ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: เมษายน 27, 2011, 09:15:46 pm » ผมเริ่มใคร่ครวญว่า การที่จะยกรถออกไปจากตรงที่ผมจอดเอาไว้นั้น ดอนฮวนและดอนเกนาโรต้องใช้ผู้สมรู้ร่วมคิดกันสักกี่คนกันแน่ ผมมั่นใจว่าผมตั้งใจปิดกุญแจประตู ตั้งเบรกมือ ใส่เกียร์และล็อคพวงมาลัยแล้วด้วย การที่จะเคลื่อนรถออกจากที่ คนเหล่านั้นต้องยกเอาไปทั้งคัน ผมเชื่อว่างานหนักขนาดนี้ดอนฮวนและดอนเกนาโรร่วมกันทำไม่ได้ อีกทางหนึ่งคือมีคนบางคนที่ตกลงจะร่วมมือกับทั้งสองคนนี้มาพังประตูเข้าไป ต่อสายไฟต่าง ๆ แล้วขับหนีไป การที่จะทำได้เช่นนี้ คนคนนั้นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างเยี่ยมยอดซึ่งทั้งสองคนนี้ทำไม่ได้ อีกทางหนึ่งที่อาจนำมาเป็นคำอธิบายได้คือ บางทีสองคนนี้สะกดจิตผมอยู่ การเคลื่อนไหวของทั้งสองแปลกใหม่จริง ๆ และน่าสงสัยมาก ทำให้ผมหัวหมุน ผมคิดว่าถ้าทั้งสองสะกดจิตผมจริงๆ ขณะนั้นผมคงอยู่ในสภาวะจิตที่ถูกปรุงแต่ง เท่าที่ได้ประสบมาร่วมกับดอนฮวน ผมสังเกตว่าในสภาวะเช่นนั้นเราจะไม่สามารถกำหนดจดจำเวลาที่ล่วงเลยไปได้อย่างต่อเนื่องในเรื่องที่เกี่ยวกับเวลา จะไม่มีช่วงกาลที่ต่อเนื่องกันในความจริงเหนือสามัญทุกครั้งที่ผมประสบ
และข้อสรุปของผมจึงมีว่าถ้าหากผมมีสติตื่นตัวอยู่แล้ว จะมีขณะหนึ่งที่ผมสูญเสียลำดับต่อเนื่องของกาละได้ หากยกตัวอย่างก็จะคล้ายกับว่าในขณะหนึ่งผมกำลังมองดูภูเขาลูกหนึ่ง แต่ต่อมาในอีกขณะหนึ่งของความรับรู้นั้น ผมกลับพบว่าตัวเองกำลังมองดูหุบเขาที่อยู่ในทิศตรงกันข้ามโดยจำไม่ได้เลยว่าได้หันมามองดู ผมรู้สึกว่าถ้าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นในลักษณะดังกล่าวนี้ ผมก็สามารถที่จะอธิบายว่าอะไรเกิดขึ้นกับรถของผม บางทีอาจเป็นเรื่องของการสะกดจิตก็ได้ ผมตัดสินใจลงไปว่าสิ่งเดียวเท่านั้นที่ผมจะทำได้คือ เฝ้าดูทุกสิ่งทุกอย่างในรายละเอียดอย่างถี่ถ้วน
"รถของผมอยู่ที่ไหน" ผมพุ่งคำถามไปยังทั้งสองคน
"รถอยู่ที่ไหนเกนาโร" ดอนฮวนถาม สีหน้าบ่งบอกถึงความจริงจังอย่างที่สุด ดอนเกนาโรเริ่มพลิกก้อนหินก้อนเล็กๆ แล้วมองดูภายใต้ก้อนหินเหล่านั้น แกพลิกก้อนหินอย่างเอาเป็นเอาตายทั่วทั้งบริเวณที่ผมจอดรถเอาไว้ แกพลิกดูก้อนหินทุกก้อนจริงๆ บางครั้งแกจะแกล้งทำเป็นโกรธแล้วขว้างหินก้อนนั้นไปที่พุ่มไม้
ดอนฮวนดูจะสนุกสนานกับละครฉากนี้เกินกว่าที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูด แกหัวเราะคิกๆ แล้วเปล่งเสียงออกมาอย่างดังและดูเหมือนจะลืมไปเลยทีเดียวว่าผมอยู่ที่นั่นด้วย
ดอนเกนาโรเพิ่งจะเหวี่ยงหินก้อนหนึ่งออกไป เพื่อแสดงท่าว่าหงุดหงิด เมื่อแกมาถึงหินใหญ่มากก้อนหนึ่งซึ่งเป็นก้อนที่หนักและใหญ่ที่สุดในบริเวณนั้น แกพยายามที่จะพลิกหินก้อนนั้น แต่หินหนักมากและจมลึกลงไปในดิน ดอนเกนาโรใช้ความพยายามและหายใจฮืดฮาดเหงื่อท่วมตัว ในที่สุดแกนั่งลงบนหินก้อนนั้นแล้วเรียกดอนฮวนให้ไปช่วย
ดอนฮวนหันมาทางผมพร้อมกับยิ้มกว้างพลางพูดว่า
"มาสิมาช่วยเกนาโร"
"แกกำลังทำอะไร" ผมถาม
"แกกำลังหารถของคุณนะสิ" ดอนฮวนตอบตามความจริง
"สวรรค์โปรด! แกจะพบรถอยู่ใต้ก้อนหินได้อย่างไรกัน" ผมค้าน
"สวรรค์กรุณา ทำไมจึงจะไม่พบที่นั่นล่ะ" ดอนเกนาโรแย้ง แล้วทั้งสองหัวเราะอย่างดัง
เราขยับหินก้อนนั้นไม่ได้ ดอนฮวนแนะให้กลับไปที่บ้านเพื่อหาไม้ท่อนโตมาทำเป็นคานงัด
