ตอบ

ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ตุลาคม 18, 2011, 01:46:14 am »






















ภควัทคีตา
บทเพลงแห่งองค์ภควัน
สมภาร พรมทา แปล
และเรียบเรียง

บทอวสาน 
                      สัญชัยกราบทูลราชาธฤตราษฎร์เป็นการสรุปเนื้อความที่ตนเล่าทั้งหมดว่า       
                      ข้าได้ฟังอนุศาสนธรรมที่องค์กฤษณะประทานแก่อรชุนแล้วขนหัวของข้าพลันเกิดอาการลุกชูชัน!       
                      เพราะความกรุณาของท่านวยาส ข้าจึงได้มีโอกาสสดับฟังเรื่องราวอันลี้ลับ กล่าวคือโยคธรรมที่องค์กฤษณะเจ้าทรงประทานอรรถาธิบายด้วยพระองค์เองนี้
       
                      ข้าแต่ราชัน! บัดนี้ยังรำลึกได้ถึงอนุศาสนกถาอันมหัศจรรย์ยิ่งนั้น! และเมื่อใดที่ข้าหวนรำลึกถึง เมื่อนั้นหัวใจของข้าจะอิ่มเต็มด้วยปีติสุขจนเอ่อล้น!
       
                      ข้ายังจำได้ถึงรูปอันวิจิตรพิสดาร ที่องค์หริกฤษณะทรงเนรมิตให้ปรากฏ!       
                      ข้าแต่มหาราช! ข้าตื้นตันเหลือเกิน!
       
                      สถานที่ใดมีองค์กฤษณะผู้ยิ่งใหญ่สถิตอยู่เคียงข้างกับอรชุนจอมนักรบ สถานที่นั้นย่อมประสบโชค มีชัยต่ออุปสรรค เป็นสถานที่อันร่มเย็น และประกอบด้วยนิติธรรมโดยไม่ต้องสงสัย       
                      ข้าเชื่อเช่นนี้


ภควัทคีตา จบบริบูรณ์     
โอม ตัต สัต!
     


: http://agaligohome.com/index.php?board=62.0
นำมาแบ่งปันโดย.. baby@home
Pics by : Google
สุขใจดอทคอม * อกาลิโกโฮม
ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ตุลาคม 18, 2011, 12:46:28 am »



ต่อค่ะ
                      ความสุขใดกว่าจะได้มาต้องเอาความทุกข์ยากบากบั่นเข้าแลกโดยที่ความเพียรพยายามนั้นเกิดจากความเข้าใจอย่างแน่ชัดในอาตมัน ความสุขชนิดนี้ในเบื้องต้นจะต้องผ่านความทรมานเหมือนการดื่มยาพิษ ครั้นผ่านความยากเข็ญนั้นแล้ว ผลในเบื้องปลายจะเป็นความสุขอันนิรันดร์เสมือนการได้ดื่มน้ำอมฤต ความสุขอย่างนี้แลอรชุนจัดเป็นสุขอันประกอบด้วยสัตตวะ
                      ความสุขใดเกิดจากประสาทสัมผัสกระทบกับวัตถุและอารมณ์ที่น่าพอใจ เป็นความสุขที่ให้ความรื่นรมย์ในเบื้องต้นเหมือนได้อาบกินน้ำอมฤต ต่อไม่นานก็แปรเปลี่ยนเป็นทุกข์ประหนึ่งได้ดื่มกินยาพิษเพราะเป็นสุขที่ไม่ แน่นอน สุขชนิดนี้จัดเป็นสุขอันประกอบด้วยรชะ
                      ส่วนสุขใดเมื่อเกิดขึ้นแก่ใครแล้วทำให้คนผู้นั้นหลงลืมตัวเอง สุขชนิดนี้จัดเป็นสุขอันประกอบด้วยตมะ
                      สรรพสัตว์ไม่ว่าจะบนผืนโลกหรือสรวงสวรรค์ ไม่มีเลยที่จะปลอดพ้นไปจากการครอบงำของคุณะทั้งสาม อันได้แก่ สัตตวะ รชะ และตมะนี้!

