ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: เมษายน 14, 2011, 09:01:39 am »ยายมูล อินตา
ก่อเจดีย์ทราย
ฟังเลคเชอร์ปี๋ใหม่เมือง ฉบับมุขปาฐะจากล้านนารุ่นย่า ไม่เคร่งขรึม ซ้ำสนุกสนานมีชีวิตชีวา ชวนเก็บกระเป๋าไปฉลองสงกรานต์เมืองเหนือขึ้นมาตะหงิดๆ
ปี๋ใหม่เมือง หรือเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ ใครจะคิดอย่างไรไม่รู้ แต่สำหรับยายมูล อินตา หญิงชราวัย 80 ปี แห่งชุมชนวัดศรีมาราม หมู่2 ต.สันกลาง อ.สันกำแพง จ .เชียงใหม่แล้ว "ปี๋ใหม่เมือง" มีความสำคัญมากสำหรับยาย
ประการหนึ่งในแง่เศรษฐกิจ ยายจะมีรายได้เป็นกอบเป็นกำจากการรับจ้างทำกระทงเครื่องสังเวย ที่คนจะมาสั่งซื้อไปใช้ประกอบพิธีกรรมขึ้นท้าวทั้ง4ในวันสงกรานต์ ซึ่งปัจจุบัน คนทำ อาชีพนี้แทบไม่มีแล้ว เพราะคนรุ่นใหม่มองข้าม ทั้งยังเป็นงานที่ต้องอาศัยความรู้ภูมิปัญญาเดิมร่วมกับฝีมือการประดิษฐ์ประดอยที่ละเอียดละออ
"ยายมูล" อาศัยอยู่ในชุมชนวัดศรีมาราม ชุมชนชาวไทเขินที่บรรพบุรุษอพยพกันมาจากแถบสิบสองปันนา เชียงตุงและเชียงแสน เข้ามาปักหลักสร้างถิ่นฐานอยู่ร่วมกับชาวมอญในตำบลข้างเคียงเหมือนพี่น้อง ซึ่งเข้ามาตั้งรกรากอยู่ร่วมกันที่จ.เชียงใหม่ไม่ต่ำกว่า 200 ปีแล้ว
ลูกหลานชาวเขินในชุมชนวัดศรีมารามประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย พอเลิกการทำนาในยุครัฐบาลฟองสบู่แตกสมัยพลเอกชาติชาย ชุณหวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยพากันขายที่ดินให้แก่นายทุนไปทำที่ดินจัดสรร
แต่ชุมชนนี้ยังคงจุดเด่นเอาไว้ตรงที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังทำธุรกิจขนาดเล็ก เปิดร้านค้า ร้านขายของชำ บางรายขี่รถจักรยานยนต์นำพืชผักสวนครัว ผักพื้นบ้านและดอกไม้ที่ปลูกเองตามหลังบ้านไปขายที่ตลาดวโรรส(กาดหลวง) บางรายแม้จะเลิกทำนาแต่ก็ยังปลูกผัก เช่นตำลึง ตะไคร้ ถั่ว ผักเซียงดา ผักคาวตอง ฯลฯ ไว้เพื่อทำอาหารพื้นเมืองทางเหนือไปวางขาย เช่น ข้าวกั้นจิ๊น ข้าวหนุกงา ไข่ป่าม ขนมกน เรียกว่ายังคงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายไว้อย่างมั่นคง
ชาวบ้านที่นี่ยังใช้วัดเป็นศูนย์รวมในการพบปะพูดคุยทำกิจกรรมต่างๆ ใครจะขึ้นบ้านใหม่ ทำครัว สืบชะตาก็จะมาโอภาปราศรัย ยังมีความรักสามัคคีช่วยเหลือเผื่อแผ่กันอย่างเหนียวแน่น เมื่อไม่ได้ทำนาชาวบ้านส่วนใหญ่ยังยึดโยงอยู่กับอาชีพทำงานฝีมือที่อยู่บนฐานของภูมิปัญญาท้องถิ่นและวิถีเดิม ที่โดดเด่นได้แก่ รับทำกรวยดอกไม้ สานก๋วยตี๋นช้าง(สังฆทานบ่เก่า) ซึ่งเป็นสังฆทานแบบจักรสานที่ไม่ใช้ถังเหลืองแบบชาวเมือง รับทำโคม ว่าวไฟ ผางประทีป การตีสลุงเงินและเครื่องเขิน ซึ่งใช้ทักษะฝีมืองานช่างสูง แต่ละปีจะมียอดสั่งทำจากต่างจังหวัดทั้งสุโขทัย กรุงเทพฯ และภาคใต้เข้ามาไม่ขาดสาย
