ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
เคยนวดฝ่าเท้าให้ คุณพ่อคุณแม่บ้างไหม ถ้ามีโอกาส เราควรทำหรือไม่ (ควรกระทำอย่างยิ่ง หรือ ไม่ควรทำ):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: ตุลาคม 02, 2010, 07:51:21 pm »

 :13: อนุโมทนาครับพี่มด^^
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: ตุลาคม 02, 2010, 05:23:30 pm »




ถาม : ท่านพอจะอธิบายความแตกต่างและความสัมพันธ์ระหว่างความ รักกับความกรุณาได้ไหม
 
 
ตอบ : ความรักและความกรุณาเป็นคำคลุมเครือ ตีความได้หลายแง่ โดย ปกติในชีวิตเรา เรามักยึดอยู่กับวิธีการบางอย่าง พยายามฝังตัวเข้าไปใน สภาพการณ์ต่าง ๆ เพื่อจะได้มั่นคง บางครั้งก็มองคนอื่น ว่าเป็นทารก น้อย ๆ ของเรา หรือในทางตรงกันข้าม เราก็ให้ตัวงเราเองเป็นดั่งเด็ก กำพร้าอนาถาแล้วโผเข้าไปซบตักใครคนหนึ่ง ตักนี้อาจจะเป็นบุคคล องค์กร ชุมชน ครู หรือลักษณะผู้ปกครองใด ๆ ก็ตาม ความสัมพันธ์ ในแบบที่เรียกว่า " ความรัก " มักพาเราให้เป็นในสองแบบนี้ไม่แบบใด ก็แบบหนึ่ง ไม่คนอื่นหล่อเลี้ยงเรา ก็เราหล่อเลี้ยงคนอื่น ความรักหรือ กรุณาแบบนี้ ไม่ถูกและไม่สมบูรณ์ และแรงผลักดันที่ต้องการการอุทิศ คัวไม่ว่าจะเป็นในแบบที่เราต้องการ " เป็นของ " คนอื่น เป็นลูกเล็ก ๆ ของคนอื่น หรือให้คนอื่นมาเป็นลูกเล็กเด็กแดงของเรานี้ มีกำลังมาก บุคคลก็ดี องค์กรก็ดี สถาบันก็ดี หรืออะไรก็ได้ กลายเป็นเด็กอนาถา ของเราได้ทั้งนั้น เราจะพยายามเลี้ยงดูมันให้เติบโต หรือในอีกแง่หนึ่ง องค์กรอาจจะเป็นเหมือนคุณแม่ที่คอยเลี้ยงดูเรา ถ้าขาด " คุณแม่ " ของ เราเสียแล้ว เราอยู่ไม่ได้ มีชีวิตรอดไม่ได้ ทั้งสองแบบล้วนประยุกต์ได้ กับพลังชีวิตอันใดก็ตามที่ทำให้เราบันเทิงได้ พลังนี้อาจเรียบง่าย อย่าง เพื่อนเล่นหัว หรือกิจกรรมอันเร้าใจ ที่เราอยากดำเนิน หรืออาจซับซ้อน อย่างการแต่งงานหรือการเลือกอาชีพ ไม่ว่าจะอยากเป็นฝ่ายควบคุมความ เร้าใจนั้นหรืออยากจะเป็นส่วนหนึ่งของมันก็ตาม


แต่ยังมีความรักและความกรุณาอีกแบบหนึ่ง อันเป็นทางที่สาม คือ เป็น อย่างที่คุณเป็น คุณไม่ต้องลดตัวลงให้เป็นเด็กอนาถา และก็ไม่ต้องการ ให้คนอื่นมาหนุนตักคุณ คุณเพียงแต่เป็นอยู่ในโลกในชีวิต อย่างที่คุณเป็น ถ้าคุณเป็นอย่างที่คุณเป็นเสียแล้ว สภาพการณ์ภายนอกก็จะเป็นอย่างที่ มันเป็นโดยปริยาย แล้วคุณจะสามารถสื่อสารได้อย่างเที่ยงตรง ไม่หลงไป กับสิ่งเหลวไหล หรือการตีความทางอารมณ์ความรู้สึกหรือทางปรัชญาใด ๆ ทางที่สามนี้แหละ ที่เป็นทางอันนได้สมดุลระหว่างการเปิดสื่อสาร ซึ่งจะ ปล่อยให้มีที่ว่างที่จะร่ายรำแลกเปลี่ยนไปโดยปริยาย