                      อรชุน! คุณะนี้อีกนัยหนึ่งก็คือ ตัวกำหนดความแตกต่างของมนุษย์ การที่มนุษย์ที่เกิดมาต้องแบ่งแยกกันออกเป็นพราหมณ์บ้าง กษัตริย์บ้าง แพศย์บ้าง ศูทรบ้าง ก็เพราะคุณะกล่าวคือธรรมชาติพื้นฐานที่เป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตของพวกเขาไม่เหมือนกัน
                      พวกที่ได้เป็นพราหมณ์ก็เนื่องด้วยพื้นฐานชีวิตของคนเหล่านี้เป็นคนชอบความ สงบ มีความอดทน ควบคุมตนเองได้ นิสัยสุขุม ละเอียดอ่อน และรักการบำเพ็ญเพียร
                      พวกที่ได้เป็นกษัตริย์ก็เนื่องด้วยพื้นฐานชีวิตของคนเหล่านี้เป็นคนกล้าหาญ เข้มแข็งอดทน รักการรบราฆ่าฟัน และมีนิสัยชอบการเป็นผู้นำ
                      พวกที่เกิดเป็นแพศย์ก็มีพื้นฐานชีวิตชอบการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ และค้าขาย
                      ส่วนพวกที่เกิดในวรรณะศูทรก็มีพื้นฐานชีวิตชอบการบริการรับใช้ผู้อื่น

                      พื้นฐานชีวิตอันได้แก่คุณะย่อมจำแนกหน้าที่ของคนด้วยประการฉะนี้ ผู้ใดอุทิศตนให้แก่หน้าที่โดยไม่บกพร่อง ผู้นั้นย่อมประสบความสมบูรณ์แห่งชีวิตได้ ไม่ว่าเขาจะเกิดในวรรณะสูงหรือต่ำก็ตาม
                      เพราะปรมาตมันคือต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง เมื่อบุคคลบูชาปรมาตมันอันเป็นต้นกำเนิดของตนด้วยการปฏิบัติตามหน้าที่ของตัวโดยไม่ขาดตก เขาย่อมบรรลุความสมบูรณ์ของชีวิต
                      หน้าที่ของตนที่บุคคลปฏิบัติได้บริบูรณ์ไม่บกพร่อง ย่อมนำไปสู่บูรณภาพแห่งชีวิต เพราะผู้รู้จักหน้าที่ของตนย่อมไม่กระทำสิ่งที่ผิดพลาด

                      อรชุน! คนเรานั้นเมื่อเกิดมาก็มีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติเกิดตามมาด้วย หน้าที่นั้นบางคราวอาจก่อความยากลำบากก็ไม่พึงละทิ้ง อันการริเริ่มกระทำกิจทุกอย่างย่อมมีความยากลำบากเป็นธรรมดา อุปมาเหมือนเมื่อเริ่มก่อไฟย่อมมีควันกลุ้มรุมกระนั้น       
                      ผู้ใดไม่จมอยู่ในสิ่งเหนี่ยวดึงจิตใจให้หมกมุ่น เอาชนะตนเองได้และสามารถกำจัดความทะยานอยากให้สิ้นไปจากจิตใจ ผู้นั้นย่อมบรรลุถึงแดนสงบชั่วนิรันดร์       
                      อรชุน! จงฟัง! เราจะอธิบายให้ท่านฟังว่าเหตุใดผู้ที่บรรลุความสมบูรณ์แห่งชีวิตจึงได้ชื่อว่าบรรลุถึงพรหมภาวะด้วย
       
                      อรชุน! บุคคลใดเป็นผู้มีปัญญา มีความบริสุทธิ์ควบคุมความรู้สึกได้เมื่อกระทบกับอารมณ์ต่างๆ ไม่ยินดีหรือเสียใจเมื่อประสบความสมหวังหรือพลาดหวัง ชอบความสงบเงียบ ตั้งมั่นในโยคธรรม ละความยึดติดในตัวตนได้ และจิตใจสงบเยือกเย็น ผู้นั้นชื่อว่าบรรลุถึงพรหมภาวะ       
                      ผู้เข้าถึงพรหมภาวะแล้วย่อมมีใจผ่องใส เมื่อประสบความล้มเหลวในชีวิตก็ไม่เศร้าเสียใจ เขาย่อมไม่ปรารถนาความมั่งคั่งหรือชื่อเสียงเกียรติยศใดๆ จิตใจจะวางเป็นกลางเสมอในสรรพสิ่ง และคนเช่นนี้จะเป็นผู้ภักดีอย่างมั่นคงในเรา

       
                      ด้วยความภักดีนั้น เขาย่อมรู้ซึ้งถึงภาวะของเราทุกแง่ทุกมุม และอาศัยการรู้จักเรานั่นเอง เขาย่อมร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับเรา       
                      ผู้ที่เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับเราเมื่อกระทำกิจอันใดลงไป ย่อมจะบรรลุถึงความสำเร็จสมประสงค์ทุกประการ ทั้งนี้ก็ด้วยความกรุณาช่วยเหลือจากเรา ซึ่งพร้อมเสมอที่จะช่วยเหลือบุคคลเช่นนั้นให้ก้าวหน้าสู่สิ่งดีงาม อันมีอมตศานติสถานเป็นที่สุด       
                      เพราะฉะนั้น จงสลัดกรรมทั้งปวงไว้ที่เรา แล้วนับถือเอาเราเป็นสิ่งสูงสุดในชีวิตเถิดอรชุน!

