นางขุชชุตตรา โดย พระราชพรหมยาน ( หลวงพ่อฤาษีลิงดำ )
-http://www.dhammathai.org/monktalk/dbview.php?No=400-
พระธรรมเทศนา โดย พระราชพรหมยาน ( หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
( เทศนา ณ. วันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๔ )
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายวันนี้เป็นวันเริ่มต้นของเดือนเมษายน การเจริญกรรมฐานของบรรดาท่านพุทธบริษัท ก่อนอื่นก็ขอชมความดีของบรรดาท่านทั้งหลาย เฉพาะวันนี้คนที่ฝึกมโนยิทธิไปนิพพานได้ ๑๔๔ คน ไปนิพพานได้ ๑๔๔ คนไม่ใช่เรื่องเล็ก คำว่า “นิพพาน” อย่าไปนึกว่าของง่ายๆ ถ้าบารมีไม่ถึงปรมัตถบารมี แม้แต่เงาของนิพพานเราก็ไม่มีโอกาสได้เห็น ทั้งนี้เพราะว่าบารมีที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้มี ๓ ชั้น
บารมีต้น ท่านเรียก บารมีเฉยๆ
บารมีขั้นกลาง ท่านเรียก อุปบารมี
บารมีสูงสุด เรียก ปรมัตถบารมี
สำหรับคนที่มี บารมีขั้นต้น (เอากันขั้นเต็มนะ) บารมีขั้นต้นเต็มนี่ถ้าอย่างเก่งก็แค่ ทานกับศีล ถ้าจะชวนภาวนาเขาจะบอกว่าไม่ไหว ทำไม่ได้ กำลังใจไม่พอ เพราะว่าบารมีท่านแปลว่าเต็ม แต่พระพุทธเจ้าให้แปลว่ากำลังใจเต็ม ถ้าอุปบารมี ถ้ากำลังใจของบุคคลใดเข้าถึงอุปบารมี ถ้าเจริญฌานสมาบัติอันนี้ทำได้แน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือฌานโลกีย์เขาจะเที่ยวได้ตั้งแต่มนุษย์ยันพรหม อันนี้ไปได้แน่ ถ้าจะชวนบอกว่า “ไปนิพพานกันเถอะ” เขาจะบอกว่า “ไม่ไหว” ต่อมาถ้าหากว่าท่านที่มีบารมีเป็นปรมัตถบารมี อันดับแรกจะรู้ว่าใครมีปรมัตถบารมีน่ะมันรู้ไม่ได้ แต่เมื่อได้ยินฟังคำเขาพูดเรื่องนิพพาน ฟังเข้าๆ หนักเข้ามีความพอใจ ว่าเราหวังใจและตั้งใจไปนิพพาน อันนี้เป็นปรมัตถบารมี ตอนนี้การฝึกกรรมฐานก็เหมือนกันจะให้ไปถึงนิพพาน ไปถึงพรหม ไปเทวดา ไปสวรรค์ ไปนรกนี่ ก็ไม่แน่นอนนัก ทั้งนี้ก็สุดแล้วแต่หมวดของกรรมฐาน กรรมฐานจริงๆ หลักใหญ่มี ๔๐ กอง อย่าลืมนะต้นไม้ยังมี ๔๐ ต้น กิ่งมีกี่กิ่ง ก้านมีกี่ก้าน ใบมีกี่ใบ นี่เป็นลีลาการสอนการแนะนำ กรรมฐาน ๔๐ กองจะมีทั้งหมด คือ
๑. สุกขวิปัสสโก
๒. เตวิชโช
๓. ฉฬภิญโญ
๔. ปฏิสัมภิทัปปัตโต
แต่กรรมฐานหมวดพิเศษมีอยู่หมวดหนึ่งคือ มหาสติปัฏฐานสูตร อันนี้พระพุทธเจ้าสอนเฉพาะสุกขวิปัสสโกอย่างเดียว ฉะนั้น การเจริญกรรมฐานเพื่อต้องการเห็นสวรรค์ เห็นนรก ก็ต้องใช้หลักสูตรที่ ๒. คือ เตวิชโช คือวิชชาสาม หลักสูตรเบื้องต้น คือ สุกขวิปัสสโก อันนี้คือทำฌานได้ มีสมาธิได้ มีฌานสมาบัติได้ เป็นพระอริยเจ้าได้ ไปนิพพานได้ แต่ไม่มีความเป็นทิพย์ของจิต เขาไม่เคยเห็นเทวดา ไม่เคยเห็นนรก ไม่เห็นสวรรค์ แต่เป็นพระอรหันต์ได้ ถ้าเตวิชโชจะต้องได้ ๒ อย่างในขณะที่เจริญฌานโลกีย์ คือ ทิพจักขุญาณ เห็นสวรรค์ก็ได้ เห็นนรกก็ได้ เห็นผีก็ได้ เห็นเทวดาเห็นพรหมได้ ตามบาลีท่านว่าอย่างนี้นะ “นั่งอยู่ตรงนี้สามารถจะคุยกับเทวดา คุยกับสัตว์นรกได้ คุยกับพรหมได้ แต่ไปไม่ได้” ถ้าหมวดที่ ๓. เรียกว่า ฉฬภิญโญ คือ อภิญญา “มโนมยิทธิ” นี่เป็นหมวดที่ ๓. เป็นหมวดของอภิญญา เห็นแล้วสามารถไปสู่ที่นั่นได้ สำหรับหมวดที่ ๔. เรียกว่า ปฏิสัมภิทาญาณ หมวดนี้มีความฉลาดมาก คือรอบรู้ทุกอย่าง อย่าลืมนะสู้พระพุทธเจ้าไม่ได้นะ เพราะว่าปฏิสัมภิทาญาณต้องแบ่งเป็นชั้น ปฏิสัมภิทาญาณของปกติสาวกนี่ชั้นหนึ่งมีความฉลาดยิ่งกว่าสาวกธรรมดา แต่ก็ยังสู้มหาสาวกไม่ได้ มหาสาวกจะมีความฉลาดกว่า มหาสาวกก็ยังสู้อัครสาวกเบื้องซ้ายไม่ได้นะเรื่องความฉลาด แต่ตัดกิเลสได้เหมือนกัน อัครสาวกเบื้องซ้ายมีความฉลาดกว่า แต่อัครสาวกเบื้องซ้ายก็ฉลาดสู้อัครสาวกเบื้องขวาไม่ได้ อัครสาวกเบื้องขวาก็ฉลาดสู้พระพุทธเจ้าไม่ได้ เพราะเป็นสัพพัญญู
วันนี้จะแนะนำกรรมฐานกัน ก็แนะนำกันให้รู้ ความจริงวันนี้ไม่ได้ตั้งใจพูดเรื่องนี้ ตั้งใจจะพูดเรื่องอื่น แต่ท่านให้พูดก็พูดไป ก็เป็นอันว่าการเจริญกรรมฐานของบรรดาท่านพุทธบริษัทวันนี้มีหลายคน เขาเรียกว่าไปถึงเขตพระนิพพาน และวันก่อนๆ ก็มีกันมาก ทุกคนที่นั่งที่นี่ใครเห็นพระนิพพานบ้างหรือยังก็ไม่ทราบนะ ที่ไม่เคยเห็นก็พึงทราบว่า “นิพพานไม่ใช่มีสภาพสูญ มีสถานที่อยู่ ท่านเรียกว่าทิพย์พิเศษ เป็นทิพย์เหมือนกัน” อย่างเทวดานางฟ้านี่ท่านมีกายเป็นทิพย์ พรหมก็มีกายเป็นทิพย์ นิพพานก็มีกายเป็นทิพย์ แต่นิพพาน ท่านเรียก วิสุทธิเทพ คือ เทวดาผู้มีความบริสุทธิ์ หมายความว่าหมดจดจากกิเลสทั้งหมด กิเลสทุกอย่างไม่มี เทวดา นางฟ้า ยังมีกิเลส พรหมก็ยังมีกิเลส กิเลสยังไม่หมด สำหรับพระอรหันต์ที่นิพพานแล้วกิเลสหมด เมื่อไปอยู่ที่นั่นแล้วก็ไม่มีการเคลื่อนไปไหนอีก อยู่นิพพานที่เดียวนะ ถ้าจะถามว่า “มีหลักฐานตอนไหนที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าพระนิพพานมีที่อยู่” ก็ต้องตอบว่า “ตามพระไตรปิฎกมีอยู่” ที่พราหมณ์ถามพระพุทธเจ้าว่า “พระสมณโคดม นิพพานมีสภาพสูญใช่ไหม เหมือนกับควันไฟที่ลอยไปในอากาศ ไม่มีที่เกาะที่จับ” พระพุทธเจ้าบอก “ไม่ใช่” เขาก็ถามว่า “ถ้างั้นนิพพานก็เป็นที่เกิดใช่ไหม?” พระพุทธเจ้าบอก “ไม่ใช่” เขาถามว่า “ทำไมจึงไม่ใช่” พระพุทธเจ้าบอกว่า “ถ้าเกิดก็ต้องมีคำว่าตาย เพราะของในโลกเป็นของคู่กัน แต่นิพพานมีสภาวะเป็นที่อยู่ แต่ไม่ตาย ที่เรียกกว่าวิสุทธิเทพ” ก็รวมความว่านิพพานเป็นแดนไม่ไกล ที่เรียกว่าเป็นแดนไม่ไกล เพราะว่าแม้แต่คนที่ขโมยของอยู่ก็สามารถเข้าเขตนิพพานได้ (ถ้ากลับไปแล้วจะกลายเป็นขโมยไม่ได้นะ) พูดมากไปเดี๋ยวจะรำคาญเพราะมันร้อน เล่านิทานสู่กันฟังเอาไหม จะเล่านิทานเรื่องขโมยไปนิพพานให้ฟัง อาจไปถึงหรือยังก็ไม่ทราบ แต่ว่าท่านเป็นพระโสดาบัน พระโสดาบัน ท่านแปลว่า “ผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน” คนที่เข้าถึงกระแสพระนิพพานแล้วบาปเก่าๆ ทั้งหมดไม่มีโอกาสให้ผล คือไม่มีโอกาสจะเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานอีก บาปทั้งหมดไม่มีโอกาสให้ผล มีทางเดียวคือเดินเข้าสู่เขตพระนิพพานไปเลย ตัวอย่างของขโมยสดๆ ขโมยสดนะไม่ใช่ขโมยแห้ง ขโมยทุกวันคือ ท่านขุชชุตตรา ที่อาตมาเรียกว่า ท่านขุชชุตตรา ก็หมายความว่าท่านเป็นพระอริยเจ้า ก่อนที่ท่านจะถูกไฟไหม้ ท่านเป็นพระอนาคามีหรือสกิทาคามีก็ไม่ทราบ แต่ตอนต้นเป็นพระโสดาบัน ยังไงท่านก็เป็นพระอริยเจ้าแล้ว ท่านก็คงไม่โง่ที่จะกลับมาเกิดใหม่ ท่านขุชชุตตรานี่เป็นหญิงรับใช้ของพระนางสามาวดี และก็เป็นหญิงหลังค่อม (ไอ้เรื่องนี้น่ะมันจะไม่จบนะ เวลา ๒๐ นาทีมันจะไม่พอนะ ถ้าไม่พอก็จบแค่หมดเวลานะ) เป็นอันว่าท่านเป็นหญิงหลังค่อม พระเจ้าอุเทนซึ่งเป็นพระราชสวามีของพระนางสามาวดี พระราชทานทรัพย์ให้ซื้อดอกไม้วันละ ๘ ตำลึง (๑ ตำลึง เท่ากัน ๔ บาท) แต่ว่าทุกคนอาจจะลืมแล้วก็ได้นะ เพราะเดี๋ยวนี้เขาใช้กิโลกรัมใช่ไหม ทีนี้การที่จะใช้คนอื่นไปซื้อดอกไม้นอกวังก็ไม่เหมาะ นางขุชชุตตรานี่เป็นหญิงหลังค่อมคงไม่เป็นที่สนใจของใคร ก็ใช้นางขุชชุตตราไปซื้อดอกไม้ทุกวัน ขุชชุตตรานี้เป็นคนดีมาก คือเขาให้ไป ๘ ตำลึง แกก็ซื้อมา ๔ ตำลึง คิดค่าเดินทางไป ๒ ตำลึง เดินทางกลับอีก ๒ ตำลึง ว่ากันไม่ได้นะ เขาไม่ได้จ้างแต่เธอคิดเองนะ ล่อเสียแบบนี้ทุกวัน เอาของเขาทุกวันเลยไม่ได้เว้น อย่าลืมว่านี่ขโมยเป็นปกติเลย เป็นอาจิณกรรมนะ บาปหนักเลย บาปไม่เบานะ คัพท์ว่า อาจิณกรรม คือ “กรรมที่ทำอยู่เสมอ หรือทำเป็นประจำ” แม้แต่บาปเล็กน้อยอย่างแม่ครัวที่ฆ่าสัตว์ ฆ่าปลากินทุกวัน อย่างนี้ถือว่าเป็น อาจิณกรรม ลงอเวจีได้ มีสิทธิ์ลงอเวจี ใช่ไหม แต่ว่าทีนี้การขโมยทุกวันล่ะ? ก็มีสิทธิ์ลงอเวจีเหมือนกัน แต่ก็เป็นการบังเอิญวันสุดท้าย นายมาลาการ นิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระอรหันต์ทั้งหมด เพื่อถวายภัตตาหารในตอนเช้า พอท่านขุชชุตตราไปซื้อดอกไม้ นายมาลาการก็บอกว่า “ดอกไม้นี่เตรียมไว้แล้วไม่ต้องเป็นห่วง แต่ว่าวันนี้เราจะเลี้ยงพระพุทธเจ้า ถวายทานพระพุทธเจ้า มีพระอรหันต์ทั้งหมด มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน เธอจงอยู่ถวายภัตตาหารช่วยกันก่อน” นางขุชชุตตราก็ยอมรับ ในเมื่อพระพุทธเจ้าฉันเสร็จ ก็ทรงเทศน์ ตามบาลีไม่ได้บอกว่าเรื่องอะไร ฉันก็เดาเอาเองนะ (ขอเดานะ) พอเทศน์จบแล้วนายมาลาการก็เป็นพระโสดาบัน ขุชชุตตราก็เป็นพระโสดาบัน ฉะนั้นการเทศน์ของพระพุทธเจ้าในวันนั้นก็ต้องเทศน์เรื่องของพระโสดาบัน คือ
ประการที่ ๑. ให้ทุกคนนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ ให้มีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่า “ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง เราต้องตายแน่นอน”
