ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 21, 2013, 06:50:49 pm »ความเห็น ความยึดถือ
ยอมรับได้มั้ยว่ากายไม่ใช่เรา บางคนก็ยอมรับได้บางคนก็ยังยอมรับไม่ได้ ถึงเห็นว่าไม่ใช่เราก็ยังรักยังยึดถือ คนละอันกันนะ ระหว่างความเห็นกับความยึดถือเนี่ย คนละอันกัน ความเห็นเรียกว่า ทิฎฐิ (ภาษาไทยสะกด ทิฐิ – ผู้ถอด) ความยึดถือเรียกว่า อุปาทาน (คนละความหมายกับคำว่า อุปทาน ที่คนใช้ – ผู้ถอด) เป็นองค์ธรรมคนละชนิดกัน เรามีความเห็นว่าร่างกายไม่ใช่ตัวเรา แต่ยังรักอยู่
พระสกทาคามีเห็นมาตั้งแต่แรกแล้วว่าร่างกายไม่ใช่เรา แต่ยังยึดร่างกายอยู่ พระอนาคามีไม่ยึดร่างกายแล้ว แต่ยังยึดจิตอยู่ เห็นว่าจิตไม่ใช่เรามาตั้งแต่เป็นนักภาวนาอย่างนี้แหละ เริ่มเห็นความจริงว่าจิตไม่ใช่เรา เห็นอย่างถ่องแท้ว่าจิตไม่ใช่เรา เมื่อเป็นพระโสดาบัน แต่ก็ยังยึดจิตอยู่ อยากให้จิตมีความสุข อยากให้จิตมีความสงบ อยากให้จิตมีความดี
เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าพระอนาคามีเนี่ย คลุ้มคลั่งอะไรมากที่สุด คลุ้มคลั่งในการถนอมรักษาจิตมากที่สุดเลย หวงที่สุด ประคับประคอง คล้ายๆขี้ฝุ่นมาเกาะนี้มันก็ปัดๆ
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ปลดปล่อยตนเองสู่ อิสระ ธรรมดาแล้ว ขันธ์ทั้ง ๕ ก็ไม่ใช่อะไรเลย
ที่เรายึดว่ามันเป็นอะไรๆ ก็เพราะเรารู้ไม่ทันอวิชชาเท่านั้น
เมื่อไปหลงยึดเข้า ความทุกข์ย่อมเกิดมีขึ้นเป็นธรรมดา เมื่อรู้แล้ว
เร่งทำวิชชาให้เจริญ จะได้รู้ทันสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง
*** เมื่อไม่หลงยึดในขันธ์ทั้ง ๕ ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องทุกข์อีก ***
*********************
สุขสงบไปทีละขณะจิต หากมีทุกข์เข้ามาแทรก
มันก็เป็นอดีตที่ดับไปแล้ว ใยต้องยึดกังวลอีก
แค่อยู่กับขณะบัจจุบันที่ไม่ทุกข์เลย...เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป...
**************
คนเราทุกวันนี้ดิ้นรนไข่วคว้าหาสิ่งที่ไม่มี
และสุดท้ายทุกคนก็จะได้ในสิ่งเดียวกัน คือ ไม่ได้อะไร...
**************
ยึดถือสิ่งใดเป็นของตน ย่อมทุกข์เพราะสิ่งนั้น
ไม่ได้ครอบครอง ก็ไม่ต้องยึดถึอ ก็ไม่ต้องทุกข์
*************
สรรพสิ่งในโลกล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป
การปล่อยวางจากสิ่งเหล่านั้นได้ย่อมอยู่เหนือจากทุกข์ทั้งปวง...
****************************
" ปัญญาญาณหรือญาณหรือญาณวิปัสสนาแล้วแต่จะเรียก " เท่านั้น
ที่นําไปสู่การรู้แจ้ง และเมื่อเห็นตามที่เป็นจริงจึงจะพ้นอวิชชา
ไม่มีบทสวดใดหรือต้องทําบุญที่ใด ถึงจะบรรลุนิพพาน
ความบริสุทธิ์ของจิตเกิดได้ในทุกขณะ เหตุนี้องคุลีมาลจากฆาตกร
จึงกลายเป็นอรหันต์ได้ในเสี้ยววินาที จากการรู้แจ้ง....
***************
ไม่มีอะไรให้ต้องเอา ไม่มีอะไรให้ต้องยึด สุดท้ายตัวเราเล่า
ก็เป็นดังเช่นกองขยะกองหนึ่ง
ที่ไม่มีใครเขาต้องการ จะคงเหลือก็เพียงความปราถนาดีที่มีให้แก่กัน...
>>> F/B Trader Hunter พบธรรม
ปลดปล่อยตนเองสู่ อิสระ ธรรมดาแล้ว ขันธ์ทั้ง ๕ ก็ไม่ใช่อะไรเลย
ที่เรายึดว่ามันเป็นอะไรๆ ก็เพราะเรารู้ไม่ทันอวิชชาเท่านั้น
เมื่อไปหลงยึดเข้า ความทุกข์ย่อมเกิดมีขึ้นเป็นธรรมดา เมื่อรู้แล้ว
เร่งทำวิชชาให้เจริญ จะได้รู้ทันสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง
*** เมื่อไม่หลงยึดในขันธ์ทั้ง ๕ ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องทุกข์อีก ***
*********************
สุขสงบไปทีละขณะจิต หากมีทุกข์เข้ามาแทรก
มันก็เป็นอดีตที่ดับไปแล้ว ใยต้องยึดกังวลอีก
แค่อยู่กับขณะบัจจุบันที่ไม่ทุกข์เลย...เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป...
**************
คนเราทุกวันนี้ดิ้นรนไข่วคว้าหาสิ่งที่ไม่มี
และสุดท้ายทุกคนก็จะได้ในสิ่งเดียวกัน คือ ไม่ได้อะไร...
**************
ยึดถือสิ่งใดเป็นของตน ย่อมทุกข์เพราะสิ่งนั้น
ไม่ได้ครอบครอง ก็ไม่ต้องยึดถึอ ก็ไม่ต้องทุกข์
*************
สรรพสิ่งในโลกล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป
การปล่อยวางจากสิ่งเหล่านั้นได้ย่อมอยู่เหนือจากทุกข์ทั้งปวง...
****************************
" ปัญญาญาณหรือญาณหรือญาณวิปัสสนาแล้วแต่จะเรียก " เท่านั้น
ที่นําไปสู่การรู้แจ้ง และเมื่อเห็นตามที่เป็นจริงจึงจะพ้นอวิชชา
ไม่มีบทสวดใดหรือต้องทําบุญที่ใด ถึงจะบรรลุนิพพาน
ความบริสุทธิ์ของจิตเกิดได้ในทุกขณะ เหตุนี้องคุลีมาลจากฆาตกร
จึงกลายเป็นอรหันต์ได้ในเสี้ยววินาที จากการรู้แจ้ง....
***************
ไม่มีอะไรให้ต้องเอา ไม่มีอะไรให้ต้องยึด สุดท้ายตัวเราเล่า
ก็เป็นดังเช่นกองขยะกองหนึ่ง
ที่ไม่มีใครเขาต้องการ จะคงเหลือก็เพียงความปราถนาดีที่มีให้แก่กัน...
>>> F/B Trader Hunter พบธรรม