ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (It is never too late to mend):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: ธันวาคม 21, 2010, 09:59:31 pm »

 :13:  ขอบคุณครับพี่มด อนุโมทนาครับผม
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: ธันวาคม 21, 2010, 03:37:27 pm »

 


ลมอ่อน ๆ พัดมาจากทิศตะวันตกผ่านไปตลอดร่างแต่ไม่หนาว ผมรู้สึกได้เมื่อมันพัดผ่านใบหน้าและใบหูเหมือนกับคลื่นของน้ำอุ่นที่สาดขึ้นมาอย่างอ่อนโยนอาบร่างของผมไว้แล้วถอยกลับลงไป และต่อมาก็เอ่อขึ้นมาอีก นี่เป็นสภาวะที่เทียบเคียงกันไม่ได้เลยกับชีวิตที่สับสนและผิดพลาดของผม ผมร้องไห้ ไม่ใช่ร้องไห้เพราะความเศร้าสลดใจหรือสงสารตัวเอง แต่ร้องไห้เพราะปิติที่เปี่ยมล้นขึ้นมายากที่จะบรรยายออกมาได้ ผมอยากจะนอนอยู่ตรงจุดนั้นตลอดไป และผมคงทำอย่างนั้นจริง ๆ หากดอนฮวนไม่โผล่ออกมาแล้วกระชากตัวผมให้ออกมาจากที่แห่งนั้น
               "คุณพักผ่อนเพียงพอแล้วละ" แกพูดพร้อมกับดึงให้ผมลุกขึ้น
              แกพาผมเดินอย่างสงบไปรอบ ๆ บริเวณยอดเขา เราเดินช้า ๆ และไม่พูดกันเลย ดูเหมือนดอนฮวนตั้งใจที่จะให้ผมสังเกตดูทัศนียภาพที่อยู่รอบตัว แกทำท่าทางแนะให้ดูก้อนเมฆหรือภูเขาโดยใช้แววตาหรือเคลื่อนไหวที่คาง ทิวทัศน์ในยามบ่ายสวยอย่างที่สุด ภาพที่เห็นปลุกความรู้สึกหวาดกลัวและสิ้นหวัง มันทำให้ผมระลึกถึงสิ่งที่เคยเห็นในวัยเด็ก

               เราปีนขึ้นไปบนยอดสูงที่สุดของภูเขาซึ่งเป็นหินเหล็กไฟ เรานั่งในท่าสบาย เอาหลังพิงก้อนหินและหันหน้าไปทางทิศใต้ ผืนแผ่นดินอันไม่มีที่สิ้นสุดที่อยู่เบื้องหน้ามโหฬารพันลึกจริง ๆ
               "จงฝังภาพเหล่านี้ไว้ในใจของคุณ" ดอนฮวนกระซิบที่หูของผม "สถานที่แห่งนี้เป็นของคุณ เช้าวันนี้คุณ เห็น และนั่นเป็นลาง คุณพบที่แห่งนี้โดย การเห็น ลางที่ว่านั้นไม่ได้คาดเดาไว้ล่วงหน้า แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว คุณต้องล่าพลังไม่ว่าคุณจะชอบมันหรือไม่ก็ตามที นี่ไม่ใช่ข้อตัดสินของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นตัวคุณหรือผม
               "พูดให้ชัดลงไป ขณะนี้ยอดเขาแห่งนี้เป็นของคุณ เป็นสถานที่อันเป็นที่รัก และทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวคุณอยู่ในความใส่ใจของคุณ คุณต้องคุ้มครองดูแลทุกสิ่งทุกอย่างและทุกสิ่งทุกอย่างก็จะระวังรักษาคุณในทำนองเดียวกัน"
               ผมถามติดตลกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของผมจริง ๆ หรือ ดอนฮวนตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า ใช่ ผมหัวเราะแล้วบอกกับแกว่า สิ่งที่เราทำอยู่นี้ทำให้ผมระลึกถึงเรื่องราวของชาวสเปนเมื่อเข้ามาครอบครองโลกใหม่นี้ขึ้นมาได้ พวกเขาพากันแบ่งสรรที่ดินในนามของพระมหากษัตริย์ของตน และมักจะปีนขึ้นไปบนยอดเขาแล้วอ้างเอากรรมสิทธิ์ในที่ดินในทิศทางต่าง ๆ เท่าที่มองเห็น
               "นั่นเป็นความคิดที่ดี" ดอนฮวนบอก "ผมจะมอบที่ดินทั้งหมดเท่าที่มองเห็นนี้ให้กับคุณ ไม่ใช่ให้ครอบครองเพียงทิศเดียวเท่านั้นแต่ให้ทั้งหมดรอบตัวของคุณ"

               ดอนฮวนลุกขึ้นยืน ชี้มือออกไปพร้อมกับหมุนตัวไปรอบ ๆ
               "พื้นที่ทั้งหมดนี้เป็นของคุณ" แกบอก ผมหัวเราะออกมาอย่างดัง ดอนฮวนหัวเราะคิก ๆ ออกมาแล้วถามว่า
               "ทำไมไม่ได้ล่ะ ทำไมผมจึงจะมอบแผ่นดินผืนนี้ให้กับคุณไม่ได้"
               "คุณไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินผืนนี้นี่นา" ผมบอก
               "แล้วไงล่ะ พวกชาวสเปนก็ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินเหมือนกัน แต่พวกเขาก็แบ่งมันออกแล้วมอบให้กันและกัน แล้วทำไมคุณจึงเข้าครอบครองที่ดินในลักษณะเดียวกันไม่ได้เล่า"

               ผมพินิจดูดอนฮวนเพื่อจับความรู้สึกที่แท้จริงในรอยยิ้มของแก แกระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนเกือบจะหล่นจากก้อนหิน
               "ที่ทั้งหมดเท่าที่คุณมองเห็นนี้เป็นของคุณ" แกพูดต่อและยิ้มอยู่อย่างนั้น "ไม่ใช่เอาไปใช้เพื่อทำอะไร แต่เพื่อจำไว้ ถึงอย่างนั้นก็ตามเถอะ ยอดเขานี้เป็นของคุณ เพื่อว่าคุณจะได้ใช้ตลอดชีวิต ผมมอบให้กับคุณเพราะคุณพบมันด้วยตัวของคุณเอง ยอดเขานี้เป็นของคุณแล้ว รับมันสิ"
               ผมหัวเราะออกมา ทั้ง ๆ ที่ดอนฮวนดูจะจริงจังในเรื่องนี้มาก นอกจากยิ้มที่ออกจะซุกซนของแกแล้ว ดูเหมือนดอนฮวนจะเชื่ออย่างจริงจังทีเดียวว่าแกอาจมอบเขาลูกนี้ให้กับผมได้
               "อ้าวทำไมไม่รับล่ะ" แกถามราวกับว่าอ่านความคิดของผมออก
               "ผมรับ" ผมตอบกึ่งล้อเลียน รอยยิ้มของแกหายไปจากใบหน้า แกหรี่ตามองดูผม
               "ก้อนหินและกรวดทุกก้อนรวมทั้งพุ่มไม้บนเขาลูกนี้อยู่ในความใส่ใจของคุณ" แกพูด "หนอนทุกตัวที่อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนของคุณ คุณใช้มันให้เป็นประโยชน์ได้และมันก็ใช้คุณได้เช่นเดียวกัน"