เฉพาะ "ยายมูล" ก่อนถึงเทศกาลสงกรานต์เชียงใหม่ จะมียอดสั่งทำกระทงเครื่องสังเวยท้าวทั้ง4 ซึ่งแต่ละกระทงประกอบไปด้วย เครื่อง9 ได้แก่ บุหรี่ขี้โย จับเมี่ยงเป็นคำ พลู หมาก ปูน กล้วยอ้อย ข้าวแต๋น ใบไม้มงคล เช่นใบบ่โจ้ก หรือไม้มงคล รวมถึงนำตุงหรือธง ไปปัก เครื่องสังเวยดังกล่าวนี้ 1 ชุดต้องทำขึ้นมาทั้งหมด 6 กระทง คนเหนือจะสั่งซื้อไปใช้ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามบ้านและในวัด ในวันสงกรานต์วันแรกและวันสุดท้ายคือวันสังขารล่องและวันปากปี(ปากปี๋)ซึ่งตรงกับวันที่ 13และ16 เมษายนของทุกปี
ยายมูลบอกว่าปีนี้เริ่มมียอดสั่งทำเข้ามาแล้ว ยายจะต้องเหน็ดเหนื่อยในการตระเตรียมสิ่งของเครื่องเซ่น แต่ทำคนเดียวก็ไม่ไหว เพราะสังขารเป็นอุปสรรค พักหลังเมื่อลูกค้าสั่งทำเข้ามามาก ต้องว่าจ้างลูกหลานแท้ๆ มาเป็นลูกมือ ช่วยจีบหมากจีบพลู ปอกอ้อยทำเมี่ยงเย็บกระทง โดยยายทำหน้าที่กำกับดูแล และถือโอกาสถ่ายทอดความรู้ในวิชาชีพให้ลูกหลานซึมซับไปในตัว
สงกรานต์ปีก่อนมียอดสั่งทำเข้ามามากจนทำแทบไม่ทัน แต่ได้ราคาดีปีนี้ก็คาดว่ายอดสั่งทำจะมากเช่นเคย
"ปีนี้อาจต้องปรับราคาเพราะต้องจ่ายค่าแรงญาติและข้าวของแพงขึ้น" ยายมูลบอกเล่าด้วยรอยยิ้ม เมื่อได้คุยถึงงานถนัด ถือเป็นความสุขใจแถมได้เงิน
"สังขารล่อง- วันปากปี๋" ที่เปลี่ยนไป
ความหมายของ "ปี๋ใหม่เมือง" ต่อยายมูลที่สำคัญอีกประการคือ ความสบายใจ เพราะไม่เพียงแต่ยายเท่านั้น คนเก่าแก่ ทั้งหมู่บ้านและพื้นที่ต่าง ๆของเชียงใหม่ เชื่อตรงกันว่าเมื่อเทศกาลสงกรานต์มาถึง ผู้คนจะได้ปัดเป่าเคราะห์ร้ายและสิ่งอัปมงคลในชีวิตในปีเก่าทั้งหมดให้ผ่านพ้นไป
หญิงสูงวัยเพื่อนรักของยายมูล ซึ่งมีทั้งยายออ ยายจันดี ยายอรพรรณและยายวันนา ที่อายุน้อยสุดในกลุ่มคือ 65 ปี ได้มานั่งรวมกันที่ศาลาวัดศรีมารามอีกครั้ง ทุกคนผลัดเปลี่ยนกันบอกเล่าถึงจารีตและความทรงจำดีๆ ของประเพณี
ปี๋ใหม่เมืองเมื่อ 50-60 ปีก่อน ด้วยบรรยากาศสนุกสนาน
คุณยายผลัดเปลี่ยนกันเล่าให้ฟังว่า ตามธรรมเนียมที่ยึดถือสืบทอดกันมา ข้อปฏิบัติตัวในวันสงกรานต์นั้น เริ่มจากวันแรกคือ 13 เมษายน เรียกว่า "วันสังขารล่อง" ชาวเหนือถือว่าเป็นวันสุดท้ายของปีเก่า ก่อนไปวัดทุกบ้านจะปัดกวาดทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า ใช้น้ำขมิ้นส้มป่อยชำระล้างร่างกาย จุดประทัดให้แล้วเสร็จ จากนั้นจะนำเอาเสื้อผ้าเก่าหากเป็นเสื้อผ้าที่สวมใส่แล้วไม่ได้ซักของทุกคนในบ้าน ติดขี้ไคลได้ยิ่งดีนำมารวมกันใส่ไว้ในถุง