                      เมื่อท่านน้อมจิตเข้ามาไว้ในเรา ท่านจักข้ามพ้นจากความทุกข์ทั้งมวล แต่ถ้าท่านถือดีไม่เชื่อฟังเราเพราะความจองหอง ท่านก็จักพบความวิบัติอย่างใหญ่หลวง!       
                      อรชุน! การที่ท่านคิดว่าจะไม่รบเพราะเห็นว่าฝ่ายข้าศึกล้วนแต่เป็นญาติพี่น้องตลอด จนคนรู้จักกันนั้นเป็นความคิดที่ผิดมหันต์       
                      เพราะไม่มีใครในโลกจะหลีกเลี่ยงจากการกระทำกรรมได้!

                      แม้ว่าท่านไม่ปรารถนาจะทำกรรม ความเป็นไปของชีวิตก็จะบังคับให้ท่านจะทำมันเอง ชีวิตทุกชีวิตบนผืนแผ่นดินล้วนแต่ถูกสร้างมา เพื่อให้กระทำกรรมทั้งสิ้น
       อรชุน! องค์อิศวรเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่กลางหทัยของสรรพสัตว์คือผู้ควบคุมให้สัตว์ทั้งหลายหมุนเหวี่ยงไปใน
                      ทุกชีวิตบนผืนแผ่นดินเปรียบได้ดังหุ่นยนต์ที่ถูกควบคุมให้เดินไปในทิศทางที่ องค์อิศวรทรงต้องการ ไม่มีผู้ใดอยู่นอกเหนือจากการควบคุมนั้น
                      ด้วยเหตุนี้แลอรชุน! สมควรที่ท่านจะพึงน้อมรับเอาองค์ปรมาตมันผู้สูงสุดนั้นเป็นที่พึ่ง แล้วท่านจักพบกับความสุขชั่วนิรันดร์

       
                      ชญาอันลึกลับยิ่งกว่าสิ่งลี้ลับใดๆ ในโลกเราได้แสดงแก่ท่านแล้ว จงไตร่ตรองถึงสิ่งที่เราได้บอกแก่ท่าน แล้วกระทำตามที่ท่านเห็นว่าเหมาะสมเถิด
                      จงฟังเราอีกครั้ง! เราจะบอกสิ่งลี้ลับอย่างยิ่งแก่ท่านอีกครั้ง เพราะท่านทำตัวให้เราพอใจดอกนะ เราจึงได้บอกสิ่งอันเป็นประโยชน์แก่ท่าน
                      จงน้อมใจมาที่เรา! จงภักดีต่อเรา! จงบูชาเรา!       
                      เมื่อท่านรับเอาเราเป็นที่พึ่งสูงสุดในชีวิตแล้ว ท่านจักได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับเรา

                      จงละทิ้งสิ่งที่ท่านเคยเคารพทั้งปวงเสีย แล้วหันมายึดเอาเราเป็นที่พึ่งแทนเถิด เราจะช่วยปลดเปลื้องตัวท่านออกจากบาปทุกอย่างที่ได้กระทำมา       
                      ที่เราชักชวนท่านเช่นนี้ก็ด้วยเห็นว่าท่านมีอุปนิสัยโน้มเอียงไปในทางที่ดี หากเป็นคนที่ไม่ใส่ใจต่อการบังคับตนเอง หรือเป็นคนว่ายากสอนยากแล้ว จะจะไม่ชวนให้เสียเวลาเลย
       
                      อนึ่ง บุคคลใดนอกจากจะศรัทธาในเราแล้ว ยังชักชวนคนอื่นให้ศรัทธาด้วย บุคคลนั้นนับว่าเข้าถึงเราแล้วโดยบริบูรณ์ทุกประการ

                      ในโลกนี้ไม่มีผู้ใดจะกระทำความดีได้ยิ่งไปกว่า ผู้ศรัทธาในเราแล้วชักชวนให้ ผู้อื่นศรัทธาด้วยนี้ คนเช่นนี้เป็นผู้ที่เราโปรดปรานที่สุด       
                      เรื่องที่เราสองคนสนทนากันมาตั้งแต่ต้นนี้ หากใครได้ยินได้ฟังจนบังเกิดความเข้าใจแจ่มแจ้ง เขาย่อมจะไม่รีรอเลยที่จะนับถือเอาเราเป็นสรณะ       
                      เป็นความจริงทีเดียวที่ใครก็ตามหากได้ฟังอนุศาสนธรรมของเราแล้วมีใจศรัทธา เชื่อมั่นน้อมนำเอาสิ่งที่เราสั่งสอนไปปฏิบัติ ผู้นั้นย่อมบรรลุถึงโมกษะความหลุดพ้น ก้าวเข้าสู่ศุภโลกอันเป็นบรมสุขสถานชั่วกาลนิรันดร
                      อรชุน! ท่านเล่า! ท่านได้ฟังอนุศาสนธรรมของเราแล้วมิใช่หรือ! บัดนี้ความสงสัยในใจของท่านยังมีอยู่หรือ!