ขณะที่เดินกลับไปยังบ้าน ผมบอกกับทั้งสองว่าการกระทำของพวกเขาเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ สำหรับผม ไม่ว่าทั้งสองทำอะไรอยู่ก็ตามย่อมเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นจะต้องทำเลย ดอนเกนาโรจ้องเขม็งมาทางผม
"เกนาโรเป็นคนละเอียดถี่ถ้วน" ดอนฮวนพูดด้วยน้ำเสียงบ่งถึงความจริงจัง "แกเป็นคนถี่ถ้วนและจริงจังเหมือนกับคุณ คุณเองก็พูดอยู่เสมอว่า คุณไม่เคยละก้อนหินวางทิ้งไว้โดยไม่พลิกขึ้นมาด ู(เป็นคำล้อเลียนจากสำนวนภาษาอังกฤษที่ว่า "Don't leave the stone unturned"-ผู้แปล) ไม่ใช่หรือ เกนาโรก็ทำอย่างเดียวกัน"
ดอนเกนาโรตบที่ไหล่ของผมแล้วบอกว่า ดอนฮวนพูดถูกแล้ว และเป็นความจริงทีเดียวที่แกอยากจะเป็นเหมือนผม แกมองมาทางผมด้วยแววตาที่มีประกายกล้าแล้วผึ่งรูจมูกออกให้กว้าง
ดอนฮวนปรบมือแล้วเหวี่ยงหมวกลงกับพื้น
หลังจากหาอยู่นานในบริเวณบ้าน ดอนเกนาโรก็พบกิ่งไม้ท่อนโตซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของขื่อ แกแบกไม้ท่อนนั้นแล้วเดินกลับมายังที่ที่รถของผมจอดอยู่
ขณะที่เราเดินขึ้นเนินอยู่นั้นและเกือบจะมาถึงยอดเนินก่อนที่จะมองลงไปเห็นบริเวณที่ผมจอดรถไว้ ผมรู้สึกขึ้นมาว่าผมจะพบรถก่อนทั้งสองคน แต่เมื่อผมมองลงไปข้างล่าง กลับไม่เห็นรถจอดอยู่ที่เชิงเนินนั้นเลย
ดอนฮวนและดอนเกนาโรคงเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมดี ทั้งสองวิ่งตามผมลงไปพร้อมกับหัวเราะอย่างดัง เมื่อเราลงมาถึงเชิงเนิน ทั้งสองก็เริ่มออกแรงงัดก้อนหินในทันที ผมดูอยู่ครู่หนึ่ง การกระทำของพวกเขาเป็นสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ ทั้งสองไม่ได้แกล้งทำเป็นว่าทำงาน แต่ลงแรงจริงๆ จังๆ ที่จะพลิกหินก้อนนั้นเพื่อจะดูว่ารถของผมซ่อนอยู่ข้างล่างหรือเปล่า นั่นรู้สึกจะเกินไปหน่อยสำหรับผมและผมเข้าไปช่วย ทั้งสองหอบตัวโยนและร้องตะโกนออกมา ส่วนดอนเกนาโรหอนเหมือนกับหมาป่าไคโยติ ร่างเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ผมเห็นว่าร่างกายของทั้งสองคนนั้นแข็งแรงจริง ๆ โดยเฉพาะร่างกายของดอนฮวน ขณะที่ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับสองคนนั้น ผมเป็นเพียงชายหนุ่มร่างบอบบางเท่านั้น
ไม่นานนักผมก็เหงื่อไหลโชกตัว และในที่สุดเราก็พลิกหินก้อนนั้นได้สำเร็จ ดอนเกนาโรตรวจดูดินที่อยู่ข้างล่างของก้อนหินอย่างเชื่องช้าอดทน แทบจะทำให้คลั่ง แกตรวจดูอย่างละเอียดลออ
"ไม่หรอก รถไม่ได้อยู่ที่นี่" แกประกาศออกมา
คำประกาศนั้นทำให้ทั้งสองหัวเราะกลิ้งอยู่บนพื้น
ผมหัวเราะออกมาอย่างหวาดๆ ดอนฮวนชักกระตุกราวกับว่าได้รับความเจ็บปวด แกเอามือปิดหน้าแล้วนอนลงในขณะที่ร่างของแกสั่นเนื่องจากการหัวเราะ
"เราจะไปทางทิศไหนต่อล่ะตอนนี้" ดอนเกนาโรถามหลังจากที่พักเหนื่อยอยู่นาน
ดอนฮวนชี้ทิศด้วยการผงกหัว
"เราจะไปไหนอีกล่ะ" ผมถาม
"ไปหารถของคุณน่ะสิ!" ดอนฮวนพูด และยิ้มโดยไม่เผยอริมฝีปาก