               เราเงียบไปสองสามนาที ค่อนข้างแปลกที่ผมเกือบจะไม่มีความคิด ผมรู้สึกอย่างเลือนลางว่าการเปลี่ยนอารมณ์ของดอนฮวนโดยฉับพลันนั้นระงับความรู้สึกนึกคิดของผม แต่ผมก็ไม่หวั่นไหวหรือเกรงกลัว ผมเพียงแต่ไม่อยากพูดอีกต่อไป อีกอย่างหนึ่งถ้อยคำที่จะใช้ดูจะไม่ตรงกับสิ่งที่ต้องการพูด และความหมายของถ้อยคำเหล่านั้นก็ยากที่จะหามาใช้อย่างเหมาะเจาะ ในการพูดคุยกันผมไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน และเมื่อรู้สึกถึงอารมณ์ที่ประหลาดมากนี้ทำให้ผมรีบพูดออกมาทันที
               "แต่ผมจะทำอะไรกับเขาลูกนี้ได้ล่ะดอนฮวน"
               "จงใส่ใจจำรูปลักษณะทุกส่วนของลูกนี้ไว้ นี่เป็นสถานที่ที่คุณจะมาหาในการฝัน สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งที่คุณจะพบกับพลังทั้งหลาย เป็นที่ซึ่งความลึกลับบรรดามีจะปรากฏกับคุณสักวันหนึ่ง
               "คุณกำลังล่าพลังและนี่เป็นที่ของคุณ เป็นที่ที่คุณจะสั่งสมพลังทั้งหลาย
               "นี่คงไม่มีความหมายสำหรับคุณเลยในขณะนี้ ดังนั้นให้มันเป็นเรื่องเหลวไหลไปก่อนก็แล้วกัน"

               เราปีนลงมาจากหินก้อนนั้น และดอนฮวนนำผมไปยังแอ่งเล็ก ๆ เหมือนกับชามทางด้านทิศตะวันตกของยอดเขา เรานั่งลงรับประทานอาหาร ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เมื่ออยู่บนยอดเขาแห่งนั้นผมมีความสุขชนิดที่บรรยายออกมาไม่ได้เลย การกินซึ่งก็เหมือนกับการนอนเป็นความปีติเปี่ยมล้นชนิดที่ไม่เคยพบมาก่อน
               แสงแดดในยามสนธยารุ่มรวยเกือบจะเป็นสีทองแดง และรุ่งเรืองสดใส ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่โดยรอบดูจะแต้มแต่งด้วยแสงสีทอง ผมใส่ใจดูภาพที่เห็นอย่างเต็มที่ ไม่อยากแม้แต่จะคิด

               ดอนฮวนพูดกับผมเกือบจะเป็นการกระซิบ แกบอกให้ผมสังเกตรายละเอียดทุกอย่างของสิ่งแวดล้อมโดยรอบไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งเล็ก ๆ หรือไม่น่าสนใจเลยก็ตามที โดยเฉพาะอย่างยิ่งทัศนียภาพที่เห็นกระจ่างชัดทางทิศตะวันตก แกบอกว่า ผมควรจะมองดูดวงอาทิตย์โดยไม่เพ่งตรง ๆ จนมันลับหายไปจากขอบฟ้า แสงที่สาดลงมาในวินาทีสุดท้ายก่อนที่ดวงอาทิตย์จะลับหมู่เมฆหรือกลุ่มหมอกนั้นมีความมหัศจรรย์เป็นพิเศษ ดูราวกับว่าดวงอาทิตย์กำลังไหม้โลกให้ลุกโพลงขึ้นมาเหมือนกองไฟที่จุดไว้กลางแจ้ง ผมรู้สึกสว่างเรืองขึ้นมาที่ใบหน้า
               "ยืนขึ้นเร็ว !" ดอนฮวนตะโกนออกมาพร้อมกับฉุดให้ผมลุกขึ้นยืน แกกระโดดห่างออกไปจากตัวผมแล้วสั่งด้วยน้ำเสียงเชิงบังคับและเร่งเร้าให้ผมวิ่งเหย่า ๆ อยู่ตรงจุดที่ผมยืนอยู่
              ขณะที่ผมวิ่งอยู่กับที่นั้นผมรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ซ่านเข้ามาในร่าง มันเป็นความร้อนราวกับทองแดงที่ถูกเผา รู้สึกได้ที่เพดานปากและ "เพดาน" ของตาทั้งสอง มันเหมือนกับส่วนบนสุดของศีรษะกำลังลุกไหม้ด้วยไฟเย็นที่แผ่รังสีเรื่อเรืองสีทองแดงออกมา มีสิ่งหนึ่งในตัวของผมกระตุ้นให้ผมซอยเท้าถี่ยิ่งขึ้นทุกทีตามส่วนที่ดวงอาทิตย์ลับลงไปเรื่อย ๆ มาถึงขณะหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าตัวเบาจนอาจจะบินไปได้ ดอนฮวนฉวยข้อมือขวาของผมไว้แน่น แรงบีบที่ข้อมือทำให้ผมได้สติและรู้สึกตัวขึ้นมาตามเดิม ผมโผลงไปที่พื้นดินและดอนฮวนทรุดลงนั่งข้าง ๆ

               เมื่อพักสักสองสามนาทีแกลุกขึ้นเงียบ ๆ เอามือมาแตะที่ไหล่ของผมแล้วทำสัญญาณให้ผมตามแกไป เราปีนขึ้นไปบนก้อนหินก้อนที่เราเคยนั่งก่อนหน้านี้ หินก้อนนี้กั้นลมที่พัดโกรกเย็นและดอนฮวนพูดทำลายความเงียบ
               "นั่นเป็นลางดี" แกบอก "แปลกจริง ๆ ! มันอุบัติขึ้นในช่วงเวลาสุดท้ายของกลางวัน คุณกับผมนี่แตกต่างกันมาก คุณดูจะเป็นสัตว์โลกของเวลากลางคืนเสียมากกว่า ส่วนผมชอบความรุ่งโรจน์อันอ่อนเยาว์ของยามรุ่งอรุณมากกว่า พูดอีกนัยหนึ่งว่าความรุ่งเรืองของยามเช้าเสาะหาตัวของผมแต่มันกลับหลบหน้าคุณ ในลักษณะตรงกันข้ามดวงอาทิตย์ยามจะลาลับอาบแสงรดตัวคุณ เปลวของมันลามเลียร่างของคุณโดยไม่ไหม้คุณให้เป็นจุณไปแปลกจริง ๆ !"

               "ทำไมถึงแปลกล่ะ"
               "ผมไม่เคยเห็นอุบัติการณ์ในลักษณะนี้มาก่อน ลางชนิดนี้เมื่อมันอุบัติขึ้นจะปรากฏในอาณาจักรของดวงอาทิตย์อันอ่อนวัยเสมอ"
               "ทำไมมันจึงเกิดอย่างนั้นล่ะดอนฮวน"
               "ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะพูดกันในเรื่องนี้" แกพูดตัดบท "ความรอบรู้คือพลัง เราต้องใช้เวลานานที่จะคุมพลังได้อย่างพอเพียงแม้แต่จะเอามาพูดในเรื่องนี้"

