ผู้เขียน หัวข้อ: ทีราบิเตีย สะพานมหัศจรรย์ มิตรภาพสร้างโลก  (อ่าน 2984 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
คอลัมน์ สดจากเยาวชน
สุเทพ คล้ำนคร

ปิดเทอมแบบนี้หนังเอาใจน้องๆ หนูๆ ลงจอกันเพียบ




รวมถึงเรื่องนี้ หนังแฟนตาซีผจญภัยที่กำลังลงโรงฉายในบ้านเรา บริดจ์ ทู ทีราบิเตีย Bridge to Terabithia หรือชื่อไทย ทีราบิเตีย สะพานมหัศจรรย์

...จงหลับตา และเปิดใจให้กว้าง

ร่วมค้นพบดินแดนมหัศจรรย์

และมิตรภาพอมตะที่ไม่มีวันจากคุณไปไหน...

บริดจ์ ทู ทีราบิเตีย เป็นผลงานจากทีมผู้สร้างหนังดังขวัญใจเด็ก อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย สร้างจากวรรณกรรมเยาวชนอมตะเจ้าของรางวัล Newbery กับเรื่องราวมหัศจรรย์แห่งการผจญภัย มิตรภาพ ความกล้าหาญ ความสูญเสีย และการเดินทางสู่จินตนาการ

เจซ แอรอนส์ เด็กชายที่เข้ากับใครไม่ได้ทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน เขาใช้เวลาตลอดหน้าร้อนซ้อมวิ่งเพื่อจะได้เป็นนักเรียนที่วิ่งเร็วที่สุดในห้อง

แต่ความหวังเขากลับพังทลายลงเพราะนักเรียนหญิงคนใหม่ เลสลี่ เบิร์ก ที่วิ่งเร็วกว่าเด็กผู้ชายทุกคน

แม้จะไม่ถูกชะตากันในตอนแรก แต่ไม่นานทั้งคู่กลายเป็นเพื่อนรักกัน

เลสลี่ชอบเล่าเรื่องราวมหัศจรรย์ ส่วนเจซชอบวาดรูป ซึ่งเขาไม่เคยบอกใครกระทั่งได้พบเธอ

เลสลี่เปิดโลกแห่งจินตนาการให้เจซ พวกเขาร่วมกันสร้าง ทีราบิเตีย อาณาจักรลับสุดมหัศจรรย์ที่ทั้งคู่เดินทางเข้าไปโดยการโหนเถาวัลย์ข้ามแม่น้ำใกล้บ้าน

ที่นั่นพวกเขาตั้งตนเป็นผู้ครองดินแดน ต่อสู้กับจอมวายร้ายและสมุน และช่วยกันวางแผนรับมือพวกชอบรังแกที่โรงเรียน

มิตรภาพที่มีต่อ เลสลี่ ทำให้ เจซ เปลี่ยนไปตลอดกาล

เนรมิตภาพสิ่งมีชีวิตอัศจรรย์ ปราสาทโอ่อ่าและป่างดงาม โดยทีมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ Weta Digital เจ้าของรางวัลออสการ์จาก เดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริง และคิงคอง

ในปี 1976 แคทเธอรีน เพเทอร์สัน นักเขียนมากพรสวรรค์เจ้าของรางวัลมากมายได้แรงบันดาลใจจากการตายของเพื่อนลูกชายตัวน้อย จึงเขียนวรรณกรรมเยาวชนเรื่องบริดจ์ ทู ทีราบิเตีย ขึ้นเพื่อปลอบใจเขา

เริ่มแรกเธอตั้งใจจะเขียนนิทานแฟนตาซีสำหรับเด็ก แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับเป็นเรื่องราวดินแดนมหัศจรรย์ที่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดมากมาย กับเรื่องราวมหากาพย์สงครามระหว่างความดีและความชั่ว

หนังสือตีพิมพ์ในปี 1977 และได้รับรางวัล Newbery Medal เมื่อปี 1978

บริดจ์ ทู ทีราบิเตีย เป็นที่รักของนักอ่านรุ่นเยาว์ทุกคน และกลายเป็นหนังสือนอกเวลาของหลายโรงเรียน ทั้งยังเป็นหนังสือประจำบ้านของหลายครอบครัวทั่วโลก

อาณาจักรทีราบิเตียในหนังมีชื่อละม้ายคล้ายชื่อเกาะ ทีราบินเทีย ในอาณาจักรนาร์เนีย และปรากฏอยู่ในหนังสือหลายเล่มของ C.S. Lewis ผู้แต่ง Chronicles of Narnia ไม่ว่าจะเป็นใน Prince Caspian และ Voyage of the Dawn Treader

ตัววรรณกรรมเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในยุค 70 แต่ในภาพยนตร์ทีมผู้สร้างดัดแปลงให้เรื่องราวเกิดขึ้นในยุคปัจจุบันด้วยรูปแบบร่วมสมัย

โดย จอช ฮัทเชอร์สัน ที่เคยมีผลงาน Zathura และ The Polar Express รับบทเป็น เจซ แอรอน หนุ่มน้อยวัย 11 ขวบ ที่ใฝ่ฝันอยากเป็นแชมป์วิ่งแข่ง แต่ต้องผิดหวังเมื่อนักเรียนหญิงคนใหม่วิ่งชนะเด็กผู้ชายทุกคนในห้อง ซึ่งรับบทโดย แอนนา โซเฟีย ร็อบบ์ จากหนัง Charlie and the Chocolate Factory

บริดจ์ ทู ทีราบิเตีย จัดเป็นภาพยนตร์ 2 มิติแต่มีงานคอมพิวเตอร์แอนิเมชั่น 3 มิติทับซ้อนอยู่ ถ่ายทำในโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ทั้งหมด นอกจากนั้นทีมงานยังได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้เข้าไปถ่ายทำในนิทรรศการผลงานของลีโอนาร์โด ดา วินชี ที่พิพิธภัณฑ์โอ๊คแลนด์ เมมโมเรียลด้วย

นอกจากเป็นหนังเด็กและขายความตื่นตาตื่นใจในส่วนสเปเชี่ยลเอ็ฟเฟ็กต์ หนังยังสอดแทรกสาระของครอบครัว เมื่อตัวละคร เลสลี่ และ เจซ คือเด็กที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอกทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน ปัญหาส่วนตัวของพวกเขาต่างกัน จริงอยู่ที่พ่อแม่ทุกคนรักลูก แต่ทั้งคู่กลับรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเอาใจใส่อย่างที่โหยหา เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงสร้างโลกของตนเองขึ้นและกลายเป็นเพื่อนรักกัน

หนังให้มุมมองที่เด็กๆ ทุกคนสัมผัสได้ไม่ยากนัก

ในขณะที่ผู้ใหญ่นอกจากจะได้รื้อฟื้นจินตนาการกันแล้ว...

ความรู้สึกในวัยเยาว์ที่หลงลืมกันไปอาจหวนคืนกลับมาให้เข้าใจโลกของเด็ก...อีกครั้ง

http://news.sanook.com/education/0/education_111484.php


Bridge to Terabithia ทีราบีเตีย สะพานมหัศจรรย์  :47: http://youtu.be/E6NkUiHEW84




" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


ภาพยนต์ของวอลท์ดีสนีย์เรื่องนี้ เปิดเรื่องมา โดยที่ " เจซ แอรอนส์ " ตัวเอกของเรื่องเป็นเด็กผู้ชายธรรมดาที่เกิดในครอบครัวลูกหลายคน ( พี่สาวสอง น้องสาวสอง ) แถมครอบครัวยังมีปัญหาทางด้านการเงินอีก

เท่านั้นยังไม่พอครับ ที่โรงเรียน เจซยังคงเป็นพวกขี้แพ้ของเพื่อนๆ เพราะเอาแต่นั่งวาดรูปในจินตนาการของตัวเอง ไม่มีเพื่อนเลยสักคน

ตอนเปิดเรื่องผมก็งงว่า เจ้าเด็กคนนี้มันจะวิ่งทำไมหนักหนา เพราะใช่ว่าเค้าอยากเป็นคนขี้แพ้ตลอดไปนั่นเอง เจซหวังจะเป็นนักเรียนที่วิ่งเร็วที่สุดในห้อง


แต่เมื่อเจซออกวิ่งอย่างมุ่งมั่นหวังเป็นที่ 1 และแซงเพื่อนผู้ชายทุกคนที่ชอบดูถูกเค้า ความฝันที่จะเป็นผู้ชนะของเค้าจบลงตรงที่เด็กผู้หญิงนักเรียนใหม่แซงเจซเข้าเส้นชัยไปในชั่วพริบตา