ประการที่ ๒. ก่อนที่เราจะตายคราวนี้ เราจะไม่ยอมไปอบายภูมิ คือยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง คือยอมรับนับถือตามความเป็นจริงและด้วยความจริงใจ
ประการที่ ๓. ละความชั่ว ๕ อย่างคือ
๑. ฆ่าสัตว์
๒. ลักทรัพย์
๓. ประพฤติผิดในกาม
๔. มุสาวาท
๕. ดื่มสุราและเมรัย
เข้าใจว่าท่านเทศน์แบบนี้นะ ในบาลีไม่ได้บอก บาลีไม่ได้บอก ฉันก็บอกของฉันเองก็ได้ หรือใครไม่เชื่อว่าฉันพูดตรงให้ถามพระพุทธรูป หรือถามพระพุทธเจ้าโดยตรงก็ได้นะ ถ้าถามพระพุทธเจ้าไม่ได้ก็ถามพระพุทธรูป พระพุทธรูปไม่ตอบไม่ปฏิเสธ ฉันพูดถูก (ลองดูสิท่านนั่งอยู่ตรงหลายองค์ใช่ไหม) ก็เป็นอันว่านางขุชชุตตราฟังเทศน์จบก็เป็นพระโสดาบัน พอได้เป็นพระโสดาบันแล้ววันนั้นก็ขโมยของไม่ได้ซิ เพราะทรงศีล ๕ บริสุทธิ์ ก็ต้องซื้อดอกไม้มาถึง ๘ ตำลึง พอมาถึงพระนางสามาวดี พระนางสามาวดีก็ถามว่า “วันนี้พระราชาพระราชทานเงินซื้อดอกไม้เพิ่มหรืออย่างไร ดอกไม้ถึงได้มากนัก” เป็นพระโสดาบันโกหกไม่ได้อีก ไม่มีใครบังคับนะ ท่านรักษาจริงๆ นะ ท่านก็เลยบอกตามความจริงว่า “ความจริงพระราชาพระราชทานทรัพย์วันละ ๘ ตำลึง แต่ว่าหม่อมฉันยักเอาไว้เสีย ๔ ตำลึง ซื้อมาแค่วันละ ๔ ตำลึง” พระนางสามาวดีก็บอกว่า “เอ้า วันนี้ทำไมไม่ชักเอาไปล่ะ ความจริงเอาไว้ก็ได้ฉันไม่ว่าอะไรหรอก ดอกไม้แค่ ๔ ตำลึงก็พอ” เธอก็บอกว่า “ไม่ได้ วันนี้ฟังเทศน์ พระพุทธเจ้าเทศน์บอกว่ามันบาป บาปที่แปลว่าชั่ว ตายแล้วต้องตกนรก ต่อไปนี้ขโมยไม่ได้แล้ว เลิก ต้องซื้อวันละ ๘ ตำลึง” พระนางสามาวดีก็ถามว่า “พระพุทธเจ้าเทศน์ว่าอย่างไรบ้าง ขอฟังเทศน์” นางขุชชุตตราก็บอกว่าการฟังเทศน์
๑. การฟังเทศน์ต้องมีอาสนะที่นั่งสูงกว่า
๒. อาบน้ำให้เรียบร้อย แต่งตัวให้ดี
พระนางสามาวดีก็สั่งให้นำน้ำหอม ๑๖ หม้อมาอาบ หาเครื่องแต่งตัวใหม่ จัดอาสนะพร้อมกับหญิง ๕๐๐ คน นางขุชชุตตราขึ้นธรรมาสน์แล้วก็เทศน์ เทศน์ในลีลาแนวของพระพุทธเจ้าตรง เทศน์คล้ายคลึงพระพุทธเจ้ามาก พอทุกคนทั้ง ๕๐๐ คนฟังเทศน์จบ ทุกคนก็เป็นพระโสดาบันหมด (โอ้โห ดีกว่าฉันเทศน์ตั้งเยอะ) แต่ความจริงแล้วนางขุชชุตตราเทศน์ไม่ได้อะไรนะ นี่ฉันเทศน์ได้สตางค์นะเนี่ย ในเมื่อท่านเป็นพระโสดาบันทั้งหมดแล้ว นี่บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นอันว่าบาปเก่าทั้งหมดไม่มีโอกาสจะให้ผล ทีนี้มาวันนี้จะคุยเรื่องกรรมฐาน เดี๋ยวจะไม่ได้พูดเรื่องกรรมฐาน นี่พูดเรื่องกรรมฐานนะเนี่ย พระโสดาบันนี่สำคัญนะ ถ้าท่านภาวนาว่า พุทโธ บ้าง สัมมาอรหัง บ้าง นะมะ พะธะ บ้าง อิติสุคโต บ้าง ถ้าภาวนาไปเฉยๆ อย่างนี้จิตสามารถเป็นฌานได้ แต่ก็ไม่มีโอกาสที่จะหนีอบายภูมิได้ ถึงแม้จะได้ฌานสมาบัติ ณาน ๑, ๒, ๓, ๔ หรือ ๘ ก็ตาม หรือจะได้อภิญญาโลกีย์ก็ตามไม่สามารถจะหนีอบายภูมิได้ ฉะนั้นทุกคนจะต้องเป็นพระโสดาบันให้ได้ ถ้าเราเป็นไม่ได้ เราก็ปฏิบัติตามแบบฉบับของพระโสดาบัน หรือว่าปฏิบัติตามท่าน ถ้าเราเผลอบ้างไม่เผลอบ้าง ทำได้บ้างลืมไปบ้างก็ถือเป็นของธรรมดา แต่คราวนี้ การที่เราจะทำจิตจนชินในด้านของความดี ซึ่งมีดังนี้ คือ
