ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
ท่านจะปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อตกลงของเว็บใต้ร่มธรรมทุกประการหรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เคยนวดฝ่าเท้าให้ คุณพ่อคุณแม่บ้างไหม ถ้ามีโอกาส เราควรทำหรือไม่ (ควรกระทำอย่างยิ่ง หรือ ไม่ควรทำ):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (It is never too late to mend):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: เมษายน 27, 2011, 09:15:46 pm »

   ผมเริ่มใคร่ครวญว่า การที่จะยกรถออกไปจากตรงที่ผมจอดเอาไว้นั้น ดอนฮวนและดอนเกนาโรต้องใช้ผู้สมรู้ร่วมคิดกันสักกี่คนกันแน่ ผมมั่นใจว่าผมตั้งใจปิดกุญแจประตู ตั้งเบรกมือ ใส่เกียร์และล็อคพวงมาลัยแล้วด้วย การที่จะเคลื่อนรถออกจากที่ คนเหล่านั้นต้องยกเอาไปทั้งคัน ผมเชื่อว่างานหนักขนาดนี้ดอนฮวนและดอนเกนาโรร่วมกันทำไม่ได้ อีกทางหนึ่งคือมีคนบางคนที่ตกลงจะร่วมมือกับทั้งสองคนนี้มาพังประตูเข้าไป ต่อสายไฟต่าง ๆ แล้วขับหนีไป การที่จะทำได้เช่นนี้ คนคนนั้นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างเยี่ยมยอดซึ่งทั้งสองคนนี้ทำไม่ได้ อีกทางหนึ่งที่อาจนำมาเป็นคำอธิบายได้คือ บางทีสองคนนี้สะกดจิตผมอยู่ การเคลื่อนไหวของทั้งสองแปลกใหม่จริง ๆ และน่าสงสัยมาก ทำให้ผมหัวหมุน ผมคิดว่าถ้าทั้งสองสะกดจิตผมจริงๆ ขณะนั้นผมคงอยู่ในสภาวะจิตที่ถูกปรุงแต่ง เท่าที่ได้ประสบมาร่วมกับดอนฮวน ผมสังเกตว่าในสภาวะเช่นนั้นเราจะไม่สามารถกำหนดจดจำเวลาที่ล่วงเลยไปได้อย่างต่อเนื่องในเรื่องที่เกี่ยวกับเวลา จะไม่มีช่วงกาลที่ต่อเนื่องกันในความจริงเหนือสามัญทุกครั้งที่ผมประสบ
           และข้อสรุปของผมจึงมีว่าถ้าหากผมมีสติตื่นตัวอยู่แล้ว จะมีขณะหนึ่งที่ผมสูญเสียลำดับต่อเนื่องของกาละได้ หากยกตัวอย่างก็จะคล้ายกับว่าในขณะหนึ่งผมกำลังมองดูภูเขาลูกหนึ่ง แต่ต่อมาในอีกขณะหนึ่งของความรับรู้นั้น ผมกลับพบว่าตัวเองกำลังมองดูหุบเขาที่อยู่ในทิศตรงกันข้ามโดยจำไม่ได้เลยว่าได้หันมามองดู ผมรู้สึกว่าถ้าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นในลักษณะดังกล่าวนี้ ผมก็สามารถที่จะอธิบายว่าอะไรเกิดขึ้นกับรถของผม บางทีอาจเป็นเรื่องของการสะกดจิตก็ได้ ผมตัดสินใจลงไปว่าสิ่งเดียวเท่านั้นที่ผมจะทำได้คือ เฝ้าดูทุกสิ่งทุกอย่างในรายละเอียดอย่างถี่ถ้วน

           "รถของผมอยู่ที่ไหน" ผมพุ่งคำถามไปยังทั้งสองคน
           "รถอยู่ที่ไหนเกนาโร" ดอนฮวนถาม สีหน้าบ่งบอกถึงความจริงจังอย่างที่สุด ดอนเกนาโรเริ่มพลิกก้อนหินก้อนเล็กๆ แล้วมองดูภายใต้ก้อนหินเหล่านั้น แกพลิกก้อนหินอย่างเอาเป็นเอาตายทั่วทั้งบริเวณที่ผมจอดรถเอาไว้ แกพลิกดูก้อนหินทุกก้อนจริงๆ บางครั้งแกจะแกล้งทำเป็นโกรธแล้วขว้างหินก้อนนั้นไปที่พุ่มไม้
           ดอนฮวนดูจะสนุกสนานกับละครฉากนี้เกินกว่าที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูด แกหัวเราะคิกๆ แล้วเปล่งเสียงออกมาอย่างดังและดูเหมือนจะลืมไปเลยทีเดียวว่าผมอยู่ที่นั่นด้วย

           ดอนเกนาโรเพิ่งจะเหวี่ยงหินก้อนหนึ่งออกไป เพื่อแสดงท่าว่าหงุดหงิด เมื่อแกมาถึงหินใหญ่มากก้อนหนึ่งซึ่งเป็นก้อนที่หนักและใหญ่ที่สุดในบริเวณนั้น แกพยายามที่จะพลิกหินก้อนนั้น แต่หินหนักมากและจมลึกลงไปในดิน ดอนเกนาโรใช้ความพยายามและหายใจฮืดฮาดเหงื่อท่วมตัว ในที่สุดแกนั่งลงบนหินก้อนนั้นแล้วเรียกดอนฮวนให้ไปช่วย

           ดอนฮวนหันมาทางผมพร้อมกับยิ้มกว้างพลางพูดว่า
            "มาสิมาช่วยเกนาโร"
           "แกกำลังทำอะไร" ผมถาม
           "แกกำลังหารถของคุณนะสิ" ดอนฮวนตอบตามความจริง
           "สวรรค์โปรด! แกจะพบรถอยู่ใต้ก้อนหินได้อย่างไรกัน" ผมค้าน
           "สวรรค์กรุณา ทำไมจึงจะไม่พบที่นั่นล่ะ" ดอนเกนาโรแย้ง แล้วทั้งสองหัวเราะอย่างดัง

           เราขยับหินก้อนนั้นไม่ได้ ดอนฮวนแนะให้กลับไปที่บ้านเพื่อหาไม้ท่อนโตมาทำเป็นคานงัด
           ขณะที่เดินกลับไปยังบ้าน ผมบอกกับทั้งสองว่าการกระทำของพวกเขาเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ สำหรับผม ไม่ว่าทั้งสองทำอะไรอยู่ก็ตามย่อมเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นจะต้องทำเลย ดอนเกนาโรจ้องเขม็งมาทางผม

