ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 05, 2013, 12:33:44 pm »ย
ยถาภูตญาณ - ความรู้ความเป็นจริง, รู้ตามที่มันเป็นไป, รู้ตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ดังเช่น จิตมีโทสะ ก็รู้ว่าจิตมีโทสะ, จิตมีโมหะ ก็รู้ว่าจิตมีโมหะ ฯ.
ยถาภูตญาณทัสนะ -ความรู้ความเห็นตามเป็นจริง
โยคะ - 1. กิเลสเครื่องประกอบ คือประกอบสัตว์ไว้ในภพ หรือผูกสัตว์ดุจเทียมไว้กับแอก มี ๔ คือ กาม ภพ ทิฏฐิ
อวิชชา 2. ความเพียร
โยคาวจร - ผู้หยั่งลงสู่ความเพียร, ผู้ประกอบความเพียร, ผู้เจริญภาวนา คือกำลังปฏิบัติสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน เขียน โยคาพจรก็
โยนิ - กำเนิดของสัตว์ มี ๔ จำพวก คือ ๑. ชลาพุชะ เกิดในครรภ์ เช่น คน แมว ๒. อัณฑชะ เกิดในไข่ เช่น นก ไก่ ๓. สังเสทชะ เกิดในไคล คือที่ชื้นแฉะสกปรก เช่น หนอนบางอย่าง ๔. โอปปาติกะ เกิดผุดขึ้น เช่น เทวดา สัตว์นรก
โยนิโสมนสิการ - การพิจารณาในใจโดยละเอียดและแยบคายคือตามความเป็นจริงของสภาวธรรม(ธรรมชาติ)นั้นๆ อย่างชาญฉลาด เช่นคิดค้นหาข้อสงสัย เปรียบเทียบสภาวะธรรมอื่นๆอันเห็นได้ชัดแจ้งกับสภาวธรรมอื่นๆที่ติดขัด ฯลฯ. อันสามารถทําได้ในทุกอิริยาบถ หรือทุกขณะ และดีที่สุดคือในระดับวิปัสสนาสมาธิ หรือในขณิกสมาธิอันคือสมาธิอ่อนๆระดับใจที่แน่วแน่ ไม่วอกแวก ไม่ซัดส่ายไปในเรื่องคิดนึกปรุงแต่งอื่นๆคือฟุ้งซ่าน หรือภายหลังจากการถอนออกมาจากสมาบัติคือสมาธิในระดับประณีตต่างๆ, ในบันทึกธรรมนี้กล่าวไว้บ่อยครั้งที่สุด เพราะเป็นสิ่งจําเป็นอย่างยิ่งในการเข้าใจธรรม หรือธรรมะวิจยะอันถูกต้องแท้จริง, ไม่ใช่เพราะทิฎฐิ(ความเชื่อ,ความยึด)หรือด้วยอธิโมกข์, อคติใดๆ มานําให้เห็นผิด
ร
ราคานุสัย - กิเลส อันเป็นความกําหนัดในทางโลกที่แฝงนอนเนื่องในสันดาน; ดูอนุสัย
ราคะ - ความกำหนัด, ความยินดีในกาม, ความติดใจหรือความย้อมใจติดอยู่ในอารมณ์
รูป - ในขันธ์๕ หมายถึง ส่วนร่างกายตัวตน, ในอายตนะหมายถึง "ภาพ หรือรูป "ที่เห็น ซึ่งในบางครั้งใช้ครอบคลุมถึง "สิ่งที่ถูกรู้ทั้งหลาย" คือรูป, รส, กลิ่น, เสียง, สัมผัส, ความคิด(ธรรมารมณ์)ทั้ง๖, คือใช้แทนอายตนภายนอกทั้งหมด