"เลสลี่ เบิร์ก" เป็นเด็กสาวผมทองที่มากด้วยพลังจินตนาการและความคิดราวกับผู้ใหญ่ เธอย้ายมาอยู่ข้างบ้านเจซและมาช่วยเติมเต็มชีวิตในหลายๆด้านให้กับเจซหนุ่มน้อยที่ดูเหมือนจะเซ็งกับชีวิตในโลกแห่งความจริง

เลสลี่เริ่มทำให้เจซเปิดใจ แล้วโยนพลังจินตนาการของเธอใส่เจซ ทำให้ทั้งสองคนเริ่มมีอาณาจักรเล็กๆขึ้น ทั้งที่ในตอนแรกผมคิดว่าหนังเรื่องนี้จะมีเหตุบังเอิญที่ทำให้เด็ก 2 คนนี้หลงเข้าไปในดินแดนมหัศจรรย์ แต่เปล่าเลย อาณาจักรนี้มองเห็นได้แค่เจซและเลสลี่เพียงสองคนเท่านั้น และเลสลี่ตั้งชื่อมันว่า "ทีราบิเตีย"


สะพานมหัศจรรย์ ที่เชื่อมโลกแห่งความจริงกับทิราบิเตียไว้ ไม่ใช่สะพานวิเศษ ไม่ใช่สะพานที่สวยงาม มันเป็นเพียงแค่เชือกเก่าๆ เส้นเล็กๆ ที่ไว้โหนข้ามแม่น้ำไปอีกฝั่งเท่านั้นเอง


ทุกเย็นๆ เจซกับเลสลี่จะอาศัยเชือกนั่นข้ามไปยังอาณาจักรของตน และช่วยกันแต่งเติมจินตนาการเข้าไปเรื่อยๆ ซ่อมแซมบ้านบนต้นไม้เก่าๆเพื่อจะเป็นปราสาทของตน เอาของจุกจิกมาเก็บไว้ และที่สำคัญที่สุด เจซและเลสลี่เปิดใจให้กันจนเริ่มก่อเป็นความรู้สึกดีๆต่อกัน

ถึงแม้ในโลกแห่งความจริง เจซยังคงมีเรื่องน่าปวดหัวมากมายเหมือนเดิม

........

 

หนังเรื่องนี้ทำท่าจะเป็นหนังรักอบอุ่นของเด็ก 2 คน และในใจผมก็หวังให้เป็นเช่นนั้น


ผมเริ่มที่จะเชียร์ให้เจซ เผยความรู้สึกในใจให้กับเลสลี่ในช่วงกลางเรื่อง หลังจากที่เลสลี่ขอไปโบสถ์กับเจซ เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกแปลกๆที่เด็กผู้หญิงท่าทางทะมัดทะแมงใส่ชุดกระโปรงน่ารักๆให้เห็น

และในฉากที่เจซยืนมองเลสลี่โบกมือลาท่ามกลางสายฝนนั้น ก็สื่ออารมณ์ความรู้สึกของเด็กหนุ่มที่มีต่อเธอได้เป็นอย่างดี

แต่ในเช้าวันต่อมา อาจารย์ที่เจซแอบปลื้มได้มีเหตุบังเอิญชวนเจซไปพิพิธภัณฑ์ เพราะอาจารย์สาวเล็งเห็นถึงพรสวรรค์ที่มีในตัวของเจซ


ขณะที่รถเคลื่อนตัว เด็กหนุ่มหันไปมองบ้านเลสลี่ ผมพูดกับตัวเองเบาๆ ว่า " เฮ้ย ชวนเลสลี่สิว่ะ " เพราะอยากจะเห็นเด็กทั้งสองคนมีความสุขด้วยกันอีก ..... เพียงแต่ว่า เจซเลือกที่จะไม่ชวนเลสลี่ เพราะอยากอยู่กับอาจารย์ที่ตนปลื้มกันแค่ 2 คนมากกว่า


นี่คือการทำร้ายจิตใจผมขั้นที่ 1

แล้วเหมือนผู้สร้างจะไม่สะใจที่ทำร้ายความรู้สึกของผม เมื่อเจซกลับมาบ้าน แล้วทุกคนในบ้านดูแปลกๆ และมีการพูดถึงความตาย .... ผมกับเจซเริ่มมีความรู้สึกร่วมกัน เริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี ในที่สุดคำพูดที่ทำลายจิตใจของหนุ่มน้อยก็ถูกเปิดเผยออกมาจากพ่อของตน

" เลสลี่เพื่อนลูกตายแล้ว "

ฉากนี้เล่นเอาผมช็อคไปพอๆกับเจซเลยทีเดียว เจซ(รวมทั้งผม) ไม่อยากจะเชื่อคำพูดเล่านั้น ถึงจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงก็ตามแต่ใจไม่อยากจะยอมรับ เพราะเลสลี่ถือเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เจซไม่เคยมี เธอช่วยมาเติมเรื่องดีๆในชีวิตให้หนุ่มน้อยคนนึง และเธอมาด่วนจากไปง่ายๆ พร้อมกับความรู้สึกรักที่แอบเก็บอยู่ในใจของทั้งสองคน

ยิ่งฉากที่เจซหยิบสมุดภาพที่ตัวเองวาดขึ้นมาดู แล้วในหน้าสุดท้ายมีรูปของเลสลี่อยู่ ทำเอาผมน้ำตาแทบร่วง

เด็กหนุ่มยังไม่หมดความหวังซะทีเดียว หลังจากที่ครอบครัวของเจซไปแสดงความเสียใจกับพ่อแม่ของเลสลี่แล้ว เจซยังคงไปตามหาเลสลี่ในทีราบิเตียด้วยความตั้งใจ

ถึงแม้ดวงตาของตนเองจะได้เห็นเชือกขาดๆที่เคยเปรียบดั่งสะพานมหัศจรรย์ ที่เอาชีวิตของเลสลี่ไปด้วย

เจซยังคงไม่ถอดใจ ได้แต่วิ่งตามหาปาฏิหารย์ว่า "ที่จริงแล้วเธอไม่ได้หายไปไหน เด็กสาวผมทองยังคงเป็นราชินีอยู่ในอาณาจักรแห่งจินตนาการแห่งนี้"


โลกความจริงมันช่างโหดร้าย.... เลสลี่ไม่มีวันกลับมา เด็กหนุ่มล้มลงพร้อมกับความสิ้นหวังที่ตามมาในรูปของปิศาจแห่งความมืด ถึงอย่างนั้นก็มีสองมือช่วยประคองเด็กหนุ่มขึ้นมา ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นพ่อที่ไม่เคยแสดงความรักกับเค้าให้เห็นเลย เจซร้องไห้ให้เห็นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เลสลี่จากไป ในอ้อมกอดของพ่อตน และโทษตัวเองที่วันนั้นไม่ได้ชวนเลสลี่ไปพิพิธภัณฑ์ด้วย

เลสลี่ไม่เชื่อในคำของพระเจ้า เจซเลยถามพ่อว่า เลสลี่จะตกนรกหรือเปล่า ... พ่อเค้าเลยบอกว่า "พระเจ้าไม่ใจร้ายกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆหรอกนะ"


หนังยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับให้เห็นเจซที่เปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่เจซยังมีอีกหลายๆคนที่เปลี่ยนไป เพราะการมาและการจากไปของเลสลี่

รุ่นพี่ผู้หญิงจอมเกเรที่เป็นฝ่ายมาทักทายเจซก่อน พ่อของเจซที่ดูจะห่วงใยในตัวเจซมากขึ้น และที่สำคัญตัวเจซเอง เลสลี่เคยบอกเจซว่า ไม่สำคัญว่าพ่อแม่จะเป็นอย่างไร เราไม่จำเป็นต้องเหมือนพ่อแม่

เจซที่พ่อเป็นช่างแต่ตัวเองชอบที่จะวาดรูป ในที่สุด ตอนท้ายเรื่องเจซแสดงให้เห็นถึงสายเลือดของพ่อที่มีอยู่ในตัวเองออกมา ด้วยการลงมือ "สร้างสะพานมหัศจรรย์" ขึ้นมาใหม่


และเด็กหนุ่มยังเปิดใจพาองค์หญิงตัวน้อยๆ ที่เค้าไม่เคยใส่ใจ เข้ามาแทนตำแหน่งราชินีที่ว่างลง "เมย์เบล" น้องสาวคนโตของเจซเธอตกลงที่จะเป็นราชินีคนใหม่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เพื่อมารักษาและเพิ่มดอกไม้ในหัวใจของเจซและอาณาจักรทีราบิเตียต่อไป.....

