ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
ท่านจะปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อตกลงของเว็บใต้ร่มธรรมทุกประการหรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: เมษายน 06, 2013, 05:38:40 pm »



ในเมื่อความหมายก็เป็นสิ่งสมมุติ แล้วตัวตนจริง ๆ ของเราล่ะ มันมีอยู่จริงไหม ?

 เป็นคำถามที่ไม่ใช่คำถามใหม่หรอกค่ะท่านผู้อ่าน แต่เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบที่ตายตัวและยังเถียงกันไม่จบมาหลายร้อยปีแล้ว   แต่ถ้าคำถามนี้หากเปลี่ยนมาเป็น "แล้วตัวตนของเราล่ะ สร้างขึ้นมาจากอะไร ?" น่าจะเป็นคำถามที่หาคำตอบให้กับตัวเราเองได้ง่ายกว่าและเป็นประโยชน์มากกว่าคำถามเชิงอภิปรัชญาข้างต้น Spirited Away จึงไม่ใช่แค่หนังการ์ตูนที่ทวงถามจิตวิญญาณของคนที่หลงหายไปกับกระแสอันเชี่ยวกราดของโลกไร้พรมแดนเพียงอย่างเดียว และไม่ได้โจมตีว่าทุนนิยมมันเลวทรามต่ำช้าแต่อย่างไร มันมีส่วนดีส่วนเสียอยู่ด้วยกันทั้งหมดไม่ว่าจะระบบไหน แต่หนังชวนให้เราทบทวนว่าท่ามกลางระบบนี้ อะไรที่ขัดเกลาให้เรามีตัวตนแบบที่มันต้องการ และอะไรที่เป็นสิ่งที่เราปฏิเสธและต่อรอง ต่อสู้ ช่วงชิงความหมายว่าเราเองก็ไม่ได้ชอบมันหรอก แต่มันใหญ่กว่าที่เราจะไปล้มล้างมันได้ คำถามต่อจากนี้ก็คือ "แล้วเราจะอยู่กับมันยังไง ให้เราไม่อดตายและยังคงมีความหมายมากกว่าเป็นสัตว์เศรษฐกิจ" ในฐานะปัจจัยในการผลิตแบบหนึ่ง หรือที่เรียกว่า แรงงาน 

ในฐานะที่ตอนนี้ผู้เขียนก็เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของระบบการผลิตในอุตสาหกรรมการศึกษาที่เรียกว่า "มหาวิทยาลัย" ทั้งที่ก็ไม่ชอบใจที่ ม.ออกนอกระบบ และต้องเลี้ยงชีพด้วยการทำงานในระบบนี้   ผู้เขียนก็ไม่แน่ใจในตัวเองบ่อยครั้งมากว่าจะอยู่กับมันได้ไหม เพราะที่ผ่านมาเป็นนักประท้วงมากกว่านักปรับตัวและแทรกแซงในองค์กร แต่ด้วยความคาดหวังที่หนักอึ้งที่จะให้บุพการีสบายใจว่ามีงานที่มั่นคงและไม่โดนเก็บไปเสียก่อนที่พ่อแม่จะแก่เฒ่า (มากกว่าไปเป็นนักข่าวหรือ NGO อยากที่ผู้เขียนอยากทำแต่แรก) ประกอบกับเป้าหมายที่จะสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วมในเรื่องการออกนอกระบบของมหาวิทยาลัย แม้มันจะท้าทายและเป็นประโยชน์มากเมื่อผู้เขียนจะไปเรียนต่อในอนาคต แต่ก็หวั่นใจเสมอว่าจะสามารถทนได้ไหมกับระบบที่ตัวเองไม่ชอบ  เฝ้าแต่ภาวนาว่า "ขอให้ตัวตนที่ผู้เขียนเคารพตัวเองแบบนี้อย่าได้เลือนหายไปกับกระแสสังคม และอดทนกับมันได้จนกว่าผู้เขียนจะอยู่ในสถานะที่พูดแล้วสังคมฟังแล้วคิดตาม (จะต่อยอดหรือจะขัดแย้งก็ได้) มากขึ้นกว่านี้" ยังไงก็ขอให้ผู้อ่านเอาใจช่วยนักมานุษยวิทยาที่บ้า ม.นอกระบบแบบกัดไม่ปล่อยคนนี้ด้วยนะคะ v( ^ - ^ )v
 
ป.ล. Ghibli Mania Series เป็นหัวข้อที่ผู้เขียนอยากจะเขียนบทความชวนผู้อ่านคุยกันเกี่ยวกับการ์ตูนของสตูดิโอ จิบลิ หากท่านผู้อ่านสนใจหรือเป็นคอหนังแนวเดียวกันโปรดติดตามเรื่องต่อไปหรือแลกเปลี่ยนกันได้ค่ะ

 :19: http://www.oknation.net/blog/philosoanthro/2008/04/06/entry-2
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: เมษายน 06, 2013, 05:36:21 pm »



