ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: เมษายน 27, 2011, 09:26:56 pm » คำอธิบายของดอนฮวนเป็นเหมือนกับสิ่งที่มากระตุ้น ความหมายทั้งหมดที่มีในเรื่องราวของดอนเกนาโรกระทบใจของผมทันทีที่ผมเทียบเคียงเรื่องดังกล่าวกับชีวิตของผม
"แล้วผู้คนที่ผมรักล่ะ" ผมถามดอนฮวน "อะไรจะเกิดขึ้นกับคนเหล่านั้น"
"พวกเขาจะถูกละไว้เบื้องหลัง" แกตอบ
"ไม่มีทางที่ผมจะได้คนเหล่านั้นกลับมาเลยหรือ ผมจะช่วยเหลือหรือพาพวกเขาไปด้วยได้ไหม"
"ไม่ได้หรอกพันธมิตรของคุณจะเหวี่ยงให้คุณเข้าสู่ดินแดนอันไม่เป็นที่รู้จักเพียงคนเดียวเท่านั้น"
"แต่ผมกลับลอสแองเจอลิสได้ไม่ใช่หรือ ผมอาจขึ้นรถยนต์หรือนั่งเครื่องบินไปที่นั่น ลอสแองเจอลิสยังคงอยู่ที่เดิมใช่หรือเปล่า"
"แน่นอน" ดอนฮวนตอบพลางหัวเราะออกมา
"และเมืองแมนเตค่า เมือเตเมคูล่า และเมืองทุกสันก็ยังคงอยู่ที่เดิมด้วย"
"และเมืองเตคาเต้ด้วยนะ" ดอนเกนาโรเสริมขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง
"และเมืองเปดราส เนกราสและเมืองแทรงควิตาสอีกด้วย" ดอนฮวนพูดพร้อมกับยิ้ม
ดอนเกนาโรเอ่ยถึงชื่อเมืองอีกหลายชื่อ ดอนฮวนก็ทำอย่างเดียวกัน และทั้งสองยุ่งอยู่กับการจาระไนชื่อพิลึกกึกกือไม่น่าเชื่อว่าจะมีของเมืองน้อยใหญ่มากมาย
"การหมุนติ้วไปกับพันธมิตรของคุณนั้นจะเปลี่ยนแนวคิดที่คุณมีต่อโลกนี้" ดอนฮวนบอก "ความคิดเป็นทุกสิ่งทุกอย่างและเมื่อความคิดเปลี่ยน โลกก็เปลี่ยนไปด้วย"
แกเตือนให้ผมระลึกถึงครั้งหนึ่งที่ผมอ่านบทกวีบทหนึ่งให้แกฟัง แกอยากจะให้ผมท่องบทกวีนั้นอีกครั้ง แกแนะคำบางคำให้และผมจำได้ว่าเคยอ่านบทกวีบางบทของ ฮวน รามอน จิแมแนส ให้ดอนฮวนฟัง บทที่ดอนฮวนกล่าวถึงมีชื่อว่า "การจาริกไปครั้งสุดท้าย"
ผมท่องบทกวีบทนั้น
"....และผมจะจากไป
แต่หมู่วิหคจะยังอยู่ที่นี่และส่งเสียงร้อง
และสวนของผมก็ยังอยู่ที่เดิม
มีต้นไม้สีเขียวและมีบ่อน้ำ
เวลาบ่ายมากมายนั้นท้องฟ้าจะมีสีคราม เรียบสงบ
ระฆังที่หอคอยจะส่งเสียงดังกังวาน
เหมือนกับที่มันดังก้องอยู่ในบ่ายวันนี้
ผู้คนที่รักจะตายจาก
และเมืองแห่งนี้จะขยายออกไปใหม่ทุกปี
แต่วิญญาณของผมจะเร่ร่อนไปด้วยความรู้สึกถวิลหา
ถึงมุมพิเศษมุมหนึ่งในสวนดอกไม้ของผม"
"นั่นเป็นความรู้สึกที่เกนาโรพูดถึง" ดอนฮวนพูด "การที่จะเป็นหมอผีได้นั้นคุณต้องดื่มด่ำอย่างล้ำลึกในสิ่งต่าง ๆ คนที่หลงใหลอย่างดูดดื่มเช่นนี้ย่อมมีสิ่งอันเป็นที่รัก และทรัพย์สมบัติอย่างโลก ๆ หรือถ้าไม่มีอะไรอื่นเลย ก็จะมีเพียงทางที่เขาเดินอยู่
"สิ่งที่เกนาโรบอกในนิยายของแก สรุปแล้วคือ เกนาโรละความดื่มด่ำผูกพันของแกไว้ที่อิกซท์แลน แกละบ้าน ละคนที่แกรัก และละทุกสิ่งทุกอย่างที่แกใส่ใจระวังรักษา และขณะนี้แกเร่ร่อนไปในความรู้สึกต่าง ๆ ดังที่แกบอกไว้ บางครั้งแกเกือบจะไปถึงอิกซท์แลน เราทุกคนมีสิ่งนี้เหมือนกัน แต่สำหรับเกนาโรมันคืออิกซท์แลน ส่วนคุณเป็นลอสแองเจอลิส ส่วนผม..."
