ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: ธันวาคม 20, 2010, 10:04:47 pm » อนุโมทนาครับ ขอบคุณครับพี่น้ำฝน
เว็บใต้ร่มธรรม ตั้งขึ้นเพื่อการรวมตัวของสมาชิกและทีมงานเว็บอกาลิโก ให้มาปรึกษาพบปะพูดคุยกันก่อนเดินทางสู่เส้นทางเดิมของอกาลิโกครับ พร้อมที่จะสานต่อความดีบนโลกออนไลน์ใบเล็กๆนี้ ทุกเรื่องราวมีความเป็นไป หากพี่ๆทุกท่านได้รับข่าวสารฉบับนี้ ถ้ามีเวลา..ก็ขอให้แวะมา พักคุยธรรมะปรึกษาหารือกันเช่นกัลยาณมิตรเหมือนที่เคยมา.."ด้วยความคิดถึงอย่างยิ่ง..ถึงที่สุด ธรรมะอวยพรครับ"
โดย นพ.จักรพงศ์ ไพบูลย์ ความโกรธ เป็นสิ่งที่เราทุกคนรู้จักดี จัดเป็นหนึ่งใน อุปกิเลส คือเป็นสิ่งที่ทำให้ใจเราเศร้าหมองและขุ่นมัวที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด ความโกรธเกิดได้ตลอดเวลา เกิดเป็นส่วนตัวก็ได้และเหนี่ยวนำให้เกิดเป็นกลุ่มก็ได้ ทำอันตรายได้ ทั้งส่วนตัว คนรอบข้าง จนถึงบ้านเมืองเลยทีเดียว ความโกรธของผู้นำของประเทศ เป็นสาเหตุให้เกิดสงคราม และเกิดการบาดเจ็บล้มตายไปมาก จากคำสอนทางพระพุทธศาสนา เราควรจะจัดการกับความโกรธนี้ได้อย่างไร ประการแรก พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ความโกรธนั้นเป็นสิ่งที่เลวร้ายนัก อย่าพึงให้เกิดขึ้น เพราะจะทำให้เกิดผลกรรมต่างๆ ได้มากมายดังนี้ " ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็บุคคลผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำ มีจิตอันความโกรธกลุ้มรุมนี้ ย่อมฆ่าสัตว์ก็ได้ ลักทรัพย์ก็ได้ คบชู้ก็ได้ พูดเท็จก็ได้ สิ่งใดเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน บุคคลผู้โกรธย่อมชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้นก็ได้ฯ" เกสปุตตสูตร ๒๐/๕๐๕ ประการต่อมา ท่านสอนว่าพึงละความโกรธให้ได้ ทำลายความโกรธให้ได้ เมื่อเทวดาได้ทูลถามว่า ฆ่าอะไรจึงจะเป็นสุข ฆ่าอะไรจึงจะไม่เศร้าโศก พระพุทธองค์ได้ทรงตอบว่า ฆ่าความโกรธแล้วย่อมอยู่เป็นสุข ฆ่าความโกรธแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก พระพุทธองค์ทรงสอนภิกษุเรื่องความโกรธกับเลื่อยไว้ว่า " ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากจะมีพวกโจรผู้มีความประพฤติต่ำช้า เอาเลื่อยที่มีที่จับทั้งสองข้าง เลื่อยอวัยวะใหญ่น้อยของพวกเธอ แม้ในเหตุนั้น ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดมีใจคิดร้ายต่อโจรเหล่านั้น ภิกษุหรือภิกษุณีรูปนั้น ไม่ชื่อว่าเป็นผู้ทำตามคำสั่งสอนของเรา เพราะเหตุที่อดกลั้นไม่ได้นั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ในข้อนั้นเธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่แปรปรวน เราจักไม่เปล่งวาจาที่ลามก เราจักอนุเคราะห์ผู้อื่นด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์ เราจักมีเมตตา จิตไม่มีโทสะในภายใน เราจักแผ่เมตตาจิตไปถึงบุคคลนั้น และเราจักแผ่เมตตาอันไพบูลย์ใหญ่ยิ่งหาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท ไปตลอดโลกทุกทิศทุกทาง ซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตนั้น " กกจูปมสูตร ๑๒/๒๗๒ พระพุทธองค์ทรงสอนพระภิกษุว่า ผู้โกรธตอบให้ถือว่าลามกหรือเลวร้ายกว่าผู้โกรธก่อน ดังนั้น เมื่อใครมาโกรธเราไม่ควรโกรธตอบ ทรงสอนพระสงฆ์ว่า เมื่อไรโกรธให้คิดถึงโอวาทเรื่องเลื่อยนี้ไว้เสมอ และมีคำสอนมากมายที่สรรเสริญการไม่โกรธ ทีนี้ความโกรธจะแก้ไขด้วยวิธีใด จากคำสอนในพระพุทธศาสนาพบว่า ความโกรธไม่ใช่ของง่ายที่จะกำจัด ต้องมีการฝึกฝน ฝึกสติ ฝึกจิตอยู่พอสมควรจึงจะแก้ได้เร็ว และหายได้เด็ดขาด มีคำสอนของพระสารีบุตรสอนว่า ต้องพิจารณาทำลายแห่งความโกรธก่อน แหล่งความโกรธเรียกว่า รากแห่งความโกรธ นั้นเกิดจากสาเหตุ ๖ ประการคือ ความไม่รู้ ความไม่คิดอย่างแยบคาย การมีมานะ ถือตัวตนตัวเรา ของเราความไม่เกรงกลัวต่อบาป ความไม่ละอายต่อบาป และความฟุ้งซ่าน (สารีปุตตนิทเทสที่ ๑๖/๙๔๙) โดยรวมแล้วหลักการทำลายความโกรธง่ายๆ มีดังนี้
เมื่อคิดว่าเราเข้มแข็งพอที่จะไม่โกรธแล้ว ให้ทบทวนสิ่งที่ทำให้เราโกรธอีกครั้งหนึ่งดูว่า ปัญหาอยู่ที่ใด เราเป็นคนผิด เราก็ยอมรับก็แก้ไขเสีย ถ้าเขาผิดก็ค่อยชี้แจ้ง ถ้าเขายังไม่เข้าใจก็รอก่อน เมื่อเขาสงบคิดได้ค่อยชี้แจ้ง การให้ความรู้และธรรมะที่ถูกต้องจะทำให้ทุกอย่างสงบ และแก้ปัญหาได้ สาเหตุหลักของการโกรธมาจากอวิชชา คือความไม่รู้ ไม่รู้ตามความเป็นจริงของเรื่องทางโลก ทำให้เข้าใจผิด หลงไปอยู่ข้างผิด และไม่รู้ตามเป็นจริงของธรรมะ ที่ไม่ให้ยึดถือในตัวเราของเรา ดังนั้น เมื่อรู้ความเป็นจริงในเรื่องทางโลกและเรื่องทางธรรม ก็จะแก้ปัญหาได้ ความโกรธก็จะหมดไป ขอให้ตัวเราเป็นคนไม่โกรธง่าย ถ้าโกรธก็ขอให้หายไวๆ ขอให้สังคมไทยเป็นอย่างนี้เช่นกัน .. ขอขอบพระคุณที่มาจาก : บอร์ดพลังจิต และ ที่นี่ดอทคอม มา ณ.ที่นี้ด้วยค่ะ .. |