"มีตัวตน มีมูลค่า แต่ไม่มีความหมาย" ภาพสะท้อนตัวตนของคนในโลกทุนนิยมจาก Spirited Away
สิ่งที่ผู้เขียนอยากชวนมองในเรื่อง Spirited Away ก็คือเรื่องทุนนิยมในญี่ปุ่น หลายท่านอาจจะสงสัยว่ามันเกี่ยวกันได้ยังไง แต่อยากให้เริ่มจากการตั้งคำถามว่าทำไมทุนนิยมที่ญี่ปุ่นมันถึงโตเอ้าโตเอาเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านชาวเอเชียด้วยกัน   หากมองว่าคนในโรงอาบน้ำจะขยันขันแข็ง แม้แต่หนูน้อยอิจิโรที่แรก ๆ อาจจะมองว่าเป็นเด็กที่ไม่ค่อยเอาการเอางาน (เอ๊ะ... มิยาซากิเขาแอบจิกเด็กญี่ปุ่นเจนเนอเรชันนี้ว่ากว่าญี่ปุ่นจะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและมีชีวิตที่สะดวกสบายก็เกิดจากการทำงานหนักหรือเปล่านี่ หุหุหุ) ก็มาจากการมองชีวิตของคนญี่ปุ่นจากฐานความคิดในพุทธศาสนานิกายมหายานลัทธิหนึ่ง (จริง ๆ แล้วที่นู่นมีลัทธิเยอะมาก ๆ ผู้เขียนจำชื่อไม่ได้ ขอติดเอาไว้ก่อนละกันนะคะ) ว่าชีวิตที่มีคุณค่าคือชีวิตที่ทำงาน คล้ายกับประเทศทางตะวันตกที่คุณลุง แมกซ์ เวเบอร์ นักสังคมวิทยาชาวเยอรมันที่เขาศึกษาแนวคิดทางศาสนาที่มีผลต่อการเป็นประเทศทุนนิยมในหนังสือ "Protestant Ethic and the Spirit of Capitalism" ว่าแนวคิดทางศาสนามีผลต่อการกลายเป็นสังคมที่รับเอาระบบทุนนิยมมามากน้อยเพียงใด ตอนแรกลุงแกไปศึกษาศาสนาที่อินเดียพบว่าคงไม่มีทางเป็นทุนนิยมได้เพราะความคิดในศาสนาของเขาสอนให้ "ละโลก" เสียมากกว่า เช่น ความคิดเรื่องนิพาน (ศาสนาพุทธ) กลับไปเป็นหนึ่งกับพรหมมัน (ฮินดู) และการให้ทานหรือสอนเรื่องการเสียสละทรัพย์สิน  จากนั้นลุงแกก็ไปศึกษาลัทธิขงจื๊อในจีนก็พบว่าพอมีหวังอยู่บ้าง แต่ติดตรงที่จีนยังเน้นเรื่องระบบเครือญาติและลำดับความอาวุโส ส่วนทางตะวันตก โดยเฉพาะประเทศที่เป็น Protestant จะมีฐานความเชื่อทางศาสนาที่สามารถทำให้ทุนนิยมเติบโตได้ นั่นก็คือความเชื่อที่ว่าการทำงานหนัก ขยันขันแข็ง ผ่านอุปสรรคอันเป็นบททดสอบจากพระเจ้า เมื่อประสบความสำเร็จแล้วอาณาจักรของพระเจ้าก็จะเปิดรอรับคนเช่นนี้เข้าไปอยู่กับพระองค์ (แต่ความสำเร็จต้องไม่คดโกงนะขอรับ) 

ดังนั้นที่ญี่ปุ่นจึงมีฐานความคิดเรื่องการทำงานที่ทำให้รับแนวคิดของทุนนิยมได้ ส่วนความคิดแบบสังคมนิยมหรือแบบคอมมิวนิสต์ของคุณลุง คาร์ล มาร์ซเขาจะไม่ค่อยรับกัน (อาจจะมองว่าเป็นแนวคิดที่ส่งเสริมให้คนขี้เกียจด้วยซ้ำ) อย่างไรก็ตามญี่ปุ่นจะมีความคิดแบบสังคมนิยมไปในทางสำนึกรับผิดชอบต่อส่วนรวมมากกว่าเรื่องการกระจายผลผลิตส่วนเกิน เช่น หากพบว่าตัวเองทำให้บริษัทเจ๊ง นักการเมืองถูกจับได้ว่าคดโกงเขาจะแสดงความรับผิดชอบหรือแสดงการสำนึกในความผิดด้วยการฆ่าตัวตาย ไม่ใช่เพราะหนีความผิด แต่เขามีความรู้สึกว่าหากอยู่อย่างไร้เกียรติก็สู้ตายเสียดีกว่า (ไม่เหมือนบางระเทศเนอะ ที่หลักฐานว่าโกงการเลือกตั้งเห็นอยู่ตำตาแต่ก็ปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ อิอิอิ แต่ที่น่าเจ็บใจกว่าก็คือคนในประเทศนั้นกลับปล่อยให้โกงกันได้ซะงั้นอ่ะ)

