ข้อความโดย: บัวผ่อง
« เมื่อ: มกราคม 23, 2014, 07:37:22 pm »อนึ่ง เนื่องจากมี คนสวยใจดี มาแจก โมทนา ให้ ในกระทู้นี้
เลย แวะเอา กระทู้ที่เคยตั้งขึ้น มาแปะเพิ่ม เพราะ กระทู้ที่จะโพสนี้
ก็มี เหตุปัจจัย มาจาก กระทู้
"ศาสนา นี่มันเป็น ปัจจัยที่ 5 ในการดำรงชีวิตหรือไม่เจ้าคะ ?" เช่นกัน
หากเลือกศาสนาด้วยตนเองได้
คุณอยากนับถือศาสนาไหน เพราะอะไร ?
1.หากเลือกศาสนาด้วยตนเอง ได้
คุณอยากนับถือศาสนาไหน เพราะอะไร
และคุณได้นำ คำสอนใด ในศาสนาที่คุณนับถือ
มาใช้ในการดำเนินชีวิตบ้าง
2.คุณคิดว่ามีคำสอนใดบ้างในศาสนาอื่น
ที่จะเอามาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตได้บ้าง
3.ถ้าหากคุณไม่คิดนับถือศาสนาใดๆ เลย เป็นเพราะอะไร
แล้วคุณจะใช้หลักการอะไรมาใช้ในการดำเนินชีวิต
เมื่อพบเจอกับปัญหา อุปสรรค และ ทุกขังกาละมัง ?
ที่มา...
วันก่อนนู้น มีโอกาส อ่าน คอมเม๊นต์ เนี๊ยะ เจ้าค่ะ
http://pantip.com/topic/30086741/comment56
เห็น คุณnoneasy2go ตั้งถามไว้ได้เข้าท่าดี
เลยนึกครึ้ม แอบหลอย คำถามจากไอเดีย ของเจ้แก
มาตั้ง กาทู้ถาม อ่ะเจ้าค่ะ ( แหม๊ ? จะโดนฟ้อง ข้อหาละเมิดลิขสิทธิไหมเนี่ย หุหุ )
อ้อ ...ขอ อนุยาด ใช้สิทธิ ของการเป็น จขกท.
มาตอบ คำถาม เอาฤกษ์ เอาชัย
เป็น การประเดิมเพิ่มเรทติ้งหน่อย นะเจ้าคะ
เนื่องจาก ถ้าเลือกได้
ก็จะขอเป็น คนไม่มีศาสนา ยังเงี๊ยะแหล่ะคร้าา
( เพราะ ว่า มัน เท่ห์ดี 555555555555555555 )
ฉะนั้น จึงไม่จำเป็นต้องตอบ คำถามข้อ 1 , 2
ขอ นุยาด ข้ามมาตอบข้อ 3 เลย แระกัน อิอิ
3.ถ้าหากคุณไม่คิดนับถือศาสนาใดๆ เลย เป็นเพราะอะไร
แล้วคุณจะใช้หลักการอะไรมาใช้ในการดำเนินชีวิต
เมื่อพบเจอกับปัญหา อุปสรรค และ ทุกขังกาละมัง ?
