกู


ท่านนาคารชุน ซึ่งเป็นศาสดา เจ้าลัทธิปราสังฆิกะ มาธยมิกะ รจนาไว้ใน คัมภีร์รัตนาวลี ของท่านว่า บุคคลคนหนึ่งนั้น หาใช่ธาตุทั้งหกที่ก่อให้เกิด เป็นคนไม่ คือไม่ใช่ธาตุดิน ไม่ใช่ธาตุน้ำ ไม่ใช่ธาตุไฟ ไม่ใช่ธาตุลม ฯลฯ และจะว่าธาตุทั้งหมดนี้ร่วมกันเป็นบุคคลหรือตัวตน ก็ไม่ใช่อีก พร้อมกัน นั้นบุคคลหรือตัวตนก็ไม่ได้ปรากฏนอกเหนือไปจากธาตุทั้งหก กล่าวคือ บุคคลคือตัวตนไม่ใช่ธาตุทั้งหมดที่รวมตัวกันขึ้น และไม่ใช่ธาตุหนึ่งใดใน ธาตุทั้งหกนั้น ธาตุทุกชนิดเอามาแยะแยะได้เป็นส่วน ๆ โดยไม่อาจหาตัว ตนหรืออัตตาได้พบ ก็เมื่อธรรมชาติของอัตตาหรือตัวตนหาไม่ได้ในธาตุ หนึ่งธาตุใด จึงเหลือไว้ให้สมมุติได้เพียงว่ามีอัตตามีขึ้น เพราะความไปติด ยึด หรือสมมุติให้มีให้เป็น เพื่อความสะดวกในการเรียกขาน แล้วไปติดยึด ในสมมุตินั้น ๆ ดังกับว่ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา


ถ้าจะถามว่าเหตุใดพุทธศาสนาจึงเน้นในเรื่องแยกแยะอะไร ๆ ให้เห็นถึง ความไม่มีตัวตน ทั้งนี้ก็เพื่อให้เข้าใจว่าตัวตนนั้นเป็นเจ้าการหรือตัวตนที่ ได้รับปะสบการณ์ ข้อนี้นับว่าสำคัญ โดยขอให้เราพิจารณาประสบการณ์ ของเรา เช่นความรู้สึกเศร้าเกิดขึ้น เพราะประสบการณ์บางอย่าง แล้วตัณ หาหรือความต้องการบางอย่างย่อมเกิดขึ้นโดยมโนวิญญาณ หรือในความ คิดอันหยาบหรือละเอียด จนเกิดการตัดสินใจทำการนั้น ๆ กล่าวอีกนัย หนึ่งก็คือตัณหาหรือความต้องการผลักดันให้กลายเป็นคำพูดหรือการกระ ทำ ทั้งยังเกิดการยึดมั่นถือมั่นว่า เรา เป็นคนพูด เรา เป็นคนทำ เรา หรือ กู หรือ อัตตา หรือ ตัวตน ที่ว่านี้เกิดขึ้นจากการยึดมั่นถือมั่น และลึก ๆ ลงไปแล้ว ก่อให้เกิดความทุกข์ ยิ่งยึดมั่นถือมั่นมากเท่าไร ก็ทุกข์มากเท่า นั้น เช่นถ้าอะไรมาขัดกับการยึดมั่นถือมั่นในตัวเรา เราก็โกรธ จนอาจเป็น คนโทสจริตอย่างรุนแรงเอาเลยก็ได้


อุบายในทางพุทธศาสนานั้น สอนให้เรารู้เท่าทันว่า ถ้าไปติดยึดในเรื่อง ตัว ตน ตัวเรา ตัวกู แล้วผลย่อมเป็นไปในทางความทุกข์ เช่นโทสคติ ดังกล่าว มาแล้วนี้


จะแก้ไขให้ความคิดเป็นกุศลได้หรือไม่

คำตอบก็คือถ้า ตัวกู หรือ ตัวตน เป็นใหญ่เป็นประธาน อย่างมีการติดยึด มากเพียงไร ความทุกข์ก็ทับถมมากขึ้นเพียงนั้น

มดเอ๊กซ:



* ๒ *

 

เมื่อวิเคราะห์เจาะลึกลงไป ก็จะเห็นได้ชัดว่า การติดยึดในตัวตนหรือใน ตัวกู ( อัตตา ) จนกลายเป็นความสำคัญยิ่งขึ้นเท่าไร ก็จะให้โทษยิ่งขึ้นเท่า นั้น หากหันมาพิจารณาตามกฏเกณฑ์ของปัจจยาการในทางพุทธศาสนา โดยไม่ติดยึดที่ตัวตนหรืออัตตาแล้งไซร้ ก็จะเห็นว่าอะไร ๆ เป็นผลพวง ซึ่งกันและกัน ตามเหตุปัจจัย ไม่มีตัวตนหนึ่งใดมาคอยบงการได้


ถ้าตราความข้อนี้ไม่ได้ เมื่อต้องการความสุข เพื่อหลีกเลี่ยงหรือเอาชนะ ความทุกข์ ก็ต้องพิจารณาต่อไปว่าผลของกิจกรรมต่าง ๆ นั้นมาแต่เจตนา แม้การกระทำบางครั้งจะไม่ได้ตั้งใจไว้ก่อน หากเกิดขึ้นอย่างอย่างทันที ทันใดแสดงว่าจิตไม่ได้เป็นกุศลหรืออกุศล ท่านว่าเป็นอัพยากฤต ไม่ก่อ ให้เกิดสุขหรือทุกข์ ดังที่ท่านใช้คำว่า อทุกขมสุข


แท้ที่จริง ถ้ามองลึกลงไป จะไม่เห็นข้อชี้ชัดลงไปในทางที่แตกต่างกันระ หว่างการกระทำนัยบวกกับนัยลบ แต่เพราะเราต้องการความสุข คิดว่า ความสุขเป็นนัยบวก จึงไปกำหนดว่าการกระทำใด ๆ และความจงใจใด ๆ ที่มุ่งความสุข ย่อมเป็นไปตามนัยบวก ในขณะที่อะไร ๆ ที่เป็นตัวก่อความ ทุกข์ย่อมเป็นนัยลบ


การจะถามหาตัวตนหรือตัวกูหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็น เพราะถ้าติดยึดในตัว ตนหรือตัวกูเสียแล้ว ตัวตนหรือตัวกูย่อมเกิดขึ้น เพราะอุปาทานแท้ ๆ จน เชื่อว่าตัวกูนี้แลคือผู้เสพสุข หรือเสพทุกข์ แต่ขอย้ำว่าถ้าพิจารณาให้ชัด ๆ ตัวกูนี้แลก่อให้เกิดความยุ่งยากมากเสียจริง ๆ ทั้งนี้เพราะมันเกิดจากขบวน การ จนเป็นความรู้สึกที่เราเสกสรรปั้นขึ้นจนไปยึดติดมันเข้า ไม่แต่กับตัว เราหรือตัวกูเท่านั้น หากมันขยายไปยังเพื่อนเราหรือศัตรูของเราเข้าอีกด้วย หากมองในแง่ดี การติดยึดในตัวเรา ก็ช่วยให้เกิดกำลังใจในการเอาชนะ อุปสรรคต่าง ๆ ก็ได้ นี่หมายความว่าถ้ารู้จักวางท่าทีที่ถูกต้อง เอาสมมติ ในเรื่องตัวตนมาใช้ แต่ต้องรู้จักใช้ อย่างไม่ติดยึด


เพราะการใช้อุบายวิธีให้เกิดกำลังใจ ให้เกิดความเพียร ให้เกิดความเชื่อมั่น ในตน การคำนึงถึงตัวตน อย่างรู้เท่าทัน ก็นับว่าเป็นประโยชน์อยู่ แต่ถ้า ไม่เข้าใจความข้อนี้ การกระทำด้วยกำลังใจก็ดี ด้วยความเพียรก็ดี ย่อมเป็น ไปอย่างเห็นแก่ตัวได้ง่าย


ที่ร้ายกว่านั้น ก็ตรงที่คิดจนติดยึดว่า


( ๑ ) ตัวตนนั้นมีอยู่จริง
( ๒ ) ตัวตนนั้นไม่มีอยู่จริง
( ๓ ) ตัวตนนั้นมีจริงหรือไม่ ก็ไม่แน่ใจ


ขอย้ำว่าเจตนาเป็นปัจจัยสำคัญในการนำไปสู่ประสบการณ์ทางด้านการเสพ สุขเพื่อปลอดพ้นจากทุกข์ แล้วอะไรเล่าคือตัวกำหนดของเจตนาทั้งนี้อาจมี ร่างกายเป็นอิทธิพลที่สำคัญมาเกี่ยวข้องด้วย เพราะรูปสัมพันธ์กับนาม หรือ ความคิดความอ่านย่อมสัมพันธ์กับกาย


ก็ในเมื่อเจตนาเป็นตัวการที่สำคัญในการกำหนดธรรมชาติของประสบการณ์ ฉะนั้นทัศนคติหรือทิฐิของเราจึงเป็นแรงกระตุ้นทางเจตนาของเรา เช่นการ พยายามเอาชนะพลังในทางลบ ในทางความทุกข์ ย่อมมาจากสภาวะจิตของ เรา จากสภาวะจิตนี้เองที่เราอาจเอาชนะความทุกข์ หรือธรรมชาติของจิตใจ ซึ่งเป็นปัจจยาการในทางจิตใจนี้ จึงถือว่ามีความสำคัญยิ่งนัก


เวลาเราพูดถึงการเอาชนะความทุกข์ หรือความชั่วร้ายต่าง ๆ นั้น นั่นก็คือ ความมุ่งประสงค์พระโพธิญาณ หรือการตรัสรู้ ที่หลายคนเห็นว่าเป็นอุดม คติที่ไกลเกินไป แต่ถ้าพูดกันให้ไกล้ตัวเราเข้ามา เราอาจฝึกประสบการณ์ ของเรา ด้วยการฝึกจิต ให้รู้จักลดความโลภ โกรธ หลง ลงได้ยิ่งลดลงได้ เพียงไร เราก็ทดสอบประสบการณ์ของเราได้เพียงนั้น เช่นเริ่มจากอวิชชา อันเป็นต้นของความหลงผิดในกระบวนการคิดของเรา ถ้าเราเริ่มศึกษาจน ได้ประสบการณ์ขึ้นเรื่อย ๆ เราก็ลดความหลงลงได้เรื่อย ๆ นั่นแล


การเปลี่ยนแปลงจิตให้ลดความโลภ โกรธ หลง ลงนั้น ต้องเริ่มจากการรู้ จักจิตใจเสียก่อน ดังนิกายไวกาสิกะ ในพระพุทธศาสนา เสนอทฤษฎีที่ว่า การรับรู้นั้นเปล่าเปลือยหรือว่างเปล่า กล่าวคือไม่มีตัวกลางระหว่างการรับ รู้และวัตถุที่รับรู้ และการรับรู้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะตัวเชื่อมโยงแต่อย่างใด ในขณะที่นิกายเสาตรานิกะ และอีกสองนิกายในทางฝ่ายมหายาน ถือว่ามี ตัวเชื่อมโยงทางด้านการรับรู้ ที่เรียกว่า อาการ


ขอย้ำอีกครั้งว่าถ้าต้องการเอาชนะความทุกข์ ต้องเข้าใจให้ชัดว่าตัวตนหรือ ตัวเราที่สมมติขึ้นนั้น ไม่มีการแบ่งอย่างชัดแจ้งในข้อที่ว่า นี้เป็นฝ่ายกุศล นั้น เป็นฝ่ายอกุศล หากขอให้ตราไว้ว่า ถ้าคิดในเรื่องตัวเรามากเท่าไร ปัจจยาการ ในทางความคิดและจิตใจ รวมไปถึงเจตนาต่าง ๆ ก็ย่อมนำไปสู่ทุกข์ทั้งนั้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือการติดยึดในเรื่องของตัวเรา ย่อมเป็นไปในทาง อกุศลยิ่งกว่าอะไรอื่น


คราวนี้ ขอให้มาพิจารณาดูว่าตัวตนที่ว่านี้เป็นไปตามสภาวสัตย์หรือไม่ แท้ ที่จริงจิตที่เป็นกุศลย่อมเป็นไปตามสภาวสัตย์ หรือถ้าจะฝึกจิตให้เป็นกุศล ไปจนถึงขั้นโลกุตตระ หรือฝึกจิตให้เป็นกุศล ให้ไปได้ไกลเท่าที่จะไปได้ กุศลจิตนั้น ๆ ย่อมเป็นไปตามสภาวสัตย์ ฉะนั้นขอให้เรากลับมาวิเคราะห์ รูปแบบในทางความเข้าใจทั้งสองประการที่กล่าวมาแล้วข้างต้นเกี่ยวกับตัว ตน ว่าอย่างไหนเป็นไปตามสภาวสัตย์หรือไม่

ข้อที่ ๑ ที่ว่าตัวตนนั้นมีอยู่จริง ความข้อนี้เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าจิตใจนั้น เป็นไปตามสภาวสัตย์ โดยเราอาจถือว่าตนรู้ได้ว่าสิ่งที่เราเรียกว่าตัวตนนั้น มีอยู่จริงละหรือ กล่าวคือสิ่งที่เรียกว่า ฉัน ข้าพเจ้า กู อาตมา นั้นเป็นจริง ตามสภาวสัตย์หรือไม่ ถ้าไม่เป็นไปตามสภาวสัตย์ คำว่า ฉัน ฯลฯ ก็เป็น เพียงสิ่งซึ่งสมมติขึ้นมาเรียกขานกันเท่านั้นเอง ฉะนั้น คำว่า ฉัน ฯลฯ จึง ไม่มีจริงตามสภาวสัตย์ เพราะสภาวสัตย์ในทางพุทธศาสนานั้นคือศูนยตา