- รูป ๑.สิ่งที่จะต้องสลายไปเพราะปัจจัยต่างๆ อันขัดแย้ง, สิ่งที่เป็นรูปร่างพร้อมทั้งลักษณะอาการของมัน, ส่วนร่างกาย จำแนกเป็น ๒๘ คือ มหาภูตหรือธาตุ ๔ และอุปาทายรูป ๒๔ (= รูปที่เกิดสืบเนื่องจากมหาภูตรูป,) ๒.อารมณ์ที่รู้ได้ด้วยจักษุ, สิ่งที่ปรากฏแก่ตา (ข้อ ๑ ในอารมณ์ ๖ หรือในอายตนะภายนอก ๖) ๓.ลักษณนาม ใช้เรียกพระภิกษุสามเณร เช่น ภิกษุรูปหนึ่ง สามเณร ๕ รูป; ในภาษาพูดบางแห่งนิยมใช้ องค์รูปกาย ประชุมแห่งรูปธรรม, กายที่เป็นส่วนรูป โดยใจความได้แก่รูปขันธ์หรือร่างกาย
รูปฌาน - ฌานมีรูปธรรมเป็นอารมณ์ มี ๔ คือ ๑) ปฐมฌาน ฌานที่ ๑ มีองค์ ๕ คือ วิตก (ตรึก) วิจาร (ตรอง) ปีติ (อิ่มใจ) สุข (สบายใจ) เอกัคคตา (จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง) ๒) ทุติยฌาน ฌานที่ ๒ มีองค์ ๓ คือ ปีติ, สุข, เอกัคคตา ๓) ตติยฌาน ฌานที่ ๓ มีองค์ ๒ คือ สุข เอกัคคตา ๔) จตุตถฌาน ฌานที่ ๔ มีองค์ ๒ คือ อุเบกขา, เอกัคคตา
รูปตัณหา - ความอยากในรูป
รูปธรรม - สิ่งที่ถูกรู้หรือสัมผัสได้ด้วยอายตนะทั้ง๕ อันมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ยกเว้น ใจ
- สิ่งที่มีรูป, สภาวะที่เป็นรูป คู่กับ นามธรรม
รูปกัมมัฏฐาน - กรรมฐานมีรูปธรรมเป็นอารมณ์
รูปวิจาร - ความตรองในรูป เกิดต่อจาก รูปวิตก
รูปวิตก - ความตรึกในรูป เกิดต่อจากรูปตัณหา
รูปสัญเจตนา - ความคิดอ่านในรูปเกิดต่อจากรูปสัญญา
รูปสัญญา - ความหมายรู้ในรูป เกิดต่อจากจักขุสัมผัสสชา เวทนา
รูปพรหม - พรหมในชั้นรูปภพ, พรหมที่เกิดด้วยกำลังรูปฌาน มี ๑๖ ชั้น ดู พรหมโลก
รูปภพ - โลกเป็นที่อยู่ของพวกรูปพรหม หรือ ภพของผู้เข้าถึงรูปฌาน
รูปราคะ - ความติดใจในรูปธรรม คือติดใจในอารมณ์แห่งรูปฌาน หรือในรูปธรรมอันประณีต (ข้อ ๖ ในสังโยชน์ ๑๐)
รู้แจ้งในอารมณ์ - เวทนา - ในความหมายของผู้เขียน(webmaster)หมายถึง การรับรู้พร้อมทั้งความจําได้ในอารมณ์อันคือสิ่งที่มากระทบหรือสัมผัส(ผัสสะ) (ในบางทีบางท่านหมายถึงวิญญาณ) รู้เท่าทัน หมายถึงรู้เท่าทันตามความเป็นจริงที่มันเกิด เช่นจิตมีโทสะ ก็รู้เท่าทันว่าจิตหรือจิตสังขารหรือความคิดนั้นเกิดขึ้น และเป็นโทสะหรือความโกรธ(ตามหลักสติปัฏฐาน๔), แค่รู้และต้องหยุดคิดนึกปรุงแต่งต่อจากความรู้เท่าทันนั้นเพราะจะทําให้จิตมีโอกาสปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราวยืดยาวออกไปอีก
มีต่อค่ะ >>> :http://nkgen.com/ex3.htm#a
สังขาร
สังขารในปฏิจจสมุปบาท
.....
--------
..
..
