
ตึกโบราณหลังใหญ่ล้อมรอบด้วยอาณาบริเวณกว้างอันมีต้นไม้ใหญ่สูงสล้าง ให้ร่มเงาแผ่ปกคลุมอยู่มากมาย
น่าจะร่มรื่นเย็นสบายในเวลากลางวัน  แต่ในเวลาค่ำคืนที่ท้องฟ้ามืดมิดและและฝนตกหนักเช่นเวลานี้กลับดูน่ากลัว  ว่าไม้ใหญ่เหล่านี้อาจพากันโค่นล้มได้โดยง่ายด้วยแรงแห่งพายุฝนที่กำลังโหมกระหน่ำอย่างรุนแรงภายในตัวตึกมีแสงไฟลอดออกมาพียงบางบริเวณที่กำลังใช้งาน ส่วนอื่นๆกลับมืดมิดเหมือนร้างผู้อยู่อาศัย      มองจากภายนอกดูทะมึนทึมอยู่กลางหมู่ไม้ที่ไหวโอนเอนอยู่ไปมา  ส่วนที่มีแสงไฟลอดออกมาก็คือส่วนหน้าตึกที่  มีรถยนต์สีดำคันใหญ่รูปร่างแปลกตาอย่างชนิดที่ไม่เคยได้พบเห็นบ่อยนักไม่ต่างไปจากตัวตึกที่อยู่อาศัยเท่าใด  จอดอยู่เหมือนเตรียมไว้พร้อมที่จะออกจากบ้านในไม่ช้านี้  ข้างเคียงรถสีดำคันใหญ่มีรถสปอร์ตคันเล็กแบบทันสมัยชนิดที่เรียกได้ว่าตรงกันข้ามกับคันแรกแบบสุดขั้ว
มีเสียงสนทนาแว่วมาจากภายในพร้อมเสียงรองเท้ากระทบพื้นดังใกล้เข้ามา
“ท่านหญิงจะเด็จไปไหนเวลานี้  พายุแรงมิใช่น้อยเลยนะเพคะ”  เสียงนั้นมาจากหญิงสาวร่างบางสูงระหงอย่างที่ผู้หญิงทุกคนต้องอิจฉาในรูปร่าง รวมทั้งหน้าตาที่เรียกได้ว่าทั้งสวยทั้งหวาน  อีกร่างที่เดินเคียงข้างมาด้วยกันรูปทรงใกล้เคียงกับคนแรกความสวยก็ยากที่จะตัดสินได้  หากแต่มีอะไรอย่างหนึ่งที่....ลึกลงไปในความสวยสง่านั้น.....มีอำนาจสะกดให้....สะท้านอย่างไม่อาจบอกได้“ฉันมีงานต้องทำนะสิ  เธอนั่นแหละ อัน  ที่ไม่น่าจะรีบกลับ  ควรจะรอให้ฝนฟ้าซาลงก่อน  เธอรอกลับทีหลังจะดีกว่านะหรือจะค้างที่นี่ก็ได้  เธอก็รู้ว่าฉันอนุญาตให้เธอพักได้ตามสบายมิใช่หรือ”
เมื่อทั้งคู่เดินออกมาสู่แสงไฟจึงเห็นชัดถึงความแตกต่างของสตรีทั้งสอง  ฝ่ายหน้าหวานผมยาวบิดเป็นเกลียวสลวยผิวสีน้ำผึ้งจางๆนั้นเนียนนวลงามจับตา เครื่องประกอบหน้าที่ทำให้ดูหวานน่าจะเป็นที่รอยยิ้ม ยามที่กลีบปากคลี่ออกทุกครั้งสะกดให้ผู้เห็นยากจะละสายตาได้   แต่แปลกที่ดวงตากลับดูเศร้าสร้อยไม่ยิ้มตามไปด้วยแม้แต่น้อยส่วนผู้ที่เดินเคียงกันมารูปร่างสูงปานกันผมดำขลับราวไหมเนื้อดียาวเคลียไหล่  ผิวเหลืองนวลดั่งขี้ผึ้ง รูปหน้างามไร้ที่ติทุกสิ่งที่ประกอบเป็นเครื่องหน้าไม่ว่าปากแก้มคิ้วคางล้วนเหมาะเจาะ งามเหมือนภาพวาดมากกว่าจะเป็นคนที่มีชีวิต  ท่าเดินน่าจะเรียกได้ว่า   “เหิรอย่างหงส์" เพราะสง่างามน่าเกรงขามแม้จะด้วยท่าทางสบายๆอย่างนี้ก็เถอะ“ขอบพระทัยเพคะ แต่หม่อมฉันไม่อยากค้างโดยที่ท่านไม่อยู่  วังท่านน่ะจะว่าสวยงามก็สวยงามจริงในยามกลางวันแต่ในยามกลางคืนน่ะน่ากลัวออก  ยิ่งท่านไม่อยู่หม่อมฉันกลับดีกว่าเพคะ” ฝ่ายแรกตอบอย่างง่ายๆ
“ตามใจเธอเถอะฉันเสียใจที่อยู่เป็นเพื่อนเธอไม่ได้  วันไหนว่างก็แวะมาได้ทุกเมื่อฉันยินดีเสมอสำหรับเธอ”
“งั้นหม่อมฉันเห็นจะต้องทูลลาเพคะ”
“ไปเถอะ ขับรถระวังหน่อยก็แล้วกัน หวังว่าคงไม่คิดจะแวะที่ไหนนะ”