พร้อมกันนั้นก็ต้องขอบอกให้ทราบว่ามีกายหนึ่งในพุทธศาสนาที่ถือว่าตัว ตนหรืออัตตานั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับวิญญาณในขันธ์ ๕ ในขณะที่นิกาย ปราสังฆิกะ ถือว่าตัวตนหรืออัตตานั้นเกิดขึ้นจากสิ่งที่รวมขึ้นจากนามรูป หรือขันธ์ทั้งห้า ทุกนิกายในทางพุทธศาสนาถือว่าตัวตนหรืออัตตาเป็นเรื่อง ของสมมติสัตย์ ไม่ใช่ปรมัตถสัตย์


จากเหตุผลในข้อที่ ๑ ซึ่งสรุปว่าตัวตนนั้นไม่มีอยู่จริง ย่อมยืนยันความจริง ในข้อที่ ๒ ดังได้กล่าวมาแล้วแต่แรก ในส่วนข้อ ๑ ที่ว่าตัวตนจะมีอยู่จริง หรือไม่ยังไม่แน่ใจนั้น ท่านสอนให้ใช้วิธีภาวนาหรือตรวจสอบประสบการณ์ จนรู้ได้ว่าอัตตาหรือตัวตนนั้นเป็นหรือไม่เป็นไปตามสภาวสัตย์


การที่จะสรุปลงได้ดังนี้ ต้องกลับมาตีประเด็นที่นามกับรูป หรือขันธ์ ๕ รวม ทั้งวิญญาณขันธ์ กล่าวคือถ้าไม่พิจารณาดูโดยแยบคาย ดูจะคล้ายกับว่าวิญ ญาณขันธ์นั้นเป็นตัวตน อย่างคงทนถาวร ดังพวกพรหมณ์เยกว่าเป็นอาตมัน ซึ่งถือว่าเป็นมิจฉาทิฐิที่ร้ายแรง เพราะวิญญาณขันธ์เองมีความละเอียดอ่อน ลุ่มลึกอย่างที่สุด กล่าวคือจิตใจที่หยาบกระด้างขึ้นอยู่กับร่างกายอย่างใกล้ชิด ถ้ามันสมองทำงาน จิตใจก็ทำงานตามมันสมอง ถ้ามันสมองหยุดทำงาน จิตใจในขั้นที่หยาบก็หยุดทำงานตามไปด้วย ความข้อนี้พุทธศาสนาไม่ปฏิเสธ ทฤษฎีของนักวิชาการ โดยเฉพาะด้านจิตแพทย์


พุทธศาสนาต่างไปจากจิตแพทย์แบบตะวันตกตรงที่หัวใจมีพลังอย่างสำคัญ ยิ่ง พลังทางจิตที่ละเอียดอ่อนรวมตัวกันที่หทัยวัตถุ พระอรรถกถาจารย์ฝ่าย ธิเบตยืนยันว่า หทัยวัตถุ อยู่ตรงที่หัวใจของมนุษย์นั้นเอง แต่ทะไลลามะเอง ไม่แน่พระทัยว่า หทัยวัตถุ อยู่ตรงไหนแน่ หากแต่ถ้าเดินลมปราณไปทางจิต สิกขาอย่างลึกซึ้งแล้วจะได้ประสบการณ์ว่าพลังทางจิตอยู่ทางแถว ๆ หัวใจ นั้นเอง อย่างน้อยก็แสดงว่าหทัยวัตถุเกี่ยวข้องอย่างไกล้ชิดกับหัวใจ แม้จะ ไม่อาจบอกได้อย่างชัดแจ้งว่าหทัยวัตถุอยู่ตรงไหน จะอย่างไรก็ตาม อายุรเวท แบบธิเบตชี้ชัดลงไปทางสรีรวิทยาว่ารูปเกี่ยวโยงไปยังนามอย่างไร ดังทางเดิน ของลมหายใจนั้นเป็นเรื่องของปราณหรือชีวิตโดยทางเดินลมนั้นอยู่ในร่างกาย มีจุดศูนย์กลางต่าง ๆ ในร่างกาย มีจุด หรือ นาทิ และช่องต่าง ๆ ที่ผู้ปฏิบัติ ธรรมนำมาชี้แจงแสดงได้ว่าเวลาหลับลมปราณเปลี่ยนสภาพไปจากตอนตื่น อย่างไร เวลาฝันลมปราณก็ผันไปอีกกะแสหนึ่ง ยิ่งตอนตายด้วยแล้ว เกิด แสงสว่างกระจ่างขึ้นมาอย่างน่าสนใจยิ่งนัก ( ดู เตรียมตัวตายอย่างมีสติ ที่ ข้าพเจ้าเรียบเรียงมาจาก คัมภีร์มรณศาสตร์ของธิเบต และดู ประตูสู่สภาวะ ใหม่ : คำสอนธิเบตเพื่อเตรียมตัวตายกับช่วยเหลือผู้ไกล้ตาย ที่พระไพศาล วิสาโล แปล )

มดเอ๊กซ:


* ๓ *
 

ไม่จำเป็นต้องถกเถียงก็ได้ว่าวิญญาณขันธ์เกี่ยวข้องกับการทำงานของหัว สมอง จึงกล่าวได้ว่าการทำงานของหัวสมองเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณขันธ์ ในระดับที่หยาบ และปัจจยาการที่ว่านี้มีสองประการคือ

๑ ) เหตุที่สำคัญอันก่อให้เกิดการเปลี่ยนแลงจนเป็นผล
๒ ) ปัจจัยเข้าไปเกื้อหนุน หากไม่ใช่ตังการที่สำคัญ อันก่อให้
เกิดการเปลี่ยนแปลง

นอกจากนี้ยังมีการโยงใยอีกสามประการ เช่น

๑ ) " เพราะมี ก. จึงเกิด ข. ขึ้น " ถ้าประโยคที่ว่านี้เป็นจริง กล่าวคือ ถ้าไม่มี ก. ย่อมไม่มี ข. เมื่อเป็นเช่นนั้น ก. ย่อมไม่คงทนถาวร เพราะ เป็นตัวแปรให้เกิด ข. กล่าวคือ ก. ย่อมตกอยู่ใต้อนิจลักษณะ คือย่อม เปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ และเมื่อ ก. ก่อให้เกิด ข. ข. ก็ย่อมอยู่ในสภาวะ แห่งอนิจลักษณะ