               ผมพยายามจะเร่งเร้าให้แกพูดออกมา แต่แกเปลี่ยนเรื่องในทันใด แกถามถึงความก้าวหน้าใน "การฝัน" ของผม ผมเริ่มฝันถึงสถานที่เฉพาะบางแห่งเช่นฝันเห็นโรงเรียนเดิมหรือบ้านของเพื่อน ๆ บางคน
               "คุณฝันว่าไปยังที่เหล่านั้นเวลากลางวันหรือกลางคืน" แกถาม
               ความฝันของผมเกี่ยวเนื่องอยู่กับเวลาที่ผมเคยไปยังสถานที่ดังกล่าว เช่นไปโรงเรียนในเวลากลางวัน และไปบ้านเพื่อนในเวลากลางคืน
               ดอนฮวนแนะว่า ให้ผมพยายามทำให้เกิด "การฝัน" ขณะที่งีบหลับตอนกลางวันแล้วดูว่าผมเห็นที่เหล่านั้นเหมือนกับตอนที่ผมมี "การฝัน" มาก่อนหรือเปล่า ถ้า "การฝัน" เกิดในเวลากลางคืน ภาพสถานที่น่าจะเป็นภาพในตอนกลางคืน แกบอกว่าสิ่งที่เราประสบใน "การฝัน"จะสอดคล้องกับเวลาที่เกิด "การฝัน" มิฉะนั้นแล้วภาพที่เห็นเหล่านั้นจะไม่ใช่ "การฝัน" แต่เป็นความฝันธรรมดา
               "สิ่งที่จะมาช่วยในเรื่องนี้ ให้คุณเลือกเอาสิ่งหนึ่งสิ่งใดเฉพาะลงไปที่อยู่ในสถานที่ที่คุณไปแล้วเพ่งความใส่ใจในสิ่งนั้น" แกพูดต่อ
              "ยกตัวอย่างเช่น บนยอดเขาแห่งนี้ คุณมีพุ่มไม้พุ่มนั้นที่คุณต้องสังเกตดูจนมันฝังอยู่ในความทรงจำ คุณสามารถที่จะกลับมาที่นี่ได้อีกในขณะที่เกิด การฝัน ด้วยการคิดถึงพุ่มไม้พุ่มนี้ หรือคิดถึงหินก้อนที่เรานั่งอยู่นี้ หรืออาจจะคิดถึงสิ่งอื่นที่อยู่แถวนี้ก็ได้ เป็นเรื่องง่ายที่จะท่องเที่ยวไปใน การฝัน เมื่อคุณสามารถทำจิตให้จดจ่อในสถานที่ของพลังเช่นทีที่เราอยู่นี้ แต่ถ้าหากคุณไม่อยากมาที่นี่ คุณอาจจะใช้ที่แห่งอื่น บางทีโรงเรียนที่คุณเคยไปอาจเป็นสถานที่ของพลังสำหรับคุณก็ได้ ให้ใช้สถานที่แห่งนั้น ให้ดูเฉพาะลงไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่อยู่ที่นั้นใน การฝัน
               "เมื่อดูสิ่งเฉพาะอันหนึ่งที่คุณจำได้แล้ว ให้กลับมาดูที่มือแล้วหันไปดูสิ่งพิเศษอย่างอื่นต่อไป"
               "แต่ในขณะนี้คุณต้องใส่ใจดูทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่บนยอดเขาแห่งนี้ เพราะที่นี่เป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ" แกมองดูผมราวกับจะประเมินผลที่เกิดจากถ้อยคำที่แกพูด
               "ที่นี่เป็นสถานที่ที่คุณจะมาตาย" แกพูดเบา ๆ
              ผมไหวตัวขยุกขยิกด้วยความกลัว เปลี่ยนท่านั่งหลายครั้ง ดอนฮวนยิ้ม
               "ผมจะต้องมาที่ยอดเขาแห่งนี้กับคุณครั้งแล้วครั้งเล่า" แกบอก
               "และหลังจากนั้นคุณต้องมาที่นี่คนเดียวจนคุณอาบชุ่มไปด้วยสิ่งเหล่านี้และยอดเขานี้ซึมซาบอยู่ในตัวของคุณ คุณจะรู้เองสักวันหนึ่งที่มันเต็มเปี่ยมขึ้นมา และยอดเขาแห่งนี้ ซึ่งก็เหมือนกับที่มันเป็นอยู่เดี๋ยวนี้ จะเป็นสถานที่ที่คุณเต้นรำเป็นครั้งสุดท้าย"
               "การเต้นรำครั้งสุดท้ายของผมหมายถึงอะไร ดอนฮวน"
               "ที่นี่เป็นทำเลที่มั่นในการยืนขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายของคุณ" แกบอก "คุณจะตายที่นี่ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนก็ตามที นักรบทุกคนมีสถานที่ที่เขาจะตาย เป็นที่ที่เขาเลือกสรรแล้วซึ่งโชกชุ่มอยู่ในความทรงจำอันไม่อาจลืมเลือนได้ เป็นสถานที่ซึ่งเหตุการณ์อันเปี่ยมไปด้วยพลังทิ้งร่องรอยเอาไว้ เป็นสถานที่ที่เขาได้ทอดทัศนาความลึกลับมหัศจรรย์ทั้งหลาย เป็นแหล่งที่ความลับเปิดเผยออกมา และเป็นสถานที่ที่เขาสะสมพลังส่วนตัว....

               "นักรบจะถือเป็นหน้าที่ ที่จะกลับมาสู่แหล่งที่เลือกสรรไว้ทุกครั้งที่เขาเคาะประตูของพลังเพื่อจะประจุมันเข้าไปในตัว เขาอาจจะมาที่นี่โดยการเดินมา หรือมาใน การฝัน ก็ได้....
               "และในที่สุด เวลาที่จะอยู่ในโลกนี้ของนักรบสิ้นสุดลง และเขาจะรู้สึกได้ถึงมือของความตายที่แตะลงไปบนไหล่ซ้ายและวิญญาณของเขาซึ่งพร้อมอยู่เสมอที่จะตายโผบินมาสถานที่ที่เขาเลือกสรรแล้วนี้ ที่นี่เองที่นักรบจะเริงระบำเป็นครั้งสุดท้ายเบื้องหน้าความตาย...........
               "นักรบทุกคนมีรูปแบบเฉพาะ หรือท่าเฉพาะของพลังที่เขาพัฒนาขึ้นมาตลอดช่วงชีวิตของเขา มันเป็นท่าเต้นรำชนิดหนึ่ง เป็นการไหวกายที่นักรบกระทำเนื่องมาจากอิทธิพลของพลังส่วนตัวของเขา......
               "หากว่านักรบที่กำลังจะตายมีพลังจำกัด การเริงรำระบำของเขาจะสั้น แต่ถ้าหากพลังของเขามหาศาล การเต้นรำของเขามหัศจรรย์ยิ่งนัก ไม่ว่าพลังของนักรบจะน้อยหรือมาก ความตายต้องหยุดทัศนาการเริงระบำครั้งสุดท้ายบนผืนโลกนี้ ความตายไม่อาจนำนักรบผู้กำลังบรรยายเป็นครั้งสุดท้ายถึงความเหนื่อยยากในชีวิตไป จนกว่าการเต้นรำของเขาจะยุติลง"