มีการเตรียมเครื่องหมากพลู ซึ่งก็คือกระทงเครื่องสังเวยท้าวทั้ง4 ที่สั่งซื้อจากยายมูล หรือบางบ้านก็ตระเตรียมขึ้นเองในแบบชุดเล็ก แต่ละบ้านจะนำไปรวมกันที่วัดในตอนเช้ารอให้พระให้ศีลให้พร เมื่อเสร็จ พิธีการจะนำเสื้อผ้าเหล่านี้มาสะบัดปัด เคราะห์ออก พิธีกรรมดังกล่าวเท่ากับเป็นการฟาดเคราะห์ให้ล่องไปกับปีเก่า
สงกรานต์วันที่สอง ตรงกับวันที่ 14 เมษายน ชาวเหนือเรียกว่า "วันเนาว์" หรือวันเน่าซึ่งเป็นวันดา(ตระเตรียมข้าวของ) วันนี้ห้ามมิให้พูดไม่ดี ดุด่าเฆี่ยนตีเด็ก พยายามทำจิตใจให้ผ่องใส พูดจาไพเราะ แต่งกายสวยงาม มิเช่นนั้นจะเป็นอัปมงคลแก่ตัวเอง
ในอดีตวันนี้ชาวบ้านจะลุกขึ้นมาตระเตรียมอาหารคาวหวาน ได้แก่ ขนมกน(คล้ายกาละแม) ขนมจ่อก ห่อนึ่ง(ห่อหมก) แคบหมู เพื่อเตรียมนำไปทำบุญให้กับญาติผู้ล่วงลับ วันนี้จะมีการขนทรายเข้าวัดซึ่งอาจทำตั้งแต่วันแรกคือสังขารล่องก็ทำได้ วิธีการขนทรายเข้าวัด ของชาวเหนือแต่ก่อนจะใช้น้ำคุ(ถังน้ำ)ไปหาบช่วยกันขนทรายจากที่นาไปยังวัดเพื่อก่อเป็นเจดีย์ นำช่อ(ธงเล็ก) ตุงราศี ตุงไจย ตุงไส้หมู จากนั้นนำใบเขื่อง ใบต้นเต่าร้างหรือต้นไม้ที่มีลักษณะแตกหน่อได้ง่ายและเพิ่มจำนวนมากมาปักไว้ ระหว่างขนทรายจะมีการแห่ฆ้อง กลอง หญิงสาวชายหนุ่มจะแต่งกายสวยงามเข้าร่วมขบวน หญิงมักจะเกล้าผมสูงเหน็บดอกเอื้องสวมเสื้อแขนกระบอกนุ่งซิ่นมีดอกหรือซิ่นพื้นเมือง ส่วนชายสวมเสื้อม่อฮ่อมพื้นเมืองแล้วมาเล่นสาดน้ำกันในช่วงขนทรายเข้าวัดอย่างสนุกสนาน
ยายมูล เล่าเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันสภาพการณ์เปลี่ยนไป ท้องนาเริ่มหดหาย วิธีการขนทรายเข้าวัดยุคใหม่ได้เปลี่ยนไปเป็นการลงขัน จ่ายเงินสั่งซื้อทรายจากร้านเข้ามาเทไว้ในวัด จากนั้นจึงทำเป็นเสวียนกองไว้นำไม้ไผ่มาล้อมรอบและก่อเป็นทรงเจดีย์แล้วให้คนนำตุงมาปัก ตามข้อจำกัดที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ความหมายของการขนทรายเข้าวัดยังคงความหมายเดิมอยู่คือนำทรายกลับไปคืนสู่ขันธสีมา หลังจากที่ตลอดปีผู้คนได้เหยียบย่ำเอาทรายติดเท้าออกไปจากวัด จึงต้องนำกลับมาคืนไว้ที่เดิม
สงกรานต์วันที่สาม ตรงกับวันที่ 15 เมษายน ชาวเหนือเรียกว่า "วันพญาวัน" ตอนเช้าผู้คนจะไปวัดเพื่อทำบุญใส่บาตรพระ รวมถึง การตาน ขันข้าวหรือถวายอาหารให้บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ หลังเสร็จพิธีชาวบ้านจะแยกย้ายกันกลับไปกินข้าวที่บ้านแล้วกลับมาที่วัดอีกครั้ง เพื่อฟัง ธรรมเพื่ออานิสงส์ในปีใหม่ และสรงน้ำพระประธาน ไม้ก๊ำสะหลี สรงน้ำพระธาตุ โบสถ์วิหารและทุกอย่างที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัด จากนั้นจะพากันกลับบ้านไปรดน้ำดำหัวคนเฒ่าคนแก่ พอช่วงบ่ายชาวบ้านจะพากันไปแห่ฆ้องแห่กลอง แห่ไม้ก๊ำสะหลี
