ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
ท่านจะปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อตกลงของเว็บใต้ร่มธรรมทุกประการหรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: กระตุกหางแมว
« เมื่อ: มกราคม 30, 2014, 09:14:58 pm »

คิดถึงหนังเรื่องนี้ + นายจิมด้วย ไปหามาดูอีกรอบดีกว่า
ข้อความโดย: pluskit042
« เมื่อ: มกราคม 21, 2013, 02:16:25 pm »

เป็นภาพยนต์ที่ให้แง่คิดดี
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: มกราคม 06, 2013, 12:08:01 pm »



Yes Man ได้ครับพี่ ดีครับผม

ยอดชายนายจิม แคร์รี่ กับผลงานล่าสุด ในคราบหนุ่มทนายที่จำต้อง Say Yes ให้กับทุกข้อเสนอที่มีเข้ามาในชีวิต

หลังจากที่พังไม่เป็นท่าทั้งแง่เสียงวิจารณ์ และรายรับในหนังปี 1996 The Cable Guy ซึ่งกำกับโดย เบน สติลเลอร์ คล้อยหลังมาเพียงหนึ่งปี จิม แคร์รี่ ก็กลับมาแจ้งเกิดเป็นหนที่สองกับ Liar Liar จากนั้นเรื่อยมากราฟชีวิตของพ่อหนุ่ม The Mask ก็ขึ้นๆ ลงๆ แต่พักหลังออกแนวขาลงมากกว่าเพราะหนังหลายต่อหลายเรื่องที่เขาเล่นไม่ค่อยเป็นที่จดจำเท่าไหร่นัก

อันนี้ยกเว้น The Truman Show, Man on The Moon และ Eternal Sunshine of the Spotless Mind แถมต้องเผชิญหน้ากับวินซ์ วอห์น, โอเว่น วิลสัน และเบน สติลเลอร์ ซึ่งเป็นคู่แข่งทางตรงในฐานะดาวตลกแห่งฮอลลีวู้ด ยังไม่นับรวมโปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ และมือเขียนบท อย่างจัดด์ อาพาโทว์ ที่ก้าวขึ้นมาเป็นเต้ยในภาพยนตร์ Comedy ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ว่าแล้วหนุ่มใหญ่ที่มีออง ซาน ซูจี เป็นฮีโร่ ก็เลย "งานเข้า" กับการหาทางกลับมาเป็นเบอร์หนึ่งในการเรียกเสียงหัวเราะอีกครั้ง

ที่เราเริ่มต้นเรื่องราวของจิม แคร์รี่ ตรง Liar Liar ก็เพื่อจะโยงเข้าสู่ Yes Man งานชิ้นล่าสุดของเขา ซึ่งหลังจากที่ดูหนังจบ เราก็อดนึกถึงความละม้ายคล้ายคลึงกันระหว่างภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องไม่ได้ แม้จะต่างกันในรายละเอียด แต่หลังใหญ่ใจความก็ไปในทางเดียวกัน เรื่องแรกตัวละคร เฟรทเชอร์ รีด เป็นทนายความหนุ่มที่ไม่สามารถพูดโกหกได้อีก ขณะที่ตัวละครในเรื่องหลังก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เอ่ยคำว่า "ไม่" เขาต้อง Say Yes ให้กับทุกข้อเสนอที่มีเข้ามาในชีวิต

ความเริ่มต้นที่ คาร์ล อัลเลน (จิม แคร์รี่) ชายหนุ่มที่ทำงานธนาคารในแผนกสินเชื่อ เขาปฏิเสธทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต โทรศัพท์ดังก็ไม่รับ ลูกค้ามาขอกู้เงินก็ไม่อนุมัติให้ผ่าน เมื่อเพื่อนชวนไปเที่ยวก็อ้างว่าไม่ว่าง ทั้งๆ ที่นอนดูหนังอยู่กับบ้านแท้ๆ อยู่มาวันหนึ่งขณะที่กำลังนั่งเซ็งๆ เพราะไม่ได้รับการเลื่อนขั้น ชายหนุ่มก็พบกับเพื่อนเก่า เขาชักชวนให้คาร์ลไปเข้าร่วมสัมมนาที่ว่าด้วย "การตอบรับ" ให้กับทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต จากนั้นมา คาร์ลก็ผันตัวเองจาก No Man มาเป็น Yes Man