           "เกนาโรเป็นคนละเอียดถี่ถ้วน" ดอนฮวนพูดด้วยน้ำเสียงบ่งถึงความจริงจัง "แกเป็นคนถี่ถ้วนและจริงจังเหมือนกับคุณ คุณเองก็พูดอยู่เสมอว่า คุณไม่เคยละก้อนหินวางทิ้งไว้โดยไม่พลิกขึ้นมาด ู(เป็นคำล้อเลียนจากสำนวนภาษาอังกฤษที่ว่า "Don't leave the stone unturned"-ผู้แปล) ไม่ใช่หรือ เกนาโรก็ทำอย่างเดียวกัน"
           ดอนเกนาโรตบที่ไหล่ของผมแล้วบอกว่า ดอนฮวนพูดถูกแล้ว และเป็นความจริงทีเดียวที่แกอยากจะเป็นเหมือนผม แกมองมาทางผมด้วยแววตาที่มีประกายกล้าแล้วผึ่งรูจมูกออกให้กว้าง
           ดอนฮวนปรบมือแล้วเหวี่ยงหมวกลงกับพื้น

            หลังจากหาอยู่นานในบริเวณบ้าน ดอนเกนาโรก็พบกิ่งไม้ท่อนโตซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของขื่อ แกแบกไม้ท่อนนั้นแล้วเดินกลับมายังที่ที่รถของผมจอดอยู่
           ขณะที่เราเดินขึ้นเนินอยู่นั้นและเกือบจะมาถึงยอดเนินก่อนที่จะมองลงไปเห็นบริเวณที่ผมจอดรถไว้ ผมรู้สึกขึ้นมาว่าผมจะพบรถก่อนทั้งสองคน แต่เมื่อผมมองลงไปข้างล่าง กลับไม่เห็นรถจอดอยู่ที่เชิงเนินนั้นเลย

           ดอนฮวนและดอนเกนาโรคงเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมดี ทั้งสองวิ่งตามผมลงไปพร้อมกับหัวเราะอย่างดัง เมื่อเราลงมาถึงเชิงเนิน ทั้งสองก็เริ่มออกแรงงัดก้อนหินในทันที ผมดูอยู่ครู่หนึ่ง การกระทำของพวกเขาเป็นสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ ทั้งสองไม่ได้แกล้งทำเป็นว่าทำงาน แต่ลงแรงจริงๆ จังๆ ที่จะพลิกหินก้อนนั้นเพื่อจะดูว่ารถของผมซ่อนอยู่ข้างล่างหรือเปล่า นั่นรู้สึกจะเกินไปหน่อยสำหรับผมและผมเข้าไปช่วย ทั้งสองหอบตัวโยนและร้องตะโกนออกมา ส่วนดอนเกนาโรหอนเหมือนกับหมาป่าไคโยติ ร่างเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ผมเห็นว่าร่างกายของทั้งสองคนนั้นแข็งแรงจริง ๆ โดยเฉพาะร่างกายของดอนฮวน ขณะที่ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับสองคนนั้น ผมเป็นเพียงชายหนุ่มร่างบอบบางเท่านั้น
           ไม่นานนักผมก็เหงื่อไหลโชกตัว และในที่สุดเราก็พลิกหินก้อนนั้นได้สำเร็จ ดอนเกนาโรตรวจดูดินที่อยู่ข้างล่างของก้อนหินอย่างเชื่องช้าอดทน แทบจะทำให้คลั่ง แกตรวจดูอย่างละเอียดลออ
           "ไม่หรอก รถไม่ได้อยู่ที่นี่" แกประกาศออกมา
            คำประกาศนั้นทำให้ทั้งสองหัวเราะกลิ้งอยู่บนพื้น

            ผมหัวเราะออกมาอย่างหวาดๆ ดอนฮวนชักกระตุกราวกับว่าได้รับความเจ็บปวด แกเอามือปิดหน้าแล้วนอนลงในขณะที่ร่างของแกสั่นเนื่องจากการหัวเราะ
           "เราจะไปทางทิศไหนต่อล่ะตอนนี้" ดอนเกนาโรถามหลังจากที่พักเหนื่อยอยู่นาน
           ดอนฮวนชี้ทิศด้วยการผงกหัว
           "เราจะไปไหนอีกล่ะ" ผมถาม
           "ไปหารถของคุณน่ะสิ!" ดอนฮวนพูด และยิ้มโดยไม่เผยอริมฝีปาก

           ทั้งสองเดินขนาบผมไปเหมือนเดิมขณะที่เรามุ่งสู่ป่าละเมาะ ดอนเกนาโรทำสัญญาณให้หยุดเมื่อเดินไปได้ไม่กี่หลา แกย่องไปยังพุ่มไม้รูปกลมอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว แล้วมองเข้าไปดูกิ่งก้านที่อยู่ข้างในแล้วบอกว่า รถไม่ได้อยู่ที่นั่น เราเดินต่อไปอีกครู่หนึ่งแล้วดอนเกนาโรทำสัญญาณด้วยมือให้เราเงียบเสียง แกดัดหลังในขณะที่แกยืนอยู่บนปลายเท้าแล้วเหยียดแขนทั้งสองไว้เหนือศีรษะ นิ้วมือของแกขยุ้มเข้ามาเหมือนกับกรงเล็บของสัตว์ จากจุดที่ผมยืนก็จะมองเห็นร่างของดอนเกนาโรมีรูปร่างเหมือนกับตัวอักษร S แกยืนอยู่ในท่านั้นครู่หนึ่งแล้วขณะต่อมาแกพุ่งหลาวเข้าไปที่กิ่งไม้กิ่งยาวมีใบไม้แห้งติดอยู่เต็ม แกยกกิ่งไม้ขึ้นมาอย่างระมัดระวังแล้วตรวจดูอย่างละเอียดเพียงเพื่อจะกล่าวออกมาในที่สุดว่า รถไม่ได้อยู่ที่นั่น

           ขณะที่เราเดินเข้าไปในป่าละเมาะ ดอนเกนาโรจะมองเข้าไปหลังพุ่มไม้และปีนขึ้นไปบนต้นไม้เล็กๆ เพื่อมองเข้าไปตามใบเพียงเพื่อจะกล่าวออกมาในที่สุดว่า รถไม่ได้อยู่ที่นั่นอีกเหมือนกัน
           ในขณะเดียวกันนั้นผมก็กำหนดจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมได้สัมผัสและมองเห็นโดยละเอียดรอบคอบ

            การเห็นโลกโดยรอบในฐานะที่เป็นสิ่งต่อเนื่องและมีระเบียบเป็นไปโดยลำดับเหมือนกับที่เคยเห็นมาก่อน ผมสัมผัสกับก้อนหิน พุ่มไม้ ต้นไม้ ผมเหสายตาจากด้านหน้ามาสู่ด้านหลัง ด้วยการมองตาข้างหนึ่งและต่อมาก็มองด้วยตาอีกข้างหนึ่ง จากการคาดคะเนเท่าที่จะทำได้ผมกำลังเดินอยู่ในป่าละเมาะเหมือนกับที่เคยเดินในสถานที่เช่นนี้นับครั้งไม่ถ้วนในระหว่างการมีชีวิตอย่างธรรมดาๆ ของผม