สังขาร เหล่านี้อันได้สั่งสม อบรม หรือประพฤติ ปฏิบัติมาแต่เก่าก่อน ด้วยความพยายามหรือการติดเพลินก็แล้วแต่เหล่านี้ เป็นดังเช่นสังขารในปฏิจจสมุปบาท เพียงแต่บางอย่างเป็นสังขารในทางโลก ไม่ได้เกิดแต่อวิชชา จึงไม่ยังให้เกิดทุกข์ แต่ต้องการชี้เน้น ให้เห็นสภาวะธรรม หรือเข้าใจถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติขององค์ธรรมสังขาร ในปฏิจจสมุปบาท ซึ่งก็เป็นไปในลักษณาการเดียวกัน ด้วยเหตุดังนี้เองการจะเอาชนะสภาวะธรรมหรือธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของสังขารอันก่อให้เกิดความทุกข์เหล่านี้ จึงต้องอาศัยธรรมหรือความเข้าใจธรรมชาติของทุกข์อันยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์ท่านเป็นเครื่องช่วยนำพาในการปฏิบัติ และสั่งสมให้เกิดสังขารใหม่อันถูกต้องดีงามอันมิได้เกิดแต่อวิชชา
การโยนิโสมนสิการ สังขารในองค์ธรรมปฏิจจสมุปบาท
เมื่อเริ่มโยนิโสมนสิการก็มักตีความในสังขารผิด มักไปคิดตามที่พอรู้มาแต่อ้อนแต่ออกว่า สังขารที่หมายถึงร่างกายตัวตนบ้าง สังขาร-การกระทำบ้าง สังขาร-สิ่งปรุงแต่งบ้าง กล่าวคือ ไม่เข้าใจความหมายที่กระชับเฉพาะตัว จึงตีความปฏิจจสมุปบาทผิดพลาดไปแต่เริ่มแรกก็มี จึงไม่สามารถดำเนินการพิจารณาต่อไปได้อย่างถูกต้อง
หรือเมื่อเข้าใจว่าสังขารหมายถึงการกระทำตามที่ได้สั่งสมหรืออบรมประพฤติปฏิบัติมาแต่เก่าก่อนหรือเนื่องมาจากอาสวะกิเลสที่สามารถผุดขึ้นมาด้วยอาการธรรมชาตินั่นเอง ก็เกิดวิจิกิจฉาขึ้นว่า ทำไมสังขารจึงเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณน่าจะเกิดก่อน เหตุเพราะตามความเชื่อที่มีมาแต่เดิมอย่างมิจฉาทิฎฐิที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่าผู้มีชีวิตนั้นต้องมีวิญญาณกำกับอยู่แล้ว(เจตภูต)อันฝังตัวอยู่อย่างลึกซึ้งและแน่นแฟ้นตามที่มีการถ่ายทอดสั่งสอนอบรมกันมาอย่างไม่รู้ตัว เมื่อเจริญวิปัสสนาจึงมักแฝงด้วยความเข้าใจดังกล่าวเข้าร่วมด้วยโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นพิจารณากี่ครั้งกี่ทีก็ออกมาในรูปที่ว่าควรเกิดวิญญาณขึ้นก่อนหรือวิญญาณมีมาตั้งแต่เกิดแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสังขารการกระทำ แต่ความจริงวิญญาณในปฏิจจสมุปบาทนี้หมายถึง วิญญาณ ๖ ที่หมายถึง วิญญาณตา วิญญาณหู ฯ. ที่หมายถึงระบบประสาทหรือระบบนำส่งข้อมูลในการรับรู้ในสังขารต่างๆที่เกิดขึ้น(ไปยังสมองหรือหทัยวัตถุอันเป็นเหตุปัจจัยหนึ่งของจิต) จึงมิได้หมายถึงวิญญาณที่หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณหรือเจตภูตที่มีมาแต่การเกิดหรือวิญญาณที่ลอยละล่องตามที่ปุถุชนทั่วไปเข้าใจกันโดยพื้นๆอันแอบแฝงอยู่ในจิต และเป็นวิญญาณที่เกิดเฉพาะกิจนั้นๆ กล่าวคือ เกิดขึ้นมาเนื่องสัมพันธ์กับสังขารที่ผุดขึ้นหรืออาจปรุงแต่งขึ้นมานั่นเอง
(อ่านรายละเอียดเรื่องวิญญาณที่แสดงอย่างปรมัตถ์หรือโลกุตระ จากพระสูตรชื่อ มหาตัณหาสังขยสูตร ที่จำเป็นต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องในเรื่องของวิญญาณ เพื่อการเจริญวิปัสสนาหรือโยนิโสมนสิการปฏิจจสมุปบาทหรือขันธ์ ๕)