๒ ) การเปลี่ยนแปลงสภาวะ ขึ้นอยู่กับอนิจลักษณะ ไม่มีอะไรเลยที่คง ทนถาวร เป็นนิรันดร ทุกเหตุย่อมเป็นผลจากเหตุอื่น ไม่มีเหตุต้นตอ หรือปฐมเหตุ ดังคัมภีร์ของพวกเทวนิยมหรือตามตำราของอริสโตเติล ( First Case หรือ Unmoved Mover )

๓ ) ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเป็นปัจจยาการซึ่งกันและกัน หรือเป็นอิทัปปัจ จยตา

ขอให้เอาข้อความข้างบนนี้ประยุกต์ใช้กับมันสมองและวิญญาณขันธ์ โดยเราย่อมสังเกตได้ว่ามีปรากฏการณ์ ๒ ประการที่มีคุณภาพแตกต่าง กันแต่เกี่ยวข้องกัน คือ รูปธรรม กับ นามธรรม

ในขณะที่รูปธรรมปรากฏอยู่ในเนื้อที่ของร่างกาย โดยช่วยให้ตรวจ สอบในทางปริมาณ และก่อให้เกิดคุณภาพทางความคิดและจิตใจ ทั้ง ๆ ที่ความคิดและจิตใจอยู่ที่ตรงส่วนไหนของร่างกายก็ยังไม่อาจพิสูจน์ได้ และตรวจสอบทางปริมาณก็ไม่ได้ แต่รับรู้ได้โดยประสบการณ์

ด้วยเหตุฉะนี้ จะกล่าวว่ามันสมองเป็นตัวกำหนดที่สำคัญที่สุดของความ คิดและจิตใจย่อมไม่ได้ และมันสมองซึ่งเป็นรูปธรรมจะเปลี่ยนสภาพไป เป็นความคิดและจิตใจที่เป็นนามธรรม ก็ย่อมไม่ได้ เพราะมีสภาวะที่ต่าง กันโดยที่มันสมองเป็นรูปธรรม ในขณะที่ความคิดและจิตใจเป็นนามธรรม

คราวนี้ ขอให้มาพิจารณา อาลัยวิญญาณ ซึ่งเป็นคำที่นิกายวัชรยานใช้ ค่อนข้างมาก บางครั้งคำนี้ หมายถึงความว่าง ซึ่งเป็นจุดประสงค์ที่สำคัญ ของจิตใจ บางครั้งหมายถึงการระลึกรู้อย่างมีสติ จนเป็น แสงอย่างกระ จ่าง

แสงอย่างกระจ่าง นี้ ถือว่าเป็นรากฐานหรือต้นตอของวัฏสงสาร และ ของโมกษะ หรือพระนิพพาน ในขณะที่นิกายโยคาจาระถือว่าอาลัยวิญ ญาณเป็นอัพยากฤต ไม่ให้คุณไม่ให้โทษ หากทางฝ่ายวัชรยาน ถือว่า แสงอย่างกระจ่าง ถ้าภาวนาอย่างถูกต้องถ่องแท้ จะช่วยให้เข้าถึงพระ นิพพานได้

วรรณคดีทางฝ่ายมหายาน ใช้คำนี้สองทางด้วยกัน คือ ( ๑ ) เป็นองค์ ประกอบของสภาวสัตย์ ( ๒ ) เป็นองค์ประธานของสภาวสัตย์เลยทีเดียว


กิ่งนิกาย นยิงมา ของธิเบต ขยายความว่า จิตใจนั้นแบ่งออกเป็นสอง คือ ( ๑ ) อาลัยวิญญาณ ซึ่งเป็นต้นตอที่มาของความนึกคิดต่าง ๆ ( ๒ ) ตัวสติปัญญานั้นเองซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อฝึกฝนอบรมจิตใจอย่างพินิจ พิเคราะห์

อาลัยวิญญาณเป็นต้นตอที่มาของประสบการณ์ทางด้านการรับรู้อย่างมี สติอย่างมีสัมปชัญญะ โดยเราต้องตราไว้ว่าถ้าไม่ฝึกจนเกิดสติและสัมป ชัญญะแล้วไซร้ ตัวอาลัยวิญญาณย่อมรับใช้อวิชชาหรือโมหจริตได้ง่าย

การภาวนานั้น ผู้ปฏิบัติธรรมต้องรู้จักฝึกจิตใจไว้ให้แยบคาย อย่าให้จิต ไปไปติดยึดในนิมิตใด ๆ หาไม่จะหลงทางไปติดนิมิต ไม่ว่าจะมาในทาง รูปทางเสียงหรือทางแสงก็ตามที ต้องตัดนิมิตหมายต่าง ๆ ทิ้งเสีย เพื่อ เอาชนะโมหคติ เพื่อเกิดสติควบคู่ไปกับปัญญา

เมื่อปัญญาเกิด จักเป็นความชัด ที่ละเมียด ที่ปลอดพ้นจากความครอบงำ โดยอกุศลมูลต่าง ๆ ถ้าเข้าไม่ถึงหมายเลข ๒ จะติดอยู่ทางหมายเลข ๑ ซึ่ง มีโมหจริตครอบงำ แล้วนึกว่าตนตรัสรู้ ยิ่งไปคิดว่าการตรัสรู้นั้น เป็นอัตตา อันคงทนถาวรอย่างนิรันดรด้วยแล้วถือว่านั่นเป็นมิจฉาทิฐิที่ร้ายแรงสุด

พระโยคาจาร ผู้ปฏิบัติภาวนาด้วยการนั่งสมาธิ โดยไม่ติดยึดในวัตถุใด ๆ ประการแรก จะเกิดอาลัยวิญญาณ ซึ่งยังมีโมหจริตเจือปน แล้วจึงจะเกิด สติปัญญา ซึ่งมีคุณภาพต่าง ๆ กัน จนปัญญากล้าแข็ง เข้าขั้นปัญญาวิมุติ จึงจะเอาชนะโมหจริตได้ แล้วความสว่างทางแสง จะไม่เป็นแสงแห่งโล กียะ หากเป็นแสงแห่งความวิมุติหลุดพ้น ซึ่งปลอดไปจากการยึดติดใน อัตตา

การเข้าถึงสติปัญญานั้น มี ๓ ขั้นตอนด้วยกัน คือ

( ๑ ) รู้เท่าทันวัฏสงสารและนิพพาน โดยจะรับรู้ถึงแสงอันกระจ่างอย่าง ละเอียดอ่อนและลึกซึ้ง ซึ่งจะรับรู้ได้ตอนใกล้ตายเท่านั้น และตอนนี้นี่แล ที่อาลัยวิญญาณปรากฏ

( ๒ ) สำหรับผู้ที่ปฏิบัติตนตามภาวนาวิธี จนรู้เท่าทันวิญญาณขันธ์ จึงได้ ประสบการณ์ทางด้านสติและปัญญาอย่างควบคู่กันไป