           ต่อมาดอนเกนาโรนอนพังพาบลงไป เราทำตามด้วย แกวางคางไว้กับมือที่ประสานกันเอาไว้ ดอนฮวนก็ทำอย่างเดียวกัน
           ทั้งสองมองดูตะปุ่มตะป่ำบนพื้นดิน ซึ่งมองดูแล้วเหมือนกับภูเขาเล็กๆ ทันใดนั้นดอนเกนาโรกวาดมือขวาออกไปอย่างรวดเร็วแล้วกำอะไรอย่างหนึ่งเอาไว้ แกรีบลุกขึ้นนั่ง ดอนฮวนก็ทำอย่างเดียวกัน ดอนเกนาโรยื่นมือที่กำไว้มาเบื้องหน้าของเรา แล้วทำสัญญาณให้เราเข้าไปใกล้เพื่อจะมองดูได้ถนัด แกคลายมือที่กำไว้นั้นออกช้าๆ เมื่อมันคลายออกสักกึ่งเหยียดก็มีวัตถุสีดำบินออกมา มันพุ่งออกมาโดยกะทันหัน และเจ้าสิ่งบินได้นั้นใหญ่มากจนผมต้องกระโดดฉากออกมาและเกือบจะล้มลงไป ดอนฮวนยันตัวของผมเอาไว้
           "นั่นก็ไม่ใช่รถอีกนะแหละ" ดอนเกนาโรบ่น "มันคือแมลงวันระยำตัวหนึ่งเท่านั้นเอง ขอโทษ!"
           ทั้งสองพินิจพิจารณาดูผม พวกเขายืนอยู่ข้างหน้าของผมจึงไม่ได้มองมาตรงๆ แต่ชำเลืองดูจากหางตา พวกเขามองดูผมในลักษณะนั้นอยู่นาน
           "มันคือแมลงวัน ใช่หรือเปล่าล่ะ" ดอนเกนาโรถาม
           "ผมก็คิดอย่างนั้น" ผมตอบ
           "อย่าคิด" ดอนฮวนสั่ง "คุณเห็นอะไรล่ะ"
           "ผมเห็นสิ่งหนึ่งใหญ่พอๆ กับอีกาบินออกมาจากกำมือของดอนเกนาโร" ผมตอบ

           ผมพูดตรงกับสิ่งที่ผมเห็นจริงๆ ผมไม่ตั้งใจที่จะพูดให้ตลก แต่พวกเขาถือเอาคำพูดนั้นเป็นสิ่งน่าขำเสียเต็มประดา ทั้งสองกระโดดลงพร้อมกับหัวเราะจนเหงื่อโชกตัว
           "ผมคิดว่าคาลอสเต็มที่แล้วหละ" ดอนฮวนพูด เสียงของแกแหบห้าวเพราะหัวเราะอยู่นาน ดอนเกนาโรบอกว่า แกเกือบจะพบรถของผมแล้ว และความรู้สึกเช่นนั้นร้อนยิ่งขึ้นทุกที ดอนฮวนพูดว่า เราอยู่ในที่ขรุขระตะปุ่มตะป่ำ และการหารถในที่เช่นนี้คงไม่พบหรอก ดอนเกนาโรถอดหมวกออกแล้วเอาเชือกออกมาจากย่ามมาผูกเข้ากับสายรัดคาง และแกเอาเข็มขัดผ้าขนสัตว์มาผูกโยงเข้ากับพู่หมวกสีเหลืองที่ห้อยอยู่กับปีกหมวกทั้งสองข้าง
           "ผมจะทำว่าวด้วยหมวกใบนี้" แกพูดกับผม
           ผมเฝ้าดูการกระทำของแกและรู้ว่าแกเล่นตลก ผมให้ความสำคัญกับตัวเองเสมอ ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องว่าวคนหนึ่ง ในสมัยที่ผมเป็นเด็กผมเคยทำว่าวชนิดที่ซับซ้อนที่สุด และผมทราบดีว่าใบหมวกที่สานด้วยฟางนั้นอ่อนเกินกว่าที่จะต้านลมไว้ได้ อีกอย่างหนึ่ง ยอดของหมวกก็ลึกมากและลมจะหมุนอยู่ข้างใน ทำให้มันไม่อาจยกหมวกให้ลอยขึ้นไปได้

           "คุณไม่คิดว่ามันจะลอยขึ้นไปได้จริง ๆ ใช่ไหม" ดอนฮวนถามผม
           "ผมรู้ว่ามันไม่ขึ้นแน่ๆ" ผมตอบ ดอนเกนาโรไม่สนใจ และเอาเชือกมามัดกับว่าวที่ทำด้วยหมวกนั้นจนเสร็จ

           วันนั้นลมพัดจัด ดอนเกนาโรเป็นผู้วิ่งลงเนินขณะที่ดอนฮวนเป็นผู้ถือหมวก ดอนเกนาโรดึงเชือกและหมวกบัดซบนั้นลอยขึ้นไปได้จริงๆ "ดูสิ ดูที่หมวก!" ดอนเกนาโรตะโกนออกมา มันโฉบวูบลงมาสองครั้ง แต่มันก็ลอยอยู่ในอากาศได้เป็นปกติ
           "อย่าละสายตาออกจากหมวกใบนั้น" ดอนฮวนบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ผมรู้สึกเวียนศีรษะอยู่ครู่หนึ่ง การมองดูหมวกทำให้ระลึกถึงช่วงหนึ่งของชีวิตได้อย่างชัดเจน มันเหมือนกับผมได้เล่นว่าวอยู่จริง ๆ เมื่อลมพัดกล้าในเมืองที่ผมเคยอาศัยอยู่

           ผมดื่มด่ำอยู่กับความทรงจำในอดีตอยู่ครู่หนึ่งจนผมลืมช่วงกาลเวลาขณะนั้นอย่างสนิท
            ผมได้ยินดอนเกนาโรตะโกนอะไรบางอย่างเสียงดังโหวกเหวก ผมเห็นหมวกผกขึ้นผกลง และขณะนั้นมันตกลงมายังพื้นดินตรงจุดที่รถของผมจอดอยู่ มันตกลงมาด้วยความเร็วจนผมมองไม่เห็นภาพอันชัดเจนว่าอะไรเกิดขึ้น ผมรู้สึกหัวหมุนและใจลอย จิตของผมหมกมุ่นอยู่กับภาพที่สับสนว่า ผมเห็นหมวกของดอนเกนาโรกลายเป็นรถของผม หรือหมวกใบนั้นตกลงมาบนรถพอดีกันแน่ ผมอยากจะเชื่อในข้อหลังคือ ดอนเกนาโรใช้หมวกของแกชี้ว่ารถของผมอยู่ตรงไหน ไม่ว่ามันจะเป็นเช่นไร สิ่งนี้ก็พิลึกพิลั่นน่าพิศวงเท่ากับอีกสิ่งหนึ่งนั่นเอง แต่เหมือนกับที่แล้วๆ มา จิตของผมยังคงเกาะยึดอยู่กับรายละเอียดอันปราศจากเหตุผลเพื่อว่าจะคงความสมดุลเดิมๆ เอาไว้
           "อย่าสู้กับมัน" ผมได้ยินดอนฮวนพูด