เฉกเช่นองค์ราชินีรุ่นแรก เลสลี่ เบิร์ก ...... เด็กสาวผมทองที่เปรียบเสมือนสะพานมหัศจรรย์เชื่อมหัวใจให้ทุกคนนั่นเอง ...


..........

ตอนแรกจะเขียนแค่สั้นๆ แต่มันกลายเป็นรีวิวหนังไปซะงั้น ฮ่าๆ ถือว่าเป็นครั้งแรกเลยที่ได้รีวิวหนัง ที่ทำไปเพราะชอบเรื่องนี้จริงๆ ขออภัยถ้ามีข้อบกพร่องครับ

ถึงตัวหนังจะดูเพี้ยนๆไปบ้างกับการจินตนาการเวอร์ๆของตัวละคร แต่โดยรวมแล้วผมประทับใจมาก ที่จริงอยากให้จบอย่างแฮปปี้มากกว่านะ แต่ที่สุดแล้วคนจากไปก็ไม่มีวันกลับมา .....

ใครที่ยังไม่เคยดู ผมขอให้ลองดูนะ อาจจะไม่สนุกสำหรับใครหลายๆคนก็ได้ แต่อยากให้ทุกคน "เปิดใจให้กว้าง แล้วจะมองเห็นจินตนาการมากกว่าที่เราคิด" ตามคอนเซปของหนังนะครับ ^^


Bridge To Terabithia .... ทีราบิเตีย สะพานมหัศจรรย์

 

ลิ้งค์ที่โพสไว้ที่พันทิปครับ http://www.diaryclub.com/users/kyo4/20080727/%BC%C1%E0%BE%D4%E8%A7%E4%B4%E9%B4%D9-%B7%D5%C3%D2%BA%D4%E0%B5%D5%C2-%CA%D0%BE%D2%B9%C1%CB%D1%C8%A8%C3%C3%C2%EC.php
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


Bridge to Terabithia (2007) สะพานมหัศจรรย์ PART.1

เจส(Josh Hutcherson)เด็กผู้ชายที่ไม่ยุ่งกับหมู่สังคมจึงเป็นที่กลั่นแกล้งจากเพื่อนๆและรุ่นพี่ และเพราะด้วยความเก็บตัวทำให้ต่างมองว่าเป็นพวกขี้แพ้ไม่มีทางสู้ แต่แล้วการเข้ามาของเด็กใหม่เลสลี่(Anna Sophia Robb)ทำให้ชีวิตของเจสต้องเปลี่ยนไปด้วย เพราะความสนิทสนมที่เริ่มมากขึ้นจนกลายเป็นเพื่อนสนิทที่ไม่ทิ้งห่าง จนวันหนึ่งเจสและเลสลี่ได้ไปที่ป่าแห่งหนึ่งซึ่งมีเชือกผูกอยู่ เจสและเลสลี่ได้โหนเชือกนั้นไปอีกฝากหนึ่ง แล้วเลสลี่เกิดความคิดอย่างหนึ่ง ในขณะที่เจสมองว่าเป็นเรื่องไม่มีอยู่จริงก่อนจะคิดใหม่ จนกระทั้งบางอย่างมีอยู่จริงขึ้นมาและตั้งชื่อว่า Terabithia ดินแดนที่เต็มไปด้วยเรื่องเหลือเชื่อมากมายกับการต่อสู้ระหว่างความเป็นจริงและจินตนาการ

 

Terabithia คืออาณาจักรของคนทั้งสองที่ตรึงความคิดระหว่างโลกแห่งความจริงและโลกแห่งความคิดของจินตนการที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องราวถ่ายทอดสู่สายตาแห่งการตอบสนองของเลสลี่และเจส

ในที่แห่งนี้จะไม่มีใครรู้ลึกเห็นชัดเท่าคนทั้งสองที่เป็นประหนึ่งผู้สร้างและทำให้เกิดเรื่องราวขึ้น กับโลกแห่งความจริงไม่มีสิ่งใดที่น่าเหลือเชื่อกว่าโลกของความคิดที่นำพาสู่โลกของส่วนตัวที่ประหนึ่งบ้านของตัวเอง ที่เกิดขึ้นเพราะเจตนารมย์สำนึกของตนเองที่ผ่านเวลาในการดำเนินชีวิตจนแปรสภาพเป็นโลกคู่ขนานที่พร้อมผ่านไปด้วยกันทั้งเรื่องจริงและจินตนาการที่ต่างพึ่งพิงอาศัยเพื่อค้ำจุ้นอีกสิ่งหนึ่งดังความสำคัญที่ขึ้นอยู่กับ Bridge



แต่ก่อน Bridge จะเชื่อมเข้าสู่โลกคู่ขนานได้นั้นเป็นเรื่องระหว่างความสัมพันธ์และรู้ใจกันของเลสลี่กับเจสที่ต้องสื่อใจถึงใจได้อย่างเป็นอันหนึ่งเดียวด้วยวิธีการของเลสลี่ที่มีความคิดกับคำที่ว่า"เปิดใจให้กว้าง"

ซึ่งก่อนที่ทั้งคู่จะกลายเป็นผู้สร้าง Terabithia นั้นไม่ได้มาเพราะโอกาส แต่เป็นการให้โอกาสของเจสที่ว่าจะยอมรับเลสลี่ผู้ชนะการวิ่งได้หรือไม่ทั้งๆที่เจสตั้งความหวังเอาไว้อย่างสูง และจากที่คิดว่าต้องได้ที่หนึ่งกลายเป็นว่าต้องเสียตำแหน่งเพราะเด็กใหม่เลสลี่ที่ทำให้เขาต้องแพ้

การแพ้ของเจสเป็นเรื่องน่าเจ็บปวดทางใจด้วยเหตุที่ว่ามีปมในใจอยู่มากมาย ซึ่งมักทำให้ถูกเพื่อนล้อบ่อยๆว่า "Loser"

 

เจสเป็นเด็กมัธยมต้นที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มเพื่อนหรือทางสังคมเป็นอย่างดี รวมถึงภายในครอบครัวที่ไม่ได้ผูกให้ความรักอย่างจริงจังเหมือนรักเข้าข้างน้องมากกว่า ทำให้มีสถานะภาพเป็นพวกเก็บตัวและยากจะสนิทสนมกับใคร
แต่ในความเป็นพวกขี้แพ้ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นพวกไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวซะทุกอย่าง เพียงแต่ในความหมายของ Loser นั้นเป็นความคิดของเพื่อนๆที่ไม่เคยเห็นว่าเจสจะมีอะไรดีและน่าสนใจ จนกระทั้งช่วงเวลาแห่งหารคว้าชัยชนะคือการวิ่งซึ่งแน่นอนว่าเจสกำลังจะชนะ แต่ต้องเปลี่ยนไปเพราะเลสลี่ผู้ลงแข่งด้วยเหตุที่ว่าอยากคบเพื่อนสักคน

 

เลสลี่คือผู้หญิงที่มองโลกด้วยจินตนาการของตัวเองล้วนๆที่ให้ผลลัพธ์แบบบริสุทธิ์เพราะเลสลี่ไม่ได้มีทีวีที่บ้านดูเลย แต่ด้วยมุมมองที่กว้างเกินหน้าจอทีวีจะให้ได้นั้นเกิดจากครอบครัวที่เป็นนักเขียน และด้วยความสัมพันธ์นี้เองทำให้เธอเปี่ยมด้วยทัศนมุมมองของโลกที่เป็นมากกว่าโลกที่คุ้นเคยกับการเปิดใจเพื่อยอมรับสิ่งที่ไม่มีอยุ่จริง

เลสลี่มีอะไรที่เหมือนกับเจสแต่ทั้งคู่ล้วนมีจุดแตกต่าง ในขณะที่เจสเลือกจะวาดรูประบายสีกับการหมกตัวในงานที่ใช้ศิลปะที่ไม่ไม่เต็มใจให้ใครดู แต่กับเลสลี่มีความคิดที่มองโลกด้วยความเป็นอิสระเสรีและมักต้องการใช้ชีวิตกับสิ่งนั้นด้วยความสุขของเธอเอง

สำหรับเลสลี่มีความแปลกมากกว่าจะเป็นผู้หญิงทั่วไปที่มีความกล้าและความคิดที่กว้างมากกว่าที่จะเป็น ทำให้ไม่แปลกใจที่หลายๆคนจะชอบเลสลี่ แต่ขณะเดียวกันใช่ว่าทุกคนจะยอมรับได้เสมอไปอย่างเด็กเกรดแปดรุ่นพี่ที่มีอายุมากกว่าและชอบวางตัวเหมือนอันธพาล