ด้วยเหตุนี้ หากใครไปญี่ปุ่นแล้วจะแปลกใจว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงเอาจริงเอาจังกับการทำงาน แม้แต่ในที่ทำงานก็ไม่ยิ้มแย้มแจ่มใสหรือหัวเราะแบบพี่ไทย เพื่อนรักชาวญี่ปุ่นของผู้เขียนเองก็มีปัญหาเรื่องนี้เช่นกัน เนื่องจากเจ้านายจะดุเธอบ่อย ๆ เพราะเป็นคนยิ้มและหัวเราะง่าย (มักจะบ่นให้ผู้เขียนฟังบ่อย ๆ ว่าอยากทำงานที่เชียงใหม่ ไม่อยากกลับไปญี่ปุ่น) แต่ก็ใช่ว่าจะดีไปเสียหมดนะคะท่านผู้อ่าน เรื่องความเครียด เรื่องความแปลกแยก คนคงพูดถึงผลกระทบในด้านเหล่านี้เยอะละ  ผู้เขียนจะชวนท่านผู้อ่านคุยถึงการมองโลกมองชีวิตที่เปลี่ยนไปจากความคิดแบบทุนนิยมที่สะท้อนผ่านเรื่อง Spirited Away

การมีตัวตนในสังคมสังคมหนึ่งปัจเจกบุคคลนั้นอาจจะต้องเสียสละตัวตนหรือความเคยชินอะไรบางอย่างเพื่อให้เกิดการยอมรับถึงความมีอยู่ของคน ๆ นั้น   ท่านผู้อ่านเคยสงสัยไหมว่ากว่าที่มนุษย์จะมาอยู่รวมกันเป็นสังคมทุกวันนี้ แรกเริ่มเดิมทีมันจะมีที่มาอย่างไรหนอ  ไม่ต้องย้อนไปถึงสมัยชุมชนบุพกาลหรอกเจ้าค่ะ เอาง่าย ๆ ก็คือ ตอนที่เราเข้าเรียนในโรงเรียนใหม่ มหาวิทยาลัยใหม่ หรือไปเจอคนที่เราไม่คุ้นเคยหรือรู้จักใครเลย เราไม่สามารถรู้ได้ว่าเขาชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เราจะเข้าไปพูดคุยกับเขาหรืองทางสังคมวิทยาเรียกว่า "เกิดการปฏิสัมพันธ์" การปฏิสัมพันธ์นั้นไม่ใช่แค่คุยกันอย่างเดียว แต่รวมไปถึงการแสดงสีหน้า การส่งสายตา หรือแสดงท่าทางหรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม หากอีกฝ่ายรับสารนั้นไปตีความและรู้ความหมายก็แสดงว่าการปฏิสัมพันธ์นั้นเกิดขึ้นแล้ว เมื่อเวลาผ่านไปเราก็จะลองผิดลองถูกในการปฏิสัมพันธ์แต่ละครั้งจนรู้ว่าเขาชอบอะไร ไม่ชอบอะไร คาดหวังหรือให้สถานะของเราเป็นอะไรสำหรับเขาแล้ว กระบวนการเหล่านี้จะสร้างกฎเกณฑ์ของการอยู่ร่วมกันเองโดยปริยาย เช่น รูมเมทไม่ชอบเสียงดัง เราก็จะไม่ส่งเสียงดัง แต่เราไม่ชอบทุเรียน เขาอาจจะไม่เอามากินในห้อง เป็นต้น บางครั้งเราอาจจะไปเป็นสมาชิกใหม่ของสังคมหนึ่ง กระบวนการนี้ก็จะเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน อย่างเช่นสุภาษิตที่ว่า "เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม"

เพราะหนูอิจิโรหลงเข้าไปในเมืองตาหลิ่ว เธอจึงต้องหลิ่วตาตาม หากเธอไม่ยอมหลิ่วตาแล้วละก็ นอกจากเธอจะไม่มีตัวตนแล้วอาจจะไม่เป็นที่ยอมรับในสังคมนั้นได้   การปรับตัวให้มีตัวตนจะพบสัญญะในเรื่องนี้ในช่วงต้นเรื่องเยอะทีเดียว เช่น ร่างกายของอิจิโรโปรงแสง ไม่มีใครมองเห็น ฮากุจึงต้องให้กินยาเม็ดสีแดง ๆ เสมือนสัญญะแห่งการเปลี่ยนผ่านจากมนุษย์ไปเป็นคนในโลกวิญญาณ การที่เธอต้องข้ามสะพานโดยการกลั้นหายใจก็เป็นพิธีกรรมเปลี่ยนผ่านสถานะเช่นเดียวกัน หากเธอทำไม่สำเร็จการมีตัวตนในสังคมนั้นก็จะเกิดปัญหาขึ้น อย่างเช่นที่เธอตกใจกับเจ้ากบที่กระโดดใส่เธอตรงสะพานจนเธอเผลอหายใจ เหล่าวิญญาณก็ตามล่าเพราะรู้ว่ามีมนุษย์เข้ามายังดินแดนนี้   ก็เหมือนกับพิธีกรรมรับน้องที่จะถึงอีกไม่กี่เดือน บรรดาน้อง ๆ เฟรชชี่ทั้งหลายก็จะเหมือนอิจิโรที่ต้องเข้าสู่พิธีกรรมเปลี่ยนผ่านสถานะและบรรดารุ่นพี่ก็จะขัดเกลาให้น้อง ๆ เหล่านั้น "หลิ่วตา" ตาม หากมีน้องคนไหนไม่หลิ่วตาด้วยก็จะถูกลงโทษด้วยรูปแบบต่าง ๆ ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะพิธีกรรมมันดีงามหรือมันศักดิ์สิทธิ์อย่างที่พวกรุ่นพี่อ้างไว้ แต่เป็นความการรักษาระบบโครงสร้างความสัมพันธ์ของสังคมนั้นยังคงรูปแบบเดิมอยู่เท่านั้นเอง (แน่นอนว่าคนที่สร้างและใช้กฎนี้ย่อมจะคงไว้ซึ่งผลประโยชน์ของกลุ่ม จะจะเอื้อให้ฝ่ายใดมาก ฝ่ายใดน้อยนั้น ท่านผู้อ่านคงมีความคิดอยู่ในใจที่แตกต่างกันไปแน่นอน)