               ถ้อยคำของดอนฮวนทำให้ผมสั่น แสงเงินแสงทอง ความเงียบสงัดและทัศนียภาพที่สวยมหัศจรรย์ทั้งหมดปรากฏขึ้นดังว่าจะมาทำให้ภาพการเต้นรำครั้งสุดท้ายของนักรบเป็นจริงขึ้น
               "คุณสอนท่าเต้นรำดังกล่าวให้ผมได้ไหมล่ะดอนฮวน แม้ว่าผมจะไม่ได้เป็นนักรบก็ตามเถอะ" ผมถาม
               "มนุษย์คนใดที่กำลังล่าพลังอยู่ก็ฝึกการเต้นรำนั้นอยู่แล้ว" แกบอก "แต่ตอนนี้ผมก็ยังสอนคุณไม่ได้ ในไม่ช้าคุณก็อาจมีปรปักษ์ที่คู่ควรกับคุณ และผมจะแสดงให้คุณดูในตอนนั้นถึงท่าเคลื่อนไหวท่าแรกของพลัง คุณจะพัฒนาท่าอื่น ๆ ขึ้นมาได้เองในขณะที่คุณดำเนินชีวิต ท่าใหม่ ๆ จะเกิดขึ้นมาเองเมื่อคุณดิ้นรนเพื่อพลัง ดังนั้น พูดให้ถูกแล้วท่าหรือรูปแบบของนักรบคือเรื่องราวแห่งชีวิตของเขาเอง เป็นการเต้นรำที่พัฒนาขึ้นมาในขณะที่พลังส่วนตัวของเขาเติบโตขึ้น"
               "ความตายหยุดการเต้นรำครั้งสุดท้ายของนักรบจริงหรือดอนฮวน"
               "นักรบเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น เขาเป็นมนุษย์ที่ถ่อมตน เขาไม่อาจเปลี่ยนแบบแผนในการตายของเขา แต่วิญญาณอันไม่แปดเปื้อนซึ่งประจุพลัง..... ภายหลังจากที่ได้ต่อสู้มาอย่างโชกโชนนั้นสามารถหยุดความตายไว้ชั่วครู่ เป็นครู่หนึ่งนานพอที่จะทำให้นักรบร่าเริงเป็นครั้งสุดท้ายในอันที่จะมาระลึกถึงพลังของเขา เราอาจพูดได้ว่านั่นเป็นท่าแนะที่ความตายกระทำต่อคนผู้มีดวงวิญญาณอันไม่แปดเปื้อน"

              ความวิตกมหาศาลจู่โจมเข้ามา และผมพูดขึ้นเพื่อทุเลาความรู้สึกเช่นนี้เท่านั้น
               ผมถามแกว่า แกรู้จักนักรบที่ตายไปแล้วบ้างไหม และการเต้นรำครั้งสุดท้ายของเขามีผลต่อการตายของนักรบนั้น ๆ อย่างไรบ้าง
               "ปัดเรื่องนี้ไปเสียเถอะน่า" แกตอบกระด้าง ๆ "การตายเป็นเรื่องใหญ่มาก มันไม่ใช่เหยียดเท้าเตะออกไปแล้วตัวแข็งทื่อเท่านั้น"
               "ผมต้องเต้นรำให้ความตายด้วยหรือเปล่าดอนฮวน"
               "แน่นอน แม้ว่าคุณไม่ได้มีชีวิตอยู่อย่างนักรบ แต่คุณก็กำลังล่าพลังอยู่ วันนี้ดวงอาทิตย์มอบลางนั้นให้กับคุณ ผลิตผลที่เยี่ยมยอดที่สุดของงานในชีวิตของคุณ เกิดขึ้นในช่วงเกือบสุดท้ายของกลางวัน เห็นได้ชัดว่าคุณไม่ชอบความรุ่งเรืองอันอ่อนเยาว์ของยามเช้า การจาริกไปในยามรุ่งอรุณไม่เหมาะกับคุณนัก แต่ถ้วยชาที่คุณจิบคือดวงอาทิตย์ที่กำลังลาลับสีเหลืองแก่สุกจนฉ่ำแล้ว คุณไม่ชอบความร้อนแต่คุณชอบความเรื่อเรือง....
               "ดังนั้น คุณจะเต้นรำเบื้องหน้าความตายบนยอดเขาแห่งนี้ในเวลาใกล้จะสิ้นแสงแห่งเวลากลางวัน และในการเริงระบำครั้งสุดท้ายนั้นคุณจะบอกถึงการดิ้นรนต่อสู้ของคุณ บอกถึงการสู้รบที่คุณได้รับชัยชนะและประสบกับความพ่ายแพ้ คุณจะบอกถึงปิติและความตื่นตลึงเมื่อพบกับพลังส่วนตัว การเต้นรำนั้นจะบอกถึงความลึกลับและความมหัศจรรย์ทั้งหลายที่คุณสั่งสมเอาไว้ และความตายของคุณจะนั่งอยู่ที่นี่เพื่อเฝ้าดูคุณเริงระบำ....
               "ดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับไปนั้นจะเรืองแสงสาดลงบนตัวของคุณโดยไม่เผาให้ไหม้ดังที่มันกระทำกับคุณในวันนี้ สายลมจะพัดมาโบยเบา อ่อนโยน และยอดเขาลูกนี้จะสั่นสะเทือน เมื่อคุณจบสิ้นการเริงระบำลงแล้วคุณจะมองไปที่ดวงอาทิตย์ เพราะคุณจะไม่เห็นมันอีกต่อไปแล้วไม่ว่าในชีวิตหรือในการฝันและต่อจากนั้น ความตายจะชี้ไปทางทิศใต้ ชี้ไปยังความกว้างใหญ่ไพศาลนั้น...." "



http://olddreamz.com/bookshelf/ixtlan/lesson13-14.html#ixt13
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: ธันวาคม 21, 2010, 03:33:33 pm »




             
         ๑๓. การยืนหยัดขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายของนักรบ


อาทิตย์ที่ ๒๘ มกราคม ๑๙๖๒
             
                            เวลาประมาณ ๑๐.๐๐ น. ดอนฮวนจึงเดินเข้ามาในบ้าน แกออกจากบ้านไปตั้งแต่รุ่งสาง ผมกล่าวคำทักทาย แกหัวเราะ แกแกล้งทำตลกด้วยการสั่นมือกับผมแล้วกล่าวคำทักทายอย่างเป็นพิธีการ
              "เราจะออกเดินทางไม่ไกลนัก" แกบอก "คุณต้องขับรถไปยังสถานที่พิเศษแห่งหนึ่งเพื่อค้นหาพลัง"
           แกคลี่ร่างแหใส่ของออกแล้ววางน้ำเต้าที่บรรจุอาหารไว้เต็มลงไปสองลูก มัดด้วยเชือกเส้นเล็กแล้วยื่นร่างแหนั้นให้ผม

              เราขับรถตามสบายมุ่งไปทางทิศเหนือประมาณ ๔๐๐ ไมล์ ต่อมาเราเลี้ยวออกจากถนนสายแพนอเมริกันไปตามถนนโรยกรวดมุ่งสู่ทิศตะวันตก นานนับชั่วโมงที่รถของเราดูจะเป็นรถเพียงคันเดียวบนถนนสายนั้น ขณะที่ขับไปเรื่อย ๆ นั้นผมเห็นว่ามองผ่านกระจกออกไปไม่ได้ ผมเพ่งดูสิ่งแวดล้อมโดยรอบแต่มันมืดมาก และกระจกหน้าเต็มไปด้วยแมลงและฝุ่นเกาะอยู่   
            ผมบอกดอนฮวนว่าผมต้องหยุดเพื่อเช็ดกระจก แต่แกสั่งให้ผมขับต่อไปแม้ว่าเราจะคลานในความเร็วสองไมล์ต่อชั่วโมงก็ตามที และให้ยื่นศีรษะออกไปทางหน้าต่างเพื่อดูทาง แกบอกว่าผมหยุดไม่ได้จนกว่าจะถึงที่หมาย