ก่อนหน้าที่เลสลี่จะชินกับโรงเรียนใหม่นั้น เจสมักมีปัญหากับรุ่นพี่เกรดแปดและเพื่อนร่วมห้องที่มักโดนเอาเปรียบ โดนเยาะเย้ย และแกล้งเป็นประจำ และด้วยเหตุที่ว่าเป็นคนเก็บตัว ไม่บอกหรือกล่าวใคร และยังมีความคิดเป็นแบบของตัวเองที่ไม่เลือกจะแบ่งปันหรือถ่ายทอดให้ใครได้ แต่ที่หนักใจคือเรื่องทางบ้านที่เกิดเป็นลูกชายเพียงคนเดียวในบ้าน จึงต้องถูกใช้งานและทำงานเป็นเรื่องที่เกิดมาตามสภาพแวดล้อมที่เลี้ยงดูมากอย่างแข้มแข็ง ในขณะที่พี่น้องในบ้านของเขากลับถูกเลี้ยงดูมาแบบทะนุถนอม และด้วยเหตุนี้จึงเป็นบุคคลที่ไม่เข้ากลุ่มในขณะเดียวกันกลุ่มก็ไม่ได้ยอมรับเขาด้วยเช่นกันเพราะพื้นฐานทางสังคมและครอบครัวที่เลี้ยงมาด้วยความแตกต่าง จนกระทั้งมาพบกับเลสลี่ที่ได้นำพาโลกของการเก็บตัวเปลี่นเป็นโลกกว้างที่อยากมีสังคมอยู่ร่วมด้วย

ก่อนที่ทั้งคู่เกิดเป็นเพื่อนกันได้ไม่ใช่เพียงเพราะความสนิทสนมเพียงอย่างเดียว แต่เพราะทั้งคู่มีบางอย่างที่เหมือนกัน คือจิตนาการอันเลื่อมใสที่ไม่ได้เจือปนจากวัตถุนิยมแต่เป็นสิ่งแวดล้อมจากธรรมชาติ โดยเริ่มจากเลสลี่ที่เขียนบทความส่งอาจารย์ได้อย่างละเอียดถี่เหมือนเคยพบเห็นและสัมผัส แต่เธอไม่เคยเห็นแม้แต่ในทีวี หรือจะเจสที่วาดรูปใส่สมุดเอาไว้อย่างมากมายโดยที่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้มีอยู่จริงเลย ที่สำคัญการเชื่อใจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทั้งคู่เข้าหากันได้อย่างอิสระ ซึ่งจะเห็นว่าต่างไม่มีความลับต่อกันเพราะการเปิดใจที่ทำให้อีกฝ่ายต่างเข้าใจกันและกันได้

 

คิดว่ายังไงกับเด็กสาวเกรดแปดที่มีวุฒิภาวะสูงกว่าในหลายมุมมอง แต่ไม่ได้ว่าจะมีสูงกว่าใครในทุกด้าน เพียงแต่ใช่ประโยชน์จากสิ่งที่อยู่เหนือกว่าใครในด้านผู้ใหญ่ที่ปักหลักยึดที่นั่งหลังรถโรงเรียน หรือจะหน้าห้องน้ำที่ใครจะเข้าต้องจ่ายเงินเป็นภาษีเสียก่อน การมีพฤติกรรมแบบนี้ไม่ได้อยู่ต่างหรือห่างจากสิ่งที่ทำให้เกิดมากนักแต่เป็นเรื่องของสังคมที่มักจะเกิดจากเลียนแบบจากผู้ใหญ่ที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานในวุฒิที่สูง ทำให้ไม่ต่างอะไรกับวัยทำงานที่ต้องหารายได้เข้าครอบครัวเพื่อเลี้ยงดูและใช้ชีวิตกันอย่างสุขสม

ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจากการกลับบ้านครั้งหนึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไปอีกยาวนาน เมื่อเจสและเลสลี่ได้เข้าไปในป่าหลังบ้าน ด้วยความที่อยากผจญภัยตามประสาเด็กทำให้เหมือนเป็นการจุดพลุที่แตกเป็นประกายความคิดที่ให้เกิดดินแดน Terabithia แต่ผู้สร้างจริงๆคือเลสลี่เพราะการเปิดใจที่ยอมรับและเปลี่ยนจากสิ่งที่เป็นเปลี่ยนเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงหรือจะรูปร่างของต้นไม้ล้วนมีการเปรียบเทียบเป็นอีกหนึ่งมิติที่เห็นได้ถ้าเปิดใจให้กว้าง จากที่เจสยังแปลกใจกับช่วงแรกที่เลสลี่ทำอะไรที่ไม่มีอยู่จริง ทำให้บางอย่างที่ติดตัวมาตลอดเกิดความคิดแบบมีอยู่จริง ซึ่งสิ่งเหล่านั้นไม่ได้เกิดบนกระดาษอย่างที่เคยเพราะสิ่งนั้นมีอยู่จริง และมันเกิดขึ้นได้ถ้าเปิดใจรับสิ่งนั้น

 

Terabithia ในมุมมองโดยทั่วไปคือป่าไม้ธรรมดาที่มีอยู่จริง แต่เมื่อลองเปิดใจรับในทุกสิ่งจะเห็นอะไรบางอย่างที่ใจเราต้องการให้กว้างยิ่งขึ้นจนเป็นรูปเป็นตนขึ้นมาจริงๆ แล้วอะไรทำให้เลสลี่สนใจรับเรื่องอื่นมากกว่าทางด้านวัตถุนิยม ซึ่งตรงจุดนี้สังเกตได้จากการที่เลสลี่ให้ของขวัญเจสเป็นอุปกรณ์วาดรูป ที่เจสมองว่ามีราคาที่แพงและไม่เลือกที่จะรับ เพราะคิดว่ามันมีค่าเกินไปทางวัตถุ แต่เลสลี่ไม่คิดแบบนั้นเพราะไม่ได้สนใจในราคาในขณะที่เจสถาม เนื่องจากมีความคิดอยู่แล้วว่าต่อให้มีราคาสูงมากมายแค่ไหนมันยังมีค่าน้อยไปถ้าจะประเมินคุณค่าทางจิตใจ

เพราะการเปิดโลกยอมรับในสิ่งใหม่ทำให้เจสต้องเปลี่ยนตัวเองไปกลายเป็นคนที่พร้อมเผชิญหน้ามากขึ้น จากตัวอย่างที่เจสร่วมมือกับเลสลี่จัดการรุ่นพี่เกรดแปด และผลคือการเปลี่ยนไปจากการเอาคืนที่โดนกลั่นแกล้งเป็นบ่อยครั้ง สรุปง่ายๆผลพลวงการกระทำในโลกแห่งความจริงได้เปลี่ยนไปย่อมส่งผลให้ Terabithia นั้นเปลี่ยนไปด้วย

 

เนื่องจาก Terabithia ก็เหมือนโลกคู่ขนานแต่เกิดขึ้นในโลกเดียวกันแต่คนละมุมมองเพราะเกิดจากจิตนาการที่แปรมากจากความเป็นจริง แต่ไม่ใช่ว่าเนื้อเรื่องจำยอมให้เรื่องยุติเพียงการเอาคืนเท่านั้นแต่ต้องรู้จักให้อภัยด้วย ซึ่งหลังจากที่รุ่นพี่เกรดแปดโดนเอาคืนจำต้องเสียใจและโศกเศร้าทำให้ไม่สามารถระบายต่อหน้าใครและมักจะปลดปล่อยความทุกข์ในห้องน้ำเพื่อเป็นการระบายความเจ็บปวด ซึ่งเลสลี่และเจสเห็นว่าพวกเขาทำเกินไป จึงต้องเป็นฝ่ายเข้าหาและให้คำปรึกษาดีๆจนเป็นที่น่าพอใจ และเปลี่ยนนิสัยรุ่นพี่เกรดแปดให้กลายเป็นคนดี

ดังยักษ์ใน Terabithia ที่ต้องการมาจัดการเลสลี่และเจสที่เป็นราชาและราชินี จนในภายหลังกลับกลายเป็นฝ่ายดีและมีส่วนในการช่วยเหลือไม่ต่างอะไรกับรุ่นพี่เกรดแปดที่ตอนแรกมาว่าร้ายเสมอ แต่หลังจากเวลาผ่านพ้นไปทำให้จิตใจรุ่นพี่เกรดแปดดีขึ้น และส่งผลให้ชีวิตของเลสลี่กับเจสไม่มีข้อกังขาอีกแล้ว



 

ปล.มีต่อ PART.2 จ้า Smiley
อยากทำ PART เดียว แต่โดนแจ้งว่าตัวอักษรเกินเลยต้องแบ่งหน้า http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=zero1408&month=05-2013&date=30&group=31&gblog=18
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