บางคนมีพื้นนิสัยเป็นคนเจ้าโทสะ บางคนเป็นคนเจ้าราคะ(โลภะ) บางคนเป็นคนหดหู่ เศร้าสร้อย หรือชอบวิตกกังวล (โมหะ) สิ่งต่างๆเหล่านี้ก็ล้วนเป็นจิตสังขารตามที่ได้สั่งสมอบรมหรือปฏิบัติมาแต่เก่าก่อนอย่างหนึ่งเช่นกัน อันเกิดขึ้นเนื่องจากอาสวะกิเลสที่เก็บจำนอนเนื่องอยู่นั่นเอง เพียงแต่เป็นการพิจารณาในมุมมองที่กว้างขวางขึ้นเท่านั้น ดังนั้นจิตสังขารในจิตตานุปัสสนาในสติปัฏฐาน ๔ จึงล้วนสามารถเป็นสังขารอันสั่งสมหรือเคยชินในปฏิจจสมุปบาทได้เช่นกัน ดังเช่น ราคะ โทสะ โมหะ จิตหดหู่ จิตฟุ้งซ่าน จิตเป็นฌาน จิตเป็นสมาธิ ดังนั้นสังขารเหล่านี้จึงสามารถเกิดขึ้นมาได้เช่นสังขารความคิดต่างๆเช่นกัน ดังเช่น ผู้ที่มีพื้นนิสัยความหดหู่หรือวิตกกังวลใจอยู่เสมอๆอันได้เคยสั่งสมไว้อย่างมาก ดังนั้นบางทีอยู่ดีๆสังขารความหดหู่หรือวิตกกังวลก็อาจผุดขึ้นมาเหมือนสังขารความคิดต่างๆได้เป็นธรรมดาเช่นกันอันเนื่องมาแต่อาสวะกิเลสและอวิชชาเป็นเหตุปัจจัยกันนั่นเอง และปล่อยให้เกิดการคิดปรุงแต่งต่อไปจนเป็นอุปาทานทุกข์อันเร่าร้อนเผาลนและยาวนานมากขึ้นไปเป็นลำดับ ดังนั้นเมื่อมีสติรู้เท่าทันเมื่อสังขารเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว ก็อุเบกขา ไม่เอนเอียงแทรกแซงปรุงแต่งต่อด้วยกริยาจิต หรือถ้อยคิด ใดๆ ทุกขเวทนาอันเกิดแต่สังขารเหล่านั้นก็จะแสดงพระไตรลักษณ์ให้เห็น กล่าวคือ ค่อยๆ...ค่อยจางๆ...ค่อยจาง...คลาย....จนดับไปเป็นที่สุด เหมือนดังกองฟืนที่ไม่มีเชื้อไฟเข้าไปเพิ่ม จึงย่อมค่อยๆหรี่...หรี่ลง....จนมอดดับไปในที่สุด
ได้กล่าวถึงสภาวะของทุกขเวทนาหรือจิตสังขารที่แสดงพระไตรลักษณ์อยู่เนืองๆว่า เป็นไปในลักษณาการที่ "ค่อยๆ...ค่อยจางๆ...ค่อยจาง...คลาย...จนดับไปเป็นที่สุด เหมือนดังกองฟืนที่ไม่มีเชื้อไฟเข้าไปเพิ่ม" เพราะต้องการเน้นให้เห็นในสภาวะการดับของกระบวนการจิตอย่างแจ่มแจ้ง อันมีอนิจจังความแปรปรวนที่เกิดขึ้นก่อน จึงค่อยๆจางคลาย จนดับไปด้วยทุกขัง เพราะเมื่อประสบกับทุกขเวทนาปุถุชนย่อมล้วนอยากให้ดับไปโดยเร็วดังใจด้วยการพยายามผลักไสต่างๆนาๆ เมื่อไม่ได้ดังใจและเพราะความไม่รู้จึงกลายเป็นสร้างตัณหาความอยากดับในทุกข์อันเร่าร้อนที่เกิดนั้นเพิ่มขึ้นไปอีก อันย่อมก่อเกิดความทุกข์เร่าร้อนกระวนกระวายเพิ่มขึ้นไปอีกนั่นเอง จึงเหมือนการเพิ่มเชื้อไฟหรือฟืนเข้าไปในกองไฟเหมือนความคิดปรุงแต่งเช่นกัน กองไฟอันเร่าร้อนเผาลนและกำลังมอดลงๆเพราะไตรลักษณ์จึงย่อมต้องลุกโพลงขึ้นมากกว่าเดิมอีกเป็นธรรมดา ดังนั้นการรู้การเข้าใจในลักษณาการในการดับไปของทุกขเวทนาหรือความทุกข์หรือจิตสังขารเช่นโทสะ โมหะ ฯลฯ.อย่างถูกต้องนั้น ก็จะช่วยไม่ให้เกิดความดิ้นรนทะยานอยาก(ตัณหา)หรือการเกิดตัณหาซ้อนตัณหาเดิมในการอยากดับทุกข์นั้นไวๆเพราะความไม่รู้ จิตจึงไม่ยอมรับสภาวธรรมของการดับไปอันเป็นเช่นนี้เอง (ตถตา)
http://www.nkgen.com/731.htm
ยถาภูตญาณ - ความรู้ความเป็นจริง, รู้ตามที่มันเป็นไป, รู้ตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ดังเช่น จิตมีโทสะ ก็รู้ว่าจิตมีโทสะ, จิตมีโมหะ ก็รู้ว่าจิตมีโมหะ ฯ.