กรุณา หมายความว่า เราไม่เล่นเกมหน้าไหว้หลังหลอกหรือเกมหลอก ตัวเองใด ๆ ยกตัวอย่างว่า เราอยากได้อะไรจากใครคนหนึ่ง แล้วเรา บอกเขาว่า " ฉันรักเธอ " เรามักกำลังหวังดึงเขาเข้ามาในอาณาจักรของ เรา ให้มาอยู่ข้างเรา ความรักแบบชวนเป็นพรรคเป็นพวกนี้เป็นจำกัดยิ่ง " เธอต้องรักฉันนะ แม้ว่าเธอจะไม่ชอบหน้าฉันอยู่ก็ตาม เพราะฉันเปี่ยม ด้วยรัก สูงส่งอยู่ด้วยความรัก เพราะฉันกำลังมึนเมาเต็มที่แล้ว ! " มัน หมายความว่าอย่างไร คนอื่นควจะเรียงแถวเข้ามาสู่อาณาจักรของคุณ เพียงเพราะคุณบอกเขาว่าคุณรักเขา เพียงเพราะคุณจะไม่ทำร้ายเขากระ นั้นหรือ กลิ่นปลาร้ามันแรง คนฉลาดเขาไม่หลงไปกับคุณดอก " ถ้าเธอ รักฉันอย่างที่ฉันเป็น ทำไมเธอจะต้องให้ฉันอยู่ในอาณาจักรของเธอ ทำไมเธอจะต้องเรียกร้อง ทำไมจะต้องมีอาณาจักร เธอต้องการอะไร จากฉัน ฉันจะรู้ได้อย่างไร ว่าเมื่อฉันเข้าไปอยู่อาณาจักรแห่งความรัก ของเธอแล้ว เธอจะไม่สร้างสภาพการณ์บีบคั้นชวนอึดอัด โดยใช้อาการ เรียกร้องความรักอันหนักอึ้งของเธอ " ตราบใดที่ความรักของบุคคลยัง มีอาณาจักร ตราบนั้นคนอื่นก็ยังเคลือบแคลงใจในความรักความกรุณา นั้น เราแน่ใจได้อย่างไรว่า เมื่อมีงานฉลองสำหรับเรา อาหารจะไม่มี ยาพิษปลอมปน การเปิดนี้มาจากคนที่ยึดตนเองเป็นศูนย์กลางหรือเปล่า หรือเป็นการเปิดอย่างสิ้นเชิง


ลักษณะเบื้องต้นของกรุณาที่แท้นั้น คือการเปิดอย่างบริสุทธิ์และปราศ จากความกลัว อย่างไม่มีขอบเขตอาณาจักร ไม่มีความจำเป็นจะต้องทำ ตัวน่ารักและเอื้ออารีต่อคนรอบข้าง ไม่ต้องทำเป็นยิ้มแย้มแจ่มใสกับผู้ คน แล้วเจรจาอ่อนหวาน เกมตื้น ๆ อย่างนี้ใช้ไม่ได้ดอก เป็นเรื่องน่า ละอายมากกว่า การเปิดที่แท้จริงนั้น ดำรงอยู่ในขอบข่ายที่กว้างกว่านั้น มาก เป็นขอบข่ายที่เปิดกว้างอย่างกลับตาลปัตร อยู่ใระดับสากลทีเดียว กรุณา มีความหมายให้คุณเป็นผู้ใหญ่อย่างที่คุณเป็น ในขณะเดียวกันก็ ดำรงคุณลักษณ์แบบเด็ก ๆ บางอย่างเอาไว้ ผมได้เคยบอกแล้วว่า ใน ทางพุทธ สัญลักษณ์ของกรุณา คือ พระจันทร์แจ่มกระจ่างกลางฟ้า สะท้อนภาพอยู่ในกระบวยน้ำร้อยใบ พระจันทร์หาได้เรียกร้องอันใดไม่ ไม่ได้เรียกร้องว่า " ถ้าเปิดมาหาฉันแล้วฉันจะชอบจะส่องแสงให่เธอ " พระจันทร์ส่องแสงอยู่เช่นนั้นเอง ประเด็นมิได้อยู่ที่การให้อะไรแก่ใคร หรือทำให้ใครเป็นสุข เพราะไม่มีผู้รับไม่มี " ฉัน " ไม่มี " เขา " เป็นของ กำนัลที่เปิดกว้างเป็นความเอื้ออารีอย่างบริบูรณ์ ที่ไม่แยกการให้และ การรับ นั่นเป็นความเปิดโดยพื้นฐานของกรุณา เป็นการเปิดที่ไม่ได้เรียก ร้อง เพียงแต่เป็นอย่างที่คุณเป็นเป็นนายเหนือสภาพการณ์ทั้งปวง ถ้า คุณเพียงแต่ " เป็น " ชีวิตก็จะไหลอยู่โดยรอบและผ่านตัวคุณ อันจะนำ คุณไปสู่การกระทำและสื่อสารกับอีกหลายคน ซึ่งกำลังเรียกร้องความ อบอุ่นและความเปิดอยู่อย่างแน่นอน ถ้าคุณเป็นอย่างที่คุณเป็นได้ คุณ ก็ไม่ต้องใช้ " นโยบายหลักประกัน " ไม่ต้องพยายามเป็นคนดี เป็นคน สูงส่งหรือเป็นคนกรุณา