ทั้งสองเดินขนาบผมไปเหมือนเดิมขณะที่เรามุ่งสู่ป่าละเมาะ ดอนเกนาโรทำสัญญาณให้หยุดเมื่อเดินไปได้ไม่กี่หลา แกย่องไปยังพุ่มไม้รูปกลมอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว แล้วมองเข้าไปดูกิ่งก้านที่อยู่ข้างในแล้วบอกว่า รถไม่ได้อยู่ที่นั่น เราเดินต่อไปอีกครู่หนึ่งแล้วดอนเกนาโรทำสัญญาณด้วยมือให้เราเงียบเสียง แกดัดหลังในขณะที่แกยืนอยู่บนปลายเท้าแล้วเหยียดแขนทั้งสองไว้เหนือศีรษะ นิ้วมือของแกขยุ้มเข้ามาเหมือนกับกรงเล็บของสัตว์ จากจุดที่ผมยืนก็จะมองเห็นร่างของดอนเกนาโรมีรูปร่างเหมือนกับตัวอักษร S แกยืนอยู่ในท่านั้นครู่หนึ่งแล้วขณะต่อมาแกพุ่งหลาวเข้าไปที่กิ่งไม้กิ่งยาวมีใบไม้แห้งติดอยู่เต็ม แกยกกิ่งไม้ขึ้นมาอย่างระมัดระวังแล้วตรวจดูอย่างละเอียดเพียงเพื่อจะกล่าวออกมาในที่สุดว่า รถไม่ได้อยู่ที่นั่น
ขณะที่เราเดินเข้าไปในป่าละเมาะ ดอนเกนาโรจะมองเข้าไปหลังพุ่มไม้และปีนขึ้นไปบนต้นไม้เล็กๆ เพื่อมองเข้าไปตามใบเพียงเพื่อจะกล่าวออกมาในที่สุดว่า รถไม่ได้อยู่ที่นั่นอีกเหมือนกัน
ในขณะเดียวกันนั้นผมก็กำหนดจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมได้สัมผัสและมองเห็นโดยละเอียดรอบคอบ
การเห็นโลกโดยรอบในฐานะที่เป็นสิ่งต่อเนื่องและมีระเบียบเป็นไปโดยลำดับเหมือนกับที่เคยเห็นมาก่อน ผมสัมผัสกับก้อนหิน พุ่มไม้ ต้นไม้ ผมเหสายตาจากด้านหน้ามาสู่ด้านหลัง ด้วยการมองตาข้างหนึ่งและต่อมาก็มองด้วยตาอีกข้างหนึ่ง จากการคาดคะเนเท่าที่จะทำได้ผมกำลังเดินอยู่ในป่าละเมาะเหมือนกับที่เคยเดินในสถานที่เช่นนี้นับครั้งไม่ถ้วนในระหว่างการมีชีวิตอย่างธรรมดาๆ ของผม
ต่อมาดอนเกนาโรนอนพังพาบลงไป เราทำตามด้วย แกวางคางไว้กับมือที่ประสานกันเอาไว้ ดอนฮวนก็ทำอย่างเดียวกัน
ทั้งสองมองดูตะปุ่มตะป่ำบนพื้นดิน ซึ่งมองดูแล้วเหมือนกับภูเขาเล็กๆ ทันใดนั้นดอนเกนาโรกวาดมือขวาออกไปอย่างรวดเร็วแล้วกำอะไรอย่างหนึ่งเอาไว้ แกรีบลุกขึ้นนั่ง ดอนฮวนก็ทำอย่างเดียวกัน ดอนเกนาโรยื่นมือที่กำไว้มาเบื้องหน้าของเรา แล้วทำสัญญาณให้เราเข้าไปใกล้เพื่อจะมองดูได้ถนัด แกคลายมือที่กำไว้นั้นออกช้าๆ เมื่อมันคลายออกสักกึ่งเหยียดก็มีวัตถุสีดำบินออกมา มันพุ่งออกมาโดยกะทันหัน และเจ้าสิ่งบินได้นั้นใหญ่มากจนผมต้องกระโดดฉากออกมาและเกือบจะล้มลงไป ดอนฮวนยันตัวของผมเอาไว้
"นั่นก็ไม่ใช่รถอีกนะแหละ" ดอนเกนาโรบ่น "มันคือแมลงวันระยำตัวหนึ่งเท่านั้นเอง ขอโทษ!"
ทั้งสองพินิจพิจารณาดูผม พวกเขายืนอยู่ข้างหน้าของผมจึงไม่ได้มองมาตรงๆ แต่ชำเลืองดูจากหางตา พวกเขามองดูผมในลักษณะนั้นอยู่นาน
"มันคือแมลงวัน ใช่หรือเปล่าล่ะ" ดอนเกนาโรถาม
"ผมก็คิดอย่างนั้น" ผมตอบ
"อย่าคิด" ดอนฮวนสั่ง "คุณเห็นอะไรล่ะ"
"ผมเห็นสิ่งหนึ่งใหญ่พอๆ กับอีกาบินออกมาจากกำมือของดอนเกนาโร" ผมตอบ
ผมพูดตรงกับสิ่งที่ผมเห็นจริงๆ ผมไม่ตั้งใจที่จะพูดให้ตลก แต่พวกเขาถือเอาคำพูดนั้นเป็นสิ่งน่าขำเสียเต็มประดา ทั้งสองกระโดดลงพร้อมกับหัวเราะจนเหงื่อโชกตัว
"ผมคิดว่าคาลอสเต็มที่แล้วหละ" ดอนฮวนพูด เสียงของแกแหบห้าวเพราะหัวเราะอยู่นาน ดอนเกนาโรบอกว่า แกเกือบจะพบรถของผมแล้ว และความรู้สึกเช่นนั้นร้อนยิ่งขึ้นทุกที ดอนฮวนพูดว่า เราอยู่ในที่ขรุขระตะปุ่มตะป่ำ และการหารถในที่เช่นนี้คงไม่พบหรอก ดอนเกนาโรถอดหมวกออกแล้วเอาเชือกออกมาจากย่ามมาผูกเข้ากับสายรัดคาง และแกเอาเข็มขัดผ้าขนสัตว์มาผูกโยงเข้ากับพู่หมวกสีเหลืองที่ห้อยอยู่กับปีกหมวกทั้งสองข้าง
"ผมจะทำว่าวด้วยหมวกใบนี้" แกพูดกับผม
ผมเฝ้าดูการกระทำของแกและรู้ว่าแกเล่นตลก ผมให้ความสำคัญกับตัวเองเสมอ ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องว่าวคนหนึ่ง ในสมัยที่ผมเป็นเด็กผมเคยทำว่าวชนิดที่ซับซ้อนที่สุด และผมทราบดีว่าใบหมวกที่สานด้วยฟางนั้นอ่อนเกินกว่าที่จะต้านลมไว้ได้ อีกอย่างหนึ่ง ยอดของหมวกก็ลึกมากและลมจะหมุนอยู่ข้างใน ทำให้มันไม่อาจยกหมวกให้ลอยขึ้นไปได้