เขาได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ไปเรียนกีตาร์ เข้าคอร์สภาษาเกาหลี และอนุมัติเงินกู้เป็นว่าเล่น สิ่งดีๆ ต่างๆ ก็มาเคาะประตูหน้า ทั้งกลายเป็นฮีโร่ช่วยชีวิตคน ได้เลื่อนตำแหน่ง และพบกับรักครั้งใหม่ แต่คำถามที่ตามมาก็คือ ทั้งหลายทั้งมวลที่เกิดขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่คาร์ล อัลเลนอยากทำจริงๆ หรือเพียงเพราะต้องการจะรักษาสัญญาปากเปล่าที่ให้ไว้เท่านั้น

หนังจงใจขายความเป็นจิม แคร์รี่ อย่างชัดเจน ไล่ตั้งแต่การสร้างตัวละคร เนื้อหา และมุกตลกต่างๆ ซึ่งก็พอจะทำให้เรากล้อมแกล้มคิดถึงวันคืนเก่าๆ ของดาราหน้าเป็นคนนี้ไปได้พอสมควร แต่บางมุกตลกก็ "ไม่สร้างสรรค์" เท่าไหร่นัก ทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจอาจจะถึงขั้นส่ายหัวมากกว่าจะหัวเราะขำขัน

เพย์ตัน รีด ผู้กำกับของเรื่องหยิบเอาบันทึกความทรงจำชื่อเดียวกันของแดนนี่ วอลเลส ดาวตลกชาวอังกฤษที่ตัดสินใจ Say Yes ให้กับทุกข้อเสนอที่มีเข้ามาในชีวิตเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม เพื่อทำให้ชีวิตมีความน่าสนใจและมองโลกในแง่ดี ตัวอักษรแสดงให้เห็นภาพของความยากลำบากและปัญหานานาประการที่เกิดขึ้นระหว่างที่เขาตอบรับกับทุกคำขอ กับทุกข้อเสนอ ซึ่งเมื่อมองตามความเป็นจริงแล้ว การทำแบบนี้ก็ค่อนข้างจะสุ่มเสี่ยงพอสมควร เพราะถ้าจู่ๆ มีใครมาขอให้คุณไปกระโดดตึก หรือขอให้คุณเอาเงินที่มีมอบให้คนอื่นทั้งหมด หรืออาจจะขอให้คุณลาออกจากงาน จากการเปิดโอกาสให้ชีวิตก็จะกลับกลายมาเป็นการทำลายชีวิตซะมากกว่า

หนังเปิดเรื่องได้อย่างน่าสนใจ กับการทำให้คนดูเห็นว่าคาร์ล อัลเลน เป็น No Man และดูจะมีอะไรขึ้นมาเมื่อเขาเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นมิสเตอร์ได้ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน ถึงแม้ว่าตรงจุดที่ทำให้ชายหนุ่มกลายมาเป็น Yes Man จะดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่นักก็ตาม แต่ก็เอาเถอะ หนังปูความไว้ว่า การตอบรับกับทุกอย่างจะนำมาซึ่งเรื่องดีๆ ในชีวิต (อ่ะจริงดิ)

หลังจากที่ขับรถไปส่งคนจรจัดที่ทางสายเปลี่ยวในยามค่ำคืนจนรถน้ำมันหมด ชายหนุ่มก็ได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ปั๊มน้ำมัน และหล่อนก็อาสาขับสกูตเตอร์มาส่งเขา จากนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองก็เดินหน้าไปเรื่อยๆ โดยมีการ Say Yes เป็นตัวชักนำ พอหนังเดินมาถึงจุดนี้ เราก็เริ่มรู้สึกอยู่เล็กๆ ว่า หนังคงไม่ได้ไปไหนไกลสักเท่าใดนัก แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะสิ่งต่างๆ ที่ตามมาล้วนคาดเดาได้หมดสิ้นไปจนจบเรื่อง