ผมไม่อยากให้ดอนฮวนบอกถึงเรื่องของแก แกหยุดพูดราวกับว่าแกอ่านความคิดของผมออก
ดอนเกนาโรถอนหายใจแล้วกล่าวถอดความในบรรทัดแรกของบทกวีที่ผมท่อง
"ผมจากที่นั่นมาแล้ว
แต่หมู่นกยังคงอยู่ กำลังส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว......."
ชั่วขณะหนึ่งที่ผมรู้สึกถึงคลื่นแห่งความปวดร้าวและอ้างว้าง อันไม่อาจกล่าวออกมาเป็นถ้อยคำได้จู่เข้ามาโอบล้อมเราทั้งสามไว้ ผมมองไปยังดอนเกนาโรและทราบดีว่า เนื่องจากที่เป็นคนดื่มด่ำผูกพันกับทุกสิ่งทุกอย่าง แกต้องมีสายโยงใยร้อยรัดใจของแกอยู่มากมาย มีหลายสิ่งที่แกใส่ใจรักใคร่และหลายสิ่งที่แกละไว้เบื้องหลัง ผมรู้สึกชัดขึ้นมาว่า ขณะนั้นพลังแห่งความทรงจำของดอนเกนาโรกำลังจะพรั่งพรูออกมาและแกเกือบจะร้องไห้อยู่แล้ว ผมรีบถอนสายตาไปทางอื่น
ความเป็นผู้ดื่มด่ำผูกพันอยู่กับทุกสิ่ง และความอ้างว้างอย่างมากมายของดอนเกนาโรทำให้ผมร้องไห้ ผมมองดูดอนฮวน แกกำลังจ้องดูผมอยู่
"การมีชีวิตอย่างนักรบเท่านั้น จึงจะรอดตายจากวิถีแห่งความรอบรู้ได้" แกพูด "เพราะว่าศิลปะของนักรบคือ การทำให้สมดุลย์ระหว่างความน่าสยดสยองในความเป็นคน กับความน่าพิศวงในความเป็นมนุษย์"
ผมมองดูพวกเขาทีละคน นัยน์ตาของพวกเขาแจ่มใสและสงบ ทั้งสองเรียกเอาคลื่นแห่งความถวิลหาอันรุนแรงนั้นกลับเข้ามา
และขณะที่เกือบจะพรั่งพรูน้ำตาร้องไห้ฟูมฟายออกมานั้น พวกเขากลับดึงเอาคลื่นที่โถมทับเข้ามานั้นกลับคืนเสีย ชั่วแวบหนึ่งที่ผมคิดว่าผม เห็น
ผมเห็นความโดดเดี่ยวอ้างว้างของมนุษย์เหมือนกับคลื่นลูกมหึมาซึ่งจับตัวแข็งอยู่เบื้องหน้าของผม ถูกกั้นไว้ด้วยกำแพงแห่งอุปมาอุปมัยที่มองไม่เห็น ความเศร้าเต็มตื้นขึ้นมาทำให้ผมรู้สึกปริ่ม ๆ ผมโอบกอดทั้งสองคนนั้น ดอนเกนาโรยิ้มแล้วลุกยืนขึ้น ดอนฮวนยืนขึ้นด้วย แล้ววางมือลงบนบ่าของผม
"เราจะปล่อยคุณไว้ที่นี่" แกบอก "จงทำในสิ่งที่คุณคิดว่าเหมาะสม พันธมิตรของคุณจะคอยคุณอยู่ตรงขอบที่ราบแห่งนี้"
แกชี้ไปยับหุบเขาที่มืดสลัวไกลออกไป
"ถ้าคุณรู้สึกว่าคราวนี้ยังไม่ถึงเวลา ก็อย่าไปพบกับเขา" ดอนฮวนพูดต่อ