                      อรชุนตอบว่า       
                      ข้าแต่องค์กฤษณะ! ข้าหายสงสัยแล้ว! เวลานี้จิตใจของข้าปลอดโปร่งขึ้นมาก! ข้าพร้อมที่จะกระทำตามคำสั่งของพระองค์



ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ตุลาคม 18, 2011, 12:33:53 am »



ภควัทคีตา
บทเพลงแห่งองค์ภควัน
สมภาร พรมทา แปล
และเรียบเรียง

บทที่สิบแปด 
                      อรชุน กล่าวว่า       
                      ข้าแต่องค์กฤษณะ! ข้าปรารถนาจะทราบแก่นแท้ของสันยาสธรรมและตยาคธรรมโดยละเอียด โปรดแสดงความหมายของโมกษธรรมทั้งสองประการนี้แก่ข้าเถิด
       
                      กฤษณะ ตรัสตอบว่า       
                      อรชุน! สันยาสะ ได้แก่การเลิกละโดยเด็ดขาด ซึ่งกรรมอันมีมูลเหตุมาจากความทะยานอยาก ส่วนตยาคะนั้นคือการสละผลแห่งกรรมทั้งหลายทิ้งโดยสิ้นเชิง ความที่เรากล่าวมานี้ปราชญ์และท่านผู้รู้ทั้งหลายต่างรับรองกัน       
                      ผู้รู้บางท่านก็ว่า “กรรมที่พึงสละทิ้งนั้นได้แก่กรรมอันให้โทษ”บางท่านก็กล่าวไว้ว่า “กรรมดีเช่นการประกอบยัญพิธี การให้ทานหรือการบำเพ็ญตบธรรม เป็นต้น หาใช่กรรมที่พึงเลิกละไม่ หากแต่เป็นกรรมที่พึงกระทำให้ยิ่งๆ ขึ้นไป”
       
                      อรชุน! จงฟัง! เราจะกล่าวถึงแก่นแท้ของตยาคธรรมให้ท่านฟัง!       
                      ตยาคธรรมนี้อาจจำแนกออกได้สามประการ คือ ตยาคธรรมของผู้ประกอบด้วยสัตตวภาวะหนึ่ง, ตยาคธรรมของผู้ประกอบด้วยรชภาวะหนึ่ง, และตยาคธรรมของผู้ประกอบด้วยตมภาวะอีกหนึ่ง       
                      อรชุน! คุณความดีเป็นต้นว่าการประกอบยัญกรรม การให้ทานหรือการบำเพ็ญตบะ มิใช่กรรมที่บุคคลพึงสละทิ้งเพราะการประกอบยัญพิธี การให้ทาน และการบำเพ็ญตบะนี้คือ คุณธรรมเครื่องชำระใจให้บริสุทธิ์สะอาด       
                      บุคคลพึงบำเพ็ญกรรมดีเหล่านี้ให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป โดยที่การกระทำกรรมนั้นเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่หวังผลตอบแทน
       
                      อนึ่งเล่าหน้าที่ที่ตนพึงปฏิบัติจะละทิ้งเสียก็ไม่ถูก ผู้ใดละทิ้งหน้าที่ของตน โดยนึกคิดไปว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นการปฏิบัติตยาคธรรมผู้นั้นชื่อว่าคิดผิด โดยแท้ ตยาคธรรมของเขาย่อมได้ชื่อว่าเป็นตยาคธรรมของผู้ประกอบด้วยตมภาวะ       
                      บุคคลใดละทิ้งหน้าที่ของตนด้วยรู้สึกว่าการปฏิบัติหน้าที่นั้นทำให้ตนลำบาก การละทิ้งกรรมกล่าวคือหน้าที่ของตนที่บุคคลนั้นกระทำลงไปจัดเป็นตยาคธรรมของ ผู้ประกอบด้วยรชภาวะ       
                      การสละกรรมอย่างนี้หาความดีอันจะส่งสนองเป็นผลมิได้เลย