ถาม : กรุณา อย่างไม่ปราณีปราศัยเยี่ยงนี้ดูโหดร้ายจริง
 
 
ตอบ : วิธีพิจารณาความรักตามรูปแบบ มักเป็นดั่งพ่อที่ไม่รู้ประสีประสา ตามใจลูกไปเสียทุกอย่าง เขาจะให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งเงิน ทั้งเหล้า ทั้ง อาวุธ ทั้งอาหาร และทุกสิ่งทุกอย่างที่จะทำให้ลูกเขาเป็นสุข แต่ยังมีพ่อ อีกแบบหนึ่ง ที่ไม่เพียงแต่พยายามทำให้ลูกของตนเป็นสุขเท่านั้น หาก ยังมุ่งถึงพลานามัยขั้นพื้นฐานของเด็กด้วย


ถาม : คนจะมีความกรุณาเกี่ยวข้องกับการให้อะไรต่อมิอะไรหรือไม่ เพราะเหตุใด
 
 
 
ตอบ : มันไม่ใช่การให้เสียทีเดียว แต่เป็นการเปิด เป็นการสัมพันธ์กับ ผู้อื่น เป็นการยอมรับการดำรงอยู่ของผู้อื่นตามที่เขาเป็น ยิ่งกว่าจะสัม พันธ์กับเขาในแง่ภาพพจน์ที่ตายตัวหรือคาดเดาล่วงหน้า ว่าคบแล้ว สบายหรือไม่สบาย


ถาม : เป็นอันตรายยิ่งหรือเปล่า ที่บุคคลจะหลอกตัวเองด้วยการใช้ กรุณาอย่างไม่ปราณีปราศรัยนี้ บางทีเขาอาจคิดว่าเขากำลังกรุณา อย่างไม่ปราณีปราศรัย ในขณะที่จริง ๆ แล้ว เขากำลังปล่อยความ ก้าวร้าวของเขาออกมา
 
 
ตอบ : อันตรายมากแน่นอน ถึงจุดนี้แหละ ที่ผมอยากจะพูดถึง หลัง จากที่เราได้ถกกันถึงวัตถุนิยมในศาสนา ถึงตรงนี้ที่ผมอยากจะให้ตรา ไว้ก็คือ การที่ผู้ใดจะเจริญกรุณาอย่างไม่ปราณีปราศรัยนี้ได้ เขาจะต้อง ผ่านการฝึกฝนปฏิบัติมามากพอแล้ว ทั้งการทำสมาธิภาวนา การศึกษา การทะลุทะลวง การค้นพบวิธีหลอกตัวเองและอารมณ์ขัน และอื่น ๆ หลังจากที่บุคคลได้ประสบการณ์จากกระบวนการเช่นนี้ คือได้ผ่านการ เดินทางอันยาวนานและยากลำบากนี้มาแล้ว เขาจึงจะค้นพบกรุณาและ ปรัชญาเป็นลำดับต่อไป แต่ถ้าบุคคลยังศึกษาและทำสมาธิภาวนามาไม่ มากนักแล้ว การแสดงออกซึ่งกรุณาอย่างไม่ปราณีปราศรัยจะเป็นอัน ตรายต่อตัวเขามาก