การที่อิจิโรต้องการมีตัวตนเพื่อช่วยเหลือพ่อแม่ที่ถูกสาปเป็นหมูเธอจึงได้รับการขัดเกลาจากสังคมในโรงอาบน้ำ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน ป้ายูยาบะ ฮากุ และคุณลุงขาแมงมุมที่เธอเจอเขาเป็นคนแรกในโรงอาบน้ำ จึงเปลี่ยนจากเด็กงอแงมาเป็นเด็กที่เอาการเอางาน แต่เธอก็หาได้ถูกระบบกลืนไปเสียจนหมด เพราะสิ่งที่เธอต้องการจากการทำงานและการยอมรับนั่นก็คือการช่วยหลือพ่อแม่ต่างไปจากคนอื่น ๆ ในโรงอาบน้ำที่ต้องการรายได้จากการทำงาน   ฉากที่เจ้าผีไม่มีหน้าแจกเงินให้กับทุกคนในโรงอาบน้ำ บรรดาวิญญาณลูกจ้างเหล่านั้นจึงยอมก้มหัวรับใช้ทุกประการเพียงเห็นแก่เศษเงินเศษทองที่ผีไม่มีหน้าแจกให้เท่านั้น ผีไม่มีหน้าตอนแรกเป็นวิญญาณที่ไม่มีใครสนใจเลย จนมันแสดงความสามรถพิเศษออกมาคือการเสกทองออกมาได้คนในโลกวิญญาณจึงยอมรบในการมีอยู่ของมัน สะท้อนภาพคนในโลกทุนนิยม (ในที่นี้คิดว่ามิยาซากิคงหมายถึงคนญี่ปุ่นมากกว่า) ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตว่ายอมทำได้ทุกอย่างเพื่อแลกกับเศษเงินที่นายทุน (หรือประเทศมหาอำนาจ ที่เมื่อก่อนไม่เคยเห็นว่ามีความสำคัญจนถึงวันที่มันมาเป็นนายจ้างเรา) เอาให้ จึงเป็นการตั้งคำถามถึงคุณค่าของตัวเองว่าเป็นเพียงแรงงานที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจเท่านั้นเองหรือ (ลุงมิยาซากิแกแอบเป็นมาร์ซิสต์ด้วยหรือเปล่านี่ อิอิอิ) เป็นตอนหนึ่งในเรื่องที่ทำให้คนที่เคยอายุ 10 ขวบสะอึกได้บ้าง 

ผู้เขียนไม่ได้ชี้นำว่าคนที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อเงินไม่มีคุณค่าหรอกนะคะ แต่บางครั้งการที่เราบริโภคสิ่งที่เกินอรรถประโยชน์กันจนไม่ลืมหูลืมตาและรู้ไม่เท่าทันว่าเป็นสิ่งที่สมมุติขึ้นเท่านั้นมันได้ลดทอนความเป็นมนุษย์ของตัวเองและลดทอนความเป็นมนุษย์ของผู้อื่นด้วย อย่างเช่น นักศึกษาสาวบางคนขายบริการทางเพศเพื่อให้ได้มาซึ่งกระเป๋าหลุยฯ สักใบ (โหย...ตัวอย่างสุดคลาสิกเลยเนอะ) ผู้เขียนไม่ได้ประณามว่าเธอเลวทราม แต่กลับเห็นใจเธอที่อยู่ท่ามกลางสังคมที่มองกันแค่เปลือกนอกจนเธอลดทอนความเป็นมนุษย์ของตัวเอง ส่วนผู้ซื้อบริการเธอก็ลดทอนความเป็นมนุษย์ของเธอด้วยการบริโภคความหมายของค่านิยมการมีเพศสัมพันธ์กับสาวมหาวิทยาลัยว่าเป็นเรื่องโก้เก๋   ดังนั้น การมีตัวตนของทั้งสองฝ่ายก็ล้วนเกิดจากการมองคนไม่เป็นคน  เนื่องจากคนในสังคมนั้นไปยึดติดกับสิ่งสมมุติที่สังคมสมมุติขึ้นและเชื่อว่ามันเป็นจริงอย่างเข้มข้น จนจิตวิญญาณของเธอหลงหายไปกับกระแสการบริโภค (เหมือนชื่อเรื่อง Spirited Away มั้ยละคะท่านผู้อ่าน)