       
                      อรชุน! ส่วนบุคคลใดปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างสม่ำเสมอไม่ขาดตกด้วยสำนึกว่าหน้าที่นั้น เป็นสิ่งที่บุคคลพึงปฏิบัติไปโดยไม่ต้องหวังผลตอบแทน การกระทำกรรมแต่ไม่ยึดมั่นในผลของกรรมของบุคคลนั้นจัดว่าเป็นตยาคธรรมของผู้ ประกอบด้วยสัตตวภาวะ       
                      ปราชญ์ผู้บำเพ็ญตยาคธรรมย่อมวางใจให้อยู่เหนือทั้งความดีและความชั่ว       
                      การกระทำกรรมแต่ไม่หวังผลตอบแทนนี้เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ยากยิ่งสำหรับคน ธรรมดาสามัญ ผู้ใดกระทำได้ผู้นั้นสมควรเรียกว่าผู้ประเสริฐยิ่ง คนเช่นนี้นับว่าเป็นตยาคีบุคคลอันหมายถึงผู้สละกรรมได้อย่างสิ้นเชิง
       
                      อรชุน! ผลแห่งกรรมนั้นจำแนกออกเป็นสามประเภท คือ ผลที่ส่งไปสู่คติที่ดีหนึ่ง, ผลที่ส่งไปสู่คติที่เลวหนึ่ง, และผลอันส่งไปสู่คติที่ดีและเลวคละปนกันอีกหนึ่ง      
                      ผู้กระทำกรรมโดยยึดมั่นในการกระทำนั้นเมื่อละจากโลกนี้ไปแล้วผลแห่งกรรมย่อม ส่งเขาไปสู่คติภพตามแรงหนุนส่งแห่งกรรมทั้งสามนั้น ส่วนผู้กระทำกรรมโดยไม่ยึดมั่นถือมั่น ผลแห่งกรรมทั้งสามประเภทนี้ย่อมเป็นอันโมฆะไม่มีอำนาจส่งสนองแก่เขา

       
                      อรชุน! การที่กรรมอันใดจะให้ผลนั้น กรรมนั้นๆ ต้องประกอบด้วยปัจจัยห้าประการคือ ที่ตั้งแห่งกรรมหนึ่ง, ผู้กระทำกรรมหนึ่ง, เครื่องมือในการกระทำกรรมหนึ่ง, ความพยายามในการกระทำกรรมหนึ่ง, และโอกาสในการกระทำกรรมนั้นอีกหนึ่ง* (ปัจจัย ทั้งห้านี้คือสิ่งกำหนดว่ากรรมที่กระทำลงไปนั้นจะให้ผลหรือเป็นโมฆะ ตัวอย่างเช่นการฆ่าคน คนที่ถูกฆ่าเป็น “ที่ตั้งของกรรม” คนฆ่าเป็น “ผู้กระทำกรรม” อาวุธที่ใช้ฆ่าเป็น “เครื่องมือในการกระทำกรรม”และช่วงเวลาอันอำนวยให้การฆ่าเป็นไปโดยไม่มี อุปสรรคจัดเป็น “โอกาสในการกระทำกรรม" เมื่อปัจจัยทั้งห้านี้สมบูรณ์การกระทำนี้ย่อมเป็นกรรมอันมีอำนาจในการให้ผล เต็มที่ แต่ถ้าปัจจัยอันใดอันหหนึ่งบกพร่องเช่นขาดเจตนา กรรมที่ทำย่อมเป็นโมฆะ ด้วยเหตุนี้กฤษณะจึงกล่าวแก่อรชุนว่า ผู้มีจิตหลุดพ้นจากการยึดมั่นถือมั่นในความดี-เลว เมื่อฆ่าคนผลกรรมจึงไม่แปดเปื้อนเพราะคนชั่วนั้นย่อมไม่มี “ความพยายามในการกระทำกรรม" -ผู้แปล)
       
                      กรรมที่บุคคลกระทำลงไปจะด้วยกายก็ดี, ด้วยวาจาก็ดี, หรือนึกคิดอยู่ในใจก็ดี กรรมนั้นๆ จะผิดหรือถูกล้วนแต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งห้านี้       
                      เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่กระทำกรรมลงไปแล้วนึกคิดเอาเองว่า กรรมทั้งหมดตนเองเท่านั้นเป็นผู้กระทำ ผู้นั้นชื่อว่าเห็นผิดเพราะนอกจากเขาซึ่งเป็นเพียงผู้กระทำกรรมแล้ว ยังไม่มีปัจจัยอีกสี่ประการหนุนส่งการกระทำนั้นอยู่       
                      สำหรับบุคคลผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน มีปัญญาหยั่งเห็นสรรพสิ่งตามความเป็นจริงของมัน มีใจอยู่เหนือความดีและความชั่ว คนเช่นนี้ถึงจะฆ่าคนทั้งโลกก็ไม่ชื่อว่าฆ่า ผลแห่งกรรมคือการฆ่าคนนั้นมิอาจหน่วงดึงเอาคนเช่นนี้ไปชดใช้กรรมได้เลย!