( ๓ ) ต่อบริกรรมจนถึงขั้นสุดท้ายจึงได้เข้าถึงตัวปัญญาอันบริสุทธิ์อย่าง เป็นธรรมชาติ อันเป็นแสงกระจ่างอย่างธรรมชาติอันละเอียดอ่อน และ ลึกซึ้งที่สุด ซึ่งรับรู้ได้ตอนเวลาจะถึงแก่กาลกิริยา ( ตาย )

ตอนนี้ ขอให้เรามาพิจารณากันว่าวิญญาณขันธ์มาแต่ไหน อะไรเป็นเหตุ ให้เกิดการรับรู้เมื่อมนุษย์เริ่มปฏิสนธิในครรภ์มารดา

นิกายสูตรยาน (เถรวาท) และวัชรยาน ( อย่างธิเบต ) มี ๒ ทัศนะที่ต่างกัน ทางฝ่ายเถรวาทถือว่าวิญญาณขันธ์นั้นต่อเนื่องกัน วิญญาณนี้ดับก็ไปเกิด ใหม่อย่างไม่ขาดสาย จนกว่าจะดับลงอย่างเด็ดขาดจนเป็นสมุจเฉทปหาน คือเข้าถึงพระนิพพาน กล่าวคือจากเหตุไปสู่ผล หรือมีการเปลี่ยนแปลง สภาพไปเรื่อย ๆ ของวิญญาณขันธ์ จำเดิมแต่เกิดการรับรู้เมื่อเริ่มชีวิตใหม่ แต่ละครั้ง

ทางฝ่ายวัชรยานบ่งลงไปว่าถ้าฝึกจิตจนสุขุมอย่างละเอียดอ่อนอย่างยิ่งแล้ว อาลัยวิญญาณจะผูกสนิทอยู่กับแสงกระจ่างอย่างสำคัญยิ่ง นี้เป็นต้นตอของ วิญญาณขันธ์ที่ต่าง ๆ กัน ซึ่งกลายสภาพไปได้ในสงสารวัฏ จนถึงพระนิพ พาน ทั้งหมดนี้นิกายโยคาจาระถือว่าเป็นอาลัยวิญญาณ ( ทางมหานิกายเดิม ของเรา ก็เคยพูดเรื่องอาลัยวิญญาณ )

นิกายโยคาจาระพยายามหาว่ามีอัตตาแฝงอยู่อย่างไร จึงสรุปลงได้ว่าแฝง อยู่ในอาลัยวิญญาณ แต่ในทางวัชรยาน อธิบายว่าถ้าฝึกจิตดีจนถึงขั้นสุขุม อย่างละเอียดอ่อนที่สุดแล้วจะเข้าใจว่า แม้จิตอันละเอียดอ่อนที่สุดก็หาใช่ อัตตาไม่ หากเป็นแสงสว่างอย่างธรรมชาติอันโชติช่วงที่สุด โดยจะเรียก ว่านั่เป็นพระธรรมกายก็ได้

ทางพุทธศาสนาอธิบายขยายความว่าด้วยธรรมชาติของจิตใจไว้เป็นอย่าง มาก เช่นอธิบายถึงจิตที่รับรู้อารมณ์ ด้วยจิตใจที่ได้รับการอบรมบ่มนิสัย มาก่อน ทั้งนี้ชี้ให้เห็นข้อแตกต่างทางการรับรู้ กล่าวคือจิตที่อบรมมาแล้ว ย่อมรับรู้ได้อย่างถูกต้อง ถ่องแท้ ในขณะที่จิตซึ่งขาดการฝึกหัดอบรมมา ย่อมเห็นผิดเป็นชอบได้ง่าย นอกไปจากนี้แล้ว พุทธศาสนายังอธิบายถึงข้อ แตกต่างระหว่างจิตกับเจตสิกต่าง ๆ รวมถึงการรับรู้โดยการใช้ความคิด และชนิดที่รับรู้อย่างปราศจากความคิด


การแยกแยะต่าง ๆ นี้ ไม่ใช่เพื่อต้องการตั้งเป็นทฤษฎีขึ้นมา และไม่เพียง เพื่อทำความเข้าใจในเรื่องธรรมชาติของจิต หากต้องการเอาชนะกิเลสมาร ที่เข้ามาครอบงำจิต และปลูกฝังเหตุปัจจัยต่าง ๆ เพื่อสร้างความสุขที่แท้ ให้เกิดขึ้นและงอกงาม

ท่านอารยะ อสังคะ รจนาเรื่องอภิธรรมโกษาขึ้น เพื่ออธิบายเรื่องจิตและ เจตสิกต่าง ๆ ดังท่านพรรณาเจตสิกไว้ถึง ๕๑ ประการด้วยกัน และใน ๕๑ ประการนี้ มี ๔ ประการที่สำคัญ ประการหนึ่งนั้นพรรรณาถึงการนอน เป็นการเฉพาะ โดยที่ทั้ง ๔ ประการ เป็นไปได้ทั้งฝ่ายกุศล ขึ้นอยู่กับปัจจัย ในการตั้งเจตนา

นอกจากการภาวนาในเวลาตื่นแล้ว ยังฝึกให้ภาวนาได้ในยามหลับด้วย โดย ที่ทำได้เช่นนี้ จะช่วยอิทธิวิธีได้ดียิ่งขึ้น หาไม่ในเวลานอนเท่ากับศูนย์เสีย การเจริญจิตสิกขาไปอย่างไม่จำเป็นเอาเลย ฉะนั้นจึงควรฝึกใจให้หลับได้ อย่างเป็นกุศล เช่นทางฝ่ายเถรวาทนั้น สอนให้ภาวนาจนการนอนเป็นกุศล แต่ทางฝ่ายเถรวาทไม่มีอุบายในการฝึกให้ฝันอย่างเป็นกุศลได้ด้วย

นอกจากนี้ ยังมีอุบายวิธีที่พระโยคาวจรอาจใช้นิมิตหมายในในความฝัน มา เป็นตัวแปรในการปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นได้อีกด้วย กล่าวคือความ ฝันบางประการนั้น เป็นเทพสังหรณ์ ช่วยเตือนถึงเหตุการณ์ในอนาคตได้ ด้วย

ทางฝ่ายวัชรยานนั้นสอนตันตระวิธีสี่ขั้นตอนด้วยกัน แบ่งเป็นสามขั้นตอน ซึ่งอธิบายในเรื่องฝันดีฝันร้าย แต่ยังไม่ได้ฝึกถึงขั้นที่เอาความฝันมาฝันให้เป็น โมกษธรรม แต่ตันตรวิธีสามขั้นตอนก็สอนถึงการภาวนาจนอาจใช้ความฝัน ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยใช้เทวฤทธิ์ที่สัมพันธ์กัน ( ภาษาสันสกฤตใช้คำว่า อิษฏ เทวตา ภาษาธิเบตใช้คำว่า ยิดัม )