เมื่อกี้พูดถึงผีไม่มีหน้าก็ถือโอกาสนี้คุยเกี่ยวกับตัวละครตัวนี้ด้วย  ตัวละครตัวนี้ผู้เขียนชอบมันเอามาก ๆ ทั้งบุคลิกที่แปลก ๆ ดูเหมือนเสีย Self อยู่ตลอดเวลา ทั้งเรื่องจะพูดได้แค่เพียง "อะ...อะ..." เจ้าตัวนี้ในโลกวิญญาณไม่มีใครสนใจมันเลย จนอิจิโรคุยด้วยแล้วชวนให้มันเข้ามาหลบฝนในโรงอาบน้ำ เจ้าผีตัวนี้ก็ติดตามอิจิโรไปทุกที่ ตอนแรกก็เริ่มจากช่วยอิจิโรแก้ปัญหาจนหลัง ๆ มากลับเป็นตัวปัญหาให้เธอไปเสียอย่างนั้น เจ้าผีไม่มีหน้าเริ่มก่อปัญหาจากการที่อิจิโรปฏิเสธเงินทองที่มันเสกให้ ทั้งที่วิญญาณในโรงอาบน้ำที่ไม่เคยรับรู้การมีอยู่ของมันกลับเทิดทูลราวกับเป็นพระเจ้า ด้วยที่มันเป็นผีเสีย Self เมื่ออิจิโรที่มันชื่นชมปฏิเสธ มันจึงทำทุกอย่างเพื่อให้อิจิโรยอมรับด้วยการกินบรรดาวิญญาณที่มีคุณสมบัติอย่างที่มันต้องการ อย่างเริ่มจากกินเจ้ากบพูดได้ให้มันพูดได้มากกว่า "อะ...อะ..." กินไปเรื่อย ๆ จนมันกลายเป็นสัตว์ประหลาดแล้ววิ่งไล่หาอิจิโร จนมันชนกับกำแพงแล้วสำรอกเอาสิ่งที่มันกินออกมาหมด ตัวตนของมันจึงว่างเปล่า เป็นผีไม่มีหน้าที่เสีย Self ตลอดเวลาเหมือนเดิม (ส่วนที่มันพูดได้แค่นั้นก็เพราะเมื่อตัวตนนั้นไม่ได้รับการยอมรับหรือไม่มีความหมายสำหรับตัวเอง ถึงพูดได้เป็นเรื่องเป็นภาษาก็เสียงไม่ดังพอที่ใครจะสนใจ ไม่ต่างอะไรที่พูดได้แค่ "อะ...อะ...")

ไม่ทราบว่ามิยาซากิศึกษาปรัชญาของ Jean Paul Sartre มาหรือเปล่า (เอาอีกละ ชาวบ้านเขารู้หมดแล้วว่าแกคลั่งไคล้ซาร์ตร์ ... เสียงข้าง ๆ ลอยมาต่อว่าผู้เขียนอีกแล้วเจ้าค่ะ) แต่ผู้เขียนรู้สึกว่าเจ้าผีไม่มีหน้านี่ใช่เลยที่ซาร์ตร์บอกว่า มนุษย์นั้นแท้จริงแล้วเกิดมาด้วยความว่างเปล่าแล้วความหมายว่าเราเป็นนั่นเป็นนี่จะตามมาทีหลัง  เจ้าผีไม่มีหน้าได้แสดงให้เห็นถึงการสร้างตัวตนของคนในโลกสมัยใหม่ที่หาได้เกิดจากภายในจิตใจของตัวเองไม่ แต่เกิดจากการบริโภค การกินสิ่งต่าง ๆ เพื่อจะเป็นอย่างอิจิโรหรือให้อิจิโรยอมรับมันมีความหมายตรงไปตรงมาเลยทีเดียว   ผู้เขียนมองว่ามันไม่แปลกหรอกที่ผีไม่มีหน้าจะยึดเอาอิจิโรเป็นไอดอลเพราะคนเราทุกคนย่อมมี "บุคคลอ้างอิง" หรือ Reference Group เพื่อให้เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตทั้งสิ้น คนที่เราเอาเป็นแบบอย่างเป็นกระบวนการขัดเกลาทางสังคมอย่างหนึ่งที่เราทำการขัดเกลาตัวเองเพื่อให้เป็นที่ยอมรับหากสักวันหนึ่งเราได้เป็นอย่างนั้นจริง ๆ จะได้ปรับตัวได้ไม่ยากนัก เช่น ใครที่อยากเป็นนักร้องก็จะมีบุคคลอ้างอิงเป็นนักร้อง ผู้เขียนเองก็มาสังเกตตัวเองพักหลัง ๆ ว่าแนวคิดนี้น่าจะใช้ได้ เพราะบุคคลอ้างอิงแต่ละคนเป็นนักวิชาการ น้อยมากที่จะเป็นคนในวงการบันเทิง ไม่ว่าจะเป็น ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์   ศ.ดร.อานันท์ กาญจนพันธุ์   อ.ดร.ประมวล เพ็งจันทร์ ท่าน ว.วชิรเมธี ก็เพราะผู้เขียนอยากเป็นนักวิชาการที่ทำกิจกรรมเพื่อสังคม ไอดอลของผู้เขียนจึงหนีไม่พ้นบุคคลเหล่านี้