เมื่อเจสมีความกล้ามากขึ้นใน Terabithia ในการสร้างป้อมปราการเพื่อรับมือกับศัตรู เขาจึงได้เรียนรู้ถึงคุณค่ามากขึ้นของการทำงานและไม่กังขาเรื่องที่จะทำทุกเช้าเมื่อพ่อใช้ให้เขาไปทำงาน จนเมื่อความมั่นใจในตัวเองมีมากขึ้นจึงเกิดการยอมรับเปิดใจในการเข้าหาครูที่แอบหลงรัก ซึ่งการที่เจสมีความมั้นใจมากขึ้นทำให้การเข้าถึงตัวครูเป็นไปได้ง่ายและต่างจากเดิมที่มีอาการเกร็งๆ จนเมื่อครูได้รู้แล้วว่าเจสมีพรสรรค์ด้านศิลปะจึงชวนไปร่วมชมพิพิธภัณฑ์ในเมือง แต่ในระยะห้วงหนึ่งความคิดของเจสนั้นอยากชวนเลสลี่ไปด้วย แต่อีกใจหนึ่งบอกว่าอยากไปกับคนที่เขาหลงรักมากกว่าเป็นการส่วนตัว

การไปชมพิพิธภัณฑ์ครั้งนี้อันหมายถึงการเปลี่ยนแปลงข้ามช่วงของชีวิตหนึ่ง เมื่อการไปเลือกชมพิพิธภัณฑ์นั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการดูผลงานที่เป็นจุดมุ่งหมายชีวิตในอนาคตที่จะใช้เป็นจุดปักฐานในอนาคต ถึงแม้จะรู้สึกไม่ดีอย่างที่สุดเพราะยังห่วงเลสลี่ที่ไม่ชวนมา แต่สิ่งที่เปลี่ยนเขาไปคือการกลับมาที่บ้านพร้อมสมาชิกในบ้านที่เป็นห่วงเจสแบบผิดปกติ ก่อนจะทราบว่าเลสลี่ได้เสียชีวิตแล้ว



หลังได้รู้ความจริงที่ไม่อาจปิดบังได้เจสเลือกทำใจไม่ลงเพราะการสูญเสียที่กระชากใจเขาแบบไม่น่าให้อภัยเพราะคิดว่าเป็นความผิดของตัวเอง และย้ำว่าตัวเองผิดที่ไม่ได้ชวนเลสลี่ไปด้วย จากการพังทลายของเพื่อนที่หาได้ยากทำให้การทำใจเป็นไปด้วยความเจ็บช้ำ แต่เกิดเป็นว่า Terabithia ก็หายไปด้วยเพราะความกลัวและไม่อยากข้ามไปอีกฝั่ง

ในภาวะที่ทุกคนเศร้ากับการไม่อยู่ของเลสลี่ทำให้ทุกคนเปิดใจมากขึ้นเกี่ยวกับเลสลี่ ที่ปรากฏจากครูคนหนึ่งที่เวลาสอนเต็มไปด้วยระเบียบและเข้มงวด แต่ภายในเปราะบางและเสียใจเรื่องเลสลี่จนเจสเกือบแปลกใจในช่วงแรก แต่เข้าใจมากขึ้นแล้วว่าทุกคนต้องการเลสลี่กลับมาแต่ชีวิตยังไม่จางหายยังคงต้องมีชีวิตกันต่อไป

 

เจสไม่อยากจดจำเวลาเรื่องเลวร้ายจึงบีบสีลงน้ำที่เลสลี่เป็นคนมอบให้เพื่อหวังว่าจะไม่มีอะไรให้น่าจดจำ แต่เขาตระหนักได้ว่าถึงการสูญเสียที่ไม่ได้แปลว่าจะเป็นการสูญสิ้นซะทั้งหมด ไม่ต่างอะไรกับน้ำที่ไหลไม่ย้อนกลับมาแต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือแม่น้ำที่ไม่ได้ไปไหน

ในความเป็นจริงเกิดขึ้นได้เสมอตลอดเวลา แต่อะไรจะสูญสลายเมื่อไม่มีความจริง นั้นคือจินตนาการ เมื่อเข้าใจแล้วว่าเรื่องราวของจินตนาการนั้นเป็นดังชีวิตที่ทอดเลี้ยงมาจากความจริง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตัดไม่ขาด และเจสได้คิดใหม่ถึงไม่มีเลสลี่อยู่แต่เขาจะทำให้ Terabithia กลับมาอีกครั้งเพื่อเป็นการนับถือและไม่ลืมเลสลี่อีกเลย

 

Bridge to Terabithia สะพานสู่ทีราบีเตีย อาจเป็นคำพูดที่กล่าวมาตรงๆและไม่สลับซับซ้อนอะไร แต่อะไรที่น่าสงนเมื่อหลังดูเรื่องจบคือ Bridge ที่มีความหมายมากกว่าจะเป็นแผ่นไม้ปูทางข้ามฟาก แต่อาจหมายถึงหลายสิ่งๆที่กำลังจะหายไปและเริ่มขึ้นใหม่กับอีกสิ่งหนึ่งเมื่อเราเลือกข้ามสะพาน เหมือนเจสที่เริ่มเข้าใจในหลายสิ่งๆว่า"อย่าลืมคนที่อยู่ใกล้ตัว" ทำให้เจสเริ่มมีความหมายกับชีวิตมากขึ้น โดยการสร้างสะพานให้กับน้องสาวของตนเองและยกให้เป็นราชินีแห่งทีราบีเตีย แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ Terabithia กลับมามีชีวิตจริงๆคือการที่เจสกลับมาเข้าใจเรื่องเลสลี่ ที่ไม่ใช่เพราะความผิดของเขาที่ทำให้สูญเสียเธอไปแต่เป็นเรื่องของชีวิต ที่ทุกคนต่างเลือกเมื่อต้องการเปลี่ยนแปลง และแน่นอนว่าเลสลี่ต้องเข้าใจกับการกระทำของเจสเพราะความคิดที่ไม่เคยว่าร้ายใครและยอมรับว่านั้นก็คือส่วนหนึ่งของชีวิต

"Just close your eyes but keep your mind wide open.จงหลับตาไว้ และเปิดใจให้กว้าง เธอจะเห็นอะไรมากขึ้นกว่าเดิม"

 


Bridge to Terabithia ไม่ใช่หนังที่บอกได้เต็มปากว่าคือแฟนตาซีเพราะนี่คือการนำเสนอเรื่องราวอย่างมีชั้นเชิงและให้คุณค่าเรื่องราวได้อย่างมีเอกลักษณ์จนน่าดึงดูด ด้วยการนำเสนอสิ่งที่เกิดจากจิตนาการจากความจริงที่เกิดในชีวิต อันไปสู่การเปรียบเทียบของดินแดนทีราบีเตียที่มีความหมาย ไม่ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องของจินตนาการอย่างมีระดับ แต่อันหมายถึงการใช้ชีวิตที่ตีตราความหมายแบบแฝงลึกได้อย่างมีความหมายและนัยยะของการกระทำของตัวละครที่ผ่านสายตาผู้ชมได้อย่างซาบซึ้ง ซึ่งการดำเนินเรื่องถึงแม้จะอืดในในบางช่วงและดูดราม่า แต่นี่คือหนังที่ว่าด้วยชีวิตอีกมุมมองหนึ่งขนานแท้ ที่อาจจะมีเรื่องราวอันสนุกสนานแต่กลับจบแบบซาบซึ้งชวนร้องไห้ที่แสดงให้เห็นแล้วว่าหนังได้สร้างสัมพันธ์กับผู้ชมแบบลงรากลึกถึงความรู้สึกจริงๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับสะพานที่เชื่อมโลกที่อยู่ระหว่างให้เข้าหากันให้เป็นโลกเดียวกัน



 :19: http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=zero1408&month=30-05-2013&group=31&gblog=19
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



Bridge to Terabithia , Just close your eyes but keep your mind wide open


Bridge to Terabithia

...ไม่ได้เป็นหนังแฟนตาซีประเภทเจ้าชายเจ้าหญิง ที่จะพาคุณเข้าสู่โลกจินตนาการในวัยเด็กเหมือน นาร์เนีย เพราะ ความแฟนตาซีในหนังเรื่องนี้เป็นแค่ น้ำจิ้ม

...ไม่ได้เป็นหนังสงครามอลังการงานสร้างตื่นเต้นกับเหล่าตัวละครประหลาดๆอย่าง ลอร์ด ออฟ เดอะ ริง เพราะ ฉากแอคชั่นในหนังเรื่องนี้มีแค่ สิวๆ

ตัดภาพความคาดหวังเหล่านั้นออกไป แล้ว จะพบว่า นี่คือ หนังดราม่าน้ำดี+แนวการก้าวข้ามวัย(coming of age) ที่มีเด็กเป็นตัวดำเนินเรื่องโดยแฟนตาซี ทำหน้าที่เป็นเพียงตัวรองรับเนื้อความของหนัง สิ่งที่คนดูจำเป็นต้องเตรียมตัว คงต้องทำตามคำของตัวละครในหนังที่บอกไว้ว่า

Just close your eyes but keep your mind wide open.