ตอบ
ที่ไม่นับถือศาสนาใดเลย
ก็เพราะ คิดว่า ศาสนา ไม่ได้จำเป็น
ถึง ขนาดที่ว่า ต้องสถาปนา
ให้เป็น ปัจจัยที่ 5 ในการดำรง ชีวิต อ่ะค่ะ
ก็อย่างที่เคยแพล่มไว้ในกาทู้นี้ อ่ะคะ
http://pantip.com/topic/30102390
ว่าศาสนา เหมือน หนังสือฮาวทู สักเล่ม
ใช้สอยประโยชน์ เสร็จ ก็ต้องโล๊ะทิ้ง
ด้วยการชั่งโลขาย จะได้ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าตามหลักเศษสาด
ที่สำคัญ อิฉันไม่ชอบพึงพาสิ่งใดเป็น สรณะ
ไม่ว่า จะ พระรัตนตรัย หรือว่า พระเจ้าองค์ใดก็ตาม
เนื่องจากมี ความเชื่อว่า การยื้มจมูกคนอื่นหายใจ มันไม่ค่อยสะดวกอ่ะ
อีกอย่างพวกคุณไม่เกรงใจพระรัตนตรัย หรือว่า พระเจ้า กันเลยหรือคะ
ถึงได้ต้องไปคอยแต่จะพึ่งพาพระองค์ เป็นเด็กไม่รู้จักโตอยู่นั่นแหล่ะ
เฮ้อออิฉันเป็นกุลสตรี มีมารยาท อ่ะค่ะ
ป๊ะป๋า จึงมักจะสอน ประมาณ ว่า
ความเกรงใจ เป็นสมบัติของผู้ดี นะนู๋บี
ฉะนั้นอย่ามัวอ่อนแอเหลาะแหละ
คิดแต่ จะพึ่งพาขอให้ใครมาลำบากลำบน
คอยช่วยเหลือกระเตงเราข้ามห้วงทุกข์เลยอ่ะ
ไม่ว่าจะเป็น พระรัตนตรัย หรือว่า พระเจ้าก็ตามที
อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ ดีที่สุดนะ
นู๋ต้องเป็นคนมีจิตใจที่เข้มแข็ง และ กล้าแกร่ง
พอที่จะ สามารถยืนอยู้ได้ด้วยขาตัวเอง นะลูก
ด้วยเหตุนี้ อิฉันจึงใช้ หลักการดำรงชีวิต
ในแบบ โพสโมเดิร์น สไตล์ มิกซ์ แอน แมทช์
โดยพยามทำไงก็ได้ เพื่อรักษา สมดุลโลก สมดุลใจ
เพื่อ ให้เกิดสมดุลในชีวิต อ่ะเจ้าค่ะ
ซึ่งสมดุลในชีวิต นี้ก็คือ
สามารถยืนหยัดอยู่บนโลกนี้ได้ แบบชิลๆ
และ เมื่อเจอ ทุกขังกาละมัง อะรัย
ก็สามารถบริหารจัดการความทุกข์
ใน ยถาสภาวะนั้นได้ ณ ปัจจุบัน ขณะ อ่ะ เจ้าค่ะ
อนึ่ง ตัวอย่างหลักการและแนวคิด
ที่เอามาใช้เพื่อใช้สร้างสมดุลใจ และ สมดุลชีวิต
เวลาที่ในประสบปัญหา ( ทุกข์ )ก็มี หลากหลาย
ซึ่งก็หยิบ เอามาใช้สอยตาม โอกาส อ่ะนะ อาทิเช่น
1.อิฉันใช้แนวคิด และ คอนเซ๊ปต์ แบบชาวเยอรมัน ในการดำเนินชีวิต อ่ะ ที่ บอก ว่า ...
กรูจะไม่เอาเปรียบใคร และ ก็จะไม่ยอมให้ใคร มาเอาเปรียบกรู !
ช่วยเหลือชาวบ้าน ตามพื้นฐานของหลักมุษยธรรม ( และอารมณ์ดราม่า ณ ขณะนั้น )
หรือ ถ้าจะพูดให้ไพเราะ แลดูธรรมมะธรรโม
ก็คงคล้าย ๆ การรักษา ศีล 5 ของพวกพุทธมามะกะจ๋า
ก๊ะหลักการ ทำความดี ,ละเว้นความชั่ว (งดการเบียดเบียนผู้อื่น)
และ พยายาม ปรับสภาวะจิตให้คืนสู่สภาวะสมดุล ( ไม่เกิดทุกข์ )ล่ะมั้ง
เพราะอิฉันเคารพสิทธิของชีวิตอื่น
เพราะอิฉันไม่ชอบเบียดเบียนชีวิตใคร
เพราะอิฉันชอบที่จะแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้คนอื่น