"คุณไม่คิดว่ามันจะลอยขึ้นไปได้จริง ๆ ใช่ไหม" ดอนฮวนถามผม
"ผมรู้ว่ามันไม่ขึ้นแน่ๆ" ผมตอบ ดอนเกนาโรไม่สนใจ และเอาเชือกมามัดกับว่าวที่ทำด้วยหมวกนั้นจนเสร็จ
วันนั้นลมพัดจัด ดอนเกนาโรเป็นผู้วิ่งลงเนินขณะที่ดอนฮวนเป็นผู้ถือหมวก ดอนเกนาโรดึงเชือกและหมวกบัดซบนั้นลอยขึ้นไปได้จริงๆ "ดูสิ ดูที่หมวก!" ดอนเกนาโรตะโกนออกมา มันโฉบวูบลงมาสองครั้ง แต่มันก็ลอยอยู่ในอากาศได้เป็นปกติ
"อย่าละสายตาออกจากหมวกใบนั้น" ดอนฮวนบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ผมรู้สึกเวียนศีรษะอยู่ครู่หนึ่ง การมองดูหมวกทำให้ระลึกถึงช่วงหนึ่งของชีวิตได้อย่างชัดเจน มันเหมือนกับผมได้เล่นว่าวอยู่จริง ๆ เมื่อลมพัดกล้าในเมืองที่ผมเคยอาศัยอยู่
ผมดื่มด่ำอยู่กับความทรงจำในอดีตอยู่ครู่หนึ่งจนผมลืมช่วงกาลเวลาขณะนั้นอย่างสนิท
ผมได้ยินดอนเกนาโรตะโกนอะไรบางอย่างเสียงดังโหวกเหวก ผมเห็นหมวกผกขึ้นผกลง และขณะนั้นมันตกลงมายังพื้นดินตรงจุดที่รถของผมจอดอยู่ มันตกลงมาด้วยความเร็วจนผมมองไม่เห็นภาพอันชัดเจนว่าอะไรเกิดขึ้น ผมรู้สึกหัวหมุนและใจลอย จิตของผมหมกมุ่นอยู่กับภาพที่สับสนว่า ผมเห็นหมวกของดอนเกนาโรกลายเป็นรถของผม หรือหมวกใบนั้นตกลงมาบนรถพอดีกันแน่ ผมอยากจะเชื่อในข้อหลังคือ ดอนเกนาโรใช้หมวกของแกชี้ว่ารถของผมอยู่ตรงไหน ไม่ว่ามันจะเป็นเช่นไร สิ่งนี้ก็พิลึกพิลั่นน่าพิศวงเท่ากับอีกสิ่งหนึ่งนั่นเอง แต่เหมือนกับที่แล้วๆ มา จิตของผมยังคงเกาะยึดอยู่กับรายละเอียดอันปราศจากเหตุผลเพื่อว่าจะคงความสมดุลเดิมๆ เอาไว้
"อย่าสู้กับมัน" ผมได้ยินดอนฮวนพูด
ผมรู้สึกว่า สิ่งหนึ่งที่อยู่ในตัวของผมกำลังจะปรากฏออกมา ความคิดและภาพต่างๆ เกิดเนื่องกันเป็นลูกคลื่นโดยไม่อาจควบคุมไว้ได้เลยเหมือนกับว่าผมหลับไป ผมตาค้างจ้องมองดูรถ พูดอะไรไม่ออก มันจอดอยู่บนที่ราบมีก้อนหินตั้งอยู่ทั่วไปห่างจากผมประมาณ ๑๐๐ ฟุต มันเหมือนกับว่าใครคนหนึ่งเพิ่งเอามันมาวางไว้ตรงนั้น ผมวิ่งไปที่รถแล้วตรวจดูทุกสิ่ง
"ไอ้ห่..........!" ดอนฮวนอุทานออกมา "อย่าจ้องดูรถ แต่จง หยุดโลก เสีย!"
ต่อจากนั้นผมได้ยินเสียงของดอนฮวนตะโกนออกมาเหมือนกับอยู่ในความฝันว่า
"หมวกของเกนาโร! หมวกของเกนาโร!"
ผมมองดูสองคนนั้น พวกเขาจ้องตรงมายังตัวผม ผมปวดหัวขึ้นมาทันทีและรู้สึกว่าจับไข้
ดอนฮวนและดอนเกนาโรมองมาทางผมอย่างสงสัย ผมทรุดนั่งลงข้างตัวรถครู่หนึ่ง และต่อมาเกือบจะเป็นไปโดยอัตโนมัติ ผมเปิดประตูรถให้ดอนเกนาโรนั่งที่เบาะด้านหลัง ดอนฮวนก้าวตามเข้าไปและนั่งข้างดอนเกนาโร ผมคิดว่านั่นเป็นเรื่องที่แปลกมาก เพราะตามปกติดอนฮวนจะนั่งที่เบาะนั่งด้านหน้าเสมอไป
ผมขับรถไปที่บ้านของดอนฮวนในสภาพที่มึนงง ผมไม่ได้เป็นตัวของตัวเองเลย กระเพาะของผมผิดปกติเป็นอย่างมาก และความรู้สึกคลื่นเหียนอยากจะอาเจียนออกมาได้ ทำให้ความสุขุมรอบคอบลดน้อยถอยลง ผมขับรถเหมือนกับเป็นเครื่องจักรกลชนิดหนึ่ง
ผมได้ยินเสียงของดอนฮวนและดอนเกนาโรหัวเราะกันดังๆ และบางคราวก็ปล่อยเสียงคิกๆ ออกมาเหมือนกับเด็ก ผมได้ยินดอนฮวนถามออกมาว่า
"ใกล้จะถึงหรือยังล่ะ"
ตอนนี้เองที่ผมตั้งใจดูที่ถนน เราใกล้จะถึงตัวบ้านแล้วจริงๆ
"ใกล้จะถึงแล้วละ" ผมพึมพำออกมา
ทั้งสองหัวเราะก้องออกมา พร้อมกับปรบมือและตบที่สะโพก