ยถาภูตญาณทัสนะ -ความรู้ความเห็นตามเป็นจริง
โยคะ - 1. กิเลสเครื่องประกอบ คือประกอบสัตว์ไว้ในภพ หรือผูกสัตว์ดุจเทียมไว้กับแอก มี ๔ คือ กาม ภพ ทิฏฐิ
อวิชชา 2. ความเพียร
โยคาวจร - ผู้หยั่งลงสู่ความเพียร, ผู้ประกอบความเพียร, ผู้เจริญภาวนา คือกำลังปฏิบัติสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน เขียน โยคาพจรก็
โยนิ - กำเนิดของสัตว์ มี ๔ จำพวก คือ ๑. ชลาพุชะ เกิดในครรภ์ เช่น คน แมว ๒. อัณฑชะ เกิดในไข่ เช่น นก ไก่ ๓. สังเสทชะ เกิดในไคล คือที่ชื้นแฉะสกปรก เช่น หนอนบางอย่าง ๔. โอปปาติกะ เกิดผุดขึ้น เช่น เทวดา สัตว์นรก
โยนิโสมนสิการ - การพิจารณาในใจโดยละเอียดและแยบคายคือตามความเป็นจริงของสภาวธรรม(ธรรมชาติ)นั้นๆ อย่างชาญฉลาด เช่นคิดค้นหาข้อสงสัย เปรียบเทียบสภาวะธรรมอื่นๆอันเห็นได้ชัดแจ้งกับสภาวธรรมอื่นๆที่ติดขัด ฯลฯ. อันสามารถทําได้ในทุกอิริยาบถ หรือทุกขณะ และดีที่สุดคือในระดับวิปัสสนาสมาธิ หรือในขณิกสมาธิอันคือสมาธิอ่อนๆระดับใจที่แน่วแน่ ไม่วอกแวก ไม่ซัดส่ายไปในเรื่องคิดนึกปรุงแต่งอื่นๆคือฟุ้งซ่าน หรือภายหลังจากการถอนออกมาจากสมาบัติคือสมาธิในระดับประณีตต่างๆ, ในบันทึกธรรมนี้กล่าวไว้บ่อยครั้งที่สุด เพราะเป็นสิ่งจําเป็นอย่างยิ่งในการเข้าใจธรรม หรือธรรมะวิจยะอันถูกต้องแท้จริง, ไม่ใช่เพราะทิฎฐิ(ความเชื่อ,ความยึด)หรือด้วยอธิโมกข์, อคติใดๆ มานําให้เห็นผิด
ร
ราคานุสัย - กิเลส อันเป็นความกําหนัดในทางโลกที่แฝงนอนเนื่องในสันดาน; ดูอนุสัย
ราคะ - ความกำหนัด, ความยินดีในกาม, ความติดใจหรือความย้อมใจติดอยู่ในอารมณ์
รูป - ในขันธ์๕ หมายถึง ส่วนร่างกายตัวตน, ในอายตนะหมายถึง "ภาพ หรือรูป "ที่เห็น ซึ่งในบางครั้งใช้ครอบคลุมถึง "สิ่งที่ถูกรู้ทั้งหลาย" คือรูป, รส, กลิ่น, เสียง, สัมผัส, ความคิด(ธรรมารมณ์)ทั้ง๖, คือใช้แทนอายตนภายนอกทั้งหมด
- รูป ๑.สิ่งที่จะต้องสลายไปเพราะปัจจัยต่างๆ อันขัดแย้ง, สิ่งที่เป็นรูปร่างพร้อมทั้งลักษณะอาการของมัน, ส่วนร่างกาย จำแนกเป็น ๒๘ คือ มหาภูตหรือธาตุ ๔ และอุปาทายรูป ๒๔ (= รูปที่เกิดสืบเนื่องจากมหาภูตรูป,) ๒.อารมณ์ที่รู้ได้ด้วยจักษุ, สิ่งที่ปรากฏแก่ตา (ข้อ ๑ ในอารมณ์ ๖ หรือในอายตนะภายนอก ๖) ๓.ลักษณนาม ใช้เรียกพระภิกษุสามเณร เช่น ภิกษุรูปหนึ่ง สามเณร ๕ รูป; ในภาษาพูดบางแห่งนิยมใช้ องค์รูปกาย ประชุมแห่งรูปธรรม, กายที่เป็นส่วนรูป โดยใจความได้แก่รูปขันธ์หรือร่างกาย