คิดว่าชีวิตนี้ต้องตาย
ชีวิตเราเป็นของไม่เที่ยง
ความตายเป็นของเที่ยง
สักวันหนึ่งข้างหน้าเราก็ต้องตายแน่
ความตายไม่มีนิมิตเครื่องหมาย
เราอาจจะตายเมื่อไหร่ก็ได้
สังเกตกันดูให้ดีว่า เราจะนึกว่าทุกคนจะต้องแก่แล้วจึงตาย แต่บางคนแก่แล้วยังนึกว่าเรายังแก่ไม่พออีก ยังไม่ตายอีก (อย่างฉันนี่ ฉํนยังไม่นึกว่าฉันจะตายเลยนะ) ถ้านึกว่าตายเวลานี้พูดเรื่องอื่นไม่ได้ ต้องพูดเรื่องตายอย่างเดียว ทีนี้ความจริงมันต้องตาย ให้คิดไว้ว่าวันนี้เราอาจจะตายก็ได้ อย่างเมื่อคืนวานนี้ใครจะรู้ว่าใครจะตาย อยู่ดีๆ ก็มีรางวัลปุ้งๆๆ “เมื่อชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง” ให้คิดไว้อย่างนี้ว่า ก่อนที่เราจะตาย อย่างน้อยที่สุดเราจะยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ด้วยปัญญา คือว่าต้องใช้ปัญญาพิจารณานะว่าท่านดีอย่างไร พระพุทธเจ้าที่ว่าดีก็มีสิ่งที่ให้เป็นที่สังเกต คือ แนวการสอนของพระพุทธเจ้าให้แนะนำพระสงฆ์ทั้งหลายในวันวิสาขบูชา พระที่มารวมพร้อมกันเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด ๒,๕๐๐ องค์ (ไม่ใช่เลขหวยนะ) ก็เป็นอันว่าท่านบอกท่านแนะนำว่า ต่อไปนี้ให้สอนแบบนี้ให้เหมือนกัน
๑. สัพพะปาปัสสะ อะระกะณัง
จงแนะนำให้ทุกคนไม่ทำความชั่วทั้งหมด
๒. กุสะลัสสูปะสัมปะทา
แนะนำให้ทำแต่ความดี
๓. สะจิตตะปะริโยทะปะนัง
ทำจิตใจให้ผ่องใสจากกิเลส
และลงท้ายว่า เอตัง พุทธานะสาสะนัง พระพุทธเจ้าทุกองค์ตรัสอย่างนี้เหมือนกันหมด ก็รวมความว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนว่า
๑. ให้ละความชั่ว
๒. ประพฤติความดี
๓. ทำจิตใจให้ผ่องใสจากกิเลส
ก็ถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าที่ดี จริงๆ เราควรยอมรับนับถือท่าน และคำสอนอันนี้เป็นพระธรรม เราก็ยอมรับ และบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายที่ปฏิบัติแล้วเป็นพระอริยเจ้าขึ้นมาได้ก็เพราะปฏิบัติตามนี้จึงเป็นพระอริยสงฆ์ได้ ก็รวมความว่าพระพุทธเจ้าก็ดี พระธรรมก็ดี พระอริยสงฆ์ก็ดี เราควรยอมรับนับถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเอากันน้อยๆ ไม่ต้องมาก เอาแค่นับถือพระพุทธเจ้าองค์เดียวก็เยอะแยะไปแล้ว หรือว่าจะยอมรับนับถือพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งโดยเฉพาะก็ได้ ขอให้เป็นพระก็แล้วกันนะ ถ้านึกถึงพระพุทธเจ้าก็เป็น พุทธานุสสติ ถ้านึกถึงพระสงฆ์ก็เป็น สังฆานุสสติ ใช้ได้เหมือนกันไม่ลงนรก หรือว่านึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนอย่างใดอย่างหนึ่งที่เราชอบก็เป็น