“ไม่หรอกเพคะ หม่อมฉันเหนื่อยอยากจะพักให้อิ่มๆ ซ้อมหนักมาหลายวันติดๆกันแล้วอีกสองวันก็จะถึงวันงาน  หม่อมฉันตั้งใจมากกับละคอนการกุศลคราวนี้เพราะเป็นงานที่ท่านหญิงขอมาไงเพคะ”
“ขอบใจเธอมากอันธกาล   การกุศลน่ะเธอทำเธอก็เป็นคนได้ไม่ใช่ฉัน”
“ทราบเพคะ แต่ท่านก็ทรงทราบว่าหม่อมฉันเป็นนางแบบมิใช่นักแสดงอาชีพ  อาจมีอะไรที่ตกๆพร่องๆทำได้ไม่สมกับที่ทรงกรุณาให้เกียรติเลือกหม่อมฉันมาแสดง”
“อย่าห่วงเรื่องนั้นเลยอัน   เธอเป็นคนมีความสามารถฉันเลือกไม่ผิดหรอกน่า   ไปเถอะรีบกลับบ้านซะ เวลาดึกขนาดนี้โบราณเค้าว่าเป็นเวลาของผีมิใช่เวลาของมนุษย์เช่นเธอที่จะเที่ยวสัญจร”
สุระเสียงนั้นออกจะให้ความเอ็นดูแก่หญิงสาวตรงหน้าไม่น้อย
“ตรัสราวกับท่านไม่ใช่มนุษย์งั้นแหละ งานของท่านก็กระไร ฝนฟ้าคะนองน่ากลัวอย่างนี้ยังเสด็จอีก”
อันธกาลทูลแย้งบ้าง
“งานในความรับผิดชอบของฉันนั้นไม่อาจที่จะเลื่อนได้   เพราะถูกกำหนดไว้แน่นอนตายตัวไม่มีใครจักเปลี่ยนแปลงได้หรอก เธอรีบกลับเถอะ”
เจ้าของนามอันธกาลใช้ปลายนิ้วหยิบชายกระโปรงกางออกพร้อมย่อเข่าลงคาระวะอย่างอ่อนช้อยงดงามกึ่งล้อเลียน
“ทูลลาเพคะ มนุษย์เช่นหม่อมฉันจะรีบตรงดิ่งเข้าบ้านไม่แวะสัญจรที่ใดๆทั้งสิ้น”
อันธกาลตอบหลังจากทรงตัวขึ้นยืนตรงอีกครั้ง  จากนั้นจึงย่อตัวลงประนมมือคาราวะอีกครั้งอย่างแช่มช้อยก่อนที่จะรีบตรงไปที่รถคันเล็กขึ้นสตาร์ทแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว  ยังผลให้ผู้ที่ยืนมองตามแย้มโอษฐ์ออกนิดๆดวงเนตรงามอ่อนแสงลงทอดมองไปไกล ไกลเกินกว่าใครจะรู้ว่าทรง “ทอดเนตรเห็น” สิ่งใด
ก่อนจะหันกลับเพื่อดำเนินเข้าสู่ตัวตึก  ท่านผินพักตร์ขึ้นมองท้องฟ้าเอ่ยขึ้นเหมือนรู้ว่าขณะนั้นมีเงาใครอีกคนยืนประสานมือก้มศีรษะต่ำด้วยท่าทางนอบน้อมอย่างรู้หน้าที่“ผู้หญิงคนนี้เป็นส่วนผสมของความดีงามและความน่าชังที่ก้ำกึ่งกันเหลือเกิน  น่าเสียดายหากว่า...”   อาการทอดถอนอัสสาสะปัสสาสะบอกว่าเสียดายอย่างล้ำลึกก่อนหันกลับมายังผู้ที่อยู่ในเงามืด  ซึ่งไม่มีสำเนียงตอบใดๆ  ด้วยว่าไม่อยู่ในฐานะที่จะออกความเห็นใดๆทั้งสิ้น
“ใกล้เวลาแล้วใช่มั้ยแสนเมือง ทุกอย่างเรียบร้อยนะ”  
“พระเจ้าข้า”  เจ้าของนามแสนเมืองก้าวออกมาจากเงามืดค้อมตัวลงรับคำอย่างนอบน้อม  ใบหน้าของชายร่างสูงผอมเกร็งที่โผล่พ้นเงามืดออกมานั้นดูซีดเซียวราวกับไร้แล้วซึ่งชีวิตสีผิวขาวปนเขียวเหมือน... เหมือนผีตายซาก เฉยเมย มีเพียงแววตาเท่านั้นที่ฉายแววแห่งความรันทดเจ็บปวดทรมานล้ำลึก
“สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมมิใช่รึแสนเมือง  ข้า...หรือใครก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้”   สรรพนามและสุรเสียงกร้าวทรงไว้ด้วยอำนาจน่าสพึงกลัวราวกับมิใช่บุคคลเดียวกับที่ตรัสกับหญิงสาวผู้เพิ่งขับรถจากไป..........
“พระเจ้าข้า”