สำหรับอนุตรตันตรโยคะ อันเป็นขั้นที่ ๔ นับว่าแยบคายที่สุดอธิบายถึงพื้น ฐานทางธรรมชาติของสภาวสัตย์ โดยขยายความจากพระอริยธรรมจนถึง พุทธภาวะ และพรรณาว่าด้วยนามกับรูป ด้วยการแบ่งออกเป็นสภาพที่หยาบ สภาพที่ละเอียด จนถึงละเอียดอ่อนที่สุด โดยจะเรียกนามรูปในขั้นหยาบว่า เรา ว่า ฉัน ว่า กู ว่า อัตตา ก็ได้ หากต้องตราไว้ว่านั่นเป็นเพียงสมมุติบัญญัติ โดยต้องไม่ไปติดยึดว่ามันเป็นจริงตามธรรมชาติแห่งสภาวสัตย์

มดเอ๊กซ:


* ๔ *
 

ถ้าไม่ติดยึดใน ตัวตน หรือในความหยาบของนามและรูป จะเข้าไม่ถึง ความละเอียดอ่อนในที่ถัดไป ต่อเมื่อนามและรูปในขั้นหยาบปลาสนาการ ไป จักปรากฏแสงกระจ่างขึ้นตอนตาย นี้แลคือจิตอันละเอียดอ่อนอย่าง สุขุมซึ่งเป็นตัวสันตติ ข้ามภพข้ามชาติไปเกิดใหม่ โดยจะเรียกว่านี่เป็น ตัวตนอย่างสุขุมก็ได้ หากต้องตราไว้ว่านี้ก็เป็นสมมุติบัญญัติอีกเช่นกัน

จิตอันละเอียดอ่อนนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะตอนดับขันธ์เท่านั้น แม้ในการ ฝันอย่างพิเศษ จิตที่ว่านี้ก็เกิดขึ้นได้ โดยที่นี่ไม่ได้เป็นเพียงความคิดฝัน หากจิตอันละเอียดอ่อนได้ออกจากร่างอันหยาบ หากจิตที่ว่านี้ไม่ได้ปรา กฏกับความฝันตามทั่ว ๆ ไป โดยจะแสดงออกกับความฝันอันวิเศษพิศ ดารเท่านั้น กล่าวคือความฝันกลายเป็นรูปที่แยกออกจากรูปกายอันหยาบ ของเราอีกทีหนึ่ง ในการฝันอันพิเศษเช่นนี้ จักมีรูปอันละเอียดกับอัตตา อันละเอียดแสดงตนออกมาให้ปรากฏ ทั้งนี้เพื่อทดสอบว่ามีการติดยึดใน สิ่งที่ปรากฏขึ้นนี้หรือไม่


ในอีกกรณีหนึ่ง ก็คือเมื่อตายจากชีวิตนี้ไป จิตอันละเอียดหรือจะเรียกใน ฐานะของสมมุติบัญญัติว่าอัตตาอันละเอียดอ่อน พ้นตัวตนในชาตินี้ก็จะไป ปรากฏในอันตรภพ ( บาร์โด ในภาษาธิเบต ) จะเรียกว่า ตัวกินกลิ่นหรือ สัมภเวสี หรือ โอปปาติกะ ก็สุดแท้ ตัวที่ว่านี้หรือสภาพที่ว่านี้ คือ สันตติ ที่ต่อเนื่องจากภพนี้ ก่อนไปถือกำเนิดในภพหน้า

 

จักช่วยให้สภาวะในอัตรภพ หรือในภพหน้าเป็นไปในทางกุศล จำต้องฝึก ทั้งจิตหยาบและจิตอันละเอียดอ่อน ยิ่งจิตอันละเอียดอ่อนด้วยแล้วสามารถ ฝึกได้แม้ในยามฝัน จนจิตอันละเอียดอ่อนและที่ละเอียดอ่อนที่สุดกลายเป็น พลังในทางกุศลอย่างแท้จริง ฉะนั้นการปฏิบัติทางด้านจิตสิกขาจึงสำคัญ ยิ่งนัก

ท่านพระนาคารชุน ซึ่งเป็นสดมภ์หลักของมหายาน ( คล้าย ๆ ท่านพุทธโฆษา ซึ่งเป็นสดมภ์หลักของเถรวาท ) สอนให้ฝึกโยคะวิธีกับการฝัน ดังคำสอนที่ ว่า " ใช้อินทรีย์ที่เรามีอยู่อย่างเป็นกุศล รู้จักใช้ระบบประสาทของเราและอง คาพยพทางร่างกายของเรา ซึ่งรวมเข้าเป็นอายตนะ ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และอายตนะเหล่านี้ช่วยให้เรามีประสบการณ์ในสถานภาพทั้ง ๓ คือสภาพ แห่งการตาย สภาพระหว่างตายและเกิด ( อัตรภพ ) และสภาพแห่งการเกิด ทั้งสามนี้ มีส่วนละม้ายคล้ายพระตรีกายของพระพุทธเจ้า "


๑ ) สิ่งซึ่งเรียกว่าพระธรรมกายนั้นคือสภาวะอันบริสุทธิ์ ปราศจากการติด ยึดในปรากฏการณ์ใด ๆ สิ้น พระธรรมกาย คล้ายสภาพแห่งการตายซึ่ง หมายความว่าในขั้นหยาบนั้น พลังจิตกลายสภาพไปเป็นแสงอันกระจ่าง และตอนตายนั้น ปรากฏการณ์ต่าง ๆ สลายไปสู่ความเป็นศูนย์ ที่เรียกว่า ธรรมธาตุ อันเป็นสภาวสัตย์ที่เป็นปรมัตถ์ หมดความเป็นตัวตน หากเป็น สภาวะ

๒ ) อัตรภพ หรือสภาวะระหว่างการตายกับเกิด ซึ่งรับรู้ได้อย่างมีประสบ การณ์ กล่าวคือในตอนตาย แสงอันกระจ่างแห่งมรณญาณมาพร้อมกับรูป ซึ่งประกอบไปด้วยพลังจิตอันละเอีอดอ่อน ช่วยให้มีความหลุดพ้นไปจาก พลังจิตอย่างหยาบและจากร่างกายอย่างหยาบ

ความข้อนี้เปรียบได้กับพระสัมโภคกาย ซึ่งเป็นการแสดงออกโดยอิทธิวิธี ของพระธรรมกาย เวลาหลับนั้น ถ้าฝันอย่างวิเศษ ก็จะมีรูปอันละเอียด อ่อน คล้ายพระสัมโภคกาย หรือคล้ายสภาวะในอันตรภพเช่นกัน