เพราะอิฉันชอบเรียนรู้ที่จะจัดระเบียบสติสตัง ให้คืนสู่ดุลยภาพ
( สรุปสั้น ๆ สารพัด คิว ของอิฉัน มันมีคุณภาพดี )
2. แนวคิดเชิงบริหาร แบบ SWOT ( มุ่งหาจุดอ่อนจุดแข็ง )
http://bds.dip.go.th/Portals/0/SWOT.pdf
แนวคิดแบบนี้ มันทำให้ฉันพยายามมองว่า " ปัญหามีไว้แก้ไม่ได้มีไว้กลุ้ม "
และเรียนรู้ที่จะรับมือกับปัญหาทุกอย่างที่ถาโถมเข้ามาในชีวิต
โดยวางแผน 1 แผน 2 เอาไว้รับมือเสมอ ราวกับใช้ยุทธวิธีทางทหาร
แถมจริตของฉันมันก็ร่ำรวยอารมณ์ขันเป็นพิเศษนะ
เวลาเจ้าตัวทุกข์มันมารังแกฉันจนร้องไห้แง ๆ
เจ้าจริตแสนดี ก็ปรุงแต่งให้กลายเป็นเรื่องขบขันได้ในเวลาไม่นาน
นาทีหนึ่ง ความทุกข์ทำให้ฉันร้องไห้
แต่อีกนาทีฉันก็เรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์จากน้ำตาที่เกิดจากมัน
เผลอ ๆ ยังปรุงแต่งความคิดให้ขบขัน
กับสารรูปตัวเองตอนร้องไห้ได้ด้วยนั่นแหล่ะ ฉันล่ะ
3. หลักการ PDCA ( Plan-Do-Check-Act )
http://onknow.blogspot.com/2008/04/plan-do-check-act-pdca.html
อันนี้ ใช้ เอาไว้ เวลา ทวนศีล ทวนจิต ปรับ สมดุลใจ
ก็คงคล้าย ๆ หลัก สัมมัปปทาน 4 ใน วิถีพุทธ มั้ง
ซึ่งเท่าที่ เชค ๆ ดู ดุลยภาพในชีวิต ก็เป็นปกติสุขดี
และเมื่อมีความทุกขังกาละมัง ก็ มีสติ สตางค์
และ มีกำลังใจในการบริหารจัดการความทุกข์
ที่มันบุกรุก เข้ามา สร้างปัญหาชัวิต ให้อิฉัน เสมอนะ
ถึงไม่ได้ นับถือศาสนา ก็มีชีวิตชีวาลั้ลลา ตาม อัตภาพ คร้าาา อิอิ
เลย แวะเอา กระทู้ที่เคยตั้งขึ้น มาแปะเพิ่ม เพราะ กระทู้ที่จะโพสนี้
ก็มี เหตุปัจจัย มาจาก กระทู้
"ศาสนา นี่มันเป็น ปัจจัยที่ 5 ในการดำรงชีวิตหรือไม่เจ้าคะ ?" เช่นกัน
หากเลือกศาสนาด้วยตนเองได้
คุณอยากนับถือศาสนาไหน เพราะอะไร ?
1.หากเลือกศาสนาด้วยตนเอง ได้
คุณอยากนับถือศาสนาไหน เพราะอะไร
และคุณได้นำ คำสอนใด ในศาสนาที่คุณนับถือ
มาใช้ในการดำเนินชีวิตบ้าง
2.คุณคิดว่ามีคำสอนใดบ้างในศาสนาอื่น
ที่จะเอามาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตได้บ้าง
3.ถ้าหากคุณไม่คิดนับถือศาสนาใดๆ เลย เป็นเพราะอะไร
แล้วคุณจะใช้หลักการอะไรมาใช้ในการดำเนินชีวิต
เมื่อพบเจอกับปัญหา อุปสรรค และ ทุกขังกาละมัง ?
ที่มา...
วันก่อนนู้น มีโอกาส อ่าน คอมเม๊นต์ เนี๊ยะ เจ้าค่ะ
http://pantip.com/topic/30086741/comment56
เห็น คุณnoneasy2go ตั้งถามไว้ได้เข้าท่าดี
เลยนึกครึ้ม แอบหลอย คำถามจากไอเดีย ของเจ้แก
มาตั้ง กาทู้ถาม อ่ะเจ้าค่ะ ( แหม๊ ? จะโดนฟ้อง ข้อหาละเมิดลิขสิทธิไหมเนี่ย หุหุ )
อ้อ ...ขอ อนุยาด ใช้สิทธิ ของการเป็น จขกท.
