ตอบ

ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
ท่านจะปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อตกลงของเว็บใต้ร่มธรรมทุกประการหรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
เคยนวดฝ่าเท้าให้ คุณพ่อคุณแม่บ้างไหม ถ้ามีโอกาส เราควรทำหรือไม่ (ควรกระทำอย่างยิ่ง หรือ ไม่ควรทำ):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (It is never too late to mend):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 19, 2012, 04:16:43 pm »




   ๓๖.คำสอนของฮวงโป (หลักที่ว่าไม่มีธรรม)

   ถาม   ท่านพระสังฆปริณายกองค์ที่หก เป็นคนไม่รู้หนังสือ ทำไมท่านจึงได้รับมอบผ้ากาสาวพัสตรเครื่องหมายตำแหน่ง ซึ่งยกท่านสู่ตำแหน่งนั้น ? ท่านเชนสุ่ย เพื่อนนักศึกษาคู่แข่งขันคนหนึ่งอยู่ในฐานะสูงกว่าศิษย์อื่่น ๆ ตั้งห้าร้อยคน เพราะเป็นอาจารย์ช่วยสอน และสามารถอธิบายความหมายอันลึกซึ้งของพระสูตรต่าง ๆ ได้ถึง ๓๒ คัมภีร์ ทำไมท่านจึงไม่ได้รับผ้ากาสาวพัสตรนั้น ?

   ตอบ   เพราะว่าท่านเชนสุ่ย ยังคงปล่อยตนไปในความคิดปรุงแต่ง คือในธรรมที่นำไปสู่การกระทำ ประโยคที่ว่า “เมื่อเธอปฏิบัติเธอจึงจะบรรลุ” นั้น ท่านองค์นั้นก็ยังยึดถือว่าเป็นของจริงอยู่ ดังนั้น พระสังฆปริฯยกองค์ที่ห้า ท่านจึงทำการมอบหมายธรรมแก่ท่านฮุยเหน่ง (เว่ยหล่าง) ชั่วขณะนั้นเอง ท่านฮุยเหน่งได้บรรลุถึงความเข้าใจซึมซาบชนิดที่ไม่ต้องมีคำพูดและได้รับ ธรรมหฤทัยอันลึกซึ้งที่สุด ของพระตถาคตไปอย่างเงียบกริบ นั่นแหละ คือข้อที่ว่าทำไม ธรรม นั้น จึงถูกถ่ายทอดไปยังท่าน

   พวกเธอไม่เห็นว่า หลักคำสอน อันเป็นรากฐานของธรรมนั้น คือหลักที่ว่า ไม่มีธรรม ถึงกระนั้น หลักที่ว่าไม่มีธรรม นั่นแหละ เป็นธรรมอยู่ในตัวมันเอง และบัดนี้ หลักที่ว่า ธรรมไม่มีนั้น ก็ได้ถูกถ่ายทอดไปแล้ว หลักที่ว่า มีธรรม จะเป็นธรรมได้อย่างไรกัน ?
   ใครก็ตามเข้าใจซึมซาบความหมายของข้อความนี้ ย่อมควรที่จะได้นามว่า ภิกษุ คือผู้ซึ่งเชี่ยวชาญต่อ “ธรรมปฏิบัติ


   ถ้าเธอไม่เชื่อความข้อนี้ เธอลองอธิบายความหมายของเรื่องต่อไปนี้ดู ท่านเว่ยมิง ได้ปีนขึ้นไปยังยอดสุดแห่งภูเขาต่ายื่น เพื่อพบพระสังฆปริณายกองค์ที่หก ท่านสังฆปริณายกได้ถามว่า มาทำไม มาเพื่อจีวรหรือมาเพื่อ ธรรม ? ท่านเว่ยมิงได้ตอบว่า ไม่ได้มาเพื่อจีวรแต่มาเพื่อ ธรรม เมื่อเป็นดังนั้น พระสังฆปริณายกได้กล่าวว่า “ขอให้ท่านทำจิตของท่านให้เป็นสมาธิสักขณะหนึ่ง และเว้นการคิดในความหมายของคำว่า ดีและชั่ว เสียให้หมด” ท่านเว่ยมิงได้ทำตามสั่ง และพระสังฆปริณายกได้กล่าวต่อไปว่า “เมื่อ ท่านไม่คิดถึงความดี และไม่คิดถึงความชั่วอยู่ ตรงขณะนี้แหละเธอจะย้อนกลับไปสู่ภาวะที่เธอได้เป็นอยู่ ในขณะก่อนแต่ที่มารดาบิดาของเธอเองเกิดมา” พอพูดจบ ท่านเว่ยมิงก็ได้ลุถึงความเข้าใจซึมซาบชนิดที่ไม่ต้องมีเสียงพูด ได้โดยแว็บเดียว

   ต่อจากนั้นท่านได้หมอบลงบนพื้นดินและได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้า เหมือนกับคนที่ดื่มน้ำอยู่ ย่อมรู้ได้ด้วยตนเอง ว่ามันเย็นอย่างไร ข้าพเจ้าได้อยู่กับท่านสังฆปริณายกองค์ที่ห้า และศิษย์ทั้งหลายของท่านมาเป็นเวลา ๓๐ ปี แต่เพิ่งวันนี้เอง ที่ข้าพเจ้าสามารถขจัดความผิดพลาดต่าง ๆ ในวิธีคิดอย่างเก่า ของข้าพเจ้าเสียได้” พระสังฆปริณายกองค์ที่หก ได้ตรัสว่า “ถูก แล้ว อย่างน้อยที่สุด บัดนี้ท่านย่อมเข้าใจว่า ทำไมเมื่อพระสังฆปริณายกองค์ที่หนึ่งจากอินเดียมาถึง ท่านจึงได้ชี้ตรงไป แต่ที่ จิต ของคน ซึ่งโดย จิต นั้นเอง เขาเหล่านั้นสามารถรู้แจ้งเห็นจริง ถึง ธรรมชาติเดิมแท้ของเขา และกลายเป็น พุทธะ ได้ และข้อที่ว่า “ทำไมพระสังฆปริณายกองค์นั้น จึงไม่เคยพูดถึงสิ่งอื่นนอกไปจากนี้เลย