เมื่อเรามาถึงบ้าน ผมกระโดดลงจากรถอย่างกับเครื่องจักรแล้วเปิดประตูให้กับหมอผีทั้งสอง ดอนเกนาโรก้าวออกมาเป็นคนแรกพร้อมกับแสดงความยินดีกับผมในสิ่งที่แกบอกว่าเป็นการนั่งรถที่ราบเรียบ สบายที่สุดเท่าที่แกเคยประสบมาในชีวิต ดอนฮวนก็พูดอย่างเดียวกัน ผมไม่ใส่ใจกับทั้งสองคนนั้นมากนัก
ผมล็อคประตูรถและจอดมันไว้เกือบชิดกับตัวบ้าน ได้ยินดอนฮวนและดอนเกนาโรหัวเราะดังก้อง ก่อนที่ผมจะเคลิ้มหลับไป
--------------------------------------------------------------------------------
http://olddreamz.com/bookshelf/ixtlan/ixtlan.html
และข้อสรุปของผมจึงมีว่าถ้าหากผมมีสติตื่นตัวอยู่แล้ว จะมีขณะหนึ่งที่ผมสูญเสียลำดับต่อเนื่องของกาละได้ หากยกตัวอย่างก็จะคล้ายกับว่าในขณะหนึ่งผมกำลังมองดูภูเขาลูกหนึ่ง แต่ต่อมาในอีกขณะหนึ่งของความรับรู้นั้น ผมกลับพบว่าตัวเองกำลังมองดูหุบเขาที่อยู่ในทิศตรงกันข้ามโดยจำไม่ได้เลยว่าได้หันมามองดู ผมรู้สึกว่าถ้าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นในลักษณะดังกล่าวนี้ ผมก็สามารถที่จะอธิบายว่าอะไรเกิดขึ้นกับรถของผม บางทีอาจเป็นเรื่องของการสะกดจิตก็ได้ ผมตัดสินใจลงไปว่าสิ่งเดียวเท่านั้นที่ผมจะทำได้คือ เฝ้าดูทุกสิ่งทุกอย่างในรายละเอียดอย่างถี่ถ้วน
"รถของผมอยู่ที่ไหน" ผมพุ่งคำถามไปยังทั้งสองคน
"รถอยู่ที่ไหนเกนาโร" ดอนฮวนถาม สีหน้าบ่งบอกถึงความจริงจังอย่างที่สุด ดอนเกนาโรเริ่มพลิกก้อนหินก้อนเล็กๆ แล้วมองดูภายใต้ก้อนหินเหล่านั้น แกพลิกก้อนหินอย่างเอาเป็นเอาตายทั่วทั้งบริเวณที่ผมจอดรถเอาไว้ แกพลิกดูก้อนหินทุกก้อนจริงๆ บางครั้งแกจะแกล้งทำเป็นโกรธแล้วขว้างหินก้อนนั้นไปที่พุ่มไม้
ดอนฮวนดูจะสนุกสนานกับละครฉากนี้เกินกว่าที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูด แกหัวเราะคิกๆ แล้วเปล่งเสียงออกมาอย่างดังและดูเหมือนจะลืมไปเลยทีเดียวว่าผมอยู่ที่นั่นด้วย
ดอนเกนาโรเพิ่งจะเหวี่ยงหินก้อนหนึ่งออกไป เพื่อแสดงท่าว่าหงุดหงิด เมื่อแกมาถึงหินใหญ่มากก้อนหนึ่งซึ่งเป็นก้อนที่หนักและใหญ่ที่สุดในบริเวณนั้น แกพยายามที่จะพลิกหินก้อนนั้น แต่หินหนักมากและจมลึกลงไปในดิน ดอนเกนาโรใช้ความพยายามและหายใจฮืดฮาดเหงื่อท่วมตัว ในที่สุดแกนั่งลงบนหินก้อนนั้นแล้วเรียกดอนฮวนให้ไปช่วย
ดอนฮวนหันมาทางผมพร้อมกับยิ้มกว้างพลางพูดว่า
"มาสิมาช่วยเกนาโร"
"แกกำลังทำอะไร" ผมถาม
"แกกำลังหารถของคุณนะสิ" ดอนฮวนตอบตามความจริง
"สวรรค์โปรด! แกจะพบรถอยู่ใต้ก้อนหินได้อย่างไรกัน" ผมค้าน
"สวรรค์กรุณา ทำไมจึงจะไม่พบที่นั่นล่ะ" ดอนเกนาโรแย้ง แล้วทั้งสองหัวเราะอย่างดัง
เราขยับหินก้อนนั้นไม่ได้ ดอนฮวนแนะให้กลับไปที่บ้านเพื่อหาไม้ท่อนโตมาทำเป็นคานงัด
ขณะที่เดินกลับไปยังบ้าน ผมบอกกับทั้งสองว่าการกระทำของพวกเขาเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ สำหรับผม ไม่ว่าทั้งสองทำอะไรอยู่ก็ตามย่อมเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นจะต้องทำเลย ดอนเกนาโรจ้องเขม็งมาทางผม
"เกนาโรเป็นคนละเอียดถี่ถ้วน" ดอนฮวนพูดด้วยน้ำเสียงบ่งถึงความจริงจัง "แกเป็นคนถี่ถ้วนและจริงจังเหมือนกับคุณ คุณเองก็พูดอยู่เสมอว่า คุณไม่เคยละก้อนหินวางทิ้งไว้โดยไม่พลิกขึ้นมาด ู(เป็นคำล้อเลียนจากสำนวนภาษาอังกฤษที่ว่า "Don't leave the stone unturned"-ผู้แปล) ไม่ใช่หรือ เกนาโรก็ทำอย่างเดียวกัน"
