ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 19, 2013, 12:41:29 am »22 ไร้ธรรมที่จะรับได้
สุภูติได้ทูลถามพระพุทธโลกนาถว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! พระพุทธเจ้าได้อนุตตรสัมมาสัมโพธิเป็นการไร้การได้อย่างนั้นหรือ ?" พระพุทธองค์ตรัสว่า "อย่างนั้น อย่างนั้น สุภูติ ! สำหรับเราในอนุตตรสัมมาสัมโพธิ แม้ธรรมเพียงน้อยนิดก็ไม่มีได้ เป็นเพียงนามว่าอนุตตรสัมมาสัมโพธิ"
23 ชำระใจ ปฏิบัติความดี
"อนึ่ง สุภูติ ! ธรรมนั้นเสมอภาค ไม่มีสูงต่ำ จึงจะนามว่า อนุตตรสัมมาสัมโพธิ เนื่องด้วยไร้อาตมะ ไร้บุคคละ ไร้สัตวะ ไร้ชีวะมาบำเพ็ญกุศลธรรมทั้งปวง ก็จะได้อนุตตรสัมมาสัมโพธิ สุภูติ ! กุศลธรรมที่ได้กล่าว ตถาคตกล่าวว่า มิใช่กุศลธรรม เป็นเพียงนามว่ากุศลธรรม"
24 บุญปัญญา มิอาจเปรียบ
"สุภูติ ! ถ้ามีบุคคลนำเอากองแห่งสัปตรัตนะสูงเท่าเหล่าขุนเขาพระสุเมรุในมหาตรีสหัสโลกธาตุ มาบริจาคทาน แต่หากมีบุคคลอาศัยปรัชญาปารมิตาสูตรนี้ แม้จะเป็นเพียงแค่คำโฉลก 4 บท มารับสนองปฏิบัติสวดท่อง และกล่าวสาธยายแก่ผู้อื่น บุญวาสนาแรกเมื่อเทียบกับบุญหลังจะไม่ถึงแม้นหนึ่งส่วนร้อย ไม่ถึงแม้นหนึ่งในร้อยพันแสนโกฏิส่วน กระทั่งมิอาจใช้ตัวเลขอุปมาเปรียบเทียบได้"
25 แปร ไร้สิ่งที่ได้แปร
"สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? เธอทั้งหลายอย่าได้คิดว่าตถาคตมนสิการว่า เราเป็นผู้ฉุดช่วยเวไนยสัตว์ สุภูติ ! อย่าได้เข้าใจเช่นนั้น เพราะเหตุใด ? ความจริงไม่มีเวไนยสัตว์ที่ตถาคตฉุดช่วย หากมีเวไนยสัตว์ที่ตถาคตได้ฉุดช่วย ตถาคตก็จะมีอาตมะ บุคคละ สัตวะ ชีวะลักษณะ" "สุภูติ ! ตถาคตมักกล่าวว่า มีเรา ! มีเรา ! แท้จริงมิใช่มีเรา แต่ปุถุชนกลับคิดว่ามีเรา สุภูติ ! อันปุถุชนนั้น ตถาคตกล่าวว่ามิใช่ปุถุชน เป็นเพียงนามว่าปุถุชน""
26 ธรรมกาย มิใช่ลักษณะ
"สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? สามารถอาศัยมหาปุริสลักษณะ32 เห็นตถาคตหรือไม่ ?" สุถูติทูลตอบว่า "อย่างนั้น อย่างนั้น สามารถอาศัยมหาปุริสลักษณะ 32 เห็นตถาคตได้" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "สุภูติ ! หากสามารถเห็นตถาคตด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 แล้ว พระเจ้าจักรพรรดิก็คือพระตถาคตซิ" สุภูติทูลตอบพระพุทธองค์ว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ตามที่ข้าพระองค์ได้เข้าใจในความหมายที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไปนั้น ไม่ควรที่จะเห็นตถาคตได้ด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 เลย" โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเป็นโศลกว่า
หากอาศัยรูปเห็นเรา อาศัยเสียงวอนเรา
บุคคลนี้คือผู้เจริญมิจฉาธรรม ไม่อาจเห็นตถาคตได้
27 ไร้การตัด ไร้การดับ
"สุภูติ ! หากเธอมีความคิดเช่นนี้ว่า ตถาคตไม่อาศัยลักษณะพร้อมมูลเป็นเหตุ ให้ได้รับอนุตตรสัมมาสัมโพธิ สุภูติ ! หากเธอมีความคิดเช่นนี้ ผู้ที่บังเกิดอนุตตรสัมมาสัมโพธิจิต ก็จักกล่าวว่า ธรรมทั้งปวงขาดสูญ อย่าได้คิดเป็นเช่นนั้นเพราะเหตุใด ? ผู้ที่บังเกิดอนุตตรสัมมาสัมโพธิจิตนั้น ในธรรมจักไม่คิดว่ามีลักษณะแห่งการขาดสูญ"
28 ไม่เวทนา (ไม่รับ) ไม่โลภ