   เรายังไม่เห็นกันอีกหรือ ว่าทำไมเมื่อพระอานนท์ได้ถามพระมหากาศยปะว่า พระพุทธองค์ซึ่งโลกบูชา ได้ทรงมอบหมายอะไรให้อีก พร้อมกับจีวรทอง พระมหากาศยปะจึงร้องขึ้นว่า “อานนท์!” เมื่อพระอานนท์ขานตอบ ด้วยความเคารพว่า “อะไรครับ ?” ดังนั้น ท่านมหากาศยปะได้กล่าวต่อไปว่า “ทิ้งเสาธงลงเสียที่ประตูวัดเถิด” ดังนี้ นี่แหละ คือนิมิตซึ่งพระสังฆปริณายก (สายอินเดีย) องค์ที่หนึ่งท่านได้ให้แก่พระอานนท์

   ตลอดเวลา ๓๐ ปี ที่พระอานนท์คนฉลาด ปฏิบัติรับใช้ตามพระพุทธประสงค์ส่วนพระองค์มา แต่เนื่องจากท่านเป็นคนรักการได้ความรู้มากเกินไป พระพุทธองค์จึงได้ทรงตักเตือนท่าน โดยตรัสว่า “แม้ เธอเที่ยวหาความรู้อยู่ตั้ง ๑,๐๐๐ วัน มันก็ยังทำประโยชน์ให้แก่เธอได้น้อยกว่าการฝึกฝนเรื่อง ทาง ทางนี้โดยเฉพาะ แม้เพียงวันเดียว ถ้าเธอไม่ฝึกฝนมัน เธอจะไม่สามารถย่อยได้ แม้แต่น้ำหยดเดียว !



จบ บันทึกชึนเชา
ต่อที่ >>> บันทึกวาน-ลิง : http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7818.0.html

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 19, 2012, 02:28:59 pm »



   ๓๕.คำสอนของฮวงโป (ความพากเพียร)

   ถ้าพวกเธอจะใช้เวลาของเธอทั้งหมด ไม่ว่าเดินอยู่ ยืนอยู่ นั่งอยู่ หรือนอนอยู่ก็ตาม ให้เป็นการฝึกฝนเพื่อจะหยุดเสีย ซึ่งการกระทำต่าง ๆ ของจิตของเธอเอง ในการที่จะก่อรูปความคิดต่าง ๆ ขึ้น เมื่อเป็นดังนั้น เธอก็จะเป็นผู้เที่ยงแท้ต่อการลุถึงจุดหมายปลายทางขั้นสุดท้าย เนื่องจากธรรมที่เป็นกำลังของเธอยังมีไม่พอ เธอจึงไม่สามรถที่จะข้ามสังสารวัฏได้ ด้วยการกระโดดทีเดียวถึง แต่เมื่อห้าหรือสิบปีผ่านไป เธอก็จะมีการตั้งต้นที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน แล้วก็สามารถก้าวหน้าต่อไปได้เอง เป็นธรรมดา

   แต่มันเป็นเพราะเธอไม่เป็นบุคคลประเภทนั้น เธอจึงรู้สึกว่าจำเป็นต้องใช้จิตของเธอเอง ใน “การศึกษาธฺยานะ” และ “ศึกษาเรื่อง ทาง ทางโน้น” การกระทำอย่างนั้น มันมีอะไรเกี่ยวกับพุทธศาสนาด้วยเล่า ?
   ดังนั้น จึงมีคำกล่าวว่า ทั้งหมดเท่าที่พระตถาคตได้สอนนั้น มีอยู่เพียงเพื่อจะกลับใจมหาชน มันเหมือนกับแสร้งลวงไปว่าใบไม้เหลือง ๆ เป็นทองคำแท้ เพื่อให้น้ำตาของเด็กหยุดไหล เท่านั้น ฉะนั้นมันต้องไม่ถูกยึดถือว่า เป็นความจริงที่เด็ดขาด แต่ประการใด ถ้าเธอถือเอาเป็นความจริง เธอก็ไม่ใช่สมาชิกแห่งนิกายเรา แล้วมันจะมีผลอะไรกับธรรมชาติเดิมแท้ของเธอเล่า ?

   ดังนั้น ข้อความในสูตรจึงกล่าวว่า “สิ่งซึ่งเรียกว่าปัญญาอันสมบูรณ์ถึงที่สุดนั้น หมายความว่าไม่มีอะไรเลยจริง ๆ ที่ต้องลุถึง” ถ้าเธอสามารถเข้าใจความข้อนี้ได้ เธอก็จะเห็นอย่างแจ่มแจ้งว่าทั้ง พุทธวิถี และ มารวิถี ก็ล้วนแต่พลาดจากเป้าหมายนี้สิ้นเชิงโดยเท่ากัน

   จักรวาลเดิมที่รุ่งเรืองและบริสุทธิ์นั้น ไม่ใช่ของเหลี่ยมหรือของกลม ไม่ใช่ของใหญ่หรือของเล็ก มันปราศจากความแตกต่างว่ายาวหรือสั้นใด ๆ ทั้งหมด มันอยู่เหนือการเกี่ยวข้อง เหนือการกระทำ เหนือวิชชา และเหนือการตรัสรู้
   พวกเธอต้องการเห็นให้ชัดลงไปว่า โดยแท้จริงแล้ว ไม่มีอะไรเลย ไม่มีทั้งทั้งมนุษย์สามัญ ไม่มีทั้งพุทธะทั้งหลาย มหาโลกธาตุมีจำนวนนับไม่ถ้วนดุจเม็ดทรายในโลก ก็เป็นเพียงฟองน้ำเม็ดเล็ก ๆ ญาณทั้งหลายและอริยะภาวะทั้งปวง เป็นเพียงเส้นแฉก ๆ ของแสงฟ้าแลบ ในบรรดาสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด ไม่มีอะไรซึ่งเป็นตัวแท้ของ จิต

   ธรรมกาย ตั้งแต่โบราณกาลมา จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ รวมทั้งพระพุทธเจ้าทั้งปวง และพระสังฆปริณายกทั้งหลาย เป็น หนึ่ง แล้วมันจะขาดอะไรไปสักเส้นขนเดียว ได้อย่างไรกันเล่า ?

   ถ้าแม้เธอเข้าใจความข้อนี้ เธอก็ต้องทำความพากเพียรเข้มแข็งถึงที่สุด ตลอดทั้งชีวิตนี้ พวกเธอไม่อาจจะมีอะไรเป็นที่แน่นอนอยู่ทุกเวลา ว่าจะได้มีชีวิตอยู่ยาว จนกระทั่งได้หายใจอีกครั้งหนึ่งหรือไม่

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 19, 2012, 02:14:04 pm »



   ๓๔.คำสอนของฮวงโป (กาฝาก)

   ถาม   สัจจะอย่างโลก หมายความว่าอะไร ?