ดอนเกนาโรตบที่ไหล่ของผมแล้วบอกว่า ดอนฮวนพูดถูกแล้ว และเป็นความจริงทีเดียวที่แกอยากจะเป็นเหมือนผม แกมองมาทางผมด้วยแววตาที่มีประกายกล้าแล้วผึ่งรูจมูกออกให้กว้าง
ดอนฮวนปรบมือแล้วเหวี่ยงหมวกลงกับพื้น
หลังจากหาอยู่นานในบริเวณบ้าน ดอนเกนาโรก็พบกิ่งไม้ท่อนโตซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของขื่อ แกแบกไม้ท่อนนั้นแล้วเดินกลับมายังที่ที่รถของผมจอดอยู่
ขณะที่เราเดินขึ้นเนินอยู่นั้นและเกือบจะมาถึงยอดเนินก่อนที่จะมองลงไปเห็นบริเวณที่ผมจอดรถไว้ ผมรู้สึกขึ้นมาว่าผมจะพบรถก่อนทั้งสองคน แต่เมื่อผมมองลงไปข้างล่าง กลับไม่เห็นรถจอดอยู่ที่เชิงเนินนั้นเลย
ดอนฮวนและดอนเกนาโรคงเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมดี ทั้งสองวิ่งตามผมลงไปพร้อมกับหัวเราะอย่างดัง เมื่อเราลงมาถึงเชิงเนิน ทั้งสองก็เริ่มออกแรงงัดก้อนหินในทันที ผมดูอยู่ครู่หนึ่ง การกระทำของพวกเขาเป็นสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ ทั้งสองไม่ได้แกล้งทำเป็นว่าทำงาน แต่ลงแรงจริงๆ จังๆ ที่จะพลิกหินก้อนนั้นเพื่อจะดูว่ารถของผมซ่อนอยู่ข้างล่างหรือเปล่า นั่นรู้สึกจะเกินไปหน่อยสำหรับผมและผมเข้าไปช่วย ทั้งสองหอบตัวโยนและร้องตะโกนออกมา ส่วนดอนเกนาโรหอนเหมือนกับหมาป่าไคโยติ ร่างเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ผมเห็นว่าร่างกายของทั้งสองคนนั้นแข็งแรงจริง ๆ โดยเฉพาะร่างกายของดอนฮวน ขณะที่ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับสองคนนั้น ผมเป็นเพียงชายหนุ่มร่างบอบบางเท่านั้น
ไม่นานนักผมก็เหงื่อไหลโชกตัว และในที่สุดเราก็พลิกหินก้อนนั้นได้สำเร็จ ดอนเกนาโรตรวจดูดินที่อยู่ข้างล่างของก้อนหินอย่างเชื่องช้าอดทน แทบจะทำให้คลั่ง แกตรวจดูอย่างละเอียดลออ
"ไม่หรอก รถไม่ได้อยู่ที่นี่" แกประกาศออกมา
คำประกาศนั้นทำให้ทั้งสองหัวเราะกลิ้งอยู่บนพื้น
ผมหัวเราะออกมาอย่างหวาดๆ ดอนฮวนชักกระตุกราวกับว่าได้รับความเจ็บปวด แกเอามือปิดหน้าแล้วนอนลงในขณะที่ร่างของแกสั่นเนื่องจากการหัวเราะ
"เราจะไปทางทิศไหนต่อล่ะตอนนี้" ดอนเกนาโรถามหลังจากที่พักเหนื่อยอยู่นาน
ดอนฮวนชี้ทิศด้วยการผงกหัว
"เราจะไปไหนอีกล่ะ" ผมถาม
"ไปหารถของคุณน่ะสิ!" ดอนฮวนพูด และยิ้มโดยไม่เผยอริมฝีปาก
ทั้งสองเดินขนาบผมไปเหมือนเดิมขณะที่เรามุ่งสู่ป่าละเมาะ ดอนเกนาโรทำสัญญาณให้หยุดเมื่อเดินไปได้ไม่กี่หลา แกย่องไปยังพุ่มไม้รูปกลมอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว แล้วมองเข้าไปดูกิ่งก้านที่อยู่ข้างในแล้วบอกว่า รถไม่ได้อยู่ที่นั่น เราเดินต่อไปอีกครู่หนึ่งแล้วดอนเกนาโรทำสัญญาณด้วยมือให้เราเงียบเสียง แกดัดหลังในขณะที่แกยืนอยู่บนปลายเท้าแล้วเหยียดแขนทั้งสองไว้เหนือศีรษะ นิ้วมือของแกขยุ้มเข้ามาเหมือนกับกรงเล็บของสัตว์ จากจุดที่ผมยืนก็จะมองเห็นร่างของดอนเกนาโรมีรูปร่างเหมือนกับตัวอักษร S แกยืนอยู่ในท่านั้นครู่หนึ่งแล้วขณะต่อมาแกพุ่งหลาวเข้าไปที่กิ่งไม้กิ่งยาวมีใบไม้แห้งติดอยู่เต็ม แกยกกิ่งไม้ขึ้นมาอย่างระมัดระวังแล้วตรวจดูอย่างละเอียดเพียงเพื่อจะกล่าวออกมาในที่สุดว่า รถไม่ได้อยู่ที่นั่น
ขณะที่เราเดินเข้าไปในป่าละเมาะ ดอนเกนาโรจะมองเข้าไปหลังพุ่มไม้และปีนขึ้นไปบนต้นไม้เล็กๆ เพื่อมองเข้าไปตามใบเพียงเพื่อจะกล่าวออกมาในที่สุดว่า รถไม่ได้อยู่ที่นั่นอีกเหมือนกัน