               เมื่อมาถึงที่แห่งหนึ่งแกบอกให้ผมเลี้ยวไปทางขวา มันมืดและฝุ่นคลุ้งขึ้นมาจนไฟหน้ารถไม่ช่วยอะไรได้มาก ผมกลัวว่าไหล่ถนนจะยุบแต่มันก็แน่นพอ
               ผมขับต่อไปอีกประมาณ ๑๐๐ หลาด้วยความเร็วที่ต่ำที่สุดโดยการเปิดประตูออกเพื่อจะมองออกไป ในที่สุดดอนฮวนบอกให้ผมหยุด แกบอกว่า ให้จอดรถไว้หลังก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งซึ่งจะบังรถของผมไว้
               ผมก้าวลงมาจากรถแล้วเดินไปรอบ ๆ โดยอาศัยแสงไฟหน้ารถ ผมอยากจะสำรวจสิ่งแวดล้อมโดยรอบ เพราะผมไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหนแน่ แต่ดอนฮวนปิดสวิทช์ไฟเสีย แกพูดออกมาอย่างดังว่าเราไม่มีเวลาพอที่จะมาทำให้เสียไป ให้ผมล็อคประตูรถเสียเพื่อเราจะออกเดินต่อไป
               แกยื่นถุงน้ำเต้ามาให้ มันมืดมากจนผมสะดุดและเกือบจะทำให้น้ำเต้าหลุดมือลงไป ดอนฮวนสั่งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่หนักแน่นให้ผมนั่งลงจนกว่าตาจะชินกับความมืด แต่ปัญหาจริง ๆ ไม่ได้อยู่ที่ตา เมื่อผมก้าวลงจากรถผมมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ชัดดี แต่สิ่งที่ผิดปกติคือความหวาดวิตกที่แปลกมากทำให้ผมทำอะไรลงไปเหมือนกับว่าไม่มีจิตใจ ผมระแวงทุกสิ่งทุกอย่าง
               "เราจะไปไหนกัน ดอนฮวน" ผมถาม
               "เราจะออกเดินไปในความมืดสนิทนี้เพื่อไปสู่สถานที่พิเศษแห่งหนึ่ง" แกบอก
               "เพื่ออะไรล่ะ"
               "เพื่อดูให้แน่ใจว่าคุณสามารถที่จะล่าพลังได้หรือเปล่า"

               ผมถามแกว่า ถ้าสิ่งที่แกเสนอให้ทำนั้นเป็นการทดสอบและถ้าผมไม่ผ่านการทดสอบนั้น แกยังจะพูดกับผมและบอกเกี่ยวกับความรู้ที่แกมีหรือไม่
               ดอนฮวนตั้งใจฟังโดยไม่ขัดจังหวะ แกบอกว่าสิ่งที่เราจะทำนั้นไม่ใช่การทดสอบ แต่เราจะคอยลางชนิดหนึ่ง และถ้าลางชนิดนั้นไม่ปรากฏ ข้อสรุปก็อาจจะเป็นว่าผมไม่ประสบความสำเร็จในการล่าพลัง ซึ่งในกรณีดังกล่าวนี้ผมจะเป็นอิสระจากสิ่งที่แกจะทำให้ทั้งมีอิสระที่จะอยู่อย่างโง่เง่าดังที่ผมต้องการ แต่แกก็บอกว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามแกคงเป็นเพื่อนของผมและแกจะพูดกับผมตลอดไป อย่างไรก็ตามที ผมทราบว่าผมจะไม่เจอลางชนิดนั้น
               "ลางนั่นไม่เกิดขึ้นหรอก" ผมพูดติดตลก "ผมรู้ดี ผมมีพลังอยู่เพียงนิดเดียว"
               แกหัวเราะแล้วเอามือตบหลังผมเบา ๆ "อย่ากังวลไปเลย" แกย้อน "ลางจะเกิดขึ้นแน่ ๆ ผมมีพลังมากกว่าคุณ"
               แกคงเห็นว่าคำพูดของแกตลกมากกระมัง แกเอามือตบสะโพกแล้วปรบมือพร้อมกับหัวเราะดังก้อง แกมัดร่างแหที่ใส่น้ำเต้าไว้ติดหลังของผมแล้วบอกว่า ผมต้องเดินห่างจากแกหนึ่งก้าวแล้วเหยียบลงไปตามรอยเท้าของแกเท่าที่ผมจะทำได้
             แกกระซิบออกมาอย่างจงใจจะให้น่าสนใจว่า
               "นี่เป็นการเดินเพื่อพลัง ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างมีความสำคัญทั้งสิ้น"
               แกบอกว่า ถ้าหากผมเดินตามรอยเท้าของแกแล้ว พลังที่แกสูญเสียไปขณะที่เดินจะถ่ายเทมาที่ผม ผมมองดูนาฬิกา ขณะนั้นเวลาสี่ทุ่ม ดอนฮวนให้ผมตั้งแถวตอนเหมือนกับทหารที่อยู่ในท่าตรง ต่อมาแกผลักเท้าขวาของผมออกไปข้างหน้าแล้วให้ผมยืนเหมือนกับว่าผมเพิ่งก้าวเท้าออกไป แกยืนอยู่ข้างหน้าในท่าเดียวกัน หลังจากที่ได้กล่าวย้ำในสิ่งที่ต้องทำคือ ผมก้าวเท้าเหยียบลงไปที่รอยของแกให้ได้ทุกก้าว แล้วเราเริ่มออกเดิน
             แกกระซิบบอกไว้ชัดว่า ผมต้องไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้นนอกจากก้าวลงไปที่รอยของแกเท่านั้น ผมต้องไม่มองไปข้างหน้าหรือหันไปดูข้างตัวแต่ให้มองตรงไปที่พื้นดินที่แกกำลังก้าวเท้าอยู่

               ดอนฮวนเดินตามสบาย ผมจึงไม่เดือดร้อนอะไรที่จะก้าวตามรอยเท้าของแก เราเดินบนพื้นดินที่ค่อนข้างแข็ง เกือบสามสิบหลาที่ผมก้าวตามรอยเท้าของแกได้อย่างถูกต้อง แต่พอผมชำเลืองไปดูข้าง ๆ แวบหนึ่งผมชนโครมเข้าที่ตัวของดอนฮวน แกหัวเราะคิก ๆ ออกมาแล้วให้คำรับรองว่า ตอนที่ผมเหยียบลงไปด้วยรองเท้าอันใหญ่โตของผมนั้น ผมไม่ได้ทำให้ข้อเท้าของแกเป็นอันตรายหรอก แต่ถ้าหากผมยังคงเดินเซ่อซ่าอยู่อย่างนี้อีก เมื่อถึงตอนเช้า เราคนใดคนหนึ่งต้องพิการลงไปอย่างแน่นอน
               แกหัวเราะแล้วพูดด้วยเสียงต่ำ ๆ แต่มั่นคงว่า แกไม่ได้ตั้งใจมาก่อนว่าจะได้รับความเจ็บปวดเพราะความโง่เขลาและการขาดสติของผม หากผมเหยียบแกอีกผมต้องเดินเท้าเปล่า
               "ผมเดินโดยไม่สวมเท้าไม่ได้หรอก" ผมพูดด้วยเสียงดังบาดแก้วหู
                ดอนฮวนหัวเราะดังเป็นสองเท่า และผมต้องยืนคอยจนแกหยุดหัวเราะ แกยืนยันกับผมว่าแกหมายความตามที่พูดจริง ๆ เรากำลังจาริกไปเพื่อเคาะเรียกให้พลังออกมา ดังนั้นทุกสิ่งที่เราทำต้องสมบูรณ์แบบ

               เมื่อคิดถึงการที่จะต้องเดินโดยไม่สวมรองเท้าในทะเลทรายทำให้ผมกลัวมาก ดอนฮวนพูดติดตลกว่าครอบครัวของผมคงเป็นพวกชาวนาที่ไม่เคยถอดรองเท้าเลยแม้เวลาเข้านอนกระมัง
               แน่นอน แกพูดถูก ผมไม่เคยเดินเท้าเปล่า และการเดินในทะเลทรายโดยไม่สวมรองเท้า คือการถูกฆาตกรรมดี ๆ นี่เองสำหรับผม
               "ทะเลทรายแห่งนี้อาบซึมอยู่ด้วยพลัง" แกกระซิบที่หูของผม "ไม่มีเวลาที่จะขี้ขลาด"