   ตอบ   เธอจะไปทำอะไรกับไม้กาฝากชนิดนั้นนะ ? ความจริงคือความบริสุทธิ์ถึงที่สุด ทำไมจะต้องไปถกกันถึงคำที่ไม่บริสุทธิ์เหล่านั้นเล่า ? ความที่ปราศจากความคิดนึกต่าง ๆ อย่างเด็ดขาด เรียกว่า ปรีชาของความมีจิตปรกติ
   ทกวันไม่ว่าเดินอยู่ ยืนอยู่ นั่งอยู่ หรือนอนอยู่ก็ตาม หรือในการพูดจาทั้งหมดก็ตาม จงยังคงเป็นผู้มีจิตปราศจากการยึดถือทุก ๆ อย่างในสิ่งแวดล้อมทั้งปวง ไม่ว่าจะพูด หรือแม้เพียงแต่กระพริบตา ขอให้ทำมันไปด้วยความที่จิตปรกติถึงที่สุด

   เดี๋ยวนี้ เรากำลังอยู่ในตอนปลายของระยะห้าร้อยปีที่ ๓ นับแต่พุทธปรินิพพานมา นักศึกษาเซ็นแทบทั้งหมด ได้เอียงไปในทางยึดถือเสียงและรูปทุกชนิด
   ทำไมพวกเธอจึงไม่ลอกแบบเรา ด้วยการปลดเปลื้องความคิดทุกอย่างออกไปเสีย ราวกะว่ามันมิได้มีอยู่เลย หรือราวกะว่ามันเป็นไม้ผุ ๆ ชิ้นหนึ่ง หิน ก้อนหนึ่ง หรือขี้เถ้าที่ชดแล้วเท่านั้นเล่า ? หรือลอกแบบเรา ด้วยการตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ อย่างแผ่วเบาที่สุด เท่าที่ควรจะทำได้ ในแต่ละโอกาสเล่า ? ถ้าเธอไม่ทำอย่างนั้น และเผอิญตายลงเดี๋ยวนี้ เธอจะถูกทรมานโดยยมบาล

   พวก เธอต้องหลีกเลี่ยงจากคำสอนเรื่องความมีอยู่ และเรื่องความไม่มีอยู่เสียให้หมด เพราะ จิต นั้น เหมือนกับดวงอาทิตย์ในข้อที่มันอยู่ในความว่างตลอดนิรันดร ส่องแสงได้โดยธรรมชาติของมันเอง และส่องแสงโดยไม่ตั้งใจจะส่องแสง นี่ไม่ใช่สิ่งซึ่งพวกเธออาจจะทำให้สำเร็จได้ โดยปราศจากความพากเพียร แต่เมื่อเธอลุถึงขั้นที่ไม่มีความยึดถือต่อสิ่งใด ๆ หมดแล้ว เธอก็จะเป็นผู้ที่ทำอยู่เหมือนที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายท่านทำ
   การทำอย่างนี้ จะเป็นการกระทำที่เข้าร่องเข้ารอยกันได้จริง ๆ กับคำที่กล่าวว่า “จง ทำจิตให้เป็นจิตชนิดที่ไม่อิงอาศัยอยู่บนอะไรเลย เพราะว่านี่แหละ คือ ธรรมกายแท้ ของเธอ ซึ่งเรียกได้ว่า การตรัสรู้ที่สมบูรณ์ถึงที่สุด

   ถ้าเธอไม่สามารถเข้าใจซึมซาบในข้อนี้ แม้เธอจะมีความรู้อย่างลึกซึ้งจากการศึกษาของเธอ หรือแม้เธอจะมีความพากเพียรอย่างสาหัส และบำเพ็ญทุกรกิริยาอย่างตึงเครียดที่สุด เธอก็จะยังคงล้มเหลวต่อการรู้แจ้งถึงจิตของเธอเองอยู่นั่นเอง ความพยายามทั้งหมดของเธอจะเดินทางผิด และเธอก็จะเข้าไปสมทบในครอบครัวของมาร โดยแน่นอน อานิสงส์อะไรกัน ที่เธอจะได้รับจากวัตรปฏิบัติชนิดนี้ ?

   มันเหมือนกับที่ครั้งหนึ่ง ท่านอาจารย์ ชิกุง ได้พูดไว้ว่า “พุทธะ นั้น คือสิ่งซึ่งจิตของเธอเองสร้างขึ้นแท้ ๆ เมื่อเป็นดังนั้น จะแสวงหา พุทธะ นั้น จากพระคัมภีร์ต่าง ๆ ได้อย่างไรกัน ?” ดังนี้
   แม้พวกเธอจะได้ศึกษาถึงเรื่อง ทำอย่างไรจึงจะบรรลุถึงความเป็นพระโพธิสัตว์สามประเภท ความเป็นพระอรหันต์สี่ประเภท และภูมิทั้งสิบแห่งความก้าวหน้า ต่อการตรัสรู้ของพระโพธิสัตว์ จนกระทั่งใจของเธอเต็มไปด้วยความรู้เหล่านี้แล้วก็ตาม เธอก็จะยังคงทำตัวให้เคว้งคว้างอยู่ตรงกลางระหว่าง “อย่างธรรมดา” และ “อย่างตรัสรู้แล้ว อยู่นั่นเอง


   การที่ไม่ดูให้รู้ว่าวิธีการแห่งการปฏิบัติ เพื่อลุถึง ทาง ทางโน้นทุกวิธี ล้วนแต่กินเวลานิดเดียวทั้งนั้น นั่นเป็นสังสาริกธรรม (คือสิ่งที่ทำให้เวียนว่ายไปในวัฏสงสาร ไม่รู้สร่าง)

   แรงยิงของมัน เมื่อใช้ไปแล้วครั้งเดียว (ก็หมด) ลุกศรก็ตกดิน
   พวกเธอสร้างขึ้นแต่ชีวิตชนิดที่ไม่ทำให้ความหวังของเธอเต็มได้
   ช่างอยู่ต่ำกว่าประตู โคตรภู เสียนี่กระไร
   ซึ่งจากนั้น กระโดดแผล็บเดียว ก็ถึง พุทธเกษตร !