หนังเดินตามสูตรทำนองที่ว่าตัวละครหลักสร้างเงื่อนไขให้กับตัวเองขึ้นมา จากนั้นก็ไปพบรักกับตัวละครอีกตัว จนกระทั่งเงื่อนไขนั้นถูกเฉลย เกิดการผิดใจกัน ที่เหลือก็เป็นการงอนง้อ และก็จบลงอย่าง Happy Ending เราเคยพบการเดินเรื่องแบบนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เพียงแต่เกิดขึ้นกันต่างกรรมต่างวาระ  เช่น ใน 10 Things i hate about You, How to Loose a Guy in 10 Days และ 40 Days and 40 Night ซึ่งทุกเรื่องที่ยกมาล้วนแล้วแต่วางตัวเองเป็นหนังรักวัยรุ่น วัยทำงาน แต่กับ Yes Man แล้วตัวหนังน่าจะไปได้ไกลกว่านี้ เพราะสมมติฐานของเรื่องที่ตั้งเอาไว้น่าสนใจอยู่แล้ว ยิ่งถ้ามองเทียบกับ Liar Liar ทั้งสองเรื่องนำเสนอสารเดียวกัน ใกล้เคียงกัน แต่ทนายความที่ไม่สามารถพูดโกหกกลับทำให้เราจดจำได้มากกว่า

แน่ล่ะว่า ประเด็นเรื่องการเรียนรู้ของตัวละครเป็นสิ่งที่ตามติดมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ (และก็ไม่ควรเลี่ยงด้วย) ซึ่งหนังก็พร่ำบอกกับคนดูว่า เราควรจะใช้ชีวิตให้เต็มที่ เปิดโอกาสให้กับทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต แต่ก็ต้องไม่สุดโต่งเกินไป หรือน้อยจนเกินควร ประมาณว่า ควรเดินทางสายกลาง ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นเหมือนคาร์ล อัลเลนในตอนต้นเรื่องที่จมปลักอยู่กับการดูดีวีดี และคาร์ล อัลเลนในตอนท้ายเรื่อง ซึ่งต้องปวดใจกับการตอบรับมันซะทุกเรื่อง

Yes Man อาจจะไม่ใช่หนังดีมากนักเมื่อเทียบกับงานเก่าๆ ของจิม แคร์รี่ เอง (หรือเทียบกับหนังเรื่องอื่นๆ) แต่อย่างน้อยมันก็ยังพอเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มได้บ้าง ท่ามกลางบรรยากาศที่คลุมเครือของบ้านเมืองและโลกใบนี้

 :06: http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/movie-music/20090116/7467/Yes-Man-%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B9%88-%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9C%E0%B8%A1.html
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: มกราคม 06, 2013, 12:01:38 pm »



Yes Man (2008)

ชีวิตของคนเราจะสำเร็จทุกสิ่งสรรพด้วยอะไร? อะไรคือสิ่งที่จะทำให้การดำเนินชีวิตของเราทุกคน อยู่บนถนนของความสำเร็จ อยู่บนถนนของความก้าวหน้า อยู่บนถนนของการได้รับยอมรับ อยู่บนถนน...ที่ถูกต้อง ลองเซย์ "Yes" กับทุกสิ่งที่ก้าวเข้ามาในชีวิตของคุณดู เหมือนเค้าคนนี้...Jim Carrey