            ผมรู้สึกว่า สิ่งหนึ่งที่อยู่ในตัวของผมกำลังจะปรากฏออกมา ความคิดและภาพต่างๆ เกิดเนื่องกันเป็นลูกคลื่นโดยไม่อาจควบคุมไว้ได้เลยเหมือนกับว่าผมหลับไป ผมตาค้างจ้องมองดูรถ พูดอะไรไม่ออก มันจอดอยู่บนที่ราบมีก้อนหินตั้งอยู่ทั่วไปห่างจากผมประมาณ ๑๐๐ ฟุต มันเหมือนกับว่าใครคนหนึ่งเพิ่งเอามันมาวางไว้ตรงนั้น ผมวิ่งไปที่รถแล้วตรวจดูทุกสิ่ง
           "ไอ้ห่..........!" ดอนฮวนอุทานออกมา "อย่าจ้องดูรถ แต่จง หยุดโลก เสีย!"
           ต่อจากนั้นผมได้ยินเสียงของดอนฮวนตะโกนออกมาเหมือนกับอยู่ในความฝันว่า
           "หมวกของเกนาโร! หมวกของเกนาโร!"

           ผมมองดูสองคนนั้น พวกเขาจ้องตรงมายังตัวผม ผมปวดหัวขึ้นมาทันทีและรู้สึกว่าจับไข้
           ดอนฮวนและดอนเกนาโรมองมาทางผมอย่างสงสัย ผมทรุดนั่งลงข้างตัวรถครู่หนึ่ง และต่อมาเกือบจะเป็นไปโดยอัตโนมัติ ผมเปิดประตูรถให้ดอนเกนาโรนั่งที่เบาะด้านหลัง ดอนฮวนก้าวตามเข้าไปและนั่งข้างดอนเกนาโร ผมคิดว่านั่นเป็นเรื่องที่แปลกมาก เพราะตามปกติดอนฮวนจะนั่งที่เบาะนั่งด้านหน้าเสมอไป

           ผมขับรถไปที่บ้านของดอนฮวนในสภาพที่มึนงง ผมไม่ได้เป็นตัวของตัวเองเลย กระเพาะของผมผิดปกติเป็นอย่างมาก และความรู้สึกคลื่นเหียนอยากจะอาเจียนออกมาได้ ทำให้ความสุขุมรอบคอบลดน้อยถอยลง ผมขับรถเหมือนกับเป็นเครื่องจักรกลชนิดหนึ่ง
           ผมได้ยินเสียงของดอนฮวนและดอนเกนาโรหัวเราะกันดังๆ และบางคราวก็ปล่อยเสียงคิกๆ ออกมาเหมือนกับเด็ก ผมได้ยินดอนฮวนถามออกมาว่า
           "ใกล้จะถึงหรือยังล่ะ"
           ตอนนี้เองที่ผมตั้งใจดูที่ถนน เราใกล้จะถึงตัวบ้านแล้วจริงๆ
           "ใกล้จะถึงแล้วละ" ผมพึมพำออกมา
           ทั้งสองหัวเราะก้องออกมา พร้อมกับปรบมือและตบที่สะโพก

           เมื่อเรามาถึงบ้าน ผมกระโดดลงจากรถอย่างกับเครื่องจักรแล้วเปิดประตูให้กับหมอผีทั้งสอง ดอนเกนาโรก้าวออกมาเป็นคนแรกพร้อมกับแสดงความยินดีกับผมในสิ่งที่แกบอกว่าเป็นการนั่งรถที่ราบเรียบ สบายที่สุดเท่าที่แกเคยประสบมาในชีวิต ดอนฮวนก็พูดอย่างเดียวกัน ผมไม่ใส่ใจกับทั้งสองคนนั้นมากนัก
            ผมล็อคประตูรถและจอดมันไว้เกือบชิดกับตัวบ้าน ได้ยินดอนฮวนและดอนเกนาโรหัวเราะดังก้อง ก่อนที่ผมจะเคลิ้มหลับไป


--------------------------------------------------------------------------------

http://olddreamz.com/bookshelf/ixtlan/ixtlan.html
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: เมษายน 27, 2011, 09:12:52 pm »


   ภาคสอง : การจาริกสู่ อิกซท์แลน

 

...and I will leave. But the birds will stay, singing:
and my garden will stay, with its green tree, with its water well.
Many afternoons the skies will be blue and placid,
and the bells in the belfry will chime,
as they are chiming this very afternoon.
The people who have loved me will pass away,
and the town will burst anew every year.
But my spirit will always wander nostalgic
in the same recondite corner of my flowery garden.

The Definitive Journey
Juan Ramón Jiménez


 




             
         ๑๘. วงแหวนของหมอผี


           ในเดือนพฤษภาคมปี ๑๙๗๑ ผมไปหาดอนฮวนเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของการเป็นศิษย์ผู้ฝึกฝนเพื่อจะเป็นหมอผี การไปหาดอนฮวนในครั้งนี้ก็เหมือนกับการไปเยี่ยมเยียนหลายๆ ครั้งตลอดเวลาสิบปีที่ผ่านมา คือไปเพื่อแสวงหาความสุขที่ได้อยู่ร่วมกับแกอีกครั้งหนึ่ง
           เพื่อนของดอนฮวน ดอนเกนาโร หมอผีชาวอินเดียนแดงเผ่ามาซาเต็กมาพักอยู่กับแกด้วย ผมพบทั้งสองคนนี้อยู่ด้วยกันทุกครั้งที่ผมมาเยี่ยมเยียนในระหว่างหกเดือนที่ผ่านมา ผมคิดว่าจะเป็นการดีหรือไม่ที่จะถามว่าทั้งสองอยู่ด้วยกันตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เมื่อดอนเกนาโรกล่าวชี้แจงออกมาว่า แกชอบทะเลทรายทางแถบเหนือมาก และแกกลับมาที่นี่อีกทันเวลาที่จะพบกับผมพอดี ทั้งสองคนหัวเราะออกมาราวกับว่าได้ทราบถึงความลับอะไรบางอย่าง
           "ผมกลับมาที่นี่ก็เพื่อคุณเท่านั้น" ดอนเกนาโรบอก
           "จริง" ดอนฮวนสนองคำพูดนั้น