   มันเป็นเพราะว่า เธอไม่อยู่ในพวกที่กระโดดแผล็บเดียวถึง เธอจึงยังคงดันทุรังไปในทางที่จะเรียนให้ทั่วจบถึงวิธีการต่าง ๆ ที่พวกคนโบราณตั้งไว้ เพื่อการมีความรู้ที่ยังอยู่ในระดับของความคิดปรุงแต่ง
   ท่านอาจารย์ ชิกุง ยังได้กล่าวไว้ด้วยว่า “ถ้าเธอไม่พบอาจารย์ชั้นยอด เธอก็กลืนยามหายานเข้าไป เป็นหมันเปล่า ?” ดังนี้

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 19, 2012, 01:42:17 pm »



   ๓๓.คำสอนของฮวงโป (เงาสะท้อน)

   ถาม   ความว่าง ซึ่งเห็นแผ่อยู่ตรงหน้าเรา ในสายตาของเรานั้นเป็นสิ่งที่เห็นได้ว่ามีอยู่จริง เมื่อเป็นดังนั้น มิเป็นว่า ท่านอาจารย์กำลังชี้ไปยังสิ่งบางสิ่ง ซึ่งเห็น ๆ อยู่ และกำลังเห็น จิต อยู่ อยู่ในมันไปหรือ ?
   ตอบ   จิตชนิดไหนกันนะ ! ที่ ฉันจะอาจบอกให้เธอดูได้ ในสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นวิสัยแห่งการดูด้วยตา ? สมมติว่าเธอดูเห็นได้ มันจะเป็นแต่เพียง จิต ส่วนที่เป็นแสงสะท้อนกลับ อยู่ตามสิ่งต่าง ๆ ที่เห็นได้ด้วยตาเท่านั้นเอง เธอจะเป็นเหมือนคนที่กำลังมองดูหน้าตัวเองในกระจกเงา แม้เธออาจจะเห็นมันได้กระจ่างเหมือนของจริงไปทุกอย่าง เธอก็ยังคงเป็นเพียงแต่ผู้มองอยู่ที่เงาสะท้อนล้วน ๆ เท่านั้นเอง นี่มันมีผลคุ้มค่าอะไรที่ไหนกัน ที่ทำให้พวกเธอต้องวิ่งมาหาอาตมา ?

   ถาม   ถ้าไม่ให้เราเห็นด้วยอำนาจของแสงสะท้อนแล้ว เมื่อไรเล่าเราจะเห็นกันได้สักที ?
   ตอบ   ตลอดเวลาที่พวกเธอยังฝากตัวเองไว้กับ “ด้วยอำนาจของ” อยู่ดังนี้ พวกเธอก็จะตกอยู่ภายใต้อำนาจของสิ่งที่เป็นมายาบางสิ่งอยู่ร่ำไป เมื่อไรพวกเธอจะเข้าใจได้สำเร็จกันสักทีนะ ? แทนที่จะปฏิบัติตามผู้ที่บอกให้เธออ้ามือกว้างทั้งหมดทั้งสองมือ เหมือนคนที่ไม่มีอะไรจะปล่อยอีกแล้ว เธอก็มัวไปเสียแรงงานในการเที่ยวโอ้อวด ว่ามีอะไรสารพัดอย่าง

   ถาม   แม้ผู้ที่เข้าใจเรื่องแสงสะท้อนดี แสงสะท้อนก็ยังไม่มีอยู่อีกหรือ ?
   ตอบ   ถ้าของเป็นดุ้น ๆ ก็ยังไม่มีตัวตนที่ตั้งอยู่เสียแล้ว มันจะยิ่งไม่มีมากลงไปอีกสักเท่าไร ในการที่เราจะเอาอะไรกับสิ่งที่เป็นเพียงแสงสะท้อน อย่าเที่ยวได้พูดพร่ำเหมือนคนเดินฝันลืมตา (คนเดินละเมอ) ไปให้มากเลย
   เมื่อก้าวเข้าไปในศาลาธรรมประจำเมือง ท่านอาจารย์ได้ประกาศออกมาว่า “การ มีความรู้ต่าง ๆ มากมายหลายประเภทนั้น ไม่อาจจะเปรียบกับการที่สามารถเพิกถอนเสียได้ซึ่งการแสวงหาทุกสิ่ง ซึ่งการทำได้อย่างนั้น เป็นสิ่งเลิศสุดเหนือสิ่งทั้งปวง จิต มิได้เป็นสิ่งที่มีมากมายหลายชนิด ไม่มีหลักธรรมแท้จริงอะไร ที่อาจจะพูดกันได้โดยทางคำพูด

   เมื่อไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก ก็ต้องเลิกประชุม

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 15, 2012, 09:37:48 pm »



   ๓๒.คำสอนของฮวงโป (ฉันจะปล่อยเสียทั้งสองมือ)

   ถาม   มายา ได้บัง จิต ของเราเอง เสียจากเรา แต่จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ท่านอาจารย์ก็ยังไม่ได้สอนพวกเรา ว่าทำอย่างไร จึงจะกำจัดมายานั้นเสียได้ ?
   ตอบ   การเกิดขึ้นของมายาก็ดี การถอนมายาออกเสียได้ก็ดี ล้วนแต่เป็นมายาด้วยกัน มายามิใช่สิ่งซึ่งมีรกรากอยู่ใน ความจริง มันตั้งอยู่ได้ ก็เพราะความคิดแบบทวินิยมของพวกเธอ ถ้าพวกเธอเพียงแต่หยุดปล่อยตนไปตามความคิดที่ทำให้เกิดของเป็นคู่ตรงกันข้าม เช่น “อย่างธรรมดา” กับ “อย่างตรัสรู้แล้ว” เสียเท่านั้น มายาก็จะสิ้นสุดลงไปได้เองทันที และแล้วถ้าเธอยังขืนอยากจะทำลายมัน ในที่ทุก ๆ แห่งที่มันอาจจะมีอยู่ เธอจะพบว่า ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เลย แม้แต่เท่าเส้นขนเดียว ให้เธอเกาะ นี่แหละ คือความหมายของคำที่ว่า “ฉันจะปล่อยเสียทั้งสองมือ” เพราะเมื่อเป็นดังนั้นแล้ว ฉันจะพบ พุทธะ ใน จิต ของฉันโดยแน่แท้ นั่นเอง

   ถาม   ถ้าไม่มีอะไรให้เกาะยึดเสียเลยแล้ว ธรรมะ จะถูกถ่ายทอดได้อย่างไรกัน ?
   ตอบ   มันเป็นการถ่ายทอด จิต ด้วย จิต

   ถาม   ถ้า จิต เป็นสิ่งที่ถูกใช้สำหรับการถ่ายทอด ทำไมท่านอาจารย์จึงกล่าวว่า จิต ก็ไม่ได้ตั้งอยู่เหมือนกัน ดังนี้เล่า ?
   ตอบ   การไม่ได้รับ ธรรมะ อะไรเลย นั่นแหละ เรียกว่าการถ่ายทอดจิต การเข้าใจซึมซาบ จิต ชนิดนี้ หมายความว่าไม่มี จิต และไม่มี ธรรมะ

   ถาม   ถ้าไม่มี จิต และไม่มี ธรรมะ แล้ว การถ่ายทอด หมายถึงอะไรกันเล่า ?
   ตอบ   พวกเธอได้ยินคนเขาพูดกันถึงการถ่ายทอด จิต แล้วพวกเธอก็พูดกันถึงอะไรบางอย่าง ที่พวกเธอเองหวังว่าจะได้รับ ดังนั้น ท่านอาจารย์โพธิธรรม จึงได้กล่าวว่า ...