ถาม : บางทีคนเราอาจจะสุกงอมพอที่จะเปิดและกรุณาต่อผู้อื่นได้ แต่ เขาอาจจะพบว่า มันยังจำกัดอยู่ ยังเป็นรูปแบบบางประการอยู่ เราจะ อาศัยการเปิดของเราอย่างนั้นกระทำการต่าง ๆ ได้หรือไม่ เราจะแน่ใจ ได้อย่างไรว่า เราไม่ได้กำลังเล่นตลกกับตัวเอง
 
 
ตอบ : ง่ายมาก ถ้าคุณเล่นตลกกับตัวเองแต่แรก คุณจะสร้างข้อตกลง บางอย่างกับตัวคุณเองโดยอัตโนมัติ ทุกคนต้องเคยมีประสบการณ์ใน เรื่องนี้มาแล้วแน่นอน ตัวอย่างเช่น ถ้าเรากำลังคุยกับใครสักคนและ กำลังเล่าเรื่องเกินจริง ก่อนที่เราจะปริปาก เราจะบอกกับตัวเองว่า " ฉันรู้ว่าฉันกำลังพูดเกินจริง แต่ฉันอยากทำให้คน ๆ นี้เชื่อ " เราเล่น เกมเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้อยู่ตลอดเวลาฉะนั้นปัญหาจึงกลับมาที่การซื่อตรง และเปิดเผยอย่างสิ้นเชิงต่อตัวเอง ประเด็นหาได้อยู่ที่การเปิดต่อผู้อื่น ไม่ ยิ่งเราเปิดต่อตัวเราเองอย่างหมดจดสิ้นเชิงได้เพียงใด การเปิดที่ มากมายมหาศาลนั้นเองจะแผ่รัศมีสู่ผู้อื่น เราก็รู้อยู่แก่ใจแล้ว ขณะที่เรา กำลังเล่นตลกกับตัวเอง แต่เราพยายามทำเป็นหูหนวกเป็นใบ้กับการ หลอกตนเองของเราต่างหาก
 
 
- จาก ลิงหลอกเจ้า โดย ท่านวัชรจารย์ ตรุงปะ รินโปเช -
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: ตุลาคม 02, 2010, 05:15:33 pm »




ปรัชญา และ กรุณา
 
 

ตอนที่พูดถึงศูนยตา เราได้พบแล้วว่า แทนที่เราจะมองเห็นสิ่งทั้งหลาย ตามที่มันเป็น เรากลับตีตราสมมติบัญญัติความคิดตาดคะเน และการรับ รู้ของเราให้กับปากฏการณ์ต่าง ๆ เมื่อเรามองทะลุผ่านม่านสมมติบัญญัติ ของเราที่กางกั้นอยู่ได้แล้ว เราจะเริ่มตระหนักได้ว่า ทั้งหมดเป็นการหา ด้ามไปต่อเติม สำหรับจับฉวยประสบการณ์ไว้อย่างไม่จำเป็น และอย่าง สับสน โดยหาพิจารณาไม่ว่าด้ามนั้นเหมาะหรือไม่เหมาะอย่างใดหรือ ไม่ กล่าวอีกนัยหนึ่ง สมมติบัญญัติล่วงหน้าของเราเป็นรูปแบบหนึ่งของ ความมั่นคง พอเราเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราจะเรียกชื่อมัน หาตำแหน่งแยก แยะจัดประเภทของมันโดยทันที แต่รูปนั้นว่างเปล่า มันสำแดงธรรมชาติ ของมันออกมาอย่างเต็มเปี่ยม ตามที่มันเป็นโดยไม่ต้องอาศัยการแยกประ เภทของเรา รูปนั้นว่างเปล่าจากสมมติบัญญัติของเราอยู่แล้ว ในตัวของ มันเอง


แต่ความว่างเปล่าก็คือรูป ซึ่งหมายความว่าพอเข้าใจถึงระดับนี้ เราใส่ คุณค่ามากเกินไป ในการมองรูปว่าว่างจากสมมติบัญญัติของเรา เรา ต้องการประสบกับญาณหยั่งรู้ ราวกับว่าการเห็นรูปเป็นความว่างนี้ เป็น สภาวะที่เราจะบีบบังคับจิตใจของเราให้บรรลุได้กระนั้น เราแสวงหา ความว่างจนมันกลายเป็นสิ่ง ๆ หนึ่ง เป็นรูป แทนที่จะเป็นความว่าง เปล่าที่แท้จริง ปัญหานี้เป็นเรื่องของความทะยานอยากมากเกินไป