แต่คนอื่นล่ะ...โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่น ทั้งวัยรุ่นตอนปลายขึ้นไป (อย่างผู้เขียน ... อ้าว ฉันนึกว่าแกอายุ 35 ซะอีก ... ) และน้อง ๆ วัยกำลังจะรุ่น หรือที่มิยาซากิหมายถึงคนที่อายุ 10 ขวบเรามีบุคคลอ้างอิงเป็นใครกันเสียส่วนใหญ่   คงหนีไม่พ้นดารานักแสดงในวงการบันเทิง สิ่งที่เรารับมาขัดเกลานั้นคงแตกต่างหลากหลาย แต่ลึก ๆ ที่คงไม่อยากยอมรับกันอย่างตรงไปตรงมาเท่าไรก็คือ ความมีชื่อเสียง มีหน้าตารูปร่างที่ดี มีเงินทองจากการทำงานที่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป (ไม่เช่นนั้นหากจะชื่นชมว่าเขาสู้ชีวิต ไปชื่นชมป้าขายกล้วยแขกหน้าปากซอยดีกว่า จริงมั้ย) และตัวตนของดาราบ้านเรากว่าจะปรากฏให้เห็นก็ผ่านการปรุงแต่งทั้งจากโปรดิวเซอร์ เจ้าของค่ายหรือสังกัดกองถ่าย เจ้าของผลิตภัณฑ์ที่จ้างให้เป็นพรีเซนเตอร์ เมื่ออยากเป็นอย่างกับดาราที่เราชื่นชอบก็คือเลียบแบบสิ่งที่เขาเป็น เมื่อสิ่งที่เขาเป็นปรุงแต่งจากการหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เด็ก ๆ ก็เลียบแบบจากสิ่งที่ดาราขวัญใจใช้เพื่อมีภาพลักษณ์เช่นเดียวกับคน ๆ นั้น ตั้งแต่ทรงผม เสื้อผ้า เครื่องประดับ รองเท้า อาหารที่กิน กระเป๋าที่ถือ รถที่ใช้ เครื่องสำอาง แนวดนตรี  หนังสือที่อ่าน ฯลฯ วัยรุ่นหลายคนเลือกรับเลือกปฏิเสธได้อย่างชาญฉลาด แต่อีกหลายคนที่เหลือก็ตกเป็นเหยื่อของการบริโภคภาพลักษณ์อย่างเบ็ดเสร็จ (ผู้เขียนเองไม่ได้ปฏิเสธว่าตัวเองไม่เป็นคนที่ตามแฟชันกระแสหลัก แต่ก็ตามแฟชันกระแสรองหรือเฉพาะกลุ่มนั่นก็คือการแต่งคอสเพลย์เป็น Mana มือกีตาร์วง Malice Mizer หรือแฟชันแนว Visual Rock ก็อยู่ในวังวนเดียวกันกับคนรุ่นเดียวกันอีกหลาย ๆ คนนั่นแหละค่ะ)
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: เมษายน 06, 2013, 05:35:55 pm »



หากจะถามว่าท่านผู้อ่านประทับใจการ์ตูนเรื่องใดบ้าง คำตอบคงมีมากมายมหาศาล แต่คงมีอีกหลายท่านที่ชอบผลงานของ สตูดิโอ จิบลิ เช่นเดียวกับผู้เขียน (จริง ๆ แล้วผู้เขียนจัดได้ว่าเป็นคนหนึ่งที่ชอบการ์ตูนเป็นชีวิตจิตใจเลย แต่ถ้าจะยกให้เป็นสุดยอดในดวงใจแล้วละก็ ค่ายจิบลิถือได้ว่าเป็นที่หนึ่งค่ะ)   ผู้เขียนเคยอ่านบทสัมภาษณ์ของฮายาโอะ มิยาซากิ หนึ่งในทีมผู้สร้างฯ เขามีความตั้งใจที่จะใช้การ์ตูนเป็นเครื่องมือในการเข้าถึงเด็ก ๆ ทุกคนบนโลก   มิยาซากิเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่เขากลับอยู่อย่างสุขสบายท่ามกลางความทุกข์ระทมของเพื่อร่วมโลกเพราะครอบครัวของเขาทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องบินรบ  ความรู้สึกผิดอันนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้เขาสร้างการ์ตูนที่มีเนื้อหาต่อต้านสงคราม อย่างเรื่องที่ทุกคนต้องร้องอ๋อก็คือเรื่อง “สุสานหิ้งห้อย”  ทำให้ผู้เขียนนึกถึงท่านมหาตมะ คานธี ที่กล่าวไว้เอา  ถ้าจะสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนควรเริ่มต้นตั้งแต่วัยเด็ก   มายาซากิก็คงคิดแบบนี้เช่นเดียวกัน