           ผมกล่าวเตือนความทรงจำของดอนเกนาโรว่า เมื่อผมมาที่นี่ในครั้งที่แล้วนั้น ความพยายามที่แกจะช่วยให้ผม "หยุดโลก" เป็นอันตรายร้ายแรงสำหรับผม นี่เป็นการพูดอย่างเป็นกันเองที่สุดแล้วเพื่อชี้ให้ดอนเกนาโรทราบว่าผมกลัวแกมาก ดอนเกนาโรหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่พร้อมกับเขย่าตัวและถีบเท้าทั้งสองไปมาเหมือนกับเด็ก ดอนฮวนเลี่ยงที่จะมองมาทางผม แกหัวเราะออกมาเหมือนกัน
           "คุณคงไม่พยายามที่จะช่วยผมอีก ใช่ไหม ดอนเกนาโร" ผมถาม
           คำถามของผมทำให้ทั้งสองหัวเราะขึ้นมาอีกพักใหญ่ ดอนเกนาโรหัวเราะพลางพร้อมกับกลิ้งตัวไปมาบนพื้น ต่อมาแกนอนคว่ำหน้าลงทำท่าว่ายน้ำบนพื้นนั่นเอง เมื่อผมเห็นแกทำเช่นนั้นผมก็ทราบว่าตามไม่ทันเสียแล้ว อย่างไรก็ตามในขณะนั้นร่างกายของผมคงรู้ขึ้นมาว่า ผมได้มาถึงจุดสุดท้ายแล้ว ผมเองก็ไม่ทราบว่าจุดจบนั้นเป็นอะไรแน่ นิสัยชอบเห็นทุกสิ่งว่าเป็นเรื่องน่าทึ่งและสิ่งที่ประสบมาร่วมกับดอนฮวนทำให้ผมเชื่อว่าจุดจบนั้นอาจจะเป็นการจบชีวิตของผมด้วย

            ในครั้งสุดท้ายที่ผมมาพบกับหมอผีทั้งสองนี้ ดอนเกนาโรผลักดันให้ผมเข้ามาสู่ปากเหวแห่ง "การหยุดโลก" ความพยายามที่แกใช้กับผมนั้นพิลึกพิลั่นและตรงไปตรงมาจนดอนฮวนเองถึงกับต้องบอกให้ผมผละไปก่อน
           การแสดง "พลัง" ของดอนเกนาโรนั้นพิเศษสุดและน่าพิศวงเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่แกแสดงนั้นกระตุ้นให้ผมพิจารณาตัวเองใหม่โดยสิ้นเชิง ผมเดินทางกลับตรวจดูบันทึกที่ผมได้จดเอาไว้นับตั้งแต่เริ่มฝึกฝนที่จะเป็นหมอผี และสำรวจความรู้สึกใหม่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นอย่างลึกลับถึงแม้ว่าผมจะไม่ทราบอย่างชัดเจนนัก จนกระทั่งผมเห็นดอนเกนาโรว่ายน้ำบนบกในครั้งนี้

           การทำท่าว่ายน้ำบนพื้นเริ่มขึ้นเมื่อดอนเกนาโรนอนคว่ำหน้าลง ซึ่งลงรอยกันสนิทกับการกระทำที่ประหลาด น่าพิศวงหลายครั้งที่แกแสดงให้ผมดู ให้ตอนแรกหัวเราะอย่างหนักจนร่างของแกสั่นเทิ้มไปหมด ต่อมาแกเอาเท้าทำเป็นจังหวะสอดคล้องกับการวาดมือทั้งสอง และดอนเกนาโรเริ่มเลื่อนตัวไปกับพื้นทีละเล็กละน้อยราวกับว่าแกนอนคว่ำหน้าบนไม้กระดานที่มีไม้กลมรองเอาไว้แกว่ายไปทางโน้นทางนี้และวนอยู่ในบริเวณหน้าบ้านของดอนฮวน ยักย้ายไปมารอบๆ ตัวของผมและดอนฮวน
           ดอนเกนาโรเคยแสดงสิ่งบ้าๆ บอๆ เบื้องหน้าของผมมาแล้ว และทุกครั้งที่แกแสดงเช่นนั้นดอนฮวนยืนยันว่าผมเกือบจะ "เห็น" ทุกคราวไป แต่ความล้มเหลวที่ทำให้ผมไม่ "เห็น" นั้นเนื่องมาจาก การที่ผมยืนกรานในความพยายามที่จะอธิบายการกระทำทุกอย่างของดอนเกนาโรด้วยความเห็นธรรมดาสามัญ แต่คราวนี้ผมระมัดระวังเป็นพิเศษ เมื่อแกทำท่าว่ายน้ำ ผมก็ไม่พยายามที่จะอธิบายหรือทำความเข้าใจในสิ่งที่มองเห็น ผมมองดูเฉยๆ และแม้จะทำเช่นนั้นผมก็อดที่จะตื่นตะลึงจนพูดไม่ออกทีเดียว ดอนเกนาโรเลื่อนตัวไปข้างหน้าด้วยท้องและอกจริงๆ นัยน์ตาของผมเริ่มมองไขว้กันขณะที่ผมดู ผมเริ่มรู้สึกหวาดกลัวและถูกโน้มน้าวให้เชื่อว่าถ้าหากผมไม่หาคำอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นข้างหน้านี้แล้ว ผมอาจจะ "เห็น" และความคิดที่จะเกิดขึ้นนั้นจะทำให้ผมวิตกกังวลขึ้นมา คำคาดการณ์ที่น่าวิตกเป็นการล่วงหน้านั้น ในส่วนหนึ่งทำให้ผมถอยกลับเข้ามาสู่จุดเดิมคือติดอยู่กับข่ายของความพยายามอย่างสามัญอีกครั้งหนึ่ง

           ดอนฮวนคงเฝ้าดูผมอยู่ ทันใดนั้นแกเอามือมาแตะตัวของผมทำให้ผมหันไปดูแกทันที และในขณะที่ผมหันหน้าไปนั้นผมก็ละสายตาออกจากดอนเกนาโรแวบหนึ่ง เมื่อผมหันกลับมามองดอนเกนาโรอีกครั้งก็เห็นแกมายืนข้างตัวของผม คางของแกเกือบจะวางอยู่บนไหล่ของผม ผมสะดุ้งเฮือกๆ อยู่นาน และมองดูแกสักหนึ่งนาทีแล้ว ผมกระโดดผึงออกไปทางด้านหลัง
           การทำท่าแปลกใจของดอนเกนาโรน่าขำมากทำให้ผมหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ถึงจะหัวเราะผมก็อดที่จะสังเกตไม่ได้ว่าการหัวเราะนั้นผิดปกติมาก ร่างกายของผมสั่นกระตุกเป็นช่วงๆ ซึ่งมีกำเนิดจากช่องท้อง ดอนเกนาโรเอามือมาวางไว้ที่ท้องของผมและสิ่งที่ไหวเป็นระลอกตรงนั้นหยุดลง
           "เจ้าหนูคาลอสนี้มีอะไรเกินธรรมดาเสมอไปแหละ!" แกพูดโพล่งออกมาราวกับว่าเป็นคนชอบบ่นจู้จี้