ดังนั้น ขั้นต่อไปก็คือ เราจะต้องเลิกทะยานอยากเห็นรูปเป็นความว่าง ถึงจุดนี้ รูปจะปรากฏจากเบื้องหลังม่านสมมติบัญญัติของเรา รูปก็คง เป็นรูป เป็นรูปที่เปลือยเปล่าปราศจากนัยทางปรัชญาใด ๆ อยู่เบื้องหลัง และความว่างก็คือความว่าง ไม่ต้องยึดอะไรไปมากกว่านี้ เราก็จะประ สบกับสภาวะอวิลักษณ์
 
 
แม้กระนั้นก็ดี เมื่อตระหนักได้ว่า รูปคือรูป และความว่างก็คือความ ว่าง เราก็อาจจะยังพอใจญาณหยั่งรู้ในอทวิลักษณ์ของเรา ถ้าเป็นเช่น นี้ ก็ยังมีความรู้สึกแยกอยู่ ระหว่างผู้รู้กับผู้ประสบกับญาณหยั่งรู้นั้น ยังมีความรู้สึกอยู่ว่าบางสิ่งขยับเขยื้อนไม่เข้าที่เข้าทาง บางสิ่งขาดหาย ไปเพราะลึก ๆ ลงไป เราจึงเราสู่ช่วงต่อระหว่างมหายานมรรคกับตัน ตระ ซึ่งปรัชญาจะเป็นประสบการณ์อันต่อเนื่องและกรุณาไม่เป็นสิ่งที่ ต้องตั้งอกตั้งใจอีกต่อไป กระนั้นก็ยังมีความสำนึกรู้ในตนอยู่ เป็นความ รู้สึกรับรู้ในปรัชญาและกรุณาของเรา เป็นความรู้สึกตรวจสอบและพึง พอใจในการกระทำของเรา


ดังที่เราได้เอ่ยถึงไว้แล้วในกัณฑ์โพธิสัตวกิจ ว่าปรัชญาเป็นสภาวะการ ดำรงอยู่อย่างแจ่มชัด เที่ยงตรง และหยั่งรู้ มีลักษณะคม สามารถซึม ซาบแลเปิดเผย ส่วนกรุณาคือ บรรยากาศอันเปิดโล่งที่ปรัชญาแลเห็น เป็นความสำนึกรู้อย่างเปิดโล่งต่อสภาพการณ์ที่ลั่นยิงการกระทำออก ไป ตามที่ดวงตาแห่งปรัชญาจะสั่งการ กรุณานั้นทรงพลังยิ่ง แต่กรุณา จะต้องอาศัยปรัชญานำ ดังที่ปรัชญาต้องอาศัยบรรยากาศอันเปิดโล่ง ของกรุณา ทั้งสองอย่างต้องมาพร้อมกัน


กรุณานี้ หมายรวมเอาความไม่หวั่นกลัวเข้าไว้ด้วย เป็นความไม่หวั่น กลัวที่ปราศจากความลังเลสงสัย ( วิจิกิจฉา ) ความโอบอ้อมอารีอย่าง มหาศาลอันเป็นเครื่องหมายของความไม่กลัวนี้ ย่อมตรงกันข้ามกับ ความไม่กลัวในแบบที่ข่มขู่วางอำนาจกับผู้อื่น " ความไม่กลัวที่เอื่ออารี " นี้ เป็นธรรมชาติพื้นฐานของกรุณา และไปพ้นสัญชาตญาณดิบของ อัตตา อัตตามักพยายามสถาปนาอาณาจักรของมัน ส่วนกรุณากลับเปิด และเชื้อเชิญอย่างสิ้นเชิง เป็นท่วงทีที่เอื้ออารี ที่ไม่กีดกันผู้ใด


กรุณาจะมีบทบาทในการทำสมาธิภาวนา เมื่อคุณได้สัมผัสกับความอบ อุ่น นอกเหนือไปจากความสงบราบเรียบที่คุณจะได้รับ ความรู้สึกอบอุ่น จับใจจะกระตุ้นให้เกิดมโนคติอันเปิดเผยและเชื้อเชิญ เมื่อความรู้สึกเช่น นี้ผุดขึ้นมา ความวิตกหรือกลัว ว่าสิ่งภายนอกจะขัดขวางการทำสมาธิ ภาวนาของคุณ ก็จะหายไป