ในขณะเดียวกันนั้นผมก็กำหนดจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมได้สัมผัสและมองเห็นโดยละเอียดรอบคอบ
การเห็นโลกโดยรอบในฐานะที่เป็นสิ่งต่อเนื่องและมีระเบียบเป็นไปโดยลำดับเหมือนกับที่เคยเห็นมาก่อน ผมสัมผัสกับก้อนหิน พุ่มไม้ ต้นไม้ ผมเหสายตาจากด้านหน้ามาสู่ด้านหลัง ด้วยการมองตาข้างหนึ่งและต่อมาก็มองด้วยตาอีกข้างหนึ่ง จากการคาดคะเนเท่าที่จะทำได้ผมกำลังเดินอยู่ในป่าละเมาะเหมือนกับที่เคยเดินในสถานที่เช่นนี้นับครั้งไม่ถ้วนในระหว่างการมีชีวิตอย่างธรรมดาๆ ของผม
ต่อมาดอนเกนาโรนอนพังพาบลงไป เราทำตามด้วย แกวางคางไว้กับมือที่ประสานกันเอาไว้ ดอนฮวนก็ทำอย่างเดียวกัน
ทั้งสองมองดูตะปุ่มตะป่ำบนพื้นดิน ซึ่งมองดูแล้วเหมือนกับภูเขาเล็กๆ ทันใดนั้นดอนเกนาโรกวาดมือขวาออกไปอย่างรวดเร็วแล้วกำอะไรอย่างหนึ่งเอาไว้ แกรีบลุกขึ้นนั่ง ดอนฮวนก็ทำอย่างเดียวกัน ดอนเกนาโรยื่นมือที่กำไว้มาเบื้องหน้าของเรา แล้วทำสัญญาณให้เราเข้าไปใกล้เพื่อจะมองดูได้ถนัด แกคลายมือที่กำไว้นั้นออกช้าๆ เมื่อมันคลายออกสักกึ่งเหยียดก็มีวัตถุสีดำบินออกมา มันพุ่งออกมาโดยกะทันหัน และเจ้าสิ่งบินได้นั้นใหญ่มากจนผมต้องกระโดดฉากออกมาและเกือบจะล้มลงไป ดอนฮวนยันตัวของผมเอาไว้
"นั่นก็ไม่ใช่รถอีกนะแหละ" ดอนเกนาโรบ่น "มันคือแมลงวันระยำตัวหนึ่งเท่านั้นเอง ขอโทษ!"
ทั้งสองพินิจพิจารณาดูผม พวกเขายืนอยู่ข้างหน้าของผมจึงไม่ได้มองมาตรงๆ แต่ชำเลืองดูจากหางตา พวกเขามองดูผมในลักษณะนั้นอยู่นาน
"มันคือแมลงวัน ใช่หรือเปล่าล่ะ" ดอนเกนาโรถาม
"ผมก็คิดอย่างนั้น" ผมตอบ
"อย่าคิด" ดอนฮวนสั่ง "คุณเห็นอะไรล่ะ"
"ผมเห็นสิ่งหนึ่งใหญ่พอๆ กับอีกาบินออกมาจากกำมือของดอนเกนาโร" ผมตอบ
ผมพูดตรงกับสิ่งที่ผมเห็นจริงๆ ผมไม่ตั้งใจที่จะพูดให้ตลก แต่พวกเขาถือเอาคำพูดนั้นเป็นสิ่งน่าขำเสียเต็มประดา ทั้งสองกระโดดลงพร้อมกับหัวเราะจนเหงื่อโชกตัว
"ผมคิดว่าคาลอสเต็มที่แล้วหละ" ดอนฮวนพูด เสียงของแกแหบห้าวเพราะหัวเราะอยู่นาน ดอนเกนาโรบอกว่า แกเกือบจะพบรถของผมแล้ว และความรู้สึกเช่นนั้นร้อนยิ่งขึ้นทุกที ดอนฮวนพูดว่า เราอยู่ในที่ขรุขระตะปุ่มตะป่ำ และการหารถในที่เช่นนี้คงไม่พบหรอก ดอนเกนาโรถอดหมวกออกแล้วเอาเชือกออกมาจากย่ามมาผูกเข้ากับสายรัดคาง และแกเอาเข็มขัดผ้าขนสัตว์มาผูกโยงเข้ากับพู่หมวกสีเหลืองที่ห้อยอยู่กับปีกหมวกทั้งสองข้าง
"ผมจะทำว่าวด้วยหมวกใบนี้" แกพูดกับผม
ผมเฝ้าดูการกระทำของแกและรู้ว่าแกเล่นตลก ผมให้ความสำคัญกับตัวเองเสมอ ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องว่าวคนหนึ่ง ในสมัยที่ผมเป็นเด็กผมเคยทำว่าวชนิดที่ซับซ้อนที่สุด และผมทราบดีว่าใบหมวกที่สานด้วยฟางนั้นอ่อนเกินกว่าที่จะต้านลมไว้ได้ อีกอย่างหนึ่ง ยอดของหมวกก็ลึกมากและลมจะหมุนอยู่ข้างใน ทำให้มันไม่อาจยกหมวกให้ลอยขึ้นไปได้
"คุณไม่คิดว่ามันจะลอยขึ้นไปได้จริง ๆ ใช่ไหม" ดอนฮวนถามผม
"ผมรู้ว่ามันไม่ขึ้นแน่ๆ" ผมตอบ ดอนเกนาโรไม่สนใจ และเอาเชือกมามัดกับว่าวที่ทำด้วยหมวกนั้นจนเสร็จ
วันนั้นลมพัดจัด ดอนเกนาโรเป็นผู้วิ่งลงเนินขณะที่ดอนฮวนเป็นผู้ถือหมวก ดอนเกนาโรดึงเชือกและหมวกบัดซบนั้นลอยขึ้นไปได้จริงๆ "ดูสิ ดูที่หมวก!" ดอนเกนาโรตะโกนออกมา มันโฉบวูบลงมาสองครั้ง แต่มันก็ลอยอยู่ในอากาศได้เป็นปกติ