       
                      ความรู้, สิ่งที่ถูกรู้, และผู้รู้ สามอย่างนี้เป็นสิ่งส่งเสริมให้เกิดกรรม       
                      เครื่องมือ, การกระทำ, และผู้กระทำ สามสิ่งนี้เป็นสิ่งหนุนส่งให้เกิดกรรมเช่นกัน       
                      ความรู้, การกระทำ, และผู้กระทำ สามอย่างนี้แต่ละอย่างก็ยังแบ่งออกเป็นสามประเภทอีกตามลักษณะของคุณะสาม กล่าวคือสัตตวะ รชะ และตมะ

       
                      ความรู้ใดทำให้คนมองเห็นเอกสภาวะกล่าวคือปรมาตมัน อัน อมตะ ซึ่งแทรกอยู่ในสรรพภาวะ และทำให้คนมองเห็นปรมาตมันอันไม่อาจแบ่งแยกออกเป็นส่วนย่อยได้ ซึ่งแทรกอยู่ในสิ่งที่อาจแบ่งแยกได้ทั้งหลาย ความรู้นั้นย่อมประกอบด้วยสัตตวะ       
                      ความรู้ใดทำให้คนมองสรรพสิ่งแบบจำแนกแยกแยะเป็นพวกเป็นฝ่าย ความรู้นั้นย่อมประกอบด้วยรชะ       
                      ความรู้ใดทำให้คนมองสิ่งต่างๆ แค่เพียงผลไม่สอนให้มองลึกลงไปถึงเหตุอันส่งให้เกิดผลนั้นและสอนให้คนคับแคบ รู้อะไรดีเพียงแขนงเดียวก็เข้าใจว่าความรู้ทั้งหมดในโลกมีแค่ที่ตนรู้นั้น ความรู้ประเภทนี้ย่อมประกอบด้วยตมะ

       
                      กรรมใดที่บุคคลกระทำลงไปโดยไม่หวังผลตอบแทน เป็นกรรมที่ผู้กระทำได้กระทำลงไปด้วยความรู้สึกว่านั่นคือหน้าที่และเมื่อ กระทำแล้วก็มีใจปลอดโปร่งไม่กังวลว่าตนจะได้รับผลแห่งการกระทำนั้นหรือไม่ กรรมอย่างนี้จัดเป็นกรรมที่ประกอบด้วยสัตตวะ       
                      กรรมใดที่บุคคลกระทำลงไปตามแรงกระตุ้นของความทะยานอยากเป็นกรรมที่กระทำลงไป ด้วยความรู้สึกยึดมั่นในตัวตนและความเห็นแก่ตน กรรมเช่นนี้จัดเป็นกรรมที่ประกอบด้วยรชะ       
                      ส่วนกรรมใดที่บุคคลกระทำลงไปเพราะความเขลา โดยมิได้คำนึงถึงผลอันจะติดตามมาจากการกระทำนั้น หรือกรรมที่บุคคลกระทำลงไปโดยมิได้คำนึงถึงผลเสียหายตลอดจนอันตรายอันจะเกิด แก่ตนและผู้อื่น กรรมนั้นจัดเป็นกรรมที่ประกอบด้วยตมะ
       
                      ผู้ใดกระทำกรรมแล้วไม่ยึดมั่นในกรรมนั้น แม้จะประสบความล้มเหลวในชีวิตก็เพียรสู้กระทำความดีโดยไม่หวั่นไหว คนเช่นนี้จัดว่าเป็นผู้กระทำกรรมที่ประกอบด้วยสัตตวภาวะ       
                      ผู้ใดกระทำกรรมด้วยความรู้สึกยึดมั่น มีความละโมบในผลของการกระทำนั้น เมื่อสมหวังก็ดีใจ พลาดหวังก็ทุกข์ใจ บางครั้งก็เอาเปรียบผู้อื่นเพื่อให้การกระทำของตนสัมฤทธิ์ผล คนเช่นนี้นับว่าเป็นผู้กระทำกรรมที่ประกอบด้วยรชภาวะ       
                      ส่วนบุคคลใดกระทำกรรมแบบไม่จริงจัง ขาดความพากเพียรแต่ชอบโอ้อวดการกระทำของตน คนเช่นนี้จัดเป็นผู้กระทำกรรมที่ประกอบด้วยตมภาวะ

       
                      อรชุน! ต่อไปนี้ท่านจงฟังคำอธิบายเกี่ยวกับ พุทธิและธฤติ * (ธฤติ ได้แต่อาการของจิตใจที่ปักแน่นอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสังเกตเห็นได้ชัด -ผู้แปล)บ้าง ทั้งสองอย่างนี้ก็จำแนกออกเป็นสามประเภทตามลักษณะของคุณะทั้งสามเช่นกัน
       