           ต่อมาดอนเกนาโร พูดต่อโดยเลียนท่าทางของดอนฮวนว่า  "คุณไม่รู้หรือว่า นักรบเขาไม่หัวเราะอย่างนั้น"
           การแสดงท่าล้อเลียนของแกใกล้เคียงมากซึ่งทำให้ผมหัวเราะหนักขึ้น

           ต่อจากนั้นทั้งสองคนออกจากบ้านไปด้วยกัน และหายไปเกือบสองชั่วโมงเกือบจะถึงเวลาเที่ยง เมื่อกลับมาถึงทั้งสองนั่งอยู่หน้าบ้าน ไม่พูดคุยกันเลย คงง่วง เหนื่อยและอาจจะพูดได้ว่าใจลอย ทั้งสองนั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิกอยู่นาน แต่แม้จะอยู่ในท่านั้นก็เห็นได้ว่าสบายและผ่อนคลาย ดอนฮวนเผยอริมฝีปากเล็กน้อยเหมือนกับว่าแกกำลังหลับแต่มือของแกประสานกันอยู่บนตักและนิ้วหัวแม่มือนั้นไหวไปมาเป็นจังหวะ

           ผมขยุกขยิกและเปลี่ยนท่านั่งหลายครั้ง แต่ต่อมาผมรู้สึกว่าสงบลงได้จริงๆ ผมคงเคลิ้มหลับไปเพราะเสียงหัวเราะหึๆ ของดอนฮวนทำให้ผมสะดุ้งขึ้นมา ผมลืมตาและพบว่าทั้งสองกำลังจ้องดูผมอยู่

           "ถ้าคุณไม่พูด คุณก็หลับ" ดอนฮวนพูดพร้อมกับหัวเราะ
           "เห็นจะจริง" ผมตอบ

           ดอนเกนาโรนอนหงายลงกับพื้นแล้วถีบเท้าทั้งสองไปมาในอากาศ ผมคิดว่าแกกำลังจะทำตลกพิสดารอีกแล้ว แต่ทันใดแกก็ผลุดลุกขึ้นนั่งในท่าขัดสมาธิ
           "ในตอนนี้คุณน่าจะรู้สึกในสิ่งหนึ่งแล้ว" ดอนฮวนพูด ""ผมเรียกสิ่งนั้นว่า ลูกบาศก์เซนติเมตรของโชค เราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักรบหรือไม่ก็ตาม จะมีลูกบาศก์เซนติเมตรของโชค (cubic centimetre of chance) ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของเราเป็นครั้งคราว ความแตกต่างระหว่างนักรบกับคนธรรมดาก็คือ นักรบจะรู้สึกในการปรากฏตัวอันนี้และหน้าที่อย่างหนึ่งของเขาก็คือตื่นตัว รอคอยอย่างตั้งอกตั้งใจเพื่อว่าในขณะที่ลูกบาศก์เซนติเมตรของเขาโผล่ขึ้นมา เขาก็จะมีความรวดเร็ว ความกล้าหาญอันเหมาะเจาะที่จะหยิบมันขึ้นมา...

           "โอกาส โชค พลังส่วนตัว หรือคุณจะเรียกมันว่าเป็นอะไรก็แล้วแต่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างประหลาดเอาการ มันเหมือนกับกิ่งเล็กๆ ของต้นไม้ที่งอกออกมาเบื้องหน้าของเราและหมายจะให้เราเด็ด แต่โดยทั่วๆ ไปแล้ว เรามักจะมีงานยุ่ง หมกมุ่นอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือไม่ก็โง่เขลา หรือขี้เกียจที่จะไปนำพาว่านั่นเป็นลูกบาศก์เซนติเมตรแห่งโชคดีของเราเอง แต่ในทางตรงกันข้าม นักรบจะตื่นตัว ทำตนให้กระชับอยู่เสมอไป และมีแรงที่จะกระโดดหรือมีความอาจหาญพอที่จะฉวยมันเอาไว้"

           "ชีวิตของคุณมีความกระชับหรือเปล่าล่ะ" ดอนเกนาโรถามขึ้นอย่างกะทันหัน
           "ผมคิดว่ากระชับ" ผมตอบด้วยความมั่นใจ
           "คุณคิดว่า จะมีความสามารถปลิดลูกบาศก์เซนติเมตรแห่งโชคลงมาได้ไหมล่ะ" ดอนฮวนถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะเชื่อนัก
            "บางทีผมอาจจะหลอกตัวเองอยู่ก็ได้ แต่ผมเชื่อว่าในระยะนี้ผมมีสติดีขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมา" ผมตอบด้วยความจริงใจ

           ดอนเกนาโรผงกหัวเห็นด้วย "ใช่" แกพูดออกมาเบาๆ
           "เจ้าหนูคาลอสมีชีวิตที่กระชับและตื่นตัวเต็มที่จริง"
           ผมกลับรู้สึกว่า ทั้งสองกำลังล้อเลียนอยู่ บางทีการพูดถึงสภาวะที่กระชับในชีวิตของผม อาจทำให้ดอนฮวนและดอนเกนาโรหงุดหงิดขึ้นมาก็ได้

           "ผมไม่คิดจะคุยโวหรอก" ผมบอก ดอนเกนาโรเลิกคิ้วแล้วทำรูจมูกให้บานออก แกชำเลืองดูสมุดบันทึกของผมแล้วแกล้งทำเป็นเขียนหนังสือ
           "ผมคิดว่าคาลอสมีสติดีขึ้นกว่าทุกคราวที่ผ่านมา" ดอนฮวนพูดกับดอนเกนาโร
           "เขาอาจจะสติดีจนเกินไป" ดอนเกนาโรพูดสวนออกมา
           "อาจเป็นอย่างนั้นก็ได้" ดอนฮวนยอมรับ ผมไม่ทราบว่าจะพูดสอดขึ้นมาในเรื่องอะไรจึงหุบปากเงียบ
           "คุณจำคราวที่ผมดับเครื่องรถของคุณได้หรือเปล่า" ดอนฮวนถามขึ้นมาลอยๆ คำถามของแกโพล่งขึ้นมาและไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เราพูดกันอยู่นั้นเลย แกพาดพิงถึงครั้งหนึ่งที่ผมสตาร์ทรถไม่ติดจนดอนฮวนบอกให้ผมลองใหม่และรถจะติดอย่างแน่นอน ผมบอกว่าคงไม่มีใครลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นได้