ในบรรดาภาพยนตร์การ์ตูนของค่าย สตูดิโอ จิบลิ เรื่อง Spirited Away ถือว่าเป็นหนึ่งในผลงานระดับมาสเตอร์พีซของค่าย และสร้างความฮือฮาให้เหล่าค่ายภาพยนตร์การ์ตูนยักษ์ใหญ่จากตะวันตะด้วยการคว้ารางวัลออสการ์ในปี 2002 แต่มิยาซากิก็ไม่ไปรับรางวัลเนื่องจากปีนั้นสหรัฐอเมริกาทำสงครามกับอิรัก   เรื่องนี้มิยาซากิมีความตั้งใจไว้ว่า “อยากจะสร้างให้คนที่กำลังจะอายุ 10 ขวบ และ คนที่เคยอายุ 10 ขวบ” อย่างไรก็ตามการ์ตูนเรื่องนี้ก็ได้รับการยอมรับในวงวิชาการด้วยการมีการจัดเสวนาและมีบทความเขียนถึงเยอะที่สุดเลยก็ว่าได้

Spirited Away เป็นเรื่องราวของหนูน้อยอิจิโร่และพ่อแม่ที่หลงเข้าไปในดินแดนแห่งวิญญาณขณะที่กำลังขับรถย้ายบ้านไปอยู่เมืองอันห่างไกลในชนบท แต่เหตุการณ์เลวร้ายลงเมื่อพ่อกับแม่ของเธอกลายเป็นหมูหลังจากกินอาหารในเมืองนั้น และอิจิโร่ต้องช่วยให้พ่อกับแม่คืนร่างเป็นคน (ก่อนที่จะถูกเชือด เอิ้ก ๆ ๆ) กว่าจะสำเร็จเธอจะถูกยึดชื่อของตัวเองไปโดยป้ายูยาบะ เจ้าของโรงอาบน้ำและทำงานให้จนกว่าป้าแกจะพอใจ ในขณะเดียวกันก็มีฮากุ มังกร (สุดหล่อ) คอยช่วยเหลือเธอมาโดยตลอด (อ้าว...ลืมเตือนว่าเป็นการสปอยขอรับท่านผู้อ่าน)

เนื้อเรื่องที่เรียบง่ายที่เด็ก 10 ขวบสามารถเข้าใจได้ แต่สำหรับคนที่เคยอายุ 10 ขวบแล้วอาจทำให้น้ำตาไหลพรากได้   ไม่ใช่เพราะเศร้าหรอกนะคะ  แต่เรื่องนี้สะท้อนตัวตนของคนในยุคปัจจุบันที่เกี่ยวกับการเอารัดเอาเปรียบธรรมชาติ  แนวคิดทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่ส่งผลให้การมองโลกมองชีวิตถูกลดทอนให้เหลือเพียงแค่ผลประโยชน์ส่วนบุคคล  การมีตัวตนในโลกเสรีนิยมใหม่ที่ความหมายของชีวิตกลับสร้างขึ้นจากการบริโภค (หาได้สร้างจากภายในจิตใจของเราไม่)  ไม่ว่าจะเป็นจิตวิญญาณที่มีในธรรมชาติ หรือ จิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ก็หลงหายไปดังชื่อเรื่อง “Spirited Away” นั่นเอง (โอ้...แค่ชื่อเรื่องก็มาเป็นปรัชญาแล้วขอรับท่านผู้ชม)

เรื่องของบรรดาทวยเทพ (ที่ไม่ได้เป็นแค่เพียง เทพ โพธิ์งาม)
 เราอาจจะมองญี่ปุ่นในปัจจุบันว่าเป็นเมืองแห่งเทคโนโลยีและความทันสมัย หรืออาจมองว่าเป็นตัวแทนของความเจริญหรือการพัฒนาของโลกตะวันออก  แต่บางท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าที่ญี่ปุ่นมีความเชื่อเรื่องเทพเจ้าเยอะมาก ๆ   นักมานุษยวิทยาที่ไปศึกษาเรื่องเทพเจ้า หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า “คามิ” (神)พบว่ามีคามิจำนวนนับล้านเลยทีเดียว   เพราะในความเชื่อดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่นเขาเชื่อกันว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเทพเจ้าสิงสถิตอยู่   เอาตั้งแต่การอธิบายเรื่องการถือกำเนิดโลกและมนุษย์จากเทพ “อิซานางิ” (いさなぎ) กับเทพ “อิซานามิ” (いさなみ) กวนมหาสมุทรที่กำลังเดือดปุด ๆ ข้น ๆ เหมือนลาวาแล้วให้กำเนิดเทพแห่งพระอาทิตย์ “อามาเทระสุ” (天照) ที่ถือว่าเป็นบรรพบุรุษและคนญี่ปุ่นก็สืบเชื้อสายของเพทแห่งดวงอาทิตย์องค์นี้