ความอบอุ่นโดยสัญชาตญาณ ซึ่งเกิดขึ้นในการทำสมาธิภาวนานี้ จะขยาย สู่ความสำนึกรู้ในช่วงหลังจากทำสมาธิภาวนาแล้วด้วย ด้วยความรู้ตัวทั่ว พร้อมชนิดนี้ คุณจะไม่หย่าตัวเองจากกิจกรรมทั้งปวงของคุณ และหย่าขาด จากกิจกรรมก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ด้วย เพราะหากคุณพยายามตั้งใจทำกิจ ของคุณเช่นรินน้ำชาหรือกิจประจำวันใด ๆ ก็ตาม โดยที่ขณะเดียวกันก็ พยายามตั้งใจทำกิจของคุณเช่นรินน้ำชาหรือกิจประจำวันใด ๆ ก็ตาม โดย ที่ขณะเดียวกันก็พยายามรู้ตัวทั่วพร้อม แสดงว่าคุณกำลังอยู่ในสภาวะฝัน ฟุ้งนี้ดั่งที่ครูธิเบตผู้หนึ่งได้กล่าวไว้ว่า " ถ้าเชื่อมความสำนึกรู้กับกิจกรรม อย่างไม่เป็นมวย ก็เหมือนพยายามผสมน้ำมันกับน้ำเข้าด้วยกัน " ความรู้ตัว ที่แท้จริงจะต้องเปิดยิ่งกว่าจะระวังระไว หรือปกป้อง เป็นการเปิดใจสัมผัส กับที่ว่างโล่งภายในสภาพการณ์ต่าง ๆ คุณอาจกำลังทำงานอยู่ แต่ความรู้ตัว ทั่วพร้อมก็ทำงานไปพร้อม ๆ กับขั้นตอนการทำงานของคุณ กลายเป็นการ ปฏิบัติกรุณาและสมาธิไปพร้อม ๆ กัน


โดยทั่วไป ชีวิตเรามักขาดความรู้ตัวทั่วพร้อม เรามักดึงลงไปในสิ่งที่เรา กำลังกระทำอยู่ จนลืมสภาพที่แวดล้อมรอบ ๆ ตัว เราปิดกั้นมันไว้ แต่ พลังด้านบวกของกรุณาและปรัชญานั้นมันเปิดออกอย่างหยั่งรู้ คมชัดและ ซึมซาบ จะให้ทัศนะคติชีวิตอันกว้างไกลแก่เรา ซึ่งไม่เพียงแต่จะเปิดเผย เฉพาะการกระทำหรือเหตุการณ์บางอย่าง หากรวมตลอดถึงสภาพแวด ล้อมทั้งหมดนี้ย่อมสร้างสภาพการณ์อันเหมาะสมต่อการสื่อสารกับผู้อื่น เพราะเราจะไม่เพียงแต่กำหนดรู้สิ่งที่เขาพูดเท่านั้น หากจะสามารถเปิดรับ ต่อระดับภาวะทั้งหมดของเขาทีเดียว รอยยิ้มและคำพูดของเขาเป็นเพียง ส่วนเล็ก ๆ ของการสื่อสาร สิ่งที่สำคัญทัดเทียมกันก็คือ คุณลักษณ์ใน การปรากฏตัวของเขา วิธีเขาปรากฏตัวต่อเรา คุณลักษณ์นี้ย่อมสื่อสาร มากกว่าเพียงคำพูดถ่ายเดียว