           "นั่นไม่มีความหมายอะไร" ดอนฮวนกล่าวตามจริง "ไม่มีความหมายอะไรเลย ใช่ไหมเกนาโร"
           "จริง" ดอนเกนาโรพูดอย่างไม่มีน้ำเสียง
           "คุณหมายความว่าอย่างไรดอนฮวน" ผมพูดในทำนองคัดค้าน "สิ่งที่คุณทำในวันนั้นเป็นสิ่งที่ผมคิดไม่ถึงจริงๆ"
            "นั่นไม่ใช่การพูดมากเกินจริงหรอก" ดอนเกนาโรย้อน ทั้งสองหัวเราะออกมาอย่างดัง ดอนฮวนเอามือตบหลังของผม

           "เกนาโรสามารถที่จะทำสิ่งที่ยิ่งไปกว่าการดับเครื่องยนต์รถของคุณ" ดอนฮวนพูดต่อ "จริงไหม เกนาโร"
           "จริง" ดอนเกนาโรพูดพร้อมกับย่นริมฝีปากเหมือนเด็กๆ
            "ดอนเกนาโรทำอะไรได้ล่ะ" ผมถาม พยายามที่จะแสดงว่าไม่หวาดกลัวอะไรทั้งสิ้น
           "เกนาโรอาจทำให้รถของคุณหายไปได้เลย!" ดอนฮวนร้องออกมาด้วยเสียงดังก้องกังวาน แล้วแกพูดต่อในระดับเสียงเดิม "จริงหรือเปล่า เกนาโร"
           "จริง!" ดอนเกนาโรสวนขึ้นด้วยเสียงที่มนุษย์อาจทำให้ดังที่สุดได้

           ผมกระโดดโหยงโดยไม่ตั้งใจ ร่างของผมกระตุกอยู่สามสี่ครั้ง
           "อะไรกันนะ ดอนเกนาโรสามารถที่จะทำให้รถของผมหายไปทั้งคันได้อย่างนั้นรึ" ผมถาม
           "ผมหมายถึงอะไรล่ะ เกนาโร" ดอนฮวนถาม
           "คุณหมายถึงว่า ผมสามารถที่จะเข้าไปนั่งในรถของเขาติดเครื่องแล้วขับออกไป"
           ดอนเกนาโรตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่มีเคลือบแคลง
           "ขับไปเลยอย่างนั้นรึ เกนาโร" ดอนฮวนถามขึ้นกึ่งล้อเลียน
           "ผมขับไปแล้ว!" ดอนเกนาโรพูดพร้อมกับย่นหน้าแล้วชายตามาทางผม

           ผมสังเกตเห็นว่าขณะที่แกนิ่วหน้าคิ้วของแกกระตุกเล็กน้อย นัยน์ตาของแกมีแววซุกซนและคมปลาบ
           "อย่างนั้นรึ!" ดอนฮวนพูดเบาๆ "เราไปที่นั่นเพื่อดูรถกันดีกว่า"
           "ใช่!" ดอนเกนาโรสนอง "เราไปที่นั่นเพื่อดูรถกันดีกว่า"

           ทั้งสองยืนขึ้นอย่างเชื่องช้า ผมไม่ทราบว่าจะปฏิบัติตัวอย่างไรอยู่ครู่หนึ่ง แต่ดอนฮวนทำสัญญาณบอกให้ผมยืนขึ้น
           เราเดินขึ้นเนินเล็กๆ หน้าบ้านของดอนฮวน ทั้งสองเดินขนาบผมไป ดอนฮวนอยู่ทางขวามือส่วนดอนเกนาโรอยู่ทางซ้าย ห่างออกไปข้างหน้าราว ๖ ฟุต แต่ก็อยู่ในคลองสายตาของผม

            "เราไปดูรถกันดีกว่า"  ดอนเกนาโรพูดถ้อยคำเดิมขึ้นมาอีก
           ดอนฮวนโบกมือไปมาราวกับว่ากำลังถักทอเส้นด้ายที่มองไม่เห็น ดอนเกนาโรก็ทำอย่างเดียวกันพร้อมกับพูดว่า "เราไปดูรถกันดีกว่า" ซ้ำๆ ซากๆ ทั้งสองเดินท่าขย่ม เท้าที่ก้าวออกไปนั้นยาวกว่าธรรมดาส่วนมือก็ไหวไปมาราวกับว่าจะปัดหรือตีสิ่งหนึ่งที่มองไม่เห็นเบื้องหน้า ผมไม่เคยเห็นดอนฮวนทำตลกอย่างนี้มาก่อนจึงรู้สึกกระดากที่จะมองดู

           เราเดินขึ้นมาถึงยอดเนิน ผมมองลงไปข้างล่างระยะทางประมาณ ๕๐ ฟุต ตรงที่ผมจอดรถเอาไว้ บริเวณกระเพาะของผมกระตุก รถไม่ได้อยู่ที่นั่น! ผมวิ่งลงไปตามเนิน มองไม่เห็นรถจากที่ตรงไหนเลย ผมรู้สึกสับสนขึ้นมาอย่างมาก และไม่เข้าใจอะไรเลย
           เมื่อผมมาถึงในตอนเช้าผมจอดรถไว้ที่นี่ คงสักครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ผมยังกลับมาเอาสมุดเล่มใหม่ที่ใช้เขียนบันทึก ตอนนั้นผมคิดว่าจะเปิดหน้าต่างรถเอาไว้เพื่อระบายความร้อน แต่ยุงและแมลงที่มากมายในแถบนั้นทำให้ผมเปลี่ยนใจ ผมปิดประตูรถไว้เหมือนเดิม ผมมองไปรอบๆ อีกครั้ง

           ผมไม่เชื่อเลยว่ารถจะหายไป ผมเดินไปจนสุดบริเวณที่เป็นที่โล่ง ดอนฮวนและดอนเกนาโรเดินตามไปด้วยและมายืนข้างตัวผม ทำท่าเหมือนกับที่ผมทำอยู่ คือจ้องมองไปข้างหน้าเพื่อดูว่าจะพบรถที่ไหนบ้าง ครู่หนึ่งที่ผมรู้สึกอิ่มเอิบขึ้นมา ผลักไสความหงุดหงิดออกไป ทั้งสองทราบถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผม จึงเดินไปรอบตัวของผมพลางเคลื่อนไหวมือไปมาเหมือนกับกำลังกลิ้งแป้งเพื่อทำขนม