รูปฌาน - ฌานมีรูปธรรมเป็นอารมณ์ มี ๔ คือ ๑) ปฐมฌาน ฌานที่ ๑ มีองค์ ๕ คือ วิตก (ตรึก) วิจาร (ตรอง) ปีติ (อิ่มใจ) สุข (สบายใจ) เอกัคคตา (จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง) ๒) ทุติยฌาน ฌานที่ ๒ มีองค์ ๓ คือ ปีติ, สุข, เอกัคคตา ๓) ตติยฌาน ฌานที่ ๓ มีองค์ ๒ คือ สุข เอกัคคตา ๔) จตุตถฌาน ฌานที่ ๔ มีองค์ ๒ คือ อุเบกขา, เอกัคคตา
รูปตัณหา - ความอยากในรูป
รูปธรรม - สิ่งที่ถูกรู้หรือสัมผัสได้ด้วยอายตนะทั้ง๕ อันมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ยกเว้น ใจ
- สิ่งที่มีรูป, สภาวะที่เป็นรูป คู่กับ นามธรรม
รูปกัมมัฏฐาน - กรรมฐานมีรูปธรรมเป็นอารมณ์
รูปวิจาร - ความตรองในรูป เกิดต่อจาก รูปวิตก
รูปวิตก - ความตรึกในรูป เกิดต่อจากรูปตัณหา
รูปสัญเจตนา - ความคิดอ่านในรูปเกิดต่อจากรูปสัญญา
รูปสัญญา - ความหมายรู้ในรูป เกิดต่อจากจักขุสัมผัสสชา เวทนา
รูปพรหม - พรหมในชั้นรูปภพ, พรหมที่เกิดด้วยกำลังรูปฌาน มี ๑๖ ชั้น ดู พรหมโลก
รูปภพ - โลกเป็นที่อยู่ของพวกรูปพรหม หรือ ภพของผู้เข้าถึงรูปฌาน
รูปราคะ - ความติดใจในรูปธรรม คือติดใจในอารมณ์แห่งรูปฌาน หรือในรูปธรรมอันประณีต (ข้อ ๖ ในสังโยชน์ ๑๐)
รู้แจ้งในอารมณ์ - เวทนา - ในความหมายของผู้เขียน(webmaster)หมายถึง การรับรู้พร้อมทั้งความจําได้ในอารมณ์อันคือสิ่งที่มากระทบหรือสัมผัส(ผัสสะ) (ในบางทีบางท่านหมายถึงวิญญาณ) รู้เท่าทัน หมายถึงรู้เท่าทันตามความเป็นจริงที่มันเกิด เช่นจิตมีโทสะ ก็รู้เท่าทันว่าจิตหรือจิตสังขารหรือความคิดนั้นเกิดขึ้น และเป็นโทสะหรือความโกรธ(ตามหลักสติปัฏฐาน๔), แค่รู้และต้องหยุดคิดนึกปรุงแต่งต่อจากความรู้เท่าทันนั้นเพราะจะทําให้จิตมีโอกาสปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราวยืดยาวออกไปอีก
มีต่อค่ะ >>> :http://nkgen.com/ex3.htm#a
สังขาร
สังขารในปฏิจจสมุปบาท
.....
--------
..
..