...เจส พระเอกของเรื่องเป็นเด็กนักเรียนชั้นประถม ที่โรงเรียนใครๆหลายคนเรียกเขาว่า ไอ้ขี้แพ้ - Loser

ดูแล้วก็ชวนให้สงสัยว่า พระเอกเป็น Loser ตรงไหน เพราะ งานศิลปะก็แจ่ม กีฬาอย่างวิ่งก็ฉลุย เรื่องเรียนหนังก็ไม่ได้บอกว่าห่วย มีเพียงแค่ บ้านยากจนต้องใช้ของเก่าๆสืบทอดมาเช่นรองเท้าสีชมพูจากพี่สาว

Loser ในหนังและในหลายๆครั้ง ไม่ใช่ศัพท์ที่มีความหมายมาตรฐาน เพราะมันแปรเปลี่ยนตามสิ่งแวดล้อมและค่านิยม เจส อาจเป็นคนเด่นดังหากไปอยู่ในสังคมที่ให้ความสำคัญกับนักกีฬาวิ่งแข่ง บางรร.ที่เน้นการเรียนเก่ง เด็กเรียนอ่อนก็จะกลายเป็น loser สังคมที่เน้นวัตถุ คนที่ไม่มีข้าวของมาอวดเพื่อนๆก็กลายเป็น loser

ดังนั้นสถานภาพ Loser ไม่เคยมีอยู่จริง เพราะชีวิตรอบตัวไม่ใช่การแข่งขันวิ่งแข่งที่จะมี winner หรือ loser ความหมายผิดๆที่เกิดขึ้นนี้ เป็นแค่ภาพที่สังคมรอบตัววาดขึ้นมา เป็นการนิยามเพื่อเหยียดให้อีกคน เป็นชนชั้นที่ต่ำต้อยกว่า หากเราไม่ยอมรับก็ไม่มีใครทำอะไรได้

การแบ่งแยกเช่นนี้เอง เมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่มันก็จะพัฒนาแปรเปลี่ยนไปเป็น อคติทางสังคมเชื้อชาติ อย่างที่ คนผิวดำ ,คนเอเชีย ถูกกระทำใน Crash หรือ สาวใบ้ , ป้าแก่ชาวเม็กซิโก ต้องเผชิญใน Babel

และในสังคมของเด็กๆหรือในโรงเรียนนั้น การล้อเลียนไม่ได้เป็นการกระทำแค่อย่างเดียว หลายโรงเรียนที่ปัญหาลุกลามใหญ่โตไปสู่ การรีดไถ การทำร้าย หรือ การกลั่นแกล้งรังแก(Bullying)

ทางออกของเด็กที่โดนกระทำนั้น

-บางคนก็ยอมให้กระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า

-บางคนก็ยอมให้กระทำแล้วกลับมาจินตนาการไปว่า เราเป็นเจ้าชายจัดการกับพวกปีศาจร้ายในดินแดนมหัศจรรย์

-บางคนก็เลือกที่จะโต้ตอบกลับอย่างรุนแรง ใครแกล้งมาก็แกล้งกลับ ใครแรงมาก็แรงตอบ

วิธีใดดีที่สุด ?

เพราะหาก เจอกี่ครั้งก็ยอมให้แกล้งให้รังแก เราก็อาจกลายเป็นคนซึมเศร้าเหงาหงอ ในอีกด้านหนึ่งตามทฤษฎีทางจิตวิทยา ผู้ถูกกระทำเมื่อโดนซ้ำๆก็จะแปรเปลี่ยน (identifying with aggressor) กลายมาเป็นผู้กระทำเสียเองเหมือน เด็กสาวรุ่นพี่ในหนังที่มีปัญหากับพ่อ หรือ ตัวละครสำคัญใน All about Lily Chou-chou

เพราะหาก อยู่ในจินตนาการมากเกินไปจนกู่ไม่กลับมาสู่โลกของความเป็นจริง ก็มีสิทธิป่วยเป็นโรคจิตฟุ้งซ่านจมอยู่แต่ในจินตนาการและประสาทหลอน

เพราะหากเลือกโต้กลับรุนแรงทุกครั้งไป ผลลัพธ์ก็อาจยิ่งต่อสายชนวนจุดส่งความรุนแรงเป็นเป็นทอดๆ นำไปสู่ความรุนแรงที่เลวร้ายหนักกว่าเดิม และในหนัง ก็ทำให้เห็นว่า การแกล้งกลับจากที่นึกว่าจะมีความสุข กลับต้องมานั่งเสียใจ เมื่อเราเห็นว่าพี่เบิ้มนั้นก็ต้องเจ็บปวดจากกการกระทำของเรา

...ในโลกของความเป็นจริง ผู้อยู่รอดไม่ใช่ผู้ที่แข็งแรงหรืออดทนได้มากกว่า แต่ คือผู้ที่มีความสมดุลและรู้จักหาทางออกที่เหมาะสม

และ นี่คือ ตัวตนของหนัง ที่พยายามบอกเล่าผ่านตัวละครทั้งหลายในหนัง

ถ้าเราใช้ชีวิตอาศัยอยู่กับแต่จินตนาการ เราก็ไม่มีวันจะลุกขึ้นสู้หรือกล้ารับกับเรื่องเลวร้ายในชีวิต เราต้องหนีกลับโลกจินตนาการส่วนตัวเมื่อเจอกับอุปสรรคหรือเรื่องแย่ๆ และ คนที่จมอยู่กับมันมากไปก็อาจหาทางกลับโลกความเป็นจริงไม่เจอ

เด็กเล็กๆเราอาจใช้จินตนาการล่อหลอก อาจใช้เป็นทางหนีหรือทางออกของปัญหา แต่เมื่อเขาโตขึ้น เขาเองก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ในโลกของความเป็นจริง เช่น เมื่อพ่อแม่หรือสัตว์เลี้ยงตายไปก็ย่อมต้องรู้ว่า ความตาย คืออะไร ไม่ใช่แค่ ไปเที่ยวสวรรค์ หรือ เมื่อถูกแกล้งถูกรังแกก็ไม่ใช่ว่า จะกลับมานั่งใส่ชุดสไปเดอร์แมนกระโดดถีบผู้ร้ายในจินตนาการจนถึงม.1 ฯลฯ พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะรับมือและเผชิญกับเรื่องราวเลวร้ายในชีวิต

แต่ ในเวลาเดียวกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องทำลาย ‘จินตนาการ’ ที่เคยมีทิ้งไป เพียงแต่ จะทำอย่างไรให้เด็กได้เรียนรู้และเติบโตไปพร้อมๆกับ เลี้ยงดู จินตนาการในตัวให้เหมาะสมกับวัย จะทำอย่างไรจึงจะใช้จินตนาการให้เป็น

Spoilers Alert : ข้อความถัดจากนี้ เฉลยจุดหักมุมสำคัญในเรื่อง ยกเว้น ช่วงสรุปตอนท้าย




เจส โชคร้าย ที่การเรียนรู้ของเขามาพร้อมกับการสูญเสีย

เจสเติบโตมากับครอบครัวขนาดใหญ่ เขาเป็นผู้ชายคนเดียวท่ามกลางพี่สาวสามน้องสาวอีกหนึ่ง เขาเป็นเด็กดีมีความรับผิดชอบ คอยช่วยงานครอบครัว มีสำนึกรู้ผิดชอบชั่วดี เขาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่มีกันครบ แม้จะมีทะเลาะมีความยากลำบากแต่ก็อยู่กันด้วยความรัก คนที่เขาขาดไปในชีวิตคือ ‘เพื่อน’

ใครได้ดูหนัง อาจรู้สึกว่า บางส่วนของเจสมีอยู่ในตัวเอง

...สมัยเด็กๆที่ไม่ได้เจ๋งไม่คูลไม่โก้ไม่เท่ เป็น แค่ คนๆหนึ่งที่เติมจำนวนให้ครบห้อง

เวลาไปโรงเรียนเล่นอะไร ก็ถูกจับเป็นตัวสำรอง หรือ ตัวแถมอยู่เรื่อยๆ

เวลาอยู่โรงเรียนก็โดนรีดโดนไถ หรือ โดนใช้งานโดยไอ้พวกตัวใหญ่ๆ

เวลานั่งเรียนแอบชอบครูคนสวยที่สอนอย่างใจดีและเขินเวลาครูมาคุยด้วย

เวลานั่งกินข้าวหาโต๊ะไม่ค่อยได้ เพราะโต๊ะนั้นโต๊ะโน้น ก็มีพวกมีกลุ่มประจำนั่งอยู่แล้ว