"อย่าละสายตาออกจากหมวกใบนั้น" ดอนฮวนบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ผมรู้สึกเวียนศีรษะอยู่ครู่หนึ่ง การมองดูหมวกทำให้ระลึกถึงช่วงหนึ่งของชีวิตได้อย่างชัดเจน มันเหมือนกับผมได้เล่นว่าวอยู่จริง ๆ เมื่อลมพัดกล้าในเมืองที่ผมเคยอาศัยอยู่
ผมดื่มด่ำอยู่กับความทรงจำในอดีตอยู่ครู่หนึ่งจนผมลืมช่วงกาลเวลาขณะนั้นอย่างสนิท
ผมได้ยินดอนเกนาโรตะโกนอะไรบางอย่างเสียงดังโหวกเหวก ผมเห็นหมวกผกขึ้นผกลง และขณะนั้นมันตกลงมายังพื้นดินตรงจุดที่รถของผมจอดอยู่ มันตกลงมาด้วยความเร็วจนผมมองไม่เห็นภาพอันชัดเจนว่าอะไรเกิดขึ้น ผมรู้สึกหัวหมุนและใจลอย จิตของผมหมกมุ่นอยู่กับภาพที่สับสนว่า ผมเห็นหมวกของดอนเกนาโรกลายเป็นรถของผม หรือหมวกใบนั้นตกลงมาบนรถพอดีกันแน่ ผมอยากจะเชื่อในข้อหลังคือ ดอนเกนาโรใช้หมวกของแกชี้ว่ารถของผมอยู่ตรงไหน ไม่ว่ามันจะเป็นเช่นไร สิ่งนี้ก็พิลึกพิลั่นน่าพิศวงเท่ากับอีกสิ่งหนึ่งนั่นเอง แต่เหมือนกับที่แล้วๆ มา จิตของผมยังคงเกาะยึดอยู่กับรายละเอียดอันปราศจากเหตุผลเพื่อว่าจะคงความสมดุลเดิมๆ เอาไว้
"อย่าสู้กับมัน" ผมได้ยินดอนฮวนพูด
ผมรู้สึกว่า สิ่งหนึ่งที่อยู่ในตัวของผมกำลังจะปรากฏออกมา ความคิดและภาพต่างๆ เกิดเนื่องกันเป็นลูกคลื่นโดยไม่อาจควบคุมไว้ได้เลยเหมือนกับว่าผมหลับไป ผมตาค้างจ้องมองดูรถ พูดอะไรไม่ออก มันจอดอยู่บนที่ราบมีก้อนหินตั้งอยู่ทั่วไปห่างจากผมประมาณ ๑๐๐ ฟุต มันเหมือนกับว่าใครคนหนึ่งเพิ่งเอามันมาวางไว้ตรงนั้น ผมวิ่งไปที่รถแล้วตรวจดูทุกสิ่ง
"ไอ้ห่..........!" ดอนฮวนอุทานออกมา "อย่าจ้องดูรถ แต่จง หยุดโลก เสีย!"
ต่อจากนั้นผมได้ยินเสียงของดอนฮวนตะโกนออกมาเหมือนกับอยู่ในความฝันว่า
"หมวกของเกนาโร! หมวกของเกนาโร!"
ผมมองดูสองคนนั้น พวกเขาจ้องตรงมายังตัวผม ผมปวดหัวขึ้นมาทันทีและรู้สึกว่าจับไข้
ดอนฮวนและดอนเกนาโรมองมาทางผมอย่างสงสัย ผมทรุดนั่งลงข้างตัวรถครู่หนึ่ง และต่อมาเกือบจะเป็นไปโดยอัตโนมัติ ผมเปิดประตูรถให้ดอนเกนาโรนั่งที่เบาะด้านหลัง ดอนฮวนก้าวตามเข้าไปและนั่งข้างดอนเกนาโร ผมคิดว่านั่นเป็นเรื่องที่แปลกมาก เพราะตามปกติดอนฮวนจะนั่งที่เบาะนั่งด้านหน้าเสมอไป
ผมขับรถไปที่บ้านของดอนฮวนในสภาพที่มึนงง ผมไม่ได้เป็นตัวของตัวเองเลย กระเพาะของผมผิดปกติเป็นอย่างมาก และความรู้สึกคลื่นเหียนอยากจะอาเจียนออกมาได้ ทำให้ความสุขุมรอบคอบลดน้อยถอยลง ผมขับรถเหมือนกับเป็นเครื่องจักรกลชนิดหนึ่ง
ผมได้ยินเสียงของดอนฮวนและดอนเกนาโรหัวเราะกันดังๆ และบางคราวก็ปล่อยเสียงคิกๆ ออกมาเหมือนกับเด็ก ผมได้ยินดอนฮวนถามออกมาว่า
"ใกล้จะถึงหรือยังล่ะ"
ตอนนี้เองที่ผมตั้งใจดูที่ถนน เราใกล้จะถึงตัวบ้านแล้วจริงๆ
"ใกล้จะถึงแล้วละ" ผมพึมพำออกมา
ทั้งสองหัวเราะก้องออกมา พร้อมกับปรบมือและตบที่สะโพก
เมื่อเรามาถึงบ้าน ผมกระโดดลงจากรถอย่างกับเครื่องจักรแล้วเปิดประตูให้กับหมอผีทั้งสอง ดอนเกนาโรก้าวออกมาเป็นคนแรกพร้อมกับแสดงความยินดีกับผมในสิ่งที่แกบอกว่าเป็นการนั่งรถที่ราบเรียบ สบายที่สุดเท่าที่แกเคยประสบมาในชีวิต ดอนฮวนก็พูดอย่างเดียวกัน ผมไม่ใส่ใจกับทั้งสองคนนั้นมากนัก
ผมล็อคประตูรถและจอดมันไว้เกือบชิดกับตัวบ้าน ได้ยินดอนฮวนและดอนเกนาโรหัวเราะดังก้อง ก่อนที่ผมจะเคลิ้มหลับไป
--------------------------------------------------------------------------------
http://olddreamz.com/bookshelf/ixtlan/ixtlan.html