Official Site: http://yesisthenewno.warnerbros.com/

หลังจากห่างหายจากโรงภาพยนตร์ไปพักใหญ่ๆ ในที่สุดวันที่ผมจะว่างๆ มีโอกาสดีๆ ที่จะได้เดินเข้าโรงภาพยนตร์ก็มาถึง และผมก็ไม่ปฏิเสธ และเซย์ "Yes" ที่จะเข้าไปดูภาพยนตร์ทันที และผมก็ไม่ปฏิเสธที่จะ เซย์ "Yes" ให้กับภายนตร์เรื่อง "Yes Man" ที่ได้ Jim Carrey มาเป็นนักแสดงนำ

ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของชีวิตผู้ชายคนหนึ่ง 'Carl Allen' หนุ่มแบงก์ที่ทางเดินของชีวิตกำลังพาเขาเข้าไปสู่จุดอับ เมื่อทั้งชีวิตเค้ามีแต่การปฏิเสธ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตการทำงาน การพักผ่อน เพื่อนฝูง คนรัก และทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต จนกระทั่งเค้าได้พบกับสิ่งที่ตนเองไม่เคยทำนั่นก็คือการ เซย์ "Yes" กับทุกเรื่องในชีวิต จากผู้นำจิตใจ ซึ่งได้ให้ Carl สัญญากับตัวเองว่า จะไม่ปฎิเสธคำขอใดๆ ของทุกๆ คนเลย หาไม่แล้วเค้าจะต้องเจอแต่เรื่องเลวร้าย

แล้วทันทีที่เค้าไม่ปฏิเสธใครๆ เลย ชีวิตเข้าก็เริ่มกลายเป็นเหรียญที่พลิกด้านไป การงานที่เคยถูกแช่แข็งมาตลอด 5 ปี กำลังถูกขยับขยายไปในทางที่ดีขึ้น เขาได้พบกับหญิงสาวที่เขาค้นหา และที่สำคัญ Carl เริ่มที่จะค้นพบ "ตัวตนของตนเอง" เพียงเพราะเค้า เซย์ "Yes" กับทุกสิ่ง และขอย้ำว่ากับ "ทุกสิ่ง" จริงๆ

Carl กลายเป็นคนที่ใครๆ ก็อยากเข้าใกล้ เพราะไม่ว่าจะขออะไร เค้าก็พร้อมที่จะ เซย์ "Yes" ทันทีโดยไม่ต้องคิด และทันทีที่เค้า เซย์ "Yes" สิ่งที่ Carl ได้รับตอบแทนก็คือ ความสุขสมบูรณ์ในชีวิตของเขา

ผมดูหนังเรื่องนี้แล้วอดนึกถึงหนังสือ 2 เล่มไม่ได้ นั่นก็คือ The Secret และ กฎแห่งกระจก เพราะทั้ง "Yes Man", "The Secret" และ "กฎแห่งกระจก" มีสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดร่วมกันนั่นก็คือ ให้เราเปิดรับกับทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิต ยอมรับ และยินดีกับมัน และ เซย์ "Yes" ให้กับทุกๆ โอกาสที่เข้ามาในชีวิต แต่...

ต้องอยู่บนพื้นฐานว่า การ เซย์ "Yes" นั้น ต้องเป็นสิ่งที่ "ใจ" ปรารถนา

หลังจาก เซย์ "Yes" กับทุกๆ เรื่อง ในที่สุด Carl ก็ต้อง เซย์ "NO" และดูเหมือนชีวิตทั้งชีวิตของเค้ากำลังจะต้องเผชิญกับจุดจบ แต่เค้าก็ไม่อาจกลับคำไป เซย์ "Yes" ได้ เพราะสิ่งที่เค้าจะต้องตอบรับครั้งนี้ เป็นสิ่งที่เหลือกำลังหัวใจเค้าจะยอมรับได้ และในที่สุด Carl ก็ได้พบกับคำตอบของ "YES"

ในที่สุดเค้าก็ได้รู้จักกับคำว่า "YES" ที่ออกจากหัวใจ ดังเช่นที่ "The Secret" และ "กฎแห่งกระจก" สอนให้เราตอบรับกับโอกาส เปิดใจให้กับสิ่งที่เข้ามาในชีวิต

ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมขอ Recommend อีกเรื่องหนึ่ง ไม่เฉพาะ Jim Carry เป็นผู้แสดงนำ และภาพยนตร์ทุกๆ เรื่องที่ ชายคนนี้แสดงไม่เพียงแต่เรียกเสียงหัวเราะได้ หากแต่มี "สิ่งดีๆ" แฝงอยู่ในภาพยนตร์ทุกๆ เรื่องที่เค้าแสดง หากแต่เนื้อเรื่องของภาพยนคร์ "Yes Man" ยังทำให้การดำเนินชีวิตในช่วงที่สิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเรากำลังตกอยู่ในภาวะยากลำบาก ดูเหมือนจะมีแสงสว่างอยู่ในมือของเราขึ้นมา และแสงสว่างนั้นก็คือคำว่า "Yes" ในโอกาสที่เข้ามาและใจเราพร้อมจะเปิดรับ

 :19: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=jamkanok&month=01-2009&date=14&group=2&gblog=12
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: มกราคม 06, 2013, 11:53:32 am »



คอลัมน์ เล่าเรื่องหนัง
โดย ติสตู

บางครั้งการสร้างกำแพงรายล้อมตัวเองจากสิ่งโดยรอบ ลดการปฏิสัมพันธ์กับผู้คน การอยู่กับตัวเอง บ้างก็ว่านั่นคือสันโดษ บ้างก็ว่าปัจเจกนิยม บ้างก็ว่าทำให้เราได้ทบทวนสิ่งที่ผ่านมาเมื่อได้อยู่กับตัวเองและความคิดตัวเองชั่วขณะหนึ่ง

แต่ถ้าจมอยู่กับมันมากเกินไปจนส่งผลต่อการใช้ชีวิต และบุคลิกภายนอก รวมไปถึงสภาพจิตใจหดหู่ซ้ำซากที่เกิดจากความโดดเดี่ยวของตัวเองล่ะ นี่คือโครงเรื่องง่ายๆ ในผลงานแนว Feel Good ล่าสุดของ “จิม แคร์รีย์” คนที่ยุค 90 อเมริกันชนบอกว่าเขาคือนักแสดงแนวคอมเมดี้แอ๊คชั่นทางหน้าตาที่ฮาที่สุดคนหนึ่ง (แม้บางมุขต้องบอกว่าไม่รู้สึกขำขันก็ตามที)

ใน Yes Man หยิบจับเอาแนวคิดแบบคู่มือ How-To สอนชีวิตมาปรับแต่งเป็นพล็อตเรื่องในเชิงล้อเลียน แต่ยังคงมองโลกในแง่ดี ประเภทหนังสือฮาวทูฮิตๆ ทั้งหลายที่มีคอนเซ็ปท์ว่าถ้าคุณคิดดี ทำดี ตอบรับในสิ่งดีๆ คิดดีๆ ให้มาก มันจะกลายมาเป็นพลังนำสิ่งดีๆ หรือสร้างสิ่งดีๆ มาสู่คุณเอง

แม้บรรดาหนังสือฮาวทู และแนวคิดเหล่านี้จะฟังดูสะกดจิตมาก แต่ในแง่ของหลักตรรกะสามารถอธิบายได้กว้างๆ ตามหลักพระพุทธศาสนาว่าคนเราคิดดี ทำดี สิ่งดีย่อมตามมา เป็นหลักการของชีวิต เช่นคำกล่าวอริสโตเติลง่ายๆ สั้นๆ “ความสุขขึ้นอยู่กับตัวเราเอง” ซึ่งสารจากภาพยนตร์ Yes Man ต้องการสื่อสารว่าแท้จริงแล้วจะทุกข์หรือสุขถ้าเราทำใจเลือกสิ่งไหนเราก็จะได้สิ่งนั้น