มาตอบ คำถาม เอาฤกษ์ เอาชัย
เป็น การประเดิมเพิ่มเรทติ้งหน่อย นะเจ้าคะ
เนื่องจาก ถ้าเลือกได้
ก็จะขอเป็น คนไม่มีศาสนา ยังเงี๊ยะแหล่ะคร้าา
( เพราะ ว่า มัน เท่ห์ดี 555555555555555555 )
ฉะนั้น จึงไม่จำเป็นต้องตอบ คำถามข้อ 1 , 2
ขอ นุยาด ข้ามมาตอบข้อ 3 เลย แระกัน อิอิ
3.ถ้าหากคุณไม่คิดนับถือศาสนาใดๆ เลย เป็นเพราะอะไร
แล้วคุณจะใช้หลักการอะไรมาใช้ในการดำเนินชีวิต
เมื่อพบเจอกับปัญหา อุปสรรค และ ทุกขังกาละมัง ?
ตอบ
ที่ไม่นับถือศาสนาใดเลย
ก็เพราะ คิดว่า ศาสนา ไม่ได้จำเป็น
ถึง ขนาดที่ว่า ต้องสถาปนา
ให้เป็น ปัจจัยที่ 5 ในการดำรง ชีวิต อ่ะค่ะ
ก็อย่างที่เคยแพล่มไว้ในกาทู้นี้ อ่ะคะ
http://pantip.com/topic/30102390
ว่าศาสนา เหมือน หนังสือฮาวทู สักเล่ม
ใช้สอยประโยชน์ เสร็จ ก็ต้องโล๊ะทิ้ง
ด้วยการชั่งโลขาย จะได้ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าตามหลักเศษสาด
ที่สำคัญ อิฉันไม่ชอบพึงพาสิ่งใดเป็น สรณะ
ไม่ว่า จะ พระรัตนตรัย หรือว่า พระเจ้าองค์ใดก็ตาม
เนื่องจากมี ความเชื่อว่า การยื้มจมูกคนอื่นหายใจ มันไม่ค่อยสะดวกอ่ะ
อีกอย่างพวกคุณไม่เกรงใจพระรัตนตรัย หรือว่า พระเจ้า กันเลยหรือคะ
ถึงได้ต้องไปคอยแต่จะพึ่งพาพระองค์ เป็นเด็กไม่รู้จักโตอยู่นั่นแหล่ะ
เฮ้อออิฉันเป็นกุลสตรี มีมารยาท อ่ะค่ะ
ป๊ะป๋า จึงมักจะสอน ประมาณ ว่า
ความเกรงใจ เป็นสมบัติของผู้ดี นะนู๋บี
ฉะนั้นอย่ามัวอ่อนแอเหลาะแหละ
คิดแต่ จะพึ่งพาขอให้ใครมาลำบากลำบน
คอยช่วยเหลือกระเตงเราข้ามห้วงทุกข์เลยอ่ะ
ไม่ว่าจะเป็น พระรัตนตรัย หรือว่า พระเจ้าก็ตามที
อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ ดีที่สุดนะ
นู๋ต้องเป็นคนมีจิตใจที่เข้มแข็ง และ กล้าแกร่ง
พอที่จะ สามารถยืนอยู้ได้ด้วยขาตัวเอง นะลูก
ด้วยเหตุนี้ อิฉันจึงใช้ หลักการดำรงชีวิต
ในแบบ โพสโมเดิร์น สไตล์ มิกซ์ แอน แมทช์
โดยพยามทำไงก็ได้ เพื่อรักษา สมดุลโลก สมดุลใจ
เพื่อ ให้เกิดสมดุลในชีวิต อ่ะเจ้าค่ะ
ซึ่งสมดุลในชีวิต นี้ก็คือ
สามารถยืนหยัดอยู่บนโลกนี้ได้ แบบชิลๆ
และ เมื่อเจอ ทุกขังกาละมัง อะรัย
ก็สามารถบริหารจัดการความทุกข์
ใน ยถาสภาวะนั้นได้ ณ ปัจจุบัน ขณะ อ่ะ เจ้าค่ะ
อนึ่ง ตัวอย่างหลักการและแนวคิด
ที่เอามาใช้เพื่อใช้สร้างสมดุลใจ และ สมดุลชีวิต
เวลาที่ในประสบปัญหา ( ทุกข์ )ก็มี หลากหลาย
ซึ่งก็หยิบ เอามาใช้สอยตาม โอกาส อ่ะนะ อาทิเช่น
1.อิฉันใช้แนวคิด และ คอนเซ๊ปต์ แบบชาวเยอรมัน ในการดำเนินชีวิต อ่ะ ที่ บอก ว่า ...