                      พุทธิกล่าวคือความรู้อันใดสอนให้คนเข้าใจถึงเรื่องกรรมกับอกรรม สอนให้รู้ว่าสิ่งไหนควรกระทำสิ่งใดไม่พึงกระทำ สอนให้ประจักษ์ว่า อะไรควรกลัวอะไรไม่ควรกลัวและสอนให้คนจำแนกได้ว่าอะไรคือสิ่งหน่วงเหนี่ยว ชีวิตเอาไว้ในห้วงสังสารวัฏฏ์ อะไรคือสิ่งช่วยฉุดชีวิตออกจากห้วงแห่งการเวียนว่ายนั้น ความรู้ที่มีลักษณะดังกล่าวมานี้ จัดเป็นความรู้อันประกอบด้วยสัตตวะ       
                      ความรู้ใดสอนให้คนมีทรรศนะอันวิปริต เช่นมองเห็นธรรมเป็นอธรรม เห็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำว่าเป็นสิ่งพึงกระทำเป็นต้น ความรู้นั้นจัดเป็นความรู้อันประกอบด้วยรชะ       
                      ส่วนความรู้ใดเมื่อบุคคลรู้แล้วกลับกลายเป็นม่านมืดห่อหุ้มมิให้คนผู้นั้น มองเห็นสรรสิ่งตามความเป็นจริง ความรู้นั้นจัดเป็นความรู้อันประกอบด้วยตมะ

       
                      อรชุน! ธฤติกล่าวคือความตั้งมั่นอันใดเมื่อเกิดขึ้นแล้วเป็นสิ่งช่วยควบคุมจิตใจและ ความรู้สึกนึกคิดให้แน่วแน่ในโยคธรรม ความตั้งมั่นนั้นจัดเป็นความตั้งมั่นอันประกอบด้วยสัตตวะ       
                      ความตั้งมั่นใดเมื่อเกิดขึ้นแล้วทำให้คนหมกมุ่นในการงานหน้าที่และการแสวงหา โภคทรัพย์จนเกินไป ความตั้งมั่นนั้นจัดเป็นความตั้งมั่นอันประกอบด้วยรชะ       
                      ส่วนความตั้งมั่นใดเมื่อเกิดขึ้นแล้วทำให้คนจมอยู่กับความหดหู่ท้อแท้ ความตั้งมั่นนั้นจัดเป็นความตั้งมั่นอันประกอบด้วยตมะ
       
                      อรชุน! ต่อไปนี้เราจะกล่าวถึงเรื่องของสุขสามประการแก่ท่าน สุขทั้งสามนี้หากผู้ใดทำความเข้าใจได้แจ่มแจ้งแล้ว ผู้นั้นจักประสบความสิ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง



มีต่อค่ะ
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ตุลาคม 15, 2011, 04:40:33 pm »



ภควัทคีตา
บทเพลงแห่งองค์ภควัน
สมภาร พรมทา แปล
และเรียบเรียง

บทที่สิบเจ็ด 
                     อรชุนถามว่า     
                     คนบางคนมีศรัทธาแต่ประกอบยัญกรรมโดยมิได้ดำเนินไปตามครรลองที่ท่านผู้รู้กล่าวไว้     
                     ข้าแต่องค์กฤษณะ! คนประเภทนี้จะว่าพื้นฐานทางจิตใจของเขาประกอบด้วยธรรมชาติส่วนไหนในบรรดาธรรมชาติทั้งสามกล่าวคือ สัตตวะ รชะ และตมะ** [สัตตวะคือความดีและความบริสุทธิ์สะอาด รชะคือความกระหายอยากอันไม่รู้จักสิ้นสุด ส่วนตมะนั้นได้แก่ความลุ่มหลงมืดบอด ]
     
                     กฤษณะตอบว่า     
                     อรชุน! ศรัทธาของคนนั้นพอจำแนกออกได้ตามสภาพของมันเป็นสามจำพวกคือ ศรัทธาอันประกอบด้วยสัตตวะหนึ่ง, ศรัทธาอันประกอบด้วยรชะหนึ่ง, และศรัทธาอันประกอบด้วยตมะอีกหนึ่ง     
                     จงฟัง! เราจะกล่าวถึงรายละเอียดแห่งศรัทธาทั้งสามประเภทนี้แก่ท่าน
                   
                     ศรัทธากล่าวคือความเชื่อนี้ย่อมโน้มเอียงไปตามธรรมชาติพื้นฐานของคนผู้นั้น นั่นคือมนุษย์ย่อมเชื่อถือสิ่งต่างๆ ตามพื้นฐานทางจิตใจ ใครเชื่ออย่างไร ก็จะปฏิบัติตัวไปตามที่เชื่อนั้น     
                     ผู้มีศรัทธาอันเจือด้วยสัตตวะ ย่อมบูชาเทพเจ้าที่ตนเชื่อว่าเป็นตัวแทนแห่งความดีงาน     
                     ผู้มีศรัทธาเจือด้วยรชะ ย่อมบูชายักษ์และรากษส* (รากษสได้แก่ยักษ์จำพวกหนึ่งอาศัยอยู่ในน้ำทำนองพวกผีเสื้อสมุทรในวรรณคดีไทย -ผู้แปล)      
                     ส่วนผู้มีศรัทธาอันเจือด้วยตมะ ย่อมบูชาเหล่าเปรตและภูตผีปีศาจทั้งหลาย
     