...ความโดดเดี่ยว ความเบื่อหน่าย ความเหงา ทั้งหลายทั้งมวลนั้นสามารถอันตรธานหายไปได้ในพริบตา เมื่อเราค้นพบใครสักคนที่ก้าวมาในชีวิตและหยิบยื่น ‘มิตรภาพ’ ให้

ยังจำกันได้หรือเปล่า เมื่อคราวแรกที่มีคนมาชวนคุย มาชวนเล่น มาชวนร่วมทำกิจกรรมตอนเข้าไปอยู่ในที่แปลกใหม่ ตอนที่เราเคว้งคว้าง มันทำให้เรารู้สึกดีเพียงใด

เพื่อนที่คบๆกันตอนนี้ ยังจำได้หรือไม่ ว่าจุดเริ่มต้นของการทำความรู้จักกันทำให้เรารู้สึกอย่างไร

และนั่นก็เกิดกับ เจส เช่นเดียวกันตอนรับหมากฝรั่งจากเลสลี่




....โลกใบใหม่ของเขาถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อพบเลสลี่

จากวันอันเหี่ยวเฉา เขาค้นพบความสุขสนุกสนาน

จากการต้องเผชิญปัญหาการโดนกลั่นแกล้ง เขาค้นพบเพื่อนที่เคียงข้างที่จะคอยปลอบใจและหาทางช่วยเหลือ

จากการต้องอยู่ในโลกศิลปะอย่างโดดเดี่ยวแต่เลสลี่ก็มาเปิดประตูให้เข้าอ้าแขนรับคนภายนอกเข้าไปเยี่ยมเยือน และ ได้รับของขวัญเป็นสีน้ำที่มาแต่งแต้มชีวิตและภาพวาดให้งดงามมีสีสัน

และ เขายังได้พบดินแดนใหม่ที่อยู่ใกล้เพียงถัดจากรั้วหลังบ้าน




เลสลี่พาเขาเข้าไปพบกับ ทิราบิเทีย

...ดินแดนแห่งความลับที่ไม่เคยมีใครค้นพบ มีเพียงเขาและเลสลี่ที่จะปลีกตัวมาอยู่ที่นี่

...ดินแดนที่เขาและเลสลี่จะกล้าหาญลุกขึ้นต่อสู้ เอาชนะ สัตว์ประหลาดทั้งหลายแหล่ที่เข้ามารังแกก่อกวน

...ดินแดนที่เขาและเลสลี่ได้เติบโตที่นั่น และ นำความเติบโตนั้นมาสู่โลกภายนอก เมื่อเขาเริ่มกล้าที่จะยืนหยัดต่อสู้กับปัญหาที่วิ่งเข้ามาเผชิญ

 


...เลสลี่ เป็น เด็กเก่งและดูมีความสุขตลอดเวลา ก่อนที่หนังจะมาเฉลยว่า ไม่ใช่แค่ เจส หรอกที่ดีใจกับการได้มีเพื่อน แต่สำหรับ เลสลี่ การได้รับ มิตรภาพ ตอบกลับมาเป็นของขวัญที่ล้ำค่าสำหรับเธอจนอาจจะมากกว่าเจสเสียด้วยซ้ำ

เพราะ เจส อาจเบื่อหน่ายความรำคาญความวุ่นวายภายในครอบครัว แต่ มันก็ทำให้เขาไม่เปลี่ยวเหงา เขายังมีทีวี มีน้องสาว มีพ่อแม่ มีงานให้ทำ ตรงข้ามกับ เลสลี่ ที่เป็นลูกคนเดียว พ่อแม่อยู่บ้านบ้างไม่อยู่บ้าง แถม ยังไม่มีทีวีดูอีกต่างหาก ไม่ใช่แค่นั้น สำหรับ เลสลี่ แล้ว เจสคือเพื่อนคนแรกและคนเดียวที่เธอเคยมี

ชีวิตที่โดดเดี่ยวของเธอ ทำให้คนที่น่าจะเหงายิ่งกว่า คือ เลสลี่ เพียงแต่ เธออยู่รอดด้วยการหลบลี้เข้าไปในโลกจินตนาการ จนบางครั้งดูเหมือนกับว่า เลสลี่จะใช้ชีวิตอยู่ในจินตนาการมากจนเกินไป

และ โลกจินตนาการนี้เองก็คร่าชีวิตเธอไป ในวันหนึ่งที่เธอคิดจะเดินทางกลับไปหามัน




...ความตายของเลสลี่

ทำให้เจส จมกับ ความรู้สึกผิด กับความคิดที่เราสามารถเดาได้ว่า “วันนั้นผมน่าจะชวนเธอไปพิพิธภัณฑ์ด้วยกัน” แต่เป็นเพราะ เขานั้นอยากไปกับครูในฝันเพียงสองต่อสอง

ความผิดที่กัดกินใจ พาเขากลับไปทิราบิเทีย แต่ที่นั่นกลับเป็น ป่าร้างที่ว่างเปล่า เขาตามหาเหล่าสัตว์ประหลาดแต่ไม่มีใครขานรับเขาแม้แต่คนเดียว

ความตายของเลสลี่ คือ ความเป็นจริงที่จินตนาการก็ไม่อาจพาเธอกลับมา และ วันนั้น ทีราบิเทีย ก็จากเจสไป

แล้วเราก็จะได้เห็นว่า โลกจินตนาการไม่ใช่สีขาวบริสุทธิ์ไม่ใช่นางฟ้าที่จะทำให้เรามีความสุขไปชั่วนิรันดร์ และ โลกแห่งความจริงน้นก็ไม่ใช่สีดำไม่ใช่ปีศาจที่จะมีแต่ความทุกข์ตลอดเวลา

เพราะ ในวันที่มืดหม่นที่สุดในชีวิตของเขา โลกจินตนาการ ไม่อาจพาเขาให้หลุดพ้นจากความเลวร้าย แต่ สิ่งที่ช่วยเขาคือ โลกความจริง อันได้แก่ ครูที่มาปลอบใจให้ข้อคิด , คำพูดของพ่อที่บอกเขาว่าความตายของเลสลี่ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย เธอตายเพราะอุบัติเหตุ และ ท่าทีเข้าใจลูกของพ่อในเช้าวันถัดมา ทำให้เราได้เห็นภาพของพ่อและครู ตัวแทนของโลกแห่งความจริง ที่ไม่ได้มีแต่ความใจร้ายใจดำ และ พยายามจะช่วยให้ เจส ผ่านพ้นวันเวลาที่เลวร้าย

จนกระทั่ง เจสเริ่มเข้าใจ

ทีราบิเทีย ไม่มีวันหายไปไหน ทีราบีเทีย เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา




เพราะมีเพื่อนในวัยเดียวกัน เพราะมีครูในฝันที่เฝ้าชื่นชม ทำให้เขาหลงลืมคนใกล้ตัวที่สำคัญที่สุด เมื่อเขาหันกลับมามองเขาก็จะเห็นน้องสาว ที่มองหาพี่มาตลอด น้องที่มองหาพี่ น้องที่ชื่นชมและมีพี่เป็นฮีโร่ในดวงใจ แต่พี่เองก็วุ่นวายเกินไปกว่าจะสนใจน้องสาวซนๆคนนี้

เมื่อเขาชักชวนเธอมาสู่ดินแดนแห่งความลับ เมื่อเขาหยิบยื่นความรักและเห็นคุณค่าของเธอ เหมือนที่ เขากับเลสลี่ต่างมองมอบมิตรภาพและเห็นคุณค่าของกันและกัน เมื่อนั้น พวกเขาก็ควรค่ากับการมีชีวิตอยู่ในทิราบิเทีย

และเมื่อนั้น ทิราบีเทีย ก็จะมีตัวตน

เช่นเดียวกัน เลสลี่ เธออาจจะจากไป แต่หากเขายังคิดคำนึงถึง เธอก็จะยังมีชีวิตอยู่ในความทรงจำ


สะพานที่เขาสร้างขึ้นมา สะพานนี้จะพาเขาเข้าข้ามไปทิราบิเทีย

สะพานนี้จะพาพวกเขาเดินผ่านโลกอันโหดร้าย ไปสู่ โลกในจินตนาการอีกซีกหนึ่ง

และ

สะพานนี้จะพาเจสก้าวไปพบกับเลสลี่

Bridge to Terabithia ไม่ใช่แค่ พาเขาข้ามผ่านไปมาระหว่างโลกสองใบ แต่ยังมีความนัยหมายถึง คนสำคัญที่สุดอีกคนในชีวิตที่อาจจะตายไปในโลกความเป็นจริง แต่มีชีวิตอยู่ตลอดกาลในทีราบิเทีย