               เราออกเดินต่อ ดอนฮวนเดินตามสบาย ครู่หนึ่งต่อมาผมสังเกตว่าเราเดินผ่านพื้นที่ที่เป็นดินแข็งและกำลังเดินอยู่บนทรายนุ่ม ๆ เท้าของดอนฮวนจมลงไปในทรายทำให้เกิดรอยลึก เราเดินอยู่หลายชั่วโมงก่อนจะหยุดพัก ดอนฮวนไม่หยุดอย่างกะทันหัน แต่เตือนผมก่อนว่าจะหยุดเพื่อกันไม่ให้ผมเดินชน
              พื้นดินเปลี่ยนเป็นดินแข็งอีก และดูเหมือนเราจะเดินขึ้นไปตามเนิน ดอนฮวนบอกว่า ถ้าผมจะไปทำธุระหลังต้นไม้ก็ให้ทำเสีย เพราะหลังจากนั้นเราจะเดินรวดเดียวโดยไม่หยุดเลย ผมมองดูนาฬิกา ขณะนั้นเวลาหนึ่งนาฬิกาหลังเที่ยงคืน

               เมื่อพักได้สัก ๑๐-๑๕ นาที ดอนฮวนให้ผมเข้าแถวตอนแล้วเราออกเดินต่อ แกพูดถูกทีเดียว ระยะทางไกลมาก และผมเองไม่เคยทำอะไรซึ่งต้องใช้สติถึงขนาดนี้มาก่อน
              ดอนฮวนเดินเร็วมากและความเคร่งเครียดที่ต้องเพ่งดูทุกก้าวย่างนั้นถีบตัวขึ้นสูงจนช่วงหนึ่งที่ผมไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ ผมไม่รู้สึกที่เท้าและขาที่เคลื่อนไหวไป มันเหมือนกับว่าผมเดินอยู่ในอากาศและมีกำลังชนิดหนึ่งลากผมไปเรื่อย ๆ สมาธิเป็นไปอย่างสมบูรณ์จนผมไม่สังเกตการเปลี่ยนแปลงของแสงที่สว่างขึ้นโดยลำดับ

               ทันใดนั้นผมรู้สึกว่าเห็นตัวดอนฮวนเดินอยู่ข้างหน้า และเห็นเท้าและรอยเท้าของแกโดยไม่ต้องเดาสุ่มเอาดังที่ทำมาเกือบครึ่งคืน พอถึงเวลาช่วงหนึ่ง ดอนฮวนกระโดดแผลวออกจากทางเดินโดยไม่บอกล่วงหน้า การเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่องทำให้ผมเดินไปได้อีกเกือบ ๒๐ หลา ขณะที่ผมเดินช้าลง ๆ นั้น ขาทั้งสองอ่อนกำลังลง สั่น และในที่สุดผมทรุดฮวบลงกับพื้น
               ผมมองขึ้นไปเห็นดอนฮวนกำลังตรวจดูผมอย่างสงบ เหมือนแกจะไม่เหนื่อยเอาเลย ส่วนผมหอบและเปียกโชกไปทั้งตัว
               ดอนฮวนจับที่แขนของผมแล้วเหวี่ยงไปรอบ ๆ ขณะที่ผมนอนอยู่อย่างนั้น แกบอกว่าถ้าหากผมต้องการที่จะเรียกกำลังให้กลับคืนมาแล้ว ผมต้องนอนหันหัวไปทางทิศตะวันออก ผมรู้สึกผ่อนคลายทีละเล็กละน้อยและพักร่างกายที่ปวดร้าว ในที่สุดผมมีกำลังพอที่จะยืนขึ้น ผมอยากมองดูที่นาฬิกาข้อมือ แต่ดอนฮวนเอามือมาปิดที่ข้อมือของผมไว้ แกจับตัวของผมหันเบา ๆ ไปทางทิศตะวันออกแล้วบอกว่า ไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องมีเครื่องบอกเวลาที่น่าเกลียดของผมเลย เราอยู่ในกาละอันมหัศจรรย์ และจะได้ดูให้แน่ชัดลงไปว่าผมจะสามารถล่าพลังได้หรือไม่

               ผมมองไปรอบ ๆ เรายืนอยู่บนยอดเขาสูงและใหญ่ ผมอยากจะเดินไปยังที่แห่งหนึ่งซึ่งดูเหมือนกับจะเป็นขอบ หรือรอยแยกของหิน แต่ดอนฮวนกระโดดเข้ามาแล้วยึดตัวของผมเอาไว้ แกสั่งเชิงบังคับให้ผมยืนอยู่ตรงที่ที่ผมล้มลงไปจนกระทั่งถึงเวลาดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาหลังยอดเขาอันดำทมึนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ดอนฮวนชี้ไปทางทิศตะวันออกแล้วให้ผมสังเกตดูก้อนเมฆที่จับเป็นกลุ่มอยู่หนาแน่นเหนือขอบฟ้า แกบอกว่าจะเป็นลางดีหากว่าลมพัดเอาก้อนเมฆออกไปได้ทันเวลาที่รังสีแรกฉายของดวงอาทิตย์สาดมากระทบร่างของผมที่ยืนอยู่บนยอดเขาแห่งนี้
               แกบอกให้ผมยืนนิ่ง ก้าวเท้าขวาออกไปข้างหน้า เหมือนกับว่าผมกำลังเดินอยู่ ผมต้องไม่มองตรงไปที่ขอบฟ้าแต่ให้มองโดยไม่เพ่งตรงจุดใดโดยเฉพาะ ขาของผมแข็งทื่อ และปลีน่องปวดร้าว มันเป็นท่ายืนที่ทรมานและกล้ามเนื้อที่ขาระบมเกินกว่าที่จะพยุงร่างเอาไว้ ผมยืนอยู่ในท่านั้นนานเท่าที่จะทำได้ ผมเกือบจะทรุดฮวบลงไป ขาทั้งสองสั่นระริกคุมเอาไว้ไม่ได้
               ขณะที่ดอนฮวนบอกให้ผมเลิก แกพยุงให้ผมนั่งลง ก้อนเมฆไม่เคลื่อนออกไปเลย และเราไม่เห็นดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า ดอนฮวนออกความเห็นเพียงว่า "แย่จริง ๆ "

               ผมไม่อยากจะถามในทันทีถึงเบื้องหลังความล้มเหลวของผม แต่เท่าที่ผมรู้จัก - ดอนฮวน แกจะทำตามข้อวินิจฉันอันได้จากลางที่เกิดขึ้น แต่เช้าวันนี้ไม่มีลางเอาเลย ความปวดร้าวที่น่องหายไป ผมรู้สึกดีขึ้นมากจึงลุกขึ้นวิ่งเหย่า ๆ เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ดอนฮวนบอกผมให้ค่อย ๆ วิ่งขึ้นไปบนเนินเขาที่อยู่ติดกัน แล้วเก็บเอาใบไม้จากต้นไม้พุ่มหนึ่งมาถูที่ขาเพื่อทุเลากล้ามเนื้อที่ปวดร้าว

