ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: เมษายน 04, 2012, 12:51:42 pm »ทำไม คนเราจึงเสียดายคนที่ตายไป ไม่ใช่เสียดายเรื่องคนตาย
แต่ว่าเราเสียดาย ความงามความดีนั่นเอง เพราะว่าคนนั้นเป็นผู้มีความดี
เรารักความดีเราเสียดายความดี เราอยากจะให้ความดีอยู่ต่อไป
แต่ถ้าเรามานึกถึงว่าความดีนั้นไม่ได้ตาย ตายแต่คนที่ใช้ความดี
เมื่อคนนั้นตายไปความดีก็ไม่ได้ตาย เราจะไปเสียใจอะไร
เพราะร่างกายนี้เป็นของประสม เป็นของปรุงแต่ง ที่พระท่านเรียกว่า "สังขาร"
เราสวดมนต์ตอนท้ายว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สังขารคือร่างกายจิตใจ รูปธรรม
นามธรรมทั้งหมดทั้งสิ้น มันไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไปเป็นธรรมดา
เราว่ากันบ่อยๆ อย่าเพียงแต่ว่าเฉยๆ
ต้องเอามาคิดนึกตรึกเตือนจิตสะกิดใจไว้บ่อยๆ เพื่อให้เกิดปัญญา
แล้วเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตของเรา เราจะได้ปลงตกได้ว่า
เรื่องธรรมดาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา เราหนีจากสิ่งนี้ไปไม่พ้น
จะไปนั่งกลุ้มอกกลุ้มใจเรื่องอะไร เศร้าโศรกเสียใจทำไม
ควรจะคิดทำอะไรๆที่เป็นประโยชน์ต่อไป เช่นคุณพ่อคุณแม่เราถึงแก่กรรมไป
เราก็คิดว่าควรจะทำอะไรเป็นเครื่องสนองบุญคุณของท่านทั้งสองนั้น
อันจะเป็นประโยชน์เป็นความสุขต่อไป หรือว่าเราควรจะรับสิ่งใดของท่านไว้
******
คนเราที่เกิดมาแล้วต้องจากกันทั้งนั้น ต้องตายทั้งนั้น เมื่อก่อนนี้
เรามีพ่อแม่ มีคุณปู่ คุณตา คุณย่า คุณยาย
เดี๋ยวนี้ปู่เราไปไหนแล้ว ทวดเราไปไหนแล้ว ย่าเราไปไหน ยายเราไปไหน
ถ้าคิดดู อ้อ ท่านไปแล้ว ไปก่อนแล้ว ปู่ทวดไปก่อน แล้วปู่ตาไป ย่ายายไป
พ่อแม่เราก็ไป สามีเราก็ไป ภรรยาเราก็ไปกันโดยลำดับ คนอื่นเขาไปกันแล้ว
วันหนึ่งเราก็ต้องไป แต่เวลานี้ยังไม่ไป
เพราะร่างกายมันยังมีปัจจัยเครื่องปรุงเครื่องแต่งอยู่ ยังพออยู่ในโลกมนุษย์ไปได้
******
คนเราเวลาเกิดไม่ได้เอาอะไรมา เวลาไปก็ไม่ได้เอาอะไรไป
สิ่งทั้งหลายที่เราได้ใช้ได้กินอยู่ในชีวิตประจำวันนี้
ถือว่าเป็นของยืมมาทั้งนั้น ยืมมาชั่วคราว ยืมแล้วต้องส่งคืนเอาไปไม่ได้
พอเราจะไปก็ส่งคืนเขา ทรัพย์สมบัติก็ส่งคืนธรรมชาติ
ร่างกายก็ส่งคืนธรรมชาติ ไม่มีอะไรที่เรียกว่าเป็นเนื้อแท้ เรานึกอย่างนั้น
ใจก็ไม่ยึดมากเกินไป มีทรัพย์สมบัติก็ใช้ไปตามหน้าที่
บำรุงศาสนา บำรุงสาธารณกุศล อะไรพอจะช่วยได้ก็ช่วยไปตามเรื่อง
ใช้สมบัติให้เป็นประโยชน์แก่ตัวแก่ท่านตามสมควรแก่ฐานะ