สังขาร เหล่านี้อันได้สั่งสม อบรม หรือประพฤติ ปฏิบัติมาแต่เก่าก่อน ด้วยความพยายามหรือการติดเพลินก็แล้วแต่เหล่านี้ เป็นดังเช่นสังขารในปฏิจจสมุปบาท เพียงแต่บางอย่างเป็นสังขารในทางโลก ไม่ได้เกิดแต่อวิชชา จึงไม่ยังให้เกิดทุกข์ แต่ต้องการชี้เน้น ให้เห็นสภาวะธรรม หรือเข้าใจถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติขององค์ธรรมสังขาร ในปฏิจจสมุปบาท ซึ่งก็เป็นไปในลักษณาการเดียวกัน ด้วยเหตุดังนี้เองการจะเอาชนะสภาวะธรรมหรือธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของสังขารอันก่อให้เกิดความทุกข์เหล่านี้ จึงต้องอาศัยธรรมหรือความเข้าใจธรรมชาติของทุกข์อันยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์ท่านเป็นเครื่องช่วยนำพาในการปฏิบัติ และสั่งสมให้เกิดสังขารใหม่อันถูกต้องดีงามอันมิได้เกิดแต่อวิชชา
การโยนิโสมนสิการ สังขารในองค์ธรรมปฏิจจสมุปบาท
เมื่อเริ่มโยนิโสมนสิการก็มักตีความในสังขารผิด มักไปคิดตามที่พอรู้มาแต่อ้อนแต่ออกว่า สังขารที่หมายถึงร่างกายตัวตนบ้าง สังขาร-การกระทำบ้าง สังขาร-สิ่งปรุงแต่งบ้าง กล่าวคือ ไม่เข้าใจความหมายที่กระชับเฉพาะตัว จึงตีความปฏิจจสมุปบาทผิดพลาดไปแต่เริ่มแรกก็มี จึงไม่สามารถดำเนินการพิจารณาต่อไปได้อย่างถูกต้อง
หรือเมื่อเข้าใจว่าสังขารหมายถึงการกระทำตามที่ได้สั่งสมหรืออบรมประพฤติปฏิบัติมาแต่เก่าก่อนหรือเนื่องมาจากอาสวะกิเลสที่สามารถผุดขึ้นมาด้วยอาการธรรมชาตินั่นเอง ก็เกิดวิจิกิจฉาขึ้นว่า ทำไมสังขารจึงเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณน่าจะเกิดก่อน เหตุเพราะตามความเชื่อที่มีมาแต่เดิมอย่างมิจฉาทิฎฐิที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่าผู้มีชีวิตนั้นต้องมีวิญญาณกำกับอยู่แล้ว(เจตภูต)อันฝังตัวอยู่อย่างลึกซึ้งและแน่นแฟ้นตามที่มีการถ่ายทอดสั่งสอนอบรมกันมาอย่างไม่รู้ตัว เมื่อเจริญวิปัสสนาจึงมักแฝงด้วยความเข้าใจดังกล่าวเข้าร่วมด้วยโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นพิจารณากี่ครั้งกี่ทีก็ออกมาในรูปที่ว่าควรเกิดวิญญาณขึ้นก่อนหรือวิญญาณมีมาตั้งแต่เกิดแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสังขารการกระทำ แต่ความจริงวิญญาณในปฏิจจสมุปบาทนี้หมายถึง วิญญาณ ๖ ที่หมายถึง วิญญาณตา วิญญาณหู ฯ. ที่หมายถึงระบบประสาทหรือระบบนำส่งข้อมูลในการรับรู้ในสังขารต่างๆที่เกิดขึ้น(ไปยังสมองหรือหทัยวัตถุอันเป็นเหตุปัจจัยหนึ่งของจิต) จึงมิได้หมายถึงวิญญาณที่หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณหรือเจตภูตที่มีมาแต่การเกิดหรือวิญญาณที่ลอยละล่องตามที่ปุถุชนทั่วไปเข้าใจกันโดยพื้นๆอันแอบแฝงอยู่ในจิต และเป็นวิญญาณที่เกิดเฉพาะกิจนั้นๆ กล่าวคือ เกิดขึ้นมาเนื่องสัมพันธ์กับสังขารที่ผุดขึ้นหรืออาจปรุงแต่งขึ้นมานั่นเอง
(อ่านรายละเอียดเรื่องวิญญาณที่แสดงอย่างปรมัตถ์หรือโลกุตระ จากพระสูตรชื่อ มหาตัณหาสังขยสูตร ที่จำเป็นต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องในเรื่องของวิญญาณ เพื่อการเจริญวิปัสสนาหรือโยนิโสมนสิการปฏิจจสมุปบาทหรือขันธ์ ๕)