ความคิดเกิดขึ้น รูปกายหย่างหยาบกับพลังอย่างหยาบมาประสานกัน นี้ ฉันใด พระรูปกายอย่างบริสุทธิ์ของพระสัมโภคกายก็อาจแสดงออกอย่าง หยาบให้รับรู้ได้ในหลากหลายรูปฉันนั้น นี้เรียกว่านิรมาณกาย ซึ่งแสดง ออกให้ปรากฏตามความต้องการของสรรพสัตว์ จะกล่าวว่านิรมาณกาย ซึ่งแสดงออกให้ปรากฏตามความต้องการของสรรพสัตว์ จะกล่าวว่า นิรมาณกายเกิดขึ้นจากแนวคิด หรือเป็นบุคคลาธิษฐานของความคิดอ่าน ก็ได้

จำต้องแยกประเด็นให้ชัด กับสิ่งซึ่งเกิดขึ้นทางความคิด กับสิ่งซึ่งเกิดขึ้น จากครรภ์มารดา ขอให้เข้าใจว่านิรมาณกายเกิดขึ้นจากความคิดเท่านั้น

ในที่นี้ ขอสรุปว่า พระสภาวะหรือพระตรีกายของพระพุทธเจ้านั้นมีความ ละม้ายคล้ายกับสภาวะทั้ง ๓ ของเรา คือตาย ระหว่างตายและเกิด กับการ เกิด เราแต่ละคนต้องผ่านขั้นตอนทั้งสามนี้ และท่านนาคารชุนเสนอว่า ถ้า ใช้ตันตรวิธีในทางสมาธิภาวนา เราจะเข้าใจอะไร ๆ ได้ชัด

พร้อมกันนั้น ทางฝ่ายมหายานยังเน้นให้ปฏิบัติภาวนา ด้วยการเน้นไปที่ รูปสุญตา และกรุณา จนได้เห็นแสงอันกระจ่าง อย่างที่เห็นได้ตอนจะตาย หากภาวนาได้จนถึงขั้น ย่อมได้วิปัสสนาในขั้นความเป็นศูนย์ซึ่งแปรปรวน เปลี่ยนความตายให้เข้าสู่พระอริยมรรค ซึ่งเป็นหนทางไปสู่การตรัสรู้


อาจนำแสงอันกระจ่างตอนตายมาใช้เป็นหนทางที่นำไปสู่พระธรรมกายได้ ฉันใด ก็อาจใช้อันตรภพให้เข้าถึงพระสัมโภคกาย และก็อาจใช้การเกิดให้ เข้าถึงพระนิรมาณกาย ฉันนั้น

ภาวนาวิธีที่อาจเปลี่ยนสภาพของการตาย สภาวะระหว่างตายกับการเกิด ใหม่ให้เข้าสู่หนทางของพระอริยมรรคนั้น ขอย้ำด้วยการเปียบเทียบดังต่อ ไปนี้คือ

๑ ) ตาย ระหว่างตายกับเกิด ( อัตรภพ ) และเกิดใหม่
๒ ) ธรรมกาย สัมโภคกาย และนิรมาณกาย
๓ ) หลับ ฝัน และตื่น

เพื่อเข้าถึงพระธรรมกาย พระสัมโภคกาย และพระนิรมาณกาย พระโยคา วจรพึ่งปฏิบัติตนจนคุ้นกับการหลับอย่างปราศจากความฝันกับ การฝัน และ จากการตื่น

เพื่อให้มีประสบการณ์อย่างถูกต้องในขณะนอนหลับ และในขณะตื่น จำ ต้องคุ้นเคยกับขั้นตอนของการตายแปดขั้นตอนด้วยกัน อย่างน้อยก็ควร ฝึกจิตใจในเรื่องนี้ กล่าวคือควรภาวนาในขณะที่วิญญาณขันธ์ยังตื่นอยู่ ให้ รู้ตัวทั่วพร้อม แล้วค่อย ๆ ฝึกจิตหรือวิญญาณที่ว่านี้ อย่างปล่อยวางไปเป็น ขั้น ๆ จนแลเห็นแสงอันกระจ่าง ซึ่งปรากฏตอนตาย ถ้าฝึกจิตไว้ได้เป็น ขั้น ๆ จะเห็นนิมิตหมายตามขั้นตอน

เมื่อเห็นนิมิต ก็ฝึกจิตให้คุ้นเคยกับนิมิตนั้น ๆ ด้วยสมาธิภาวนา แล้วกำหนด จิตให้ข้ามนิมิตนั้น ๆ ไป จะแลเห็นแสงอันกระจ่างในห้วงหทัยส่วนลึก จน แลเห็นความละเอียดอ่อน ออกจากร่างหยาบไป โดยอาจกำหนดให้กายอัน ละเอียดอ่อนอย่างสมบูรณ์นี้ไปในที่ใด ๆ ก็ได้ จนในที่สุดก็อาจกำหนดให้ กายอันละเอียดอ่อนนี้กลับเข้ามาสิ่งสถิตอยู่กับกายหยาบนี้



ถ้าภาวนาในขณะตื่น จนเห็นนิมิตเช่นนี้ได้ เวลาหลับ ก็อาจกำหนดจิตให้ เห็นนิมิตเช่นนี้ได้เช่นกัน โดยอาจเร่งให้เห็นนิมิตเร็วขึ้นได้ด้วย จนอาจนอน หลับได้อย่างไม่จำเป็นต้องฝัน แต่ถ้าไม่ฝึกจิตด้วยการปฏิบัติภาวนาเวลาตื่น อยู่ จะกำหนดจิตในขณะหลับฝันไม่ได้เลย

เรื่องกายอันละเอียดอ่อนออกจากร่างนี้ พระเจ้าบรมวงค์เธอ กรมหมื่นวิวิธ วรรณปรีชา ตรัสเรียกว่ากายเพชร ชะรอยจะทรงใช้พุทธวิธีแบบโบราณของ เราก่อนที่เราจะมาสมาทานนิกายลังกาวงค์ก็ได้ โดยที่พระองค์ท่านนั้น ทรง ได้รับการยกย่องว่าเป็นเอกอุดมบัณฑิตผู้หนึ่งในทางพุทธศาสนาฝ่ายฆราวาส แต่รัชกาลที่ ๕ จนรัชกาลที่ ๗ และเมื่อมีการประชุมสภาโลกว่าด้วยศาสนา ต่าง ๆ ณ เมืองชิคาโกใน ร.ศ. ๑๑๒ ก็มีพระนิพนธ์ซึ่งมีคนแปลเป็นภาษา อังกฤษไปอ่านในมหาสมาคมนั้น

มดเอ๊กซ:



* ๕ *
 

การปฏิบัติภาวนาทางด้านอนุตรตันตรโยคะนั้นมีสองขั้นตอน ( ๑ ) เรียกว่า สาธนา ใช้การเพ่งอย่างกสิน ถือว่าเป็นการวางพื้นฐานให้เห็นนิมิต และ ถ้าติดอยู่ในนิมิตนั้น ๆ ก็เป็นอันไม่อาจพัฒนาจิตใจได้ยิ่งกว่านี้ แต่ถ้าไปได้ ถึงขั้น ( ๒ ) เป็นการภาวนาในเรื่อง ปราณโยคะ คือนำเอาลมปราณที่เป็น พลังต่าง ๆ ของชีวิตเข้ามาสู่ช่องกลาง แล้วภาวนาให้เกิดการสลายตัวอย่าง จริงจัง เมื่อฝึกได้ถึงที่แล้ว การสลายตัวนี้จะก่อให้เกิดแสงกระจ่างขึ้น


ถ้าฝึกได้จนถึงขั้นนี้ แม้ยามหลับก็ทำให้แสงกระจ่างปรากฏขึ้นได้และกรณี เท่านั้นที่ฝึกได้จนหลับอย่างไม่ฝัน โดยที่คนซึ่งไม่ฝึกฝนทางสมาธิวิธีย่อมฝัน ด้วยกันทั้งนั้น หากส่วนมากจำความฝันไม่ได้ต่างหาก ในขณะที่ผู้ปฏิบัติ ธรรม ถ้าฝัน ก็กำหนดรู้ในเรื่องฝัน และอาจพยาการณ์ความฝันนั้น ๆ โดย โยงมาถึงโลกแห่งความเป็นจริงได้ด้วย


การใช้ภาวนาวิธีเช่นนี้ อาจกำหนดได้ในเรื่องหลับในฐานะที่เป็นความฝัน และในเรื่องฝันในฐานะที่เป็นความฝัน ความข้อนี้ถือว่าสำคัญสำหรับผู้ที่ ปฏิบัติธรรมตามอนุตรตันตรโยคะ


ในยามที่ตื่นอยู่ สำหรับผู้ที่ปฏิบัติตนชนิดที่ยังเข้าไม่ถึงวิปัสนาญาณและจับ ไม่ได้ในเรื่องพลังทางจิตที่โยงมาถึงกระแสชีวิต ก็จะได้แต่พลานุภาพบาง ประการ ซึ่งถ้าไม่ระวัง จะไปยึดถือว่านั้นเป็นอิทธิปฏิหาริย์ จนเข้าใจว่าเป็น การตรัสรู้ธรรมก็ยังได้ แท้ที่จริงพลังพวกนี้ช่วยให้เกิดปีติและให้เกิดวิริยะ ในการประพฤติปฏิบัติธรรมเท่านั้น พวกนี้ยังเข้าไม่ถึงสภาวะของการหลับ อย่างไม่ฝัน อย่างเก่งก็อาจทำใจให้แยบคายได้ คือรู้ว่านี่คือความฝัน

การที่จะช่วยให้รู้จักความฝัน ต้องอาศัยหลายปัจจัย เช่นอาหารการกินก็ เกี่ยวข้องด้วย กล่าวคืออาหารควรเหมาะกับร่างกาย ทางตำราแพทย์ของ ธิเบต กำหนดว่าทุกคนมีพลังที่สำคัญโดยโยงใยไปถึงธาตุทั้งสาม คือ ลม น้ำดี และเสมหะ บางคนมีบางอย่างสำคัญกว่าบางอย่าง การกินอาหาร ควรช่วยให้ธาตุทั้งสามเหล่านี้สมดุลกัน และเวลานอน ถ้าหลับสนิทเกิน ไปจะฝันได้ไม่ชัด ถ้าจะช่วยให้ฝันได้ชัด และนอนอย่างไม่หลับสนิทเกิน ไป ควรลดอาหารลงด้วย


นอกไปจากนี้แล้ว ตอนนอนหลับ ควรกำหนดสติไว้ที่หน้าผากพร้อม ๆ กันนั้นก็พึงตราไว้ ถ้าหลับอย่างผิวเผินเกินไป ก็จะไม่ช่วยให้การภาวนา ในเวลานอนได้ผล

การจะให้หลับเป็นไปอย่างลึกลงไป จำต้องกินอาหารหนัก ๆ ที่มีน้ำมัน และตอนที่จะหลับ ควรกำหนดสติไว้ที่ศูนย์แห่งพลังทางท้องน้อยหรือ ทางอวัยวะเพศ

ถ้าฝันได้อย่างไม่ชัดเจน แก้ได้ด้วยการกำหนดสติที่ใจกลางของคอหอย และควรมีคนมาคอยช่วยกระซิบบอกให้รู้ว่า " ตอนนี้เธอกำลังฝันแล้วน่ะ " และควรกำหนดรู้ไว้ด้วยว่านี้เป็นความฝัน จำฝันไว้ให้ได้

ถ้าผู้ฝึกปฏิบัติ กำหนดรู้ได้ถึงแสงอันกระจ่างที่ปรากฏตอนหลับว่านี่เป็น แสงกระจ่าง ซึ่งเกิดจากการนอน แล้วอาจนำความจำได้หมายรู้อันนี้ไปยืด ให้แสงดังกล่าวธำรงคงอยู่ได้นานขึ้น

หลักการสำคัญของโยควิธีที่ใช้กับความฝัน ตามแบบของตันตระนั้นก็เพื่อ ให้รู้ถึงสภาพของความฝันว่านั่นคือความฝัน หลังจากนั้น พึงฝึกต่อไปให้ จับให้ได้ถึงหัวใจหรือศูนย์กลางขององค์แห่งความฝัน แล้วดึงเอาพลังที่ สำคัญของความฝันมาไว้ที่ศูนย์กลาง ซึ่งจะช่วยให้เกิดประสบการณ์ทาง ด้านแสงอันกระจ่างยามนิทรา แสงที่ว่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อความฝันปลาสนา การไป

แสงอันกระจ่างที่เกิดขึ้นยามนิทรานั้นไม่ละเอียดอ่อนมากนัก และด้วย การฝึกโยคะทางด้านการฝันจนมีประสบการณ์เกี่ยวกับแสงอันกระจ่างนี้ จะช่วยให้กำหนดรู้ได้ถึงหัวใจหรือศูนย์ขององค์แห่งความฝัน แม้แสงอัน กระจ่างที่ว่านี้จะไม่ละเอียดอ่อนมากนักในระยะแรก แต่อาศัยการปฏิบัติ ภาวนา แสงที่ว่านี้จะไม่ละเอียดอ่อนมากนักในระยะแรก แต่อาศัยการ ปฏิบัติภาวนา แสงที่ว่านี้จะละเอียดยิ่ง ๆ ขึ้น และรักษาแสงนี้ไว้ให้ยืน นานยิ่งขึ้นด้วย

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

ตอบ

Go to full version