พอถึงบทที่เราจะจากไป เราก็อย่าไปอาลัยอาวรณ์ ว่าเออ เสียดายสิ่งนั้น
เสียดายสิ่งนี้ ไม่เข้าเรื่องเป็นทุกข์เปล่าๆ
ความพลัดพรากจากของชอบใจเป็นทุกข์ เพราะว่าเราไม่ได้พิจารณา
แต่ถ้าเราได้พิจารณาแก้ไขไว้ ความทุกข์ในเรื่องนั้นก็จะไม่เกิดมีขึ้น
อันนี้เป็นการปฏิบัติชอบอันหนึ่ง
******
การตายในขณะเป็นอยู่ เป็นการตายที่ร้ายแรงกว่า การตายของคนตายจริงๆ
เพราะคนตายจริงๆ ไม่ให้โทษแก่ใคร แต่คนตายยังเป็นอยู่
เพราะขาดคุณความดีนั้น เป็นภัยต่อสังคมมาก จึงเป็นตายที่น่ากลัวโดยแท้
ชีวิตที่ต้องการอยู่อย่างคนเป็น จึงต้องมีธรรมะประจำใจ
******
ความตายทางกายไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ว่าความตายทางใจเป็นเรื่องสำคัญ
คนที่มีความตายทางกายมันก็จบฉากกันไปตอนหนึ่ง แล้วก็เอาไปเผาที่ป่าช้า
ส่วนคนที่ตายทางจิตนั้น มันไม่อย่างนั้น แต่ยังมีชีวิตอยู่เดินได้พูดได้
ยังก่อกรรมทำเข็ญให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน แก่บุคคลได้อยู่
เพราะฉะนั้น คนที่ตายทางจิต จึงเป็นภัยอย่างใหญ่หลวงแก่มนุษย์ทั่วๆไป
เราจึงควรกลัวสิ่งที่เรียกว่าทำให้เราตายใน ทางจิตใจ
ไม่ต้องกลัวสิ่งที่ทำให้เราตายในทางร่างกาย
ความกลัวในสิ่งที่ทำให้เราตายทางจิตใจนั้น ก็ไม่ใช่กลัวอะไรอื่นไกล
แต่กลัวความคิดชั่ว ที่มันเกิดขึ้นในจิตใจของเราเอง มันทำลายตัวเรา
มันส่งเราไปสู่ที่ทุกข์ที่ยาก ทำให้เกิดปัญหาแก่ชีวิตด้วยประการต่างๆ
จึงควรจะสนใจในการที่จะไม่ให้จิตใจของคนตายไปจากคุณงามความดี
แต่ควรจะได้ส่งเสริมสนับสนุนให้จิตใจของตน ให้มีคุณธรรมประจำจิตใจอยู่ตลอดเวลา
อันคนเราที่จะมีหลักธรรมประจำจิตใจอยู่เสมอนั้น ก็ต้องมีความภักดี
ต่อสิ่งที่เป็นหลักทางใจ จึงเป็นหัวใจสำคัญในการปฏิบัติธรรมะในทางพระศาสนา
******
คนเราเวลาตายไปก็หมดเรื่องตอนหนึ่งของชีวิต ตายไปแล้วอะไรๆ
ก็ทิ้งไว้ในโลกต่อไป เพราะเราทำเพื่อให้แผ่นดินนี้ไม่ใช่เพื่อจะเอาไป
ทรัพย์สินเงินทองไม่มีใครเอาไปได้ รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์แก่คนทั้งหลาย
ที่อยู่ข้างหลังก็ได้ประโยชน์แก่คนข้างหลังต่อไป ไม่ใช่ทำเพื่อเรา
ถ้าทำเพื่อเราก็คิดผิด แต่เราทำเพื่อส่วนรวมเพื่อชาติบ้านเมือง
ที่มา ผู้จัดการปริทรรศน์
-http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=gooddee&month=03-2012&date=10&group=1&gblog=44
อนุโมทนาสาธุ ที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