เมื่อหนังจบทำให้เราเชื่อมั่นว่า เจสเองจะเข้าใจโลกมากขึ้น เขาเรียนรู้การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับจินตนาการและได้รับรู้ว่า ความจริงก็ไม่โหดร้ายเกินกว่าจะรับมือ


....ใน Bridge to Terabithia นักแสดงเด็กๆในเรื่องแสดงกันได้ดีอย่างร้ายกาจ เจสเด็กที่เก็บกดอารมณ์ คือ เด็กคนเดียวกับที่ขึ้นรถไฟไปกับทอมแฮ้งค์ใน Polar express ได้เล่นเกมส์ออกนอกโลกใน Zathura ส่วน เลสลี่เด็กสาวจอมมั่นที่เปี่ยมไปด้วยจินตนาการ ก็มาจาก โรงงานช็อกโกเลตของจอห์นนี่เดปป์ ในตอนนั้นที่เธอเป็นยัยหนูผู้รักการแข่งขัน เมื่อบวกกับ เมย์เบลล์ น้องสาวจอมแก่น ก็จะได้เป็น ทีมนักแสดงเด็กที่เล่นกันได้เข้าขาและเล่นได้ดีที่สุดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

ฝั่งนักแสดงผู้ใหญ่ พ่อที่รับบทโดย โรเบิร์ต แพทริค เล่นได้เข้มข้น และ ครูที่ผมคุ้นหน้าเหลือเกินแล้วก็ไปค้นจนเจอว่า เธอคือเพื่อนสาวสุดต๊องของนางเอก โซอี้ เดสชาแนล จากเรื่อง Failure to launch

...หนังดัดแปลงมาจากวรรณกรรม ผมซึ่งไม่เคยอ่านต้นฉบับไม่รู้ว่าดีแค่ไหน แต่จากตัวหนังบอกได้ว่าดีมาก หนังแสดงให้เห็นพัฒนาการของตัวละครทีละนิด และ สร้างความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครได้อย่างน่าจดจำ ไม่ว่าจะเป็น คู่ เจสและเลสลี่ ที่ทำให้เราได้กลับไปสัมผัสความรู้สึกดีๆเมื่อมีเพื่อน คู่ เจสและพ่อ หรือจะเป็น คู่เจสและน้องสาว คนมีน้องดูแล้วอาจรักน้องมากขึ้น น้องมันอาจน่ารำคาญคอยกวนใจแต่ในสายตาน้องพี่คือฮีโร่ตลอดมา

...ไดอะล็อกของหนังมีที่เขียนน่าประทับใจอยู่หลายตอน เช่น ตอนสีน้ำที่เลสลี่ซื้อให้เจสแล้วเจสเกรงใจเนื่องจากราคาที่น่าจะแพง แล้ว เลสลี่เสนอทางเลือกว่าตัวเองจะไปซื้ออันที่ถูกกว่ามาให้ดีหรือไม่ ถูกหรือแพงไม่สำคัญ สำคัญคือน้ำใจที่เพื่อนยินดีที่จะให้ เช่นเดียวกับตอนที่ เจส สรุปว่าเลสลี่น่าจะเก่งเหมือนพ่อกับแม่ที่เป็นนักเขียน เลสลี่ตอบกลับว่า แล้วเจสเก่งเหมือนพ่อหรือเปล่า เธอกำลังจะบอกว่า ไม่จำเป็นเลยที่ลูกจะต้องถูกครอบด้วยพ่อแม่ เราทุกคนต่างก็เป็นตัวของตัวเอง

ยังมีไดอะล็อกดีๆอีกมาก ที่หนังสอดแทรกคอยให้ข้อคิดสอนใจ

และทำให้ ไม่ใช่แค่หนังแฟนตาซีที่จะเข้ามาดูแล้วรู้สึกสนุกสนาน แต่พอกลับออกจากโรงไปก็ตัวว่างเปล่าเหมือนก่อนเข้ามา

แฟนตาซีในหนังเป็นแค่เครื่องมือที่พาเราสำรวจและเข้าใจความรู้สึกนึกคิดตัวละคร

เราจะไม่ได้เข้าไปดู โลกสีลูกกวาดหวานแหวว หรือ โลกแห่งจินตนาการ แต่ เรากำลังเข้าไปสัมผัส โลก ที่ จินตนาการ ความฝัน อาศัยอยู่ร่วมกับ ความจริง และ ความโหดร้ายในสัจธรรมของชีวิต


สิ่งที่ชอบ

1.บทหนัง ...ขอปรบมือให้ บทหนังเรื่องนี้ ซึ่งเขียนได้ดีมาก ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง และ คอยเตือนคนดูตลอดเวลาไม่ให้หลุดเข้าไปสู่โลกเหนือจริงแบบเต็มตัว แต่ก็ไม่ขึงขังจริงจังเกินไป บทของหนังสร้างเรื่องราวที่สมเหตุสมผลตามช่วงวัยของเด็กได้ดี หลายตอนมีหักมุมแบบคาดไม่ถึง แต่หักแล้วก็ตามมาด้วยข้อคิดดีๆ

ตัวละครผู้ใหญ่ในเรื่องก็ดูสมจริง หนังไม่ได้วาดภาพ พ่อที่โหดร้ายไม่ฟังเหตุผลชนิดเป็นสีดำสนิท หรือ ครูที่ใจโหดไม่ฟังใคร แต่ ทุกตัวละครล้วนเป็น คน ที่มีตัวตน มีชีวิตมีจิตใจ และ มีที่มาที่ไป ไม่เว้นแม้แต่ตัวละครจอมอันธพาล

2.ตัวละครเลสลี่ ... เธอคือองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้หนังกระแทกใจคนดูช่วงท้าย และ ทำให้ผมต้องนั่งปาดน้ำตาป้อยๆแบบไม่อายใคร ตัวละครเลสลี่ถูกสร้างขึ้นมาดูน่ารักทั้งภาพภายนอก จากการแสดงที่เนียนตา ดูฉลาดจากความรู้สึกนึกคิด และ ก็น่าสงสารทั้งก่อนและหลังเสียชีวิต เธอคือตัวละครที่เปลี่ยวเหงาตลอดเวลาแม้ว่าใบหน้าจะฉาบด้วยรอยยิ้ม ดังนั้นการที่คาแรกเตอร์เธอแจ่มชัดส่งมาถึงคนดูขนาดนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่เราสัมผัสความรู้สึกสูญเสียของเจสได้มากมายเมื่อเธอจากไป

3.ซาบซึ้งกินใจ ... ขอเพียง Just close your eyes but keep your mind wide open.

4.ข้อคิดมากมายและเข้าใจเด็กได้ดี ... ขอเพียง Just close your eyes but keep your mind wide open.

สรุป ... ผมชอบและเชียร์หนังเรื่องนี้เต็มตัว ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้เหมือนเฉิ่ม คือ โฆษณาหน้าหนัง คนละเรื่อง กับตัวหนังจริง เป็น การหลอกคนดูแต่ก็เป็นการหลอกที่คุ้มค่า มันเหมือนกับเข้าไปซูเปอร์มาเก็ตอยากจะซื้อขนมอบกรอบกินเล่นซักหนึ่งถุง พนักงานดันหยิบผิดซองมาให้ พอถึงบ้านเราหงุดหงิดที่มันไม่ใช่อย่างที่อยากซื้อ แต่พอกินหมดเรากลับชอบใจในรสชาติและได้คุณค่าสารอาหารมากกว่า ขนมที่วางแผนซื้อในตอนแรก

หนังอาจไม่เหมาะกับเด็กเล็กๆแต่เหมาะมากกับเด็กที่โตแล้วประมาณประถมปลายๆขึ้นไป หรือ ผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลเด็ก เพราะนี่คือหนังที่ดูแล้วจะเข้าใจเด็กๆได้มากขึ้น แล้วจะไม่แปลกใจ ว่าทำไม หนังที่ดูเหมือนจะเป็นหนังแฟนตาซีบ้านๆ เอฟเฟคต์ก็งั้นๆ มาก็แบบเงียบๆ เรื่องนี้ ถึงกวาดกระแสคำวิจารณ์ไปในเชิงบวกแทบจะทุกสารทิศ (ที่รับได้ว่ามันไม่ใช่หนังแฟนตาซี)

 :13: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=03-2007&date=22&group=1&gblog=226
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...