"ไม่มีผลเกิดขึ้นจากการบังคับให้ตัวเองทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้าคุณอยากจะมีชีวิตรอดมาให้ได้ คุณต้องชัดแจ๋วเหมือนกับผลึกแก้ว และมั่นใจในตัวเองอย่างมหันต์"
ดอนฮวนเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองดูผมอีก แต่ดอนเกนาโรหันกลับมาดูสองครั้งพร้อมกับกระตุ้นผมด้วยการขยิบตาและผงกหัวให้มุ่งไปข้างหน้า
ผมมองดูจนทั้งสองลับตัวไป
ต่อจากนั้นผมเดินกลับมาที่รถแล้วขับหนีไป
ผมทราบว่า เวลาของผมยังไม่มาถึง
--------------------------------------------------------------------------------
El VIAJE DEFINITIVO
....Y yo me iré. Y se quedarán los pájaros cantando;
y se quedará mi huerto, con su verde árbol,
y con su pozo blanco.
Todas la tardes, el cielo será azul y plácido;
y tocarán, como esta tarde están tocando,
las campanas del campanario.
Se morirán aquellos que me amaron;
y el pueblo se hará nuevo cada año;
y en el rincón aquel de mi huerto florido y encalado.
mi espiritu errará, nostálgico…
Y yo me iré; y estaré solo, sin hogar, sin árbol
verde, sin pozo blanco,
sin cielo azul y plácido…
Y se quedarán los pájaros cantando.
Juan Ramón Jiménez
http://olddreamz.com/bookshelf/ixtlan/ixtlan.html
"แล้วผู้คนที่ผมรักล่ะ" ผมถามดอนฮวน "อะไรจะเกิดขึ้นกับคนเหล่านั้น"
"พวกเขาจะถูกละไว้เบื้องหลัง" แกตอบ
"ไม่มีทางที่ผมจะได้คนเหล่านั้นกลับมาเลยหรือ ผมจะช่วยเหลือหรือพาพวกเขาไปด้วยได้ไหม"
"ไม่ได้หรอกพันธมิตรของคุณจะเหวี่ยงให้คุณเข้าสู่ดินแดนอันไม่เป็นที่รู้จักเพียงคนเดียวเท่านั้น"
"แต่ผมกลับลอสแองเจอลิสได้ไม่ใช่หรือ ผมอาจขึ้นรถยนต์หรือนั่งเครื่องบินไปที่นั่น ลอสแองเจอลิสยังคงอยู่ที่เดิมใช่หรือเปล่า"
"แน่นอน" ดอนฮวนตอบพลางหัวเราะออกมา
"และเมืองแมนเตค่า เมือเตเมคูล่า และเมืองทุกสันก็ยังคงอยู่ที่เดิมด้วย"
"และเมืองเตคาเต้ด้วยนะ" ดอนเกนาโรเสริมขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง
"และเมืองเปดราส เนกราสและเมืองแทรงควิตาสอีกด้วย" ดอนฮวนพูดพร้อมกับยิ้ม