เช่นตัวละคร “คาร์ล อัลเลน” (จิม แคร์รีย์) คือผู้ชายที่เข้าข่ายมืดหม่นหดหู่จิตตกและดูเป็นไอ้ขี้แพ้หลังจากสภาพจิตใจย่ำแย่จากการหย่าร้าง “คาร์ล” จึงปิดประตูหนีสังคม ห่างจากสังคมเพื่อนฝูง และเพื่อนร่วมงาน ใช้ชีวิตแบนราบจนเพื่อนๆ ต่างเป็นห่วง และเมื่อวันหนึ่งเขาถูกชวนจากเพื่อนเก่าให้เข้าร่วมโครงการสัมมนาสร้างพลังชีวิต ที่หนังดีไซน์ให้เป็นบรรยากาศเหมือนลัทธิที่มีผู้นำคอยกล่อมเกลาล้างสมอง ทุกคนในห้องต่างก็ต้องพูดว่า Yes! Yes! ในทุกเรื่อง “ใช่! เราทำได้” ด้วยวิทยากรที่ประหนึ่งเป็นเจ้าลัทธิผู้บัญญัติคำว่า ใช่ ทำได้ทุกอย่างให้แก่ผู้มาร่วมสัมมนา…

ผลจากโครงการนั้นทำให้คาร์ลต้องตอบรับ Yes กับทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิตอย่างไม่เลือกหน้า ไม่ว่าอะไรคาร์ลต้องมองว่ามันใช่! และทำไปตามทุกอย่างที่มีข้อเสนอ โอกาส หรือการร้องขอ และการณ์กลับเป็นดังว่าเมื่อเริ่มจากใช่กับทุกอย่าง เขาก็รู้สึกว่าสิ่งดีๆ ค่อยเข้ามาหาเขาทีละเล็กละน้อยจนเริ่มเลยเถิด…

หนังพาไปดูว่าสถานการณ์ที่เข้ามารายล้อมรอบตัวคาร์ลหลังจากที่เขาตอบ Yes ไปก็มีแต่สิ่งดีๆ เข้ามาอย่างชนิดเหลือเชื่อ กลายเป็น “คาร์ล” คนใหม่ เคลือบฉาบด้วยคำว่า Yes! หมดยุคคาร์ลผู้มืดหม่นหดหู่จิตตกไอ้ขี้แพ้กลายเป็นทุกสิ่งที่ตรงกันข้าม

Yes Man คือหนังสือฮาวทูฉบับใช่! ฉันทำได้ ส่งผลให้คาร์ลเชื่อมั่นว่าชีวิตกำลังเดินมาถูกทาง แต่หนังก็ล้อเลียนวัฒนธรรมฮาวทูเล็กๆ ว่า การทำตามฮาวทูโดยคิดว่าชีวิตจะดีไซน์ได้แบบสำเร็จรูปมันดูง่ายเกินไป

หนังแอบล้อเลียนว่าบางแง่มุมของฮาวทูบางทีก็เป็นแค่เปลือก เพราะมันได้ระบุฉลากบอกวิธีการใช้ชีวิตจนเราจะเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกครอบงำล้างสมองได้

อย่างไรก็ตาม หนังก็ให้แง่มุมดีๆ จากฮาวทูที่แนะให้กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง และลองทำทุกอย่างที่เราต้องการแล้วทุกอย่างมันจะเชื่อมจุดมาเป็นประโยชน์ต่อไป แต่ไม่ว่าสิ่งที่วัฒนธรรมฮาวทูจะแนะนำอย่างไร โดยพื้นฐานแล้วหนังสื่อสารว่าความสุขนั้นอยู่ที่ตัวเรา

ฮาวทูฉบับ Yes Man จึงเป็นเพียงเครื่องมือให้เราค้นพบความสุขทางลัดที่ใกล้ๆ และง่ายที่สุดเท่านั้นเอง

ที่มาจากหนังสือพิมพ์ http://movie.mthai.com/movie-review/39795.html

Yes Man - Trailer in iHD™