ในส่วนพิธีการรดน้ำดำหัวผู้สูงวัยนั้น ตามธรรมเนียมเดิม ลูกหลานจะจัดเตรียมขันข้าว(สำรับข้าว)ที่ประกอบไปด้วยอาหารการกิน ทั้งของคาวของหวานเช่น ข้าวแต๋นที่ลูกหลานช่วยกันกดเป็นแผ่นทำเองจากมือ จัดหาเสื้อผ้าใหม่ๆ ซึ่งมักทอกันเองใต้ถุนบ้านมามอบให้ผู้สูงวัย พร้อมกับมอบห่อหมาก ห่อปูน พร้อมกับจัดเตรียมน้ำขมิ้นส้มป่อย ซึ่งเดิมจะทำขึ้นเองโดยใช้ขมิ้นสดเอามาตำใส่น้ำแล้วใช้ผ้ากรอง เพื่อให้ได้น้ำขมิ้นแท้ จากนั้นจะนำส้มป่อยใส่ลงไปสักฝักสองฝักพร้อมดอกคำฝอยหรือดอกสารภี เพิ่มความหอมชื่นใจ
แต่ปัจจุบันยึดความสะดวกเป็นหลัก การดำหัวลูกหลานยุคใหม่ มีการนำน้ำขมิ้นส้มป่อยที่มีจำหน่ายเป็นชุดสำเร็จรูปมาผสมน้ำใส่ขัน เครื่องถวายแก่ผู้สูงวัยก็จะมีเพียงชุดเสื้อผ้า กรวยดอก และเงิน จากนั้นให้ผู้เฒ่าปั๋นปอน(อวยชัยให้พร)
สงกรานต์วันที่4 ซึ่งเป็นวันสุดท้าย เรียกว่า "วันปากปี" หรือปากปี๋ ช่วงเช้าแต่ละบ้านจะนำเอาเสื้อผ้าใหม่อย่างดีที่ต่างจากวันแรก พร้อมกระทงเครื่องสังเวยท้าวทั้ง4ที่ประกอบไปด้วยเครื่อง9มาที่วัด โดยให้พระสงฆ์ให้พรเพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล ช่วงบ่ายคนในหมู่บ้านจะมารวมตัวกันที่วัด เพื่อทำพิธีสงเคราห์หรือสืบชะตาบ้าน มีการผูกโยงสายสิญจน์จากบ้านมายังวัด ซึ่งพิธีการนี้ต้องตระเตรียมข้าวของ และอาหารการกินในการประกอบพิธีชุดใหญ่ เมื่อทำพิธีที่วัดเสร็จ เครื่องสงเคราะห์ในพิธีที่มีทั้งข้าวปลาอาหารทั้ง ของสุกและดิบและเครื่องสังเวยทั้งหมดจะถูกยกนำไปทิ้งไว้ยังป่าร้าง และถือว่าวันปากปี๋เป็นวันเริ่มต้นปีใหม่อย่างแท้จริง
เมื่อถามยายมูลว่า "สงกรานต์แต่ก่อนกับตอนนี้อันไหนดีกว่ากัน?.." ยายมูลนิ่งคิดไปพักใหญ่ ก่อนตอบแบบลังเลว่า เมื่อ ก่อนดีกว่า อย่างน้อยตอนไปขนทรายเข้าวัดเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ยายได้ไปพบรักกับตาสอน สามีที่เป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน (เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว) และถือเป็นช่วงที่ดีเพราะคนในหมู่บ้านจะได้มาพบปะและมีกิจกรรมร่วมกัน ทั้งงานบุญ ร่วมกันทำครัว และ ร่วมเฉลิมฉลอง