ดอนเกนาโรเอ่ยถึงชื่อเมืองอีกหลายชื่อ ดอนฮวนก็ทำอย่างเดียวกัน และทั้งสองยุ่งอยู่กับการจาระไนชื่อพิลึกกึกกือไม่น่าเชื่อว่าจะมีของเมืองน้อยใหญ่มากมาย
"การหมุนติ้วไปกับพันธมิตรของคุณนั้นจะเปลี่ยนแนวคิดที่คุณมีต่อโลกนี้" ดอนฮวนบอก "ความคิดเป็นทุกสิ่งทุกอย่างและเมื่อความคิดเปลี่ยน โลกก็เปลี่ยนไปด้วย"
แกเตือนให้ผมระลึกถึงครั้งหนึ่งที่ผมอ่านบทกวีบทหนึ่งให้แกฟัง แกอยากจะให้ผมท่องบทกวีนั้นอีกครั้ง แกแนะคำบางคำให้และผมจำได้ว่าเคยอ่านบทกวีบางบทของ ฮวน รามอน จิแมแนส ให้ดอนฮวนฟัง บทที่ดอนฮวนกล่าวถึงมีชื่อว่า "การจาริกไปครั้งสุดท้าย"
ผมท่องบทกวีบทนั้น
"....และผมจะจากไป
แต่หมู่วิหคจะยังอยู่ที่นี่และส่งเสียงร้อง
และสวนของผมก็ยังอยู่ที่เดิม
มีต้นไม้สีเขียวและมีบ่อน้ำ
เวลาบ่ายมากมายนั้นท้องฟ้าจะมีสีคราม เรียบสงบ
ระฆังที่หอคอยจะส่งเสียงดังกังวาน
เหมือนกับที่มันดังก้องอยู่ในบ่ายวันนี้
ผู้คนที่รักจะตายจาก
และเมืองแห่งนี้จะขยายออกไปใหม่ทุกปี
แต่วิญญาณของผมจะเร่ร่อนไปด้วยความรู้สึกถวิลหา
ถึงมุมพิเศษมุมหนึ่งในสวนดอกไม้ของผม"
"นั่นเป็นความรู้สึกที่เกนาโรพูดถึง" ดอนฮวนพูด "การที่จะเป็นหมอผีได้นั้นคุณต้องดื่มด่ำอย่างล้ำลึกในสิ่งต่าง ๆ คนที่หลงใหลอย่างดูดดื่มเช่นนี้ย่อมมีสิ่งอันเป็นที่รัก และทรัพย์สมบัติอย่างโลก ๆ หรือถ้าไม่มีอะไรอื่นเลย ก็จะมีเพียงทางที่เขาเดินอยู่
"สิ่งที่เกนาโรบอกในนิยายของแก สรุปแล้วคือ เกนาโรละความดื่มด่ำผูกพันของแกไว้ที่อิกซท์แลน แกละบ้าน ละคนที่แกรัก และละทุกสิ่งทุกอย่างที่แกใส่ใจระวังรักษา และขณะนี้แกเร่ร่อนไปในความรู้สึกต่าง ๆ ดังที่แกบอกไว้ บางครั้งแกเกือบจะไปถึงอิกซท์แลน เราทุกคนมีสิ่งนี้เหมือนกัน แต่สำหรับเกนาโรมันคืออิกซท์แลน ส่วนคุณเป็นลอสแองเจอลิส ส่วนผม..."
ผมไม่อยากให้ดอนฮวนบอกถึงเรื่องของแก แกหยุดพูดราวกับว่าแกอ่านความคิดของผมออก
ดอนเกนาโรถอนหายใจแล้วกล่าวถอดความในบรรทัดแรกของบทกวีที่ผมท่อง
"ผมจากที่นั่นมาแล้ว
แต่หมู่นกยังคงอยู่ กำลังส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว......."