กรูจะไม่เอาเปรียบใคร และ ก็จะไม่ยอมให้ใคร มาเอาเปรียบกรู !
ช่วยเหลือชาวบ้าน ตามพื้นฐานของหลักมุษยธรรม ( และอารมณ์ดราม่า ณ ขณะนั้น )
หรือ ถ้าจะพูดให้ไพเราะ แลดูธรรมมะธรรโม
ก็คงคล้าย ๆ การรักษา ศีล 5 ของพวกพุทธมามะกะจ๋า
ก๊ะหลักการ ทำความดี ,ละเว้นความชั่ว (งดการเบียดเบียนผู้อื่น)
และ พยายาม ปรับสภาวะจิตให้คืนสู่สภาวะสมดุล ( ไม่เกิดทุกข์ )ล่ะมั้ง
เพราะอิฉันเคารพสิทธิของชีวิตอื่น
เพราะอิฉันไม่ชอบเบียดเบียนชีวิตใคร
เพราะอิฉันชอบที่จะแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้คนอื่น
เพราะอิฉันชอบเรียนรู้ที่จะจัดระเบียบสติสตัง ให้คืนสู่ดุลยภาพ
( สรุปสั้น ๆ สารพัด คิว ของอิฉัน มันมีคุณภาพดี )
2. แนวคิดเชิงบริหาร แบบ SWOT ( มุ่งหาจุดอ่อนจุดแข็ง )
http://bds.dip.go.th/Portals/0/SWOT.pdf
แนวคิดแบบนี้ มันทำให้ฉันพยายามมองว่า " ปัญหามีไว้แก้ไม่ได้มีไว้กลุ้ม "
และเรียนรู้ที่จะรับมือกับปัญหาทุกอย่างที่ถาโถมเข้ามาในชีวิต
โดยวางแผน 1 แผน 2 เอาไว้รับมือเสมอ ราวกับใช้ยุทธวิธีทางทหาร
แถมจริตของฉันมันก็ร่ำรวยอารมณ์ขันเป็นพิเศษนะ
เวลาเจ้าตัวทุกข์มันมารังแกฉันจนร้องไห้แง ๆ
เจ้าจริตแสนดี ก็ปรุงแต่งให้กลายเป็นเรื่องขบขันได้ในเวลาไม่นาน
นาทีหนึ่ง ความทุกข์ทำให้ฉันร้องไห้
แต่อีกนาทีฉันก็เรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์จากน้ำตาที่เกิดจากมัน
เผลอ ๆ ยังปรุงแต่งความคิดให้ขบขัน
กับสารรูปตัวเองตอนร้องไห้ได้ด้วยนั่นแหล่ะ ฉันล่ะ
3. หลักการ PDCA ( Plan-Do-Check-Act )
http://onknow.blogspot.com/2008/04/plan-do-check-act-pdca.html
อันนี้ ใช้ เอาไว้ เวลา ทวนศีล ทวนจิต ปรับ สมดุลใจ
ก็คงคล้าย ๆ หลัก สัมมัปปทาน 4 ใน วิถีพุทธ มั้ง
ซึ่งเท่าที่ เชค ๆ ดู ดุลยภาพในชีวิต ก็เป็นปกติสุขดี
และเมื่อมีความทุกขังกาละมัง ก็ มีสติ สตางค์
และ มีกำลังใจในการบริหารจัดการความทุกข์
ที่มันบุกรุก เข้ามา สร้างปัญหาชัวิต ให้อิฉัน เสมอนะ
ถึงไม่ได้ นับถือศาสนา ก็มีชีวิตชีวาลั้ลลา ตาม อัตภาพ คร้าาา อิอิ