ธัมมานุสสติ ก็ใช้ได้ ทำกันแค่อย่างเดียว เรียกว่าทำกันอย่างชนิดที่เรียกว่า คนขี้เกียจแล้วได้ดี ถ้าจะถามว่า ถ้านึกแล้วก็ยังทำบาปอยู่ล่ะ? ต้องถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเรายังไม่ถึงพระโสดาบันเพียงใด เราย่อมทำบาปอยู่บ้างเป็นของธรรมดา แต่ว่าถ้าเรานึกถึงความตาย นึกถึงพระ เรื่องทำบาปมันลดลงไป ทำน้อยลงใช่ไหม แต่ว่ามันเผลอบ้างอะไรบ้างก็เป็นของธรรมดา รวมความว่าการนึกถึงพระพุทธเจ้าองค์เดียวโดยเฉพาะ อย่างที่บรรดาท่านพุทธบริษัทเจริญกรรมฐานอันนี้ได้กำไรมาก อย่างภาวนาว่า พุทโธ บ้าง สัมมาอรหัง บ้าง อิติสุคโต บ้าง อะไรก็ตาม หรือ นะมะ พะธะ บ้างก็ช่างเถอะ ทุกอย่าง การภาวนาทุกอย่างก่อนที่เราจะภาวนาเรานึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน ทุกอย่างต้องถือว่าเป็นพุทธานุสสติ ทีนี้บังเอิญเรามีครูผู้สอนเป็นพระสงฆ์ เราก็นึกถึงพระสงฆ์องค์นั้นด้วยเป็นสังฆานุสสติ คำภาวนาเป็นธัมมานุสสติ โอ้..ได้ตั้ง ๓ อย่าง ใช่ไหม ทีนี้การปฏิบัติกรรมฐานทำไมพระพุทธเจ้าจึงแนะนำให้ปฏิบัติสมาธิกันเป็นปกติ คำตอบคือ ก็เพื่อให้จิตมันมีอารมณ์ชิน ชินในด้านของความดี คือการนึกถึงพระพุทธเจ้าก็ดี นึกถึงพระธรรมก็ดี นึกถึงพระอริยสงฆ์ก็ดี เป็นความดีของจิต ทุกคนยังมีบาป พระอรหันต์ที่นิพพานไปแล้วทุกองค์บาปยังเหลือตั้งเยอะแยะ ยังไม่มีพระอรหันต์องค์ไหนหมดบาปถ้าท่านไปนิพพานได้ ทีนี้ถ้าพวกเราปฏิบัติภาวนาจนชิน ถ้าได้เวลาต้องภาวนา หรือยามว่างมันก็ภาวนาขึ้นมาเองจนชิน คำว่า ชินก็คือฌาน ฌานก็คือชิน อารมณ์ชินเรียกว่าฌาน นี่เป็นการทรงตัว ถ้าเราทำอย่างนี้แล้วและบังเอิญนะ บางท่านอาจจะคิดว่ามีปัญญามากขึ้น มีบารมีเป็นปรมัตถบารมี จิตมีความรู้สึกบางครั้งบางวันว่าโลกนี้มันเต็มไปด้วยความทุกข์ เราจะตื่นขึ้นมาเช้าเราก็พบแต่ความทุกข์จนกว่าจะหลับ หลับแล้วบางทียังทุกข์ต่อไปอีกเพราะฝันไม่ดี ใช่ไหม จิตคิดว่า “ถ้าตายคราวนี้ก็ไม่อยากจะเกิดต่อไปอีก ไม่อยากจะเป็นเทวดา ไม่อยากเป็นพรหม แต่อยากจะไปนิพพาน” ถ้าบางครั้งคิดนะ (เอาแค่บางครั้ง) คิดบ้างไม่คิดบ้าง แต่ว่าภาวนาเป็นปกติ คำว่า ภาวนาก็ดีบ้างไม่ดีบ้าง บางวันเราก็ตำหนิตัวเราว่าภาวนาจิตใจไม่ดีไม่สงบ บางวันเราก็นิยมว่าสงบ อันนี้ไม่สำคัญ แต่การกระทำอย่างนี้มันเป็นอารมณ์ชิน ถ้าญาติโยมพุทธบริษัทถ้าเคยตายมาก่อนละก็อาจจะรู้สึกว่ารู้เรื่อง ทีนี้ทุกคนเคยลองตายบ้างไหม ฉันลองตายมาหลายครั้งนะ ไม่ได้ลองตายนะมันตายเอง แต่ว่าเขาไล่กลับ และการภาวนาว่า พุทโธ นี่แม่สอนมาตั้งแต่เด็ก แม่สอนให้ภาวนาว่าพุทโธตั้งแต่เด็ก ก่อนจะหลับให้ว่าพุทโธดังๆ ให้ท่านได้ยิน ๓ ครั้ง (พุทโธๆๆ) เท่านี้ก็พอแล้ว แต่ก่อนจะนอนต้องกราบพระก่อน แต่เราก็กราบส่งเดชอย่างเด็กใช่ไหม แล้วก็ว่าพุทโธส่งเดชอย่างเด็ก