"แต่สงกรานต์เดี๋ยวนี้ก็ดีนะ... " ถึงตรงนี้ทำเอาคุณยายอีกคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน โพล่งออกมากลางวง "ถึงสงกรานต์ยายมูลก็จะได้ รับทรัพย์จากการรับทำกระทงเครื่องสังเวยส่งขายไงล่ะ" จากนั้นเสียงหัวร่อกระเซ้ายายมูลหลายระลอกก็ตามมา กลบอาการคิดถึงตาสอน สามีที่ล่วงลับ ไปได้แบบทันควัน
ใหม่ก็เอาเก่าก็บ่ละ
หลังนั่งฟังเรื่องเล่าวันสงกรานต์ในอดีต นายกอบต.สันกลางอย่าง สมศักดิ์ จีนสกุล จึงผุดความคิดดีๆ ขึ้นมาทันที
"ปี๋ใหม่เมืองปีนี้ ผมจะทำโครงการ 'พลิกฟื้นวิถีฐานถิ่นตำบลสันกลาง' มีการรณรงค์และจัดประกวดการแต่งกายพื้นเมืองสงกรานต์แบบเดิม เพื่อเป็นการอนุรักษ์ประเพณีเดิมเอาไว้ ข้อกำหนดคือผู้เข้า ร่วมประกวดต้องเป็นคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งจะไปเชิญชวนผู้สูงวัยของแต่ละหมูบ้านในตำบลสันกลางมาร่วมประกวดให้คึกคักและทั่วถึง
และจะถือโอกาสในช่วงเชิญผู้สูงวัยมาร่วมงานนี้ ให้ลูกหลานได้มีโอกาสมาแสดงออกการขอสุมาคาระวะผู้เฒ่าผู้แก่ในคราวนี้ด้วย ที่ขาดไม่ได้ คือ การแข่งขันการทำลาบเพื่อให้คนบ้านใกล้เรือนเคียงได้ออกมามีกิจกรรมร่วมกัน" ปี๋ใหม่เมืองทุกปีชาวบ้านจะรวมตัวกันออกแรงทำลาบกินเพื่อความสนุกสนานและหวังให้ประสบโชคลาภตามความหมาย
ถึงตรงนี้ยายมูลและผองเพื่อนรุ่นเดียวกันที่นั่งอยู่ถึงกับเผยรอยยิ้มออกมา โดยเฉพาะที่นายกอบต.บอกว่า "ถ้าเกล้าผมสูงแล้วเหน็บดอกเอื้องแบบยายมูล ตรงสเปคของผู้เข้าประกวดพอดี"
สอดคล้องกับที่ ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ ประธานคณะกรรมการโฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา ซึ่งร่วมอยู่ในวงสนทนาได้กล่าว เสริมว่า ประเพณี สงกรานต์หรือปีใหม่เมืองแม้จะเปลี่ยนไป แต่เราต้องยอมรับความเปลี่ยนแปลง เพราะหวนกลับไปไม่ได้ แต่อยากให้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เหมาะสมในแบบ "ใหม่ก็เอา เก่าก็บ่ละ" อยากให้เป็นการผสมผสานให้มีความงดงามและเหมาะสม ให้ผู้คนเข้าใจถึงคุณค่าและความหมาย และเป้าหมายที่แท้จริงของประเพณีปี๋ใหม่เมือง
"ปี๋ใหม่เมืองมันมีความหมายอยู่ตรงที่ถือเป็นการเปลี่ยนราศีชำระล้างสิ่งเก่า ใครโกรธหรือคิดไม่ดีก็ให้หายไป นำสิ่งดีๆเข้ามาอยู่กับตัว และยังเป็นการสุมาคาราวะคนแก่คน แสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ต่อผู้หลักผู้ใหญ่ ขออภัยในสิ่งที่เคยตั้งใจและไม่ตั้งใจขออโหสิกรรม ทำให้เกิดมิติสัมพันธ์ของคนในครอบครัว ส่วนรูปแบบก็ว่ากันไปแต่ให้คงความหมายเดิม" ใหม่ก็เอา เก่าก็บ่ละ ของชัชวาล
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/lifestyle/20110413/386093/ปี๋ใหม่เมือง-ของยายมูล.html