ผู้ใดทั้งฉลาดเฉลียวและกรุณา การกระทำของผู้นั้นจะช่ำชองและแผ่รัศมี อานุภาพอย่างล้นเหลือ การกระทำอันช่ำชองนี้ คือ อุปาย " วิธีการอันช่ำ ชอง " ในที่นี้อาการ " ช่ำชอง " มิได้หมายถึงเล่ห์กระเท่หรือเหลี่ยมคูอุบาย เกิดขึ้นตามสภาพการณ์ ถ้าบุคคลเป็นผู้เปิดเสียแล้ว ปฏิกริยาตอบสนองต่อ ชีวิตของเขาจะเที่ยงตรง และบางครั้งถ้ามองด้วยทัศนะที่มีรูปแบบตายตัว ก็ออกจะดูแปลกประหลาดเลยด้วยซ้ำ เพราะอุบายไม่ปล่อยให้สิ่งเหลวไหล ปนเปอยู่ หากเป็นการเปิดเผยและจัดการกับสภาพการณ์ตามที่มันเป็น เป็น พลังที่ช่ำชองและแน่นอน ถ้าจู่ ๆ พลังเยี่ยงนี้รี่เข้ามากระชากสิ่งห่อหุ้มหรือ หน้ากากของเรา เราจะเจ็บปวดเป็นที่สุด จะเป็นเรื่องชวนอึดอัดใจยิ่ง เพราะ เราจะพบตนเองเปล่าเปลือย ไร้สิ่งใดปกปิด ในชั่วขณะนั้น การเปิดและ ความเที่ยงตรง ซึ่งก็คือธรรมชาติของปรัชญาและกรุณาจะดูเย็นชาและไม่ เป็นกันเองเลย


ถ้าคิดตามรูปแบบเดิม ๆ กรุณามักหมายถึงอาการใจดีและอบอุ่น กรุณา แบบนี้ ในคัมภีร์จะเปรียบเสมือน " ความรักของคุณยาย " คุณคาดหวัง ให้มีผู้มีใจกรุณาในแบบนี้ เป็นคนชนิดที่ใจดีและนุ่มนวลสุดจะพรรณนา เขาจะไม่ตบแม้แต่ยุง ถ้าคุณอยากได้หน้ากากอันใหม่ อยากได้ผ้าห่มผืน ใหม่ให้รู้สึกอบอุ่น เขาก็จะหามาให้ แต่จริง ๆ แล้ว กรุณาที่แท้นั้นโหด ร้ายในทัศนะของอัตตา เพราะกรุณาย่อมไม่ใส่ใจกับแรงผลักดันของอัตตา จะหล่อเลี้ยงตัวนเองไว้ มันเป็น " ปรีชาญาณบ้าบอ " มันฉลาดหลักแหลม และก็บ้าบอด้วย เพราะมันจะไม่สัมพันธ์กับ ความพยายามอย่างเซื่อง ๆ ของอัตตา ที่จะหาความมั่นคงสะดวกสบายไว้พักพิง


เสียงตรรกของอัตตาจะแนะให้เราทำดีต่อคนอื่น เป็นเด็กดี ใช้ชีวิตเล็ก ๆ อย่างไร้เดียงสา เราทำงานประจำไปเรื่อย มีห้องเช่าหรือบ้านอบอุ่นเป็น ของตนเอง เราอยากให้มันเป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ แต่แล้วทันใดนั้น บางสิ่ง ก็เกิดขึ้น เข้ามากระชากเราออกจากรังน้อย ๆ อันแสนอบอุ่นของเรา เรา รู้สึกขมขื่นเจ็บปวดสุดแสน เราเริ่มสงสัยว่า ทำไมสวรรค์ช่างไม่ปรานีเรา เลย " ทำไมเทพยดาฟ้าดินจึงต้องทำโทษฉันด้วย ฉันเป็นคนมาตลอด ฉัน ไม่เคยทำร้ายจิตใจผู้ใดเลย " แต่ชีวิตมีอะไรมากกว่านั้น


เรากำลังพยายามปกป้องอะไรเล่า ทำไมเราจึงยุ่งยากกับการปกป้องตน เองนัก พลังอันฉับพลันของกรุณาที่โหดร้ายทารุณกลับกระชากเราออก จากความสบายและความมั่นคงของเรา ถ้าเราไม่เคยตื่นตระหนกเยี่ยงนี้ เราจะไม่มีวันเติบโตได้ เราจะต้องถูกฉุดออกจากวิถีชีวิตอันซ้ำซาก ความ สะดวกที่เราเคยชินอยู่ ประเด็นของสมาธิภาวนาไม่ได้อยู่เพียงที่การเป็น คนดีคนซื่อตามรูปแบบ เพื่อหล่อเลี้ยงความมั่งคั่งของเราเท่านั้น เราจะ ต้องกรุณาและหลักแหลมลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น คือเราจะต้องเปิดออก และ สัมพันธ์กับโลกตามที่มันเป็นอยู่