แล้วต่อมาเมื่อโตขึ้นมาหน่อยมันกลัวผี แม่ก็เลยบอกว่า “ถ้าภาวนาพุทโธนี่ผีไม่หลอก ผีกลัวพุทโธ” ตอนนี้เลยขยันหน่อย ถ้าผู้ใหญ่อยู่ด้วยไม่ภาวนา ผู้ใหญ่ใช้เข้าห้องเนี่ย (กลางวันนะ) เข้าห้องน่ะเข้าได้ ขาออกต้องถอยหลังออกเพราะกลัวผีจับหลัง นี่ขนาดนี้นะ เราต้องภาวนาเป็นปกติ คือต้องภาวนาพุทโธ นี่เล่าประวัติให้ฟัง ความจริงเรื่องนี้มันราคาแพงนะ ในกาลต่อมาไม่ช้า ไม่นานนักอายุประมาณ ๑๒ ปี เขาเป็น อหิวาตกโรค กัน ท้องมันถ่าย ๓ ครั้งลุกไม่ขึ้นหมดแรง แม่ก็บอกว่า “ให้ภาวนาพุทโธไว้ พุทโธจะช่วยให้ลูกหายจากโรค” ท่านเอาพระพุทธรูปมาตั้งให้ดูนะ (ให้เห็น) พระพุทธรูปอย่าตั้งหัวนอน ให้ตั้งข้างๆ ให้มองเห็นถนัดๆ แล้วเอาตาจับพระพุทธรูป ท่านบอกว่า “ถ้าภาวนาพุทโธประเดี๋ยวพระจะช่วยให้หายจากโรค” เราก็เชื่อท่านนะ ก็ภาวนาไป ภาวนาไปประเดี๋ยวเดียว พระก็กลายเป็นพระใหญ่ แต่ยังเป็นพระพุทธรูปนะ เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ขึ้นมา ใหญ่ขึ้นๆ หน้าตักประมาณสัก ๔ ศอก ประเดี๋ยวก็กลายเป็นพระคน ไม่ใช่พระเนื้อแล้วนะ สวยมาก มีฉัพพรรณรังสี เห็นท่านยิ้ม ประเดี๋ยวเดียวมีความรู้สึกว่าตัวเองไปยืนอยู่ข้างนอก และมองดูตัวเก่า และคนทุกคนที่มานั่งที่นั้นเขามองดูที่ตัวเก่า แต่ตัวเก่าไม่หายใจแล้วนะ ทีนี้เราก็ไปถามคนนั้นถามคนนี้ เรียกใครๆ ก็ตามไม่มีใครเขาสนใจ ตามปกติแม่ท่านดุ ถ้าอยู่ข้างล่างจะขึ้นข้างบนต้องขออนุญาตก่อน ถ้าอยู่บนบ้านจะลงข้างล่างต้องขออนุญาตก่อน ไม่งั้นถูกตี วันนั้นก็ไปถามใคร ก็ไม่มีใครเขาพูด คือจะไปขออนุญาตท่านว่าจะออกไปยืนหลังบ้านก็ไม่มีใครเขาพูดด้วย แต่ไอ้รูปร่างหน้าตานี่มันไม่เหมือนเดิม มองตัวเนื้อเห็นเป็นสีทองคำ แต่ความจริงมันเป็นแก้วนะ เครื่องประดับแพรวพราวหมด แต่เครื่องประดับมันเป็นทองคำ พอแสงทองคำออกก็ทับสีแก้วกลายเป็นสีทองคำ และตัวมันเบาทุกอย่าง ก็เลยไปยืนหลังบ้าน เห็นคนประมาณสัก ๒๐๐ คนเดินผ่านมา พอเดินใกล้เข้ามามีคน ๔ คนนำคุมมา ก็ไปถามคนข้างหน้าว่า “ลุงจะไปไหนครับ?” ตัวเขาใหญ่มากนะ คนที่เดินตามหัวแค่เอว ท่านก็เปิดบัญชีบอกว่า “ไอ้หนู ชื่อเอ็งไม่มีในบัญชีไปไม่ได้” เรานึกว่าตานี่น่ากลัวจะบ้า เราถามว่าไปไหน เสือกบอกว่าไม่มีในบัญชี พอเจอลุงคนกลางอีก ก็บอกแบบนั้นอีก อีตาลุงคนหลังดึงเข้าบ้าน พอดึงเข้ามาหน่อยแกก็ปล่อยมือ ก็คิดในใจว่า “เขาไปไหนเราต้องรู้” เลยตามไปห่างๆ พอไปถึงภูเขา พอขึ้นเขาลงเขา มีเขาเล็กเขาใหญ่ เข้าป่ารก และต่อมาเขายาวเหยียด ขึ้นไปยอดเขานะ เขาไปยืนข้างบน แล้วกางบัญชี แล้วนับ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า ครบสองร้อยเศษ พอบอกครบ เราโผล่หัวพอดี เขาบอก “ไอ้หนูมาทำไม” ผมถามลุงแล้วว่า “ลุงไปไหน ลุงไม่ตอบผมนี่” เขาถามว่า “เอ็งต้องการมาทำไม” บอก “อยากจะรู้ว่าลุงไปไหนผมต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้ คนอย่างผม” ก็เลยชี้ให้ดูว่า โน่นดูซิมีคนยืนเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละ ๑๐๐ คนนะ แต่ละกลุ่มก็มีตัวใหญ่ๆ ใหญ่สูงมาก ถือง้าวบ้างถือหอกบ้าง คุมกลุ่มละคน บอกว่านั่นเป็นแดนของพระยายม แล้วชี้ไปด้านทิศตะวันออก มีแสงไกลมาก บอกนั่นนรก (แต่ที่อยู่ของพระยายมกับนรกนี่ไกลกันมาก) พวกนี้เคยทำความชั่วมาก่อน เขาถูกลงโทษมาแล้ว เขาปล่อยให้มาแต่กลับมาทำความชั่วใหม่ ต้องกลับมาถูกลงโทษใหม่ (ก็เป็นอันว่าวันนี้ขอจบแค่นี้มันหมดเวลาประเดี๋ยวจะเลยเวลาไป) ก็เป็นอันว่าท่านก็เลยสั่งว่า “นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปนะ ถ้าเอ็งต้องการรู้อะไร ให้มาที่นี่ และให้นึกถึงลุง ลุงจะให้รู้ทุกอย่าง” ก็เป็นความจริงตามนั้น นี่เห็นไหมล่ะ พุทโธเล็กๆ เห็นไหม ต่อมาก็อยากจะรู้ก็ไปทุกวัน ไปวันแรกพอไปถึงปั๊บ นึกถึงลุง ลุงก็มาทันที ท่านแต่งตัวเหมือนพรหม บอกท่านว่า “ผมอยากดูนรกขุมที่ ๑ ครับ” ท่านก็บันดาลให้ นรกขุมที่ ๑ เลื่อนเข้ามาอยู่ข้างหน้าเรา เห็นชัดทุกอย่าง อยากดูอะไรก็เห็นหมด แต่ว่าท่านบันดาลให้เห็นนะ ไม่อนุญาตให้ไป แต่ความจริงมาตอนหลัง พอมาพบหลวงพ่อปาน แล้วท่านบอกว่า “ถ้าเรามีกำลังใจเข้มแข็งก็สามารถไปได้” แต่เวลานั้นไม่ได้มีครูนี่ แม่สอนคำว่าพุทโธเฉยๆ ใช่ไหม ก็รวมความว่า รู้จักนรกสวรรค์มาตั้งแต่อายุ ๑๒ ปี แต่จะรู้ได้ต้องไปดูเขายอดนั้น ถามว่า “ไปได้อย่างไรต้องเข้าฌานไหม?” ไอ้เข้าฌานหรือไม่เข้าฌานนี่ไม่รู้เรื่อง นึกว่าจะไปมันถึงเลย (นี่พุทโธนะ) ก็รวมความว่า ต่อนี้ไปขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ตั้งใจนึกถึงพระพุทธเจ้าไว้เป็นอารมณ์นะ ท่านจะภาวนาว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ อย่างไรก็ตาม ไม่สำคัญ คำภาวนานี่ไม่จำกัดกัน แต่ว่าก่อนที่จะภาวนาให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน ถ้านึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนเวลาจะตาย บาปทั้งหมดจะเข้าถึงเราไม่ได้ บุญจะเข้ามาก่อนด้วยบารมีของพระพุทธเจ้า เพียงเท่านี้อย่างน้อยบรรดาท่านพุทธบริษัทถ้าตายในเวลานั้น อย่างน้อยก็ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ถ้าคนที่นึกถึงนิพพานไว้ก่อน ถ้าเวลายามป่วย ถ้านึกถึงพุทโธไว้ตามเดิม คิดว่าจะไปนิพพาน จิตมันจะเฉยต่ออารมณ์ต่างๆ อันนี้จะเข้าเล่าในวันพรุ่งนี้ดีกว่านะ เรื่องตายเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ นะ ต่อไปนี้ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายตั้งใจสมาทานศีลสมาทานกรรมฐาน สวัสดี.
ที่มา : นิตยสารธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๓๑๑ ประจำเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๐
DT012254
ศรีโคมคำ
17 พ.ค. 2556 เวลา 23:02 น.