   ธรรมชาติแท้ของ จิต นั้น ถ้าเข้าใจซึมซาบแล้ว
   คำพูดของมนุษย์ ไม่สามารถหว่านล้อม หรือเปิดเผยมันได้
   ความตรัสรู้ คือความไม่มีอะไรให้ต้องลุถึง
   และผู้ซึ่งได้ตรัสรู้แล้ว ก็ไม่พูด ว่าเขารู้อะไร


   ถ้าเผอิญอาตมาทำความกระจ่างในข้อนี้ให้แก่พวกเธอ อาตมาสงสัยว่าพวกเธอจะทนมันไหวหรือ ?

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 15, 2012, 09:18:31 pm »



   ๓๑.คำสอนของฮวงโป (มายา)

   ถาม   จากข้อความทั้งหมด เท่าที่อาจารย์ได้กล่าวไปแล้ว ได้ความว่า จิต คือ พุทธะ แต่มันไม่กระจ่างในข้อที่ว่า หมายถึงจิตชนิดไหนในประโยคที่ว่า “จิต” ซึ่งเป็น “พุทธะ” นั้น ?
   ตอบ   เธอมีจิตอยู่แล้วกี่มากน้อยเล่า ?

   ถาม   ก็แต่ว่า พุทธะนั้น เป็นจิตธรรมดา หรือจิตที่ตรัสรู้แล้วเล่า ?
   ตอบ  ก็ในโลกนี้ ที่ตรงไหนเล่า ที่เธอเก็บจิตธรรมดา และจิตที่ตรัสรู้แล้ว ของเธอไว้ ?

   ถาม   ในคำสอนของ ยานทั้งสาม มีกล่าวไว้ว่า มีจิตอยู่ทั้งสองอย่าง ทำไมท่านอาจารย์จึงปฏิเสธมันเสียเล่า ?
   ตอบ  ในคำสอนแห่ง ยานทั้งสาม นั้น มีการอธิบายอย่างกระจ่างอยู่แล้วว่าทั้งจิตธรรมดา และจิตที่ตรัสรู้แล้วนั้น ก็ล้วนแต่เป็นมายา เธอไม่เข้าใจเอง ความยึดมั่นต่อความคิดว่าสิ่งทั้งปวงมีอยู่ทั้งหมดนี้เป็นความสำคัญผิด ไปเอาของลวงเหล่านั้นมาเป็นสัจจะ ความคิดต่าง ๆ ชนิดนั้น จะไม่เป็นมายาได้อย่างไรกัน ? เมื่อเป็นมายา มันก็บังจิตนั้น เสียจากเธอ

   ถ้าเธอเพียงแต่ขจัดความคิดว่ามีจิตธรรมดา มีจิตตรัสรู้แล้วนั้นออกไปเสียจากเธอเท่านั้น เธอจะพบว่าไม่มีพุทธะอะไรที่ไหนอีกนอกจาก พุทธะ ในจิตของตนเอง
   เมื่อท่านอาจารย์โพธิธรรม จากตะวันตกมาถึง ท่านได้ชี้ออกไปว่า สิ่งซึ่งคนทุกคนมีส่วนประกอบร่วมอยู่ด้วยนั่นแหละคือ พุทธะ คนจำพวกเธอ พากันเตลิดไปด้วยความเข้าใจผิด คือไปจับฉวยเอาความคิดเช่นว่า “อย่างธรรมดา” หรือ “อย่างตรัสรู้แล้ว” ขึ้นมา พร้อมกันนั้นก็บังคับความคิดต่าง ๆ ของเธอให้เตลิดออกไปข้างนอก สู่ที่ซึ่งมันพากันควบห้อไปเหมือนกะม้า ! ดังนั้นฉันจึงขอบอกเธอ ว่า จิต คือ พุทธะ
   ในทันทีที่ความคิด หรือความรู้สึกทางอายตนะเกิดขึ้น พวกเธอก็พลัดตกลงสู่คติทวินิยม กาลเวลาทั้งหมด ซึ่งปราศจากการตั้งต้น และขณะซึ่งเป็นปัจจุบันขณะหนึ่งนั้นเป็นของอันเดียวกัน ไม่มีนี้ ไม่มีโน้น การเข้าใจซึมซาบในสัจจะข้อนี้ เรียกว่าการรู้แจ้งเห็นจริงที่สมบูรณ์และไม่มีอะไรเหนือกว่า

   ถาม   ถ้อยคำที่ท่านอาจารย์กล่าวมานี้ มีรากฐานอยู่บนหลักธรรมอะไร ?
   ตอบ   เอ้า ! หาหลักหาเหลิกกันทำไมอีกเล่า ? พอสักว่าเธอมีหลักเท่านั้นเธอก็พลัดผลุงลงไปสู่ความคิดแบบคติทวินิยมทันที

   ถาม   เมื่อตะกี้นี้เอง ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงอดีตซึ่งไม่มีใครรู้ว่าตั้งต้นเมื่อไร กับปัจจุบันนั้น เป็นของอันเดียวกัน ด้วยการกล่าวอย่างนั้น ท่านอาจารย์หมายถึงอะไร ?
   ตอบ   มันเป็นเพราะการแสวงหาด้วยความอยากของเธอแท้ ๆ นี้ ที่เธอไปทำมันให้มีความแตกต่างกันขึ้น ระหว่างของสองอย่าง ถ้าเธอจะหยุดการแสวงหาด้วยความอยากเสียได้ แล้วมันจะมีความแตกต่าง ๆ ในระหว่างของสองอย่างนี้ได้อย่างไร ?