บางคนมีพื้นนิสัยเป็นคนเจ้าโทสะ บางคนเป็นคนเจ้าราคะ(โลภะ) บางคนเป็นคนหดหู่ เศร้าสร้อย หรือชอบวิตกกังวล (โมหะ) สิ่งต่างๆเหล่านี้ก็ล้วนเป็นจิตสังขารตามที่ได้สั่งสมอบรมหรือปฏิบัติมาแต่เก่าก่อนอย่างหนึ่งเช่นกัน อันเกิดขึ้นเนื่องจากอาสวะกิเลสที่เก็บจำนอนเนื่องอยู่นั่นเอง เพียงแต่เป็นการพิจารณาในมุมมองที่กว้างขวางขึ้นเท่านั้น ดังนั้นจิตสังขารในจิตตานุปัสสนาในสติปัฏฐาน ๔ จึงล้วนสามารถเป็นสังขารอันสั่งสมหรือเคยชินในปฏิจจสมุปบาทได้เช่นกัน ดังเช่น ราคะ โทสะ โมหะ จิตหดหู่ จิตฟุ้งซ่าน จิตเป็นฌาน จิตเป็นสมาธิ ดังนั้นสังขารเหล่านี้จึงสามารถเกิดขึ้นมาได้เช่นสังขารความคิดต่างๆเช่นกัน ดังเช่น ผู้ที่มีพื้นนิสัยความหดหู่หรือวิตกกังวลใจอยู่เสมอๆอันได้เคยสั่งสมไว้อย่างมาก ดังนั้นบางทีอยู่ดีๆสังขารความหดหู่หรือวิตกกังวลก็อาจผุดขึ้นมาเหมือนสังขารความคิดต่างๆได้เป็นธรรมดาเช่นกันอันเนื่องมาแต่อาสวะกิเลสและอวิชชาเป็นเหตุปัจจัยกันนั่นเอง และปล่อยให้เกิดการคิดปรุงแต่งต่อไปจนเป็นอุปาทานทุกข์อันเร่าร้อนเผาลนและยาวนานมากขึ้นไปเป็นลำดับ ดังนั้นเมื่อมีสติรู้เท่าทันเมื่อสังขารเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว ก็อุเบกขา ไม่เอนเอียงแทรกแซงปรุงแต่งต่อด้วยกริยาจิต หรือถ้อยคิด ใดๆ ทุกขเวทนาอันเกิดแต่สังขารเหล่านั้นก็จะแสดงพระไตรลักษณ์ให้เห็น กล่าวคือ ค่อยๆ...ค่อยจางๆ...ค่อยจาง...คลาย....จนดับไปเป็นที่สุด เหมือนดังกองฟืนที่ไม่มีเชื้อไฟเข้าไปเพิ่ม จึงย่อมค่อยๆหรี่...หรี่ลง....จนมอดดับไปในที่สุด
ได้กล่าวถึงสภาวะของทุกขเวทนาหรือจิตสังขารที่แสดงพระไตรลักษณ์อยู่เนืองๆว่า เป็นไปในลักษณาการที่ "ค่อยๆ...ค่อยจางๆ...ค่อยจาง...คลาย...จนดับไปเป็นที่สุด เหมือนดังกองฟืนที่ไม่มีเชื้อไฟเข้าไปเพิ่ม" เพราะต้องการเน้นให้เห็นในสภาวะการดับของกระบวนการจิตอย่างแจ่มแจ้ง อันมีอนิจจังความแปรปรวนที่เกิดขึ้นก่อน จึงค่อยๆจางคลาย จนดับไปด้วยทุกขัง เพราะเมื่อประสบกับทุกขเวทนาปุถุชนย่อมล้วนอยากให้ดับไปโดยเร็วดังใจด้วยการพยายามผลักไสต่างๆนาๆ เมื่อไม่ได้ดังใจและเพราะความไม่รู้จึงกลายเป็นสร้างตัณหาความอยากดับในทุกข์อันเร่าร้อนที่เกิดนั้นเพิ่มขึ้นไปอีก อันย่อมก่อเกิดความทุกข์เร่าร้อนกระวนกระวายเพิ่มขึ้นไปอีกนั่นเอง จึงเหมือนการเพิ่มเชื้อไฟหรือฟืนเข้าไปในกองไฟเหมือนความคิดปรุงแต่งเช่นกัน กองไฟอันเร่าร้อนเผาลนและกำลังมอดลงๆเพราะไตรลักษณ์จึงย่อมต้องลุกโพลงขึ้นมากกว่าเดิมอีกเป็นธรรมดา ดังนั้นการรู้การเข้าใจในลักษณาการในการดับไปของทุกขเวทนาหรือความทุกข์หรือจิตสังขารเช่นโทสะ โมหะ ฯลฯ.อย่างถูกต้องนั้น ก็จะช่วยไม่ให้เกิดความดิ้นรนทะยานอยาก(ตัณหา)หรือการเกิดตัณหาซ้อนตัณหาเดิมในการอยากดับทุกข์นั้นไวๆเพราะความไม่รู้ จิตจึงไม่ยอมรับสภาวธรรมของการดับไปอันเป็นเช่นนี้เอง (ตถตา)
http://www.nkgen.com/731.htm