เชื้อสายของเทพที่เป็นต้นตระกูลในปัจจุบันก็คือองค์พระจักรพรรดิของญี่ปุ่น   ซึ่งถือว่ามีสถานะของความเป็นเทพ  มิได้มองว่าเป็นมนุษย์ที่มีอำนาจในการปกครองแต่อย่างใด (เพราะจะเห็นว่าอำนาจในการปกครองตกอยู่ในมือของบรรดาโชกุนและไดเมียวทั้งหลาย)   บทบาทของพระจักรพรรดิจึงมีความสำคัญในด้านพิธีกรรมของชาติ   อย่างไรก็ตามหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 บทบาทของสถาบันกษัตริย์ของญี่ปุ่นแม้ว่าจะไม่ทรงยุ่งเกี่ยวกับการเมือง  แต่ก็มิได้อยู่แต่เพียงในพระราชวังอย่างเช่นเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว  และเจ้าชายอากิฮิโตะ พระราชโอรสก็อภิเษกสมรสกับสามัญชน   แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของความเชื่อดั้งเดิมจากอิทธิพลความคิดในโลกสมัยใหม่มากทีเดียว  ส่วนหยดน้ำจากการกวนมหาสมุทรนั้นก็หยดลงมาบนโลกกลายเป็นเกาะญี่ปุ่นน้อยใหญ่ทั้งหลายในปัจจุบันนั่นเอง
 
ส่วนในธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นภูเขา ต้นไม้ ทะเล แม่น้ำ เมือง ฯลฯ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ก็ล้วนมีเทพเจ้าประจำอยู่ทั้งนั้น จะว่าไปก็คล้ายกับความเชื่อเรื่องผีในวัฒนธรรมบ้านเรา (โดยเฉพาะในภาคเหนือบ้านเกิดของผู้เขียนมีผีเยอะมาก) อาจารย์นฤมลเคยพูดให้ฟังในชั้นเรียนประวัติศาสตร์ว่าเพื่อนชาวฝรั่งบอกว่า “ที่นี่เหลียวไปทางไหนก็เจอแต่ผี” อย่างเช่น ผีปู่ย่า ผีฝาย ผีเจ้าป่า เจ้าเขา ผีกะ ผีเสื้อบ้าน ผีเสื้อเมือง (โอ้...เยอะเลยค่ะท่านผู้อ่าน) แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องผีเชื่อกันว่ามาจากการรับเอาความเชื่อเรื่องการนับถือวิญญาณบรรพบุรุษจากจีนแต่ก็มีการถกเถียงกันอยู่ว่าเป็นความเชื่อดั้งเดิมที่มีมาแต่ครั้งโบราณ   อย่างไรก็ตามแม้ว่าโลกยุคไร้พรมแดนที่อิทธิพลความคิดแบบเหตุผลนิยมและประจักษนิยมจะถือว่าเป็นแนวคิดกระแสหลักแต่ก็ยังคงเหลือความเชื่อเรื่องผี เรื่องเทพเจ้าอยู่  แม้จะดูขัดกันแต่มันก็เกิดขึ้นได้   อย่างเช่น ช่วงสอบเข้มหาวิทยาลัยหรือช่วงสอบปลายภาคที่ศาลหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่จะตลบอบอวลไปด้วยควันธูปเนื่องมาจากนักเรียน นักศึกษาจะมาบนบานสานกล่าวเจ้าที่ขอให้สอบได้หรือสอบผ่าน  หากลองสังเกตดี ๆ จะพบว่ามีเด็กที่เรียนสายวิทยาศาสตร์เยอะมาก   เส้นแบ่งความคิดแบบแยกขั้วมันจึงพร่าเลือนในยุคปัจจุบัน

เรื่อง Spirited Away ที่หนูน้อยอิจิโร่หลุดเข้าไปในโลกแห่งวิญญาณ เป็นโลกที่บรรดาทวยเทพและเหล่าดวงวิญญาณต่าง ๆ จะมาหาความสำราญในดินแดนแห่งนี้ทั้งกิน ดื่ม เที่ยวอย่างครบวงจร (ว่าไปนั่น)  อย่างโรงอาบน้ำของป้ายูยาบะที่ทั้งหรูหราและดูเก่าแก่ได้ผสมผสานความคิดเรื่อง “การทำให้บริสุทธิ์” ของลัทธิชินโต (ชินโตนี่แหละค่ะ ที่เป็นศาสนาดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่นเขาล่ะ) กับธุรกิจเอาไว้จนผู้เขียนต้องมาย้อนมองการท่องเที่ยวของเมืองเชียงใหม่ที่ก็ไม่ต่างอะไรกับโรงอาบน้ำที่ต้องการเอาวัฒนธรรมของล้านนามาเป็นจุดขายแต่ก็อยากจะสะดวกสบายแบบตะวันตก   เชียงใหม่ทุกวันนี้จึงเต็มไปด้วยความอิหลักอิเหลื่อและเต็มไปด้วยปัญหา ทั้งปัญหาฝังเมืองที่พัฒนาอย่างไร้การวางแผน   ความขัดแย้งทางความเชื่อและผลประโยชน์ทางธุรกิจ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคงเป็นกรณีโรงแรมดาราเทวีที่เอาสถาปัตยกรรมของวัดมาทำเป็นโรงแรม   เอาพระพุทธรูปมาเป็นเฟอร์นิเจอร์   แม้ชาวเชียงใหม่จะออกมาคัดค้านแต่ก็ทำอะไรไม่ได้   เพราะเมื่อวัฒนธรรมถูกทำให้เป็นสินค้าแล้ว เจ้าของวัฒนธรรมนั้นแทบจะเข้าไปจัดการให้วัฒนธรรมเป็นไปอย่างที่ต้องการไม่ได้เลย