   ถาม   ถ้ามันไม่แตกต่างกันแล้ว ทำไมท่านอาจารย์จึงใช้คำเรียกมันต่างกันเล่า ?
   ตอบ   ถ้าเธอไม่ไปเอ่ยถึง “อย่างธรรมดา” กับ “อย่างตรัสรู้แล้ว” ขึ้นมาแล้ว ใครเล่าจะอยากลำบาก ไปพูดกันถึงเรื่องชนิดนี้ ในเมื่อสิ่งซึ่งจัดเป็นอย่าง ๆ พวก ๆ เหล่านั้น ก็มิได้มีอยู่จริง แล้ว จิต ก็มิได้เป็น “จิต” จริง และเมื่อทั้ง จิต และทั้งสิ่งซึ่งถูกจัดเป็นอย่าง ๆ พวก ๆ เหล่านั้น โดยแท้จริงเป็นมายา แล้วเธอจะหวังหาสิ่งใด ๆ ได้ที่ไหนกันเล่า ?

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 15, 2012, 08:41:18 pm »



   ๓๐.คำสอนของฮวงโป (เด็กสวาปาม)

   บัด นี้ถ้าเธอมัวแต่สาละวนในการใช้จิตของเธอเอง แสวงหา จิต มัวอยู่แต่จะฟังคำสอนจากผู้อื่น และหวังอยู่แต่จะลุถึงจุดหมายปลายทางด้วยการศึกษาล้วน ๆ แล้ว เมื่อไรเล่า เธอจึงจะประสบความสำเร็จสักที ?
   คนโบราณบางคน มีจิตใจแหลมคม เขารีบสลัดความรู้สึกทั้งหมดเสียได้ ในทันทีที่ได้รับฟังธรรมซึ่งประกาศออกมา ดังนั้นเขาจึงได้นามว่า “ปราชญ์ผู้ซึ่งสลัดการศึกษาเสียได้ แล้วมาอาศัยอยู่กับการโพล่งรวดเดียวถึงตัว ธรรมะ ได้ในตัวมันเอง

   คนในทุกวันนี้ได้แต่แสวงหาเพื่อจะยัดไส้ตัวเอง  ด้วยความรู้และความสามารถในการใช้เหตุผลทางอนุมาน แสวงหาความรู้ทางพระคัมภีร์อยู่ทุกหนทุกแห่ง และเรียกการทำอย่างนั้น ว่าการปฏิบัติธรรม เขาเหล่านั้นไม่รู้ ว่าความรู้และสติปัญญาชนิดนั้น ยิ่งมีมากก็ยิ่งมีผลในทางตรงกันข้าม คือเป็นการสุมกองสิ่งกีดขวาง ให้สูงยิ่งขึ้นไปอีกนั่นเอง  ลำพังการรวบเอาความรู้ต่าง ๆ เข้าไว้อย่างท่วมหัวนั้น มันเหมือนกับเด็กที่ทำตนให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อย เพราะสวาปามเต้าหู้เข้าไปมากเกินไป พวกที่ศึกษาเรื่อง ทาง ทางโน้นตามแบบของพวก ตรียาน นั้น เหมือนกับเด็กคนนี้ทุกอย่าง ทั้งหมดเท่าที่เธอจะเรียกคนพวกนี้ให้ดีที่สุดได้ ก็คือเรียกเขาว่า พวกคนที่เดือดร้อนเพราะท้องเสีย

   เมื่อสิ่งที่เรียกว่า ความรู้และสติปัญญาอันเฉลียวฉลาดชนิดนั้นเกิดย่อยไม่ได้ขึ้นมา มันก็กลายเป็นพิษขึ้น เพราะมันเป็นได้แต่เพียงของในเครือเดียวกันกับสังสารวัฏเท่านั้น ในฝ่าย ธรรมอันสูงสุด นั้น ไม่มีของชนิดนี้เลย ดังนั้นจึงมีคำกล่าวไว้ว่า “ในคลังแสงสรรพาวุธแห่งราชาธิปัตย์ของข้า หามี ดาบแห่งความเป็นเช่นนั้นไม่” ดังนี้

   ความคิดรูปต่าง ๆ ซึ่งเธอได้ก่อมันขึ้นในอดีต (เหลืออยู่ในรูปแห่งสัญญาต่าง ๆ) นั้นต้องสลัดทิ้งเสียให้หมด แล้วเข้าแทนที่ไว้ด้วยความว่าง เมื่อใดคติทวินิยม สิ้นสุดลง เมื่อนั้นก็มี ความว่างแห่งตถาคตครรภ์
   คำว่า “ตถาคตครรภ์” หมายถึงสิ่งที่ไม่มีเนื้อที่พอให้สิ่งใดซึ่งมีขนาดแม้เท่าเส้นขนที่เล็กที่ สุด ตั้งอยู่ได้ นั่นแหละ คือข้อที่ว่าเหตุใด พระธรรมราชา (พระพุทธเจ้า) ผู้ที่ได้ทำลายความยึดถือว่ามีตัวมีตนลงเสียได้ ได้ทรงแสดงพระองค์ให้ปรากฏออกมาในโลกนี้ และนั่นแหละคือข้อที่ทำไมพระองค์จึงตรัสว่า “เมื่อเราอยู่ในที่เฉพาะพระพักตร์พระพุทธทีปังกร เรารู้สึกว่าไม่มีอะไร แม้แต่อนุภาคเดียวสำหรับเราเพื่อจะบรรลุถึง” ดังนี้

   คำตรัสนี้ เป็นคำตรัสที่มุ่งหมายโดยตรง เพื่อทำให้ความรู้และสติปัญญาชนิดนั้น ของพวกเธอ ให้เป็นของว่างไปเสีย
   มีแต่พวกที่เว้นขาดจากร่องรอย ของการปฏิบัติอย่างคว้าไปคว้ามา เพราะติดแน่นในความรู้ของตน (ดังที่กล่าวแล้วข้างต้น) ทุกอย่างทุกชนิดเสียได้ และเว้นขาดจากการหวังพึ่งสิ่งใด ๆ ทั้งหมดแล้วเท่านั้นที่จะสามารถเป็นผู้สงบถึงที่สุดได้
   คำสอนตามพระคัมภีร์ ของยานทั้งสามนั้น ก็เป็นแต่เพียงยาบำบัดความเจ็บไข้ ในขั้นปฐมพยาบาลเท่านั้น คำสอนเหล่านั้นถูกสอนไปเพื่อสนองความต้องการในทำนองนั้น ดังนั้นมันจึงเป็นของมีคุณค่าเพียงชั่วคราว และขัดกันไปขัดกันมา อยู่ในตัวมันเอง ถ้าเพียงแต่ความจริงข้อนี้ เป็นที่กระจ่างกันแล้ว ก็จะไม่มีอะไรเหลืออยู่ให้เห็นที่สงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป

   ยิ่งไปกว่านั้นทั้งหมดก็คือ มันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะไม่ไปเลือกเอาคำสอนที่เหมาะเฉพาะบางโอกาส บางเรื่อง แล้วเอามาถือว่ามันเป็นความคิดที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้อีกต่อไป เพราะมันจับใจเขา โดยการที่มันปรากฏอยู่เป็นส่วนหนึ่งในพระคัมภีร์ ทำไมจึงเป็นดังนั้นเล่า ? เพราะว่าตามความจริงดังนั้น ไม่มีธรรม (สิ่ง) ใดที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ซึ่งความข้อนี้ พระตถาคตก็ได้ประกาศไว้แล้ว คนในนิกายเราจะไม่แย้งเลย ในข้อที่ว่า สิ่งทำนองนี้คงจะมีได้
   เรารู้จักทำให้การเคลื่อนไหวต่าง ๆ ทางจิต หยุดเสียทั้งหมดเท่านั้น และเพราะเหตุนั้น ย่อมได้รับความสงบอันแท้จริง โดยแน่นอนเราไม่ควรตั้งต้นด้วยการคิดสิ่งต่าง ๆ ออกมามากมาย แล้วจบลงแค่ความฉงนสนเท่ห์นานาชนิด

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 15, 2012, 08:21:24 pm »



   ๒๙.คำสอนของฮวงโป (ทาง)

   เมื่อกล่าวถึง ธรรมะ อย่างเซ็น ของพวกเรา ขอให้จำไว้ว่า จำเดิม ตั้งแต่ได้ถ่ายทอดกันมาเป็นครั้งแรกนั้น ไม่เคยสอนกันเลยว่า คนเราจะต้องแสวงหาด้วยการศึกษา หรือต้องสร้างความคิดขึ้นในรูปต่าง ๆ คำที่พูดว่า “การศึกษาเรื่อง หนทาง ทางโน้น” นั้นเป็นแต่เพียงโวหารกล่าวทางบุคลาธิษฐานเท่านั้น นั่นมันเป็นเพียงวิธีการสำหรับเร้าความสนใจของบุคคลในขั้นเริ่มแรก ของการดำเนินตามทางธรรมดาของเขาเท่านั้น

   ตามความจริงแล้ว ทาง ทางนั้นไม่รวมอยู่ในสิ่งที่ต้องศึกษาเลย การศึกษา ย่อมนำไปสู่การหน่วงเอาความคิดในรูปต่าง ๆ ไว้โดยท่าเดียว เมื่อเป็นดังนั้น ทาง ทางโน้นก็มีแต่จะถูกเข้าใจผิดโดยสิ้นเชิง
   ยิ่งไปกว่านั้นอีก ทาง ทางโน้นไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่ตั้งอยู่เป็นพิเศษ มันถูกขนานนามว่ามหายาน จิตคือจิตซึ่งไม่อาจหาพบได้ข้างใน หรือข้างนอก หรือตรงกลาง โดยแท้จริงแล้วมันไม่ได้มีตำแหน่งแหล่งที่อยู่ ณ ที่ใดเลย

   ข้อปฏิบัติขั้นแรกที่สุดคือการเว้นเสียจากความคิดในรูปต่าง ๆ ซึ่งตั้งรากฐานอยู่บนความรู้ที่เคยเล่าเรียนมา ข้อนี้หมายความว่า แม้พวกเธอจะได้ดำเนินการปฏิบัติไปโดยวิธีที่เกี่ยวข้องกับความรู้ชนิดนั้น ตามที่เธอเคยเชี่ยวชาญมา จนหมดความรู้ ถึงขั้นนั้นแล้ว เธอก็จะยังไม่สามารถพบตำแหน่งแหล่งที่ของ จิต นั้นอยู่นั่นเอง
   ทาง ทางนี้ เป็น สัจจธรรม ฝ่ายนามธรรม และเป็นสิ่งที่ไม่มีชื่อ ไม่มีสมญามาแต่เดิม

   มันเป็นเพราะสัตว์โลก ได้พากันแสวงหาสัจจะนี้อย่างโง่เขลา และคว้าไปคว้ามา ในขั้นทดลองอยู่ร่ำไปเท่านั้นเอง พระพุทธเจ้าทั้งหลายจึงได้มาปรากฏในโลกนี้ และสอนสัตว์เหล่านั้น ให้เพิกถอนวิธีการปฏิบัติ เพื่อการเข้าถึงสัจจะวิธีการของพระองค์ พระองค์จึงได้ทรงเลือกเอา คำว่า “ทาง” มาใช้
   พวกเธอต้องไม่ปล่อยให้คำว่า “ทาง” คำนี้ จูงเธอไปสู่การก่อรูปแห่งความคิดขึ้นในจิต ว่าทางสำหรับเท้าเดิน (ถนน) ด้วยเหตุนี้แหละ จึงมีคำกล่าวไว้ว่า “เมื่อปลาตัวนั้นถูกจับได้แล้วเราก็ไม่สนใจกับ ลอบ อีกต่อไป” ดังนี้

   เมื่อใดกายและจิต มีการโพล่งออกไปเอง ถึงธรรมชาติเดิมของมันได้ ทาง ทางนั้นก็เป็นอันว่าเดินเสร็จแล้ว และ จิต ก็เป็นอันว่าได้ถูกเข้าใจอย่างซึมซาบแล้ว
   สมณะได้นามว่าสมณะ ก็เพราะรู้แจ้งแทงตลอดแหล่งกำเนิดเดิมของสิ่งทั้งปวง ผล คือความเป็นสมณะเช่นนั้น ลุถึงได้ด้วยการทำความสิ้นสุดให้แก่ความกระหายใคร่จะถึงทุกอย่างเสีย มันไม่ได้มาจากการศึกษาจากตำราเลย

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 15, 2012, 07:57:30 pm »



๒๘.คำสอนของฮวงโป (คำตอบ)

   ถาม   จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ท่านอาจารย์ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ผิดไปเสียทุกสิ่งเท่าที่กระผมได้กล่าวไปแล้ว ท่านอาจารย์ไม่ได้ทำอะไรเลย ในการที่จะชี้ให้พวกเราเห็น ธรรมะ ที่แท้จริง
   ตอบ   ใน ธรรม ที่แท้จริงนั้น ไม่มีความสับสนเลย แต่พวกเธอเองได้สร้างความสับสนขึ้น ด้วยคำถามต่าง ๆ ทำนองนั้น ธรรมะ ที่แท้จริงอย่างไหนกันนะ ที่เธอจะเที่ยวแสวงหาเอาได้ ?