"สุภูติ ! หากพระโพธิสัตว์ได้นำสัปตรัตนะปูเต็มทั่วจำนวนโลกธาตุที่มีปริมาณเท่าจำนวนเม็ดทรายในคงคานที เพื่อบริจาคทาน หากแต่ได้มีบุคคลแจ่มแจ้งในธรรมทั้งปวงว่าไร้อััตตา จนได้สำเร็จในขันติ พระโพธิสัตว์องค์นี้จะได้รับบุญกุศลมากยิ่งกว่าพระโพธิสัตว์องค์แรก เพราะเหตุใด ? สุภูติ ! นั่นเป็นเพราะปวงพระโพธิสัตว์ไม่รับ (เวทนา) ในบุญวาสนานั่นเอง" สุภูติทูลถามพระพุทธองค์ว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! เหตุไฉนพระโพธิสัตว์ไม่รับ (เวทนา) ในบุญวาสนา ?" "สุภูติ ! พระโพธิสัตว์ไม่ควรมีความโลภยึดต่อบุญวาสนาที่ได้สร้าง ดังนั้นจึงกล่าวว่าพระโพธิสัตว์ไม่รับ (เวทนา) ในบุญวาสนา"
29 อิริยาบทสง่า เงียบสงบ
"สุภูติ ! หากมีบุคคลกล่าวว่า ตถาคตบ้างมาบ้างไป บ้างนั่งบ้างนอน บุคคลนี้คือผู้ที่ไม่เข้าใจในความหมายของเรากล่าว เพราะเหตุใด ? อันตถาคตนั้นคือ ไร้การมา ทั้งไร้การไป จึงจะนามว่าตถาคต"
30 หลักการเอกฆนลักษณะ
"สุภูติ ! หากกุลบุตร กุลธิดา นำมหาตรีสหัสโลกธาตุมาป่นเป็นฝุ่นละออง ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? เหล่าฝุ่นละอองนี้นับว่ามากมายหรือไม่ ? " สุภูติกราบทูลว่า "มากยิ่งนัก ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! เพราะเหตุใด ? หากเหล่าฝุ่นละอองนี้มีอยู่จริง พระสุคตจักไม่ตรัสว่า คือเหล่าฝุ่นละออง ทั้งนี้เพราะเหตุใด ? พระสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เหล่าฝุ่นละออง มิใช่เหล่าฝุ่นละออง เป็นเพียงนามว่าเหล่าฝุ่นละออง ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! มหาตรีสหัสโลกธาตุที่ตถาคตตรัสถึงมิใช่โลกธาตุ เป็นเพียงนามว่าโลกธาตุ เพราะเหตุใด ? หากโลกธาตุมีอยู่จริง ก็คือเอกฆนลักษณะ มิใช่เอกฆนลักษณะเป็นเพียงนามว่าเอกฆนลักษณะ"
"สุภูติ ! เอกฆนลักษณะนั้น คือสิ่งที่มิอาจกล่าว แต่ผู้ที่เป็นปุถุชนมักโลภยึดในเรื่องราวดังกล่าว"
31 รู้เห็น ไม่เกิด
"สุภูติ ! หากมีบุคคลกล่าวว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวอาตมะทัศนะ บุคคละทัศนะ สัตวะทัศนะ ชีวะทัศนะ สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? บุคคลนี้ถือว่าเข้าใจในความหมายที่เรากล่าวหรือไม่ ?" "ไม่แล ! ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! บุคคลนี้ถือว่าไม่เข้าใจในความหมายที่พระตถาคตตรัส เพราะเหตุใด ? พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอาตมะทัศนะ บุคคลทัศนะ สัตวะทัศนะชีวะทัศนะ มิใช่ อาตมะทัศนะ บุคคลทัศนะ สัตวะทัศนะ ชีวะทัศนะ" "สุภูติ ! ผู้บังเกิดอนุตตรสัมมาสัมโพธิจิตนั้น ในธรรมทั้งปวง ควรที่จะรู้เช่นนี้ ควรที่จะเห็นเช่นนี้ ด้วยการเชื่อมั่นเข้าใจเช่นนี้ ก็จะไม่บังเกิดธรรมะลักษณะ สุภูติ ! ธรรมลักษณะที่ได้กล่าว ตถาคตกล่าวว่า มิใช่ธรรมลักษณะ เป็นเพียงนามว่าธรรมลักษณะ"
32 สนองแปลง มิใช่จริง
"สุภูติ ! หากมีบุคคลได้นำสัปตรัตนะมาเติมเต็มอสงไขยโลกธาตุอันไร้จำกัด ใช้ในการบริจาคทาน แต่หากมีกุลบุตร กุลธิดาได้บังเกิดในโพธิจิต ปฏิบัติในพระสูตรนี้ แม้ที่สุดจะเป็นเพียงแค่โศลก 4 บาท มารับสนองปฏิบัติสวดท่องกล่าวสาธยายแก่ผู้อื่น บุญนี้ยังจะมากยิ่งกว่าอย่างแรก แต่ควรกล่าวสาธยายแก่บุคคลอื่นอย่างไร ? ไม่ยึดในลักษณะ ตั้งมั่นอยู่ในตถตาภาพโดยไม่หวั่นไหวเพราะเหตุใด ?
สังขธรรมทั้งปวง ดุจฝันมายาฟองน้ำรูปเงา
ดุจนิศาชลและอสนี ควรพินิจด้วยอาการเช่นนี้
เมื่อพระสัมพุทธเจ้าตรัสพระสูตรนี้จบ ผู้อาวุโสสุภูติ รวมทั้งเหล่าภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ตลอดจนปวงเทพ มนุษย์ อสูรในโลกทั้งหลาย ได้สดับซึ่งพระพุทธพจน์นี้แล้ว ก็พากันอนุโมทนาชื่นชมยินดี มีความศรัทธาน้อมรับไปปฏิบัติด้วยประการฉะนี้แล
จบพระสูตร