ชั่วขณะหนึ่งที่ผมรู้สึกถึงคลื่นแห่งความปวดร้าวและอ้างว้าง อันไม่อาจกล่าวออกมาเป็นถ้อยคำได้จู่เข้ามาโอบล้อมเราทั้งสามไว้ ผมมองไปยังดอนเกนาโรและทราบดีว่า เนื่องจากที่เป็นคนดื่มด่ำผูกพันกับทุกสิ่งทุกอย่าง แกต้องมีสายโยงใยร้อยรัดใจของแกอยู่มากมาย มีหลายสิ่งที่แกใส่ใจรักใคร่และหลายสิ่งที่แกละไว้เบื้องหลัง ผมรู้สึกชัดขึ้นมาว่า ขณะนั้นพลังแห่งความทรงจำของดอนเกนาโรกำลังจะพรั่งพรูออกมาและแกเกือบจะร้องไห้อยู่แล้ว ผมรีบถอนสายตาไปทางอื่น
ความเป็นผู้ดื่มด่ำผูกพันอยู่กับทุกสิ่ง และความอ้างว้างอย่างมากมายของดอนเกนาโรทำให้ผมร้องไห้ ผมมองดูดอนฮวน แกกำลังจ้องดูผมอยู่
"การมีชีวิตอย่างนักรบเท่านั้น จึงจะรอดตายจากวิถีแห่งความรอบรู้ได้" แกพูด "เพราะว่าศิลปะของนักรบคือ การทำให้สมดุลย์ระหว่างความน่าสยดสยองในความเป็นคน กับความน่าพิศวงในความเป็นมนุษย์"
ผมมองดูพวกเขาทีละคน นัยน์ตาของพวกเขาแจ่มใสและสงบ ทั้งสองเรียกเอาคลื่นแห่งความถวิลหาอันรุนแรงนั้นกลับเข้ามา
และขณะที่เกือบจะพรั่งพรูน้ำตาร้องไห้ฟูมฟายออกมานั้น พวกเขากลับดึงเอาคลื่นที่โถมทับเข้ามานั้นกลับคืนเสีย ชั่วแวบหนึ่งที่ผมคิดว่าผม เห็น
ผมเห็นความโดดเดี่ยวอ้างว้างของมนุษย์เหมือนกับคลื่นลูกมหึมาซึ่งจับตัวแข็งอยู่เบื้องหน้าของผม ถูกกั้นไว้ด้วยกำแพงแห่งอุปมาอุปมัยที่มองไม่เห็น ความเศร้าเต็มตื้นขึ้นมาทำให้ผมรู้สึกปริ่ม ๆ ผมโอบกอดทั้งสองคนนั้น ดอนเกนาโรยิ้มแล้วลุกยืนขึ้น ดอนฮวนยืนขึ้นด้วย แล้ววางมือลงบนบ่าของผม
"เราจะปล่อยคุณไว้ที่นี่" แกบอก "จงทำในสิ่งที่คุณคิดว่าเหมาะสม พันธมิตรของคุณจะคอยคุณอยู่ตรงขอบที่ราบแห่งนี้"
แกชี้ไปยับหุบเขาที่มืดสลัวไกลออกไป
"ถ้าคุณรู้สึกว่าคราวนี้ยังไม่ถึงเวลา ก็อย่าไปพบกับเขา" ดอนฮวนพูดต่อ
"ไม่มีผลเกิดขึ้นจากการบังคับให้ตัวเองทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้าคุณอยากจะมีชีวิตรอดมาให้ได้ คุณต้องชัดแจ๋วเหมือนกับผลึกแก้ว และมั่นใจในตัวเองอย่างมหันต์"
ดอนฮวนเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองดูผมอีก แต่ดอนเกนาโรหันกลับมาดูสองครั้งพร้อมกับกระตุ้นผมด้วยการขยิบตาและผงกหัวให้มุ่งไปข้างหน้า
ผมมองดูจนทั้งสองลับตัวไป
ต่อจากนั้นผมเดินกลับมาที่รถแล้วขับหนีไป
ผมทราบว่า เวลาของผมยังไม่มาถึง
--------------------------------------------------------------------------------
El VIAJE DEFINITIVO
....Y yo me iré. Y se quedarán los pájaros cantando;
y se quedará mi huerto, con su verde árbol,
y con su pozo blanco.
Todas la tardes, el cielo será azul y plácido;
y tocarán, como esta tarde están tocando,
las campanas del campanario.
Se morirán aquellos que me amaron;
y el pueblo se hará nuevo cada año;
y en el rincón aquel de mi huerto florido y encalado.
mi espiritu errará, nostálgico…
Y yo me iré; y estaré solo, sin hogar, sin árbol
verde, sin pozo blanco,
sin cielo azul y plácido…
Y se quedarán los pájaros cantando.
Juan Ramón Jiménez
http://olddreamz.com/bookshelf/ixtlan/ixtlan.html