   ถาม   ถ้าความสับสนเกิดขึ้นจากคำถามต่าง ๆ ของผมแล้ว คำตอบของท่านอาจารย์เล่า มีอยู่อย่างไร ?
   ตอบ   จงสังเกตให้เห็นสิ่งต่าง ๆ ตามที่มันเป็นอยู่จริง และอย่าไปสนใจกับคนอื่น มีคนบางพวกเหมือนกับสุนัขบ้าแท้ ๆ มันเห่าทุกสิ่งที่ เคลื่อนไหว เห่าจนกระทั่งใบหญ้าใบไม้ที่กระดุกกระดิกเมื่อถูกลมพัด


ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 03, 2012, 02:48:05 pm »



   ๒๗.คำสอนของฮวงโป (ความรู้สึก)

   ถาม   ทาง นั้นเป็นอย่างไร และต้องเดินมันอย่างไร ?
   ตอบ   เธอจะสมมติให้ ทาง นั้นเป็นของคนชนิดไหนกันนะ! จนถึงกับเธออยากจะเดิน ?

   ถาม   อาจารย์มีคำแนะนำอะไรบ้าง ที่จะให้แก่ศิษย์ในที่ทั่ว ๆ ไป เพื่อปฏิบัติธฺยานะและศึกษาธรรม ?
   ตอบ   ถ้อยคำต่าง ๆ ที่ใช้เป็นเครื่องดึงดูดความสนใจของพวกปัญญาทึบนั้น ใช้อาศัยอะไรไม่ได้หรอก
 
   ถาม   ถ้าคำสอนเหล่าโน้น มุ่งหมายสำหรับพวกปัญญาทึบแล้ว กระผมก็ยังต้องการจะฟังว่า ธรรมะอะไร ที่ใช้สอนพวกที่มีปัญญากว้างขวางจริง ๆ ?
   ตอบ   ถ้าเขาเหล่านั้นเป็นคนมีปัญญากว้างขวางจริง ๆ แล้ว เขาจะหาพบคนที่เขาควรเดินตาม ได้ที่ไหนเล่า ? ถ้าเขาแสวงหาจากภายในตัวเขา เขาจะพบว่าไม่มีอะไรที่เป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว คิดดูเถิดว่าเขาจะพบธรรมะที่ควรแก่ความสนใจของเขา ในที่อื่น ๆ ภายนอกนั้นน้อยมากลงไปอีกเพียงไร ? อย่ามองมุ่งไปยังสิ่งซึ่งพวกนักเผยแผ่ทั้งหลายเรียกกันว่า ธรรมะ เลย เพราะ ธรรมะ ชนิดนั้นจะเป็นธรรมะอะไรที่ไหนได้ ?

   ถาม   ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว เราไม่ควรแสวงหาสิ่งใด ๆ กันบ้างเลยเชียวหรือ ?
   ตอบ   ด้วยการทำอย่างนั้นแหละ พวกเธอจะประหยัดความเหน็ดเหนื่อยทางจิต ให้เธอเองได้มากที่สุด

   ถาม   แต่สิ่งทุก ๆ สิ่ง จะต้องถูกขจัดออกไปด้วยการปฏิบัติวิธีนี้แล้วจะว่าไม่อะไรเลย ได้อย่างไรกัน ?
   ตอบ   ใครเป็นคนเรียกสิ่ง ๆ สิ่งนั้นว่าไม่มีอะไร ? ใครเป็นคนเรียก ? มันมีแต่พวกเธอที่ต้องการจะแสวงหาอะไรสักอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง

   ถาม   ถ้าไม่มีความจำเป็นต้องแสวงหา ทำไมท่านอาจารย์จะต้องกล่าวว่าไม่ใช่ทุก ๆ สิ่งจะต้องถูกขจัดออกไป ดังนี้ด้วยเล่า ? (มันย่อมหมายความว่า มีสิ่งบางสิ่งเหลืออยู่ให้แสวงหามิใช่หรือ ?)
   ตอบ   การไม่แสวงหา คือการอยู่สงบ ใครได้บอกเธอ ว่าให้ขจัดมันเสียตะพึดเล่า ? ดูความว่างที่ตรงหน้าเธอนี่ซิ เธอจะสร้างมันขึ้นหรือขจัดมันออกไปได้อย่างไรกันหนอ ?

   ถาม   ถ้ากระผมสามารถเข้าถึง ธรรมะ นั้นได้เล่า มันจะเป็นเหมือนความว่างนี้ไหม ?
   ตอบ   อาตมาได้อธิบายให้แก่พวกเธอแล้ว ทั้งเช้าทั้งเย็น ว่า ความว่าง นั้นเป็นทั้ง หนึ่ง และเป็นทั้ง หลายซับหลายซ้อน อาตมากล่าวความข้อนี้ในฐานะที่มันเหมาะสมสำหรับระยะเริ่มแรก แต่พวกเธอก็กำลังสร้างรูปความคิดต่าง ๆ ขึ้นจากมันเรื่อยเปื่อยไป

   ถาม   ท่านอาจารย์หมายความว่า พวกเราไม่ควรมีการสร้างรูปความคิดต่าง ๆ เหมือนกับที่มนุษย์ธรรมดา เขาทำกันอยู่เป็นปกติดังนั้นหรือ ?
   ตอบ   อาตมาไม่ได้ห้ามพวกเธอดอก แต่รูปความคิดต่าง ๆ นั้นมันขึ้นอยู่กับอายตนะ เมื่อใดความรู้สึกทางอายตนะเกิดขึ้น ปัญญาก็ถูกปิดบังเสียทันที

   ถาม   ถ้าอย่างนั้นเราควรหลีกเลี่ยงจากความรู้สึกทุกชนิด แม้ที่เกี่ยวกับ ธรรมะ นั้น ดังนั้นหรือ ?
   ตอบ   ถ้าในที่ที่ไม่มีความรู้สึก เกิดขึ้นเล่า ใครคนไหน กล้ากล่าวว่า เธอพูดถูก ?

   ถาม   ทำไมท่านอาจารย์จึงกล่าวราวกับว่า ผมเป็นฝ่ายผิดไปเสียทั้งหมด ในทุกคำถาม ที่ผมได้ถามท่านอาจารย์ ?
   ตอบ   เธอเป็นบุคคลที่ไม่เข้าใจอะไร ๆ ที่เขาพูดให้ฟัง ไอ้ทั้งหมดที่เรียก ผิด-ผิด นั้น มันอะไรกันนะ ?