               จากจุดที่ผมยืนอยู่ ผมมองเห็นต้นไม้พุ่มใหญ่สีเขียวสด ใบของมันดูเหมือนเปียกน้ำค้าง ผมเคยใช้ใบของต้นไม้ชนิดนี้มาแล้วแต่มันก็ไม่เคยช่วยให้ผมดีขึ้นแต่อย่างใด ถึงกระนั้นดอนฮวนก็ยืนยันอยู่เสมอว่าผลของมันละเอียดอ่อนมากจนเราแทบจะไม่รู้สึก และมันรักษาอาการต่าง ๆ ที่กล่าวถึงเสมอไป
              ผมวิ่งลงไปตามเนินแล้ววิ่งขึ้นไปตามลาดไหล่เขาลูกนั้น เมื่อมาถึงยอดเขาก็รู้สึกว่าตัวเองใช้แรงมากไปหน่อย ผมหอบและรู้สึกผิดปกติที่ท้อง ผมนั่งยอง ๆ แล้วต่อมาเอามือกอดเข่าขดตัวอยู่ครู่หนึ่งจนหายเหนื่อย ผมยืนขึ้นแล้วเอื้อมมือจะเด็ดเอาใบไม้จากต้นที่ดอนฮวนบอก แต่ผมไม่เห็นพุ่มไม้พุ่มนั้น
              ผมมองไปรอบ ๆ และแน่ใจว่ามาถึงจุดที่ถูกต้องแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรเลยในบริเวณยอดเขาแห่งนั้นที่มีลักษณะเหมือนกับพุ่มไม้พุ่มนั้น แต่ที่ตรงนี้น่าจะเป็นจุดที่ผมมองเห็นต้นไม้ต้นนี้ ที่แห่งอื่นน่าจะไม่อยู่ในคลองสายตาของผู้ที่ยืนอยู่ตรงจุดที่ดอนฮวนยืน ผมเลิกหาแล้วเดินกลับมาที่เดิม

               ขณะที่ผมอธิบายถึงความเข้าใจผิดของตัวเองนั้น ดอนฮวนยิ้มด้วยความเห็นใจ
               "ทำไมคุณจึงบอกว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิดล่ะ" แกถาม "เพราะเห็นอยู่ชัดแจ้งว่าพุ่มไม้พุ่มนั้นไม่ได้อยู่ที่นั่น"
               "แต่คุณก็มองเห็นมันไม่ใช่หรือ" "ผมคิดว่าผมมองเห็นมันเท่านั้นแหละ"
               "แล้วคุณมองเห็นอะไรตรงที่ที่มันขึ้นอยู่ตอนนี้ล่ะ"
               "ผมไม่เห็นอะไรเลย" ไม่มีต้นไม้แม้แต่ต้นเดียวตรงจุดที่ผมคิดว่ามองเห็นพุ่มไม้พุ่มนั้น

               ผมพยายามที่จะอธิบายว่าสิ่งที่ผมเห็นเป็นอาการผิดปกติทางตาหรือเป็นภาพมายา ผมเหนื่อยมากและจากเหตุนี้เองที่ทำให้ผมคิดว่ามองเห็นต้นไม้ที่จุดจุดนั้น ซึ่งความจริงแล้วไม่มีอะไรอยู่ที่นั่นเลย
               ดอนฮวนหัวเราะออกมาเบา ๆ แกจ้องดูผมอยู่ครู่หนึ่ง
               "ผมไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิดอะไรทั้งสิ้น" แกพูด "พุ่มไม้พุ่มนั้นอยู่ที่นั่น อยู่บนยอดเขาลูกนั้นแหละ"
               ตอนนี้ผมกลับหัวเราะออกมา ผมกวาดตาดูบริเวณทั้งหมดอย่างถี่ถ้วน ผมไม่เห็นต้นไม้ชนิดนั้นเลยและสิ่งที่ผมเห็นก่อนหน้านี้ เท่าที่ผมรู้ เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น

               ดอนฮวนเดินลงไปตามเนินเขาเงียบ ๆ แล้วกวักมือเรียกผมให้ตามไป เราปีนขึ้นไปยังยอดเขาของเขาลูกนั้นด้วยกันแล้วยืนตรงจุดที่ผมคิดว่ามองเห็นพุ่มไม้พุ่มนั้น ผมหัวเราะหึ ๆ ออกมาด้วยความมั่นใจอย่างเต็มที่ว่าตัวเองถูก ดอนฮวนก็หัวเราะออกมาเช่นกัน
               "เดินไปยังฝั่งตรงข้ามของเขาลูกนี้สิ" แกบอก "แล้วคุณจะพบพุ่มไม้พุ่มนี้"
               ผมออกความเห็นว่า ซีกเขาอีกด้านหนึ่งไม่ได้อยู่ในคลองสายตาของผม พืชชนิดนี้อาจจะขึ้นอยู่ที่นั้นได้เหมือนกัน แต่นั่นก็ไม่ได้พิสูจน์อะไร
               ดอนฮวนทำท่าด้วยศีรษะให้ผมเดินตาม แกเดินรอบยอดเขาแทนที่จะเดินตัดข้ามไป แล้วแกหยุดอย่างผึ่งผายข้างพุ่มไม้พุ่มหนึ่งโดยไม่มองดูมันเลย แกหันกลับแล้วมองมาทางผม สายตาของแกทิ่มแทงเข้าไปอย่างประหลาดที่สุด
               "จะต้องมีพืชชนิดนี้นับร้อยต้นในบริเวณนี้" ผมพูด
               ดอนฮวนเดินลงไปสู่อีกด้านหนึ่งของเขาลูกนั้นอย่างอดทนผมเดินตามแกไป เรามองหาพุ่มไม้ดังกล่าวในที่ทุกแห่งแต่ก็ไม่พบแม้แต่ต้นเดียว เราเดินไปอีกประมาณ ๑/๔ ไมล์จึงพบพุ่มไม้ชนิดเดียวกันอีกพุ่มหนึ่ง ดอนฮวนไม่กล่าวอะไรออกมาแต่พาผมกลับมายังเขาลูกเดิม

               เรายืนอยู่ที่นั่นครู่หนึ่ง แล้วแกนำผมออกเดินต่อเพื่อหาต้นไม้ชนิดนั้นจากทิศที่อยู่ตรงกันข้าม เราเสาะหาในบริเวณนั้นและพบอีกสองต้นซึ่งคงอยู่ห่างออกไปประมาณสองไมล์ มันขึ้นอยู่ด้วยกันและยืนต้นขึ้นมาเป็นกระจุกสีเขียวสด เขียวชอุ่มยิ่งกว่าพุ่มไม้ที่อยู่โดยรอบ
               ดอนฮวนมองมาทางผมด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ผมไม่ทราบว่าจะคิดในเรื่องนี้อย่างไรดี
               "นี่เป็นลางที่แปลกมาก" แกพูด

              เราเดินกลับเขาลูกเดิมโดยอ้อมเป็นระยะทางไกลเพื่อที่จะมาถึงจากอีกทิศหนึ่ง ดูเหมือนดอนฮวนจะพาเดินออกจากทางเดิมเพื่อพิสูจน์กับผมว่ามีต้นไม้ชนิดนั้นไม่กี่ต้นในแถบนี้ ตลอดทางเราไม่พบมันเลย และเมื่อมาถึงยอดเขาเรานั่งลงเงียบ ๆ ดอนฮวนแก้เอาน้ำเต้าใส่อาหารของแกออกมา
               "หลังจากรับประทานอาหารคุณจะรู้สึกดีขึ้น" แกบอก แกไม่อาจซ่อนความรู้สึกพึงพอใจไว้ได้ แกยิงฟันยิ้มอย่างกว้างขวางขณะที่แกเคาะที่หัวของผม ผมยังปรับความรู้สึกไม่ได้ สิ่งที่งอกเงยขึ้นมาใหม่นั้นรบกวนจิตใจมาก แต่ผมก็เหนื่อยและหิวเกินกว่าที่จะคิดพิจารณาในเรื่องนี้