           "คุณคิดว่าอะไรเกิดขึ้นกับรถยนต์คันนั้นเกนาโร" ดอนฮวนถามเหมือนไม่มีแรง
           "ผมขับมันไปนะสิ" ดอนเกนาโรตอบแล้วทำท่าเปลี่ยนเกียร์รถแรง ๆ ขณะที่ขับมันไป แกย่อตัวลงราวกับว่ากำลังนั่งและอยู่ในท่านั้นครู่หนึ่งโดยใช้กล้ามเนื้อตรงขาเท่านั้นเพื่อพยุงร่างเอาไว้ ต่อมาแกเลื่อนน้ำหนักตัวมาที่ขาขวา เหยียดขาซ้ายออกไปเพื่อเลียนท่าเหยียบคลัช ดอนเกนาโรทำเสียงรถยนต์ด้วยริมฝีปาก และที่เยี่ยมที่สุดคือ แกทำเป็นว่าตกลงไปในหลุมตามถนนทำให้รถกระโดดขึ้นๆ ลงๆ นั่นทำให้ผมรู้สึกอย่างจริงจังถึงนักขับรถผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ยอมปล่อยพวงมาลัยแม้รถจะผกโผนเพียงใดก็ตาม

           การแสดงของดอนเกนาโรเยี่ยมยอดจริงๆ ดอนฮวนหัวเราะจนแทบจะหายใจไม่ทัน ผมอยากมีส่วนร่วมในความสนุกสนานนั้น แต่ผมคลายอารมณ์ลงมาไม่ได้ ผมรู้สึกว่าถูกคุกคามและไม่สบายใจจริงๆ ความวิตกกังวลชนิดที่หาที่มาไม่ได้จากชีวิตที่ผ่านมาแล้วเกิดขึ้นกับผม ผมรู้สึกไหม้อยู่ในอก และเริ่มเตะก้อนหินเล็กๆ อยู่บนพื้น และในที่สุดก็ขว้างก้อนหินเหล่านั้นออกไปด้วยความโมโหไม่รู้สึกตัวและไม่คาดมาก่อนว่าจะเป็นเช่นนี้ ในขณะเช่นนั้น ความโกรธดูเหมือนจะอยู่ข้างนอก แล้วมันจู่เข้ามาหาตัวของผมโดยรอบ ต่อมาความหงุดหงิดขุ่นเคืองนั้นออกจากตัวของผมไปอย่างประหลาดเหมือนกับตอนที่มันจู่เข้ามา ผมหายใจลึกและรู้สึกตัวว่าดีขึ้น

           ผมไม่กล้ามองดูดอนฮวน การที่ผมแสดงอาการโกรธออกมานั้นทำให้ผมอาย แต่ในขณะเดียวกันผมก็อยากจะหัวเราะ ดอนฮวนเดินเข้ามาแล้วเอามือตบหลังของผม ดอนเกนาโรเอื้อมมือมาโอบไหล่
           "ไม่เป็นไรน่า!" ดอนเกนาโรพูด "ทำตามอารมณ์ต่อไปสิ ชกจมูกตัวเองให้เลือดไหลออกมา ต่อจากนั้นคุณอาจหยิบเอาก้อนหินแล้วทุบเอาฟันออก มันจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น! ถ้าสิ่งเหล่านี้ยังไม่ทำให้คุณดีขึ้น คุณก็อาจจะทุบลูกอัณฑะของคุณด้วยหินก้อนเดียวกันนี้โดยวางมันลงบนหินใหญ่ก้อนนั้นก็ได้"
           ดอนฮวนหัวเราะคิกๆ ออกมา ผมบอกกับทั้งสองว่าผมรู้สึกอับอายที่ทำอะไรออกมาอย่างแย่ที่สุด ผมไม่ทราบว่าอะไรจู่ลู่เข้ามาสู่ตัวของผม ดอนฮวนบอกว่า ผมรู้ชัดทีเดียวว่าอะไรเกิดขึ้น แต่ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้และอาการที่แกล้งทำเป็นไม่รู้นั่นเองทำให้ผมโกรธ

           ดอนเกนาโรทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นอย่างประหลาด แกตบหลังของผมครั้งแล้วครั้งเล่า
           "สิ่งนี้เกิดขึ้นกับพวกเราทุกคน" ดอนฮวนบอก
           "ที่พูดอย่างนั้นคุณหมายความว่าอย่างไร ดอนฮวน" ดอนเกนาโรถามเลียนเสียงของผม พลางล้อเลียนความเคยชินที่ผมชอบถามปัญหาต่างๆ กับดอนฮวน
           ดอนฮวนกล่าวถ้อยคำบ้าๆ บอๆ ออกมาเช่น "เมื่อโลกเอาหัวลง เรากลับเอาหัวขึ้น แต่เมื่อโลกเอาหัวขึ้น เรากลับพลิกหัวลง และตอนนี้เมื่อโลกและตัวเราตั้งหัวขึ้น เรากลับคิดว่าเอาหัวลง..." แกพูดในทำนองนี้ไปเรื่อยๆ พร่ำเพ้อถึงถ้อยคำที่เข้าใจไม่ได้ ส่วนดอนเกนาโรก็ล้อเลียนการจดบันทึกของผม แกเขียนลงบนสมุดบันทึกที่มองไม่เห็น พร้อมกับผึ่งรูจมูกของแกไปด้วยในขณะที่ไหวมือไปมา ดวงตาก็เบิกกว้างจ้องเขม็งดูดอนฮวน ดอนเกนาโรเลียนท่าที่ผมพยายามเขียนโดยไม่มองดูที่สมุด เพื่อจะไม่ให้การสนทนาในขณะนั้นชะงัก การแสดงของแกสนุกจริงๆ

           ผมรู้สึกเป็นปกติและสบายขึ้นมาในทันใด เสียงหัวเราะของทั้งสองทำให้อบอุ่น ผมปลดปล่อยความรู้สึกหมกมุ่นออกไปและหัวเราะเต็มเสียง แต่ในขณะต่อมานั้นจิตก็ตกอยู่ในสภาวะหวาดกลัว หงุดหงิด และสับสนในอีกลักษณะหนึ่ง ผมคิดว่า ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคืออะไรก็ตาม มันเป็นไปไม่ได้เลย ความจริงมันเข้าใจไม่ได้เลยตามลำดับเหตุผลที่ผมคุ้นเคย ในอันที่จะตัดสินโลก แต่กระนั้นก็ตาม ในฐานะที่เป็นผู้รับรู้สิ่งต่างๆ ผมก็รู้ว่ารถไม่ได้จอดอยู่ที่นั่น ความคิดผุดขึ้นมา เหมือนกับทุกคราวที่ดอนฮวนทำให้ผมเผชิญกับอุบัติการณ์ที่พิลึกพิลั่น ว่าผมถูกหลอกด้วยกลวิธีสามัญ เมื่อถูกบีบคั้น จิตของผมกลับมาคิดในโครงสร้างเดิมโดยอัตโนมัติและซ้ำๆ ซากๆ อยู่เสมอไป