               เมื่อรับประทานอาหารเสร็จผมง่วงนอนมาก ดอนฮวนแนะให้ผมใช้วิธีมองโดยไม่เพ่งที่จุดหนึ่งจุดใดเพื่อหาที่นอนพักบนเนินเขาที่ผมคิดว่ามองเห็นพุ่มไม้ ผมเลือกเอาที่แห่งหนึ่ง
              ดอนฮวนเก็บเอาขยะออกจากบริเวณนั้นและทำเป็นรูปวงกลมโตขนาดที่ผมจะนอนเหยียดตัวได้ แกหักเอากิ่งไม้อย่างอ่อนโยนจากพุ่มไม้แถวนั้นแล้วกวาดตรงบริเวณที่ทำเป็นวงกลมได้
               แกทำท่าว่ากวาดเท่านั้นแต่ไม่ได้ให้กิ่งไม้แตะพื้นแต่อย่างใด ต่อมาแกหยิบก้อนหินที่อยู่ในวงกลม เลือกขนาดอย่างระมัดระวังแล้วเอาไปวางตรงกลางวงแยกเป็นสองกองให้มีจำนวนเท่า ๆ กัน
               "คุณจะทำอะไรกับก้อนหินเหล่านั้น" ผมถาม
               "นั่นไม่ใช่ก้อนหิน" แกบอก "มันคือเชือก เชือกเหล่านั้นจะยกที่ของคุณขึ้น"

               แกเก็บเอาก้อนหินเล็กกว่ามาวางเป็นเส้นรอบวง แกวางเป็นช่วงห่างเท่า ๆ กันและใช้กิ่งไม้มาช่วยทำให้ก้อนหินเหล่านั้นตั้งอยู่กับดินอย่างมั่นคง แกทำราวกับว่าเป็นช่างปูนคนหนึ่ง แกไม่ยอมให้ผมเข้าไปในวงกลมแต่บอกให้ผมเดินไปรอบ ๆ ได้เพื่อดูว่าแกกำลังทำอะไรอยู่ แกนับทวนเข็มนาฬิกาได้หิน ๑๘ ก้อน
              "เอาละ ตอนนี้คุณวิ่งลงไปที่เชิงเขาแล้วคอยอยู่ที่นั่น" แกบอก "และผมจะไปที่ไหล่เขาตรงนั้น เพื่อดูว่าคุณยืนอยู่ตรงจุดที่ถูกต้องหรือเปล่า"
               "คุณจะทำอะไร ดอนฮวน"
               "ผมจะโยนเชือกเหล่านี้ไปให้คุณ" แกบอกพร้อมกับชี้ไปที่กองหินก้อนโต "และคุณต้องวางมันลงกับพื้นตรงบริเวณที่ผมจะชี้ให้ วางให้เป็นวงกลมในลักษณะเดียวกับที่ผมวางหินก้อนเล็กเหล่านั้น
              "คุณต้องระมัดระวังชนิดที่พลาดไม่ได้เลย เมื่อคุณมาเกี่ยวข้องกับพลัง คุณต้องสมบูรณ์แบบ สำหรับที่นี่ความผิดพลาดหมายถึงความตาย ก้อนหินแต่ละก้อนคือเส้นเชือกและเชือกแต่ละเส้นอาจฆ่าเราได้หากเราทิ้งมันไว้ทั่วไป หากคุณเขวไปจากเหตุใดก็แล้วแต่ เชือกเส้นนั้นก็จะเป็นก้อนหินธรรมดาและคุณไม่อาจที่จะเห็นความแตกต่างของมันกับหินก้อนอื่นที่วางอยู่แถวนั้น"
               ผมเสนอว่า มันน่าจะง่ายกว่ามากหากว่าผมจะถือเอา "เชือก" เหล่านี้ลงเขาไปคราวละเส้น แกหัวเราะแล้วสั่นหัวไม่เห็นด้วย
               "นี่คือเชือก" แกยืนยัน "และผมต้องเป็นคนโยนมันลงไป ส่วนคุณต้องเป็นคนเก็บมันขึ้นมา"

               กว่างานนี้จะลุล่วงไปก็ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง ความจดจ่อที่จำเป็นต้องนำมาใช้นั้นเหลือทนเหลือทานอย่างแท้จริง ดอนฮวนร้องเตือนผมทุกครั้งให้ระวังตัวและจ้องดู แกทำถูกแล้วที่บอกล่วงหน้าไว้ การเก็บเอาหินเหวี่ยงลงมากระทบหินอีกหลายก้อนกระจายออกไปนั้นเป็นเรื่องที่ทำให้หัวหมุนได้จริง ๆ
               เมื่อผมทำให้วงกลมปิดเข้าหากันได้สนิทแล้วเดินกลับขึ้นมายังยอดเขา ผมคิดว่าผมจะล้มลงขาดใจตายเสียแล้ว ดอนฮวนหักเอากิ่งไม้เล็ก ๆ แล้วนำมาปลูกในบริเวณที่เป็นวงกลมนั้น แกยื่นใบไม้จำนวนหนึ่งให้ผมแล้วบอกให้ผมสอดเข้าไปใต้กางเกงแนบกับผิวหนังตรงสะดือ แกบอกว่าใบไม้เหล่านี้จะทำให้ผมอบอุ่น และผมไม่จำเป็นต้องมีผ้าห่มในขณะที่นอน
               ผมโผลงไปในวงกลมกิ่งไม้เป็นเสื่อที่นุ่มทีเดียว แล้วก็ผลอยหลับไปในทันที

               เมื่อผมตื่นขึ้นมานั้นเป็นเวลาบ่ายมากแล้ว ลมพัดจัดและท้องฟ้ามีเมฆมาก ก้อนเมฆที่อยู่เหนือขึ้นไปเป็นกลุ่มเมฆเกาะกันหนาแน่น แต่ทางด้านทิศตะวันตกเมฆกลับบางใส แสงแดดสาดส่องลงมายังพื้นดินเป็นครั้งคราว
               การนอนทำให้ผมฟื้นตัวขึ้น ผมรู้สึกว่าสดชื่นและมีความสุข ลมไม่ได้รบกวนและไม่ทำให้ผมหนาว ผมเอามือทั้งสองพยุงศีรษะขึ้นแล้วมองดูโดยรอบ ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้สังเกตเอาเลย ยอดเขาค่อนข้างสูงและทัศนียภาพทางด้านทิศตะวันตกน่าประทับใจมาก ผมมองเห็นบริเวณกว้างใหญ่ที่เป็นเนินเขาต่ำ ๆ และต่อจากนั้นเป็นทะเลทราย ทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันออกมีเทือกเขายอดสีน้ำตาล ส่วนทางทิศใต้นั้นเป็นแผ่นดินเหยียดยาวออกไปไกล มีเนินเขาและภูเขาสีน้ำเงินอยู่ลิบ ๆ
               ผมลุกขึ้นนั่ง ผมหาดอนฮวนไม่เจอ ความกลัวจู่โจมเข้ามาในทันใด ผมคิดว่าแกอาจจะปล่อยผมไว้ที่นี่คนเดียวกระมัง และผมก็ไม่รู้ทางกลับไปยังที่ที่รถจอดอยู่เสียด้วย ผมนอนลงไปที่เสื่อใบไม้นั้นอีก และช่างแปลกอะไรเช่นนั้นความหวาดกลัวอันตรธานไป ผมประสบกับความสงบอีกครั้งหนึ่ง เป็นความปลาบปลื้มในความเต็มเปี่ยม นี่เป็นความรู้สึกที่ใหม่มากสำหรับผม ความคิดทั้งหลายดูจะดับลง ผมเป็นสุข สดชื่น และเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่เอิบอาบ