                     ผู้บำเพ็ญตบธรรมอย่างเคร่งครัด หากแต่ภายในใจยังเต็มไปด้วยความถือตัว เย่อหยิ่ง และใจนั้นก็ยังชุ่มอยู่ด้วยกามราคะ การบำเพ็ญตบะของเขาชื่อว่ามิได้ดำเนินไปตามครรลองของโบราณธรรม     
                     คนเช่นนั้นย่อมไม่มีปัญญาหยั่งเห็นเราผู้สถิตอยู่ในร่างของตน และเพราะความไร้ปัญญานั้นเขาย่อมจมอยู่ในอสูรภาวะชั่วกาลนาน     
                     อรชุน! อาหารหนึ่ง, การประกอบยัญกรรมหนึ่ง, การบำเพ็ญตบะหนึ่ง, และการให้ทานอีกหนึ่ง, สิ่งสี่ประการนี้ ก็อาจจำแนกให้เห็นอุปนิสัยของคนได้เช่นกัน
     
                     คนที่มีพื้นฐานทางจิตใจโน้มเอียงไปในสัตตวะ ย่อมนิยมบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ ถูกอนามัย และปรุงรสด้วยความพิถีพิถัน ไม่จืดหรือจัดจนเกินไป     
                     คนที่มีพื้นฐานทางจิตใจโน้มเอียงไปในรชะ ย่อมนิยมบริโภคอาหารที่มีรสจัด และไม่ค่อยคำนึงว่าอาหารนั้นจะมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายหรือไม่     
                     ส่วนคนที่มีพื้นฐานทางจิตใจโน้มเอียงไปในตมะ ย่อมนิยมบริโภคอาหารหมักดองและของมึนเมา     
                     คนที่มีพื้นฐานทางจิตใจโน้มเอียงไปในสัตตวะ ย่อมประกอบยัญกรรมโดยไม่หวังผลตอบแทน หากแต่กระทำลงไปด้วยถือว่านั่นคือหน้าที่ที่ตนพึงปฏิบัติ     
                     คนที่มีพื้นฐานทางจิตใจโน้มเอียงไปในรชะย่อมประกอบยัญกรรมเพื่อเอาหน้า     
                     ส่วนคนที่มีพื้นฐานทางจิตใจโน้มเอียงไปในตมะ ย่อมประกอบยัญกรรมเป็นการเฉพาะตน ไม่ชักชวนเพื่อนบ้าน ไม่มีของแจกจ่างให้ทานในพิธี
     
                     การบูชาเทพเจ้า สมณะ พราหมณ์ ครู และปราชญ์หนึ่ง, ความเป็นผู้มีกายกรรมอันสะอาดหนึ่ง, ความซื่อตรงหนึ่ง, การควบคุมตนเองให้อยู่ภายในกรอบแห่งวัตรหนึ่ง, และการไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นอีกหนึ่ง, เหล่านี้คือตบธรรมที่แสดงออกทางกาย     
                     การพูดวาจาที่ไม่ก่อความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นหนึ่ง, พูดคำสัตย์หนึ่ง, พูดคำที่ไพเราะอ่อนหวานหนึ่ง, และพูดคำอันประกอบด้วยประโยชน์อีกหนึ่ง, เหล่านี้คือตบธรรมที่แสดงออกทางวาจา
     
                     การทำใจให้ผ่องใสหนึ่ง, ความเป็นผู้มีจิตใจอ่อนโยนหนึ่ง, ความเป็นผู้มีใจสงบเยือกเย็นหนึ่ง, และการข่มใจให้เป็นปกติเมื่อกระทบกับอารมณ์อีกหนึ่ง, เหล่านี้คือตบธรรมที่มีอยู่ในใจ     
                     บุคคลผู้มีพื้นฐานทางใจโน้มเอียงไปสัตตวะ ย่อมบำเพ็ญตบธรรมทั้งสามนี้โดยไม่หวังผลตอบแทน หากแต่ปฏิบัติด้วยความศรัทธาว่านั่นคือข้อปฏิบัติที่ดีที่ชอบ     
                     บุคคลผู้มีพื้นฐานทางใจโน้มเอียงไปในรชะย่อมบำเพ็ญตบธรรมทั้งสามนี้ด้วยหวังผลว่าจะมีคนยกย่อง     
                     ส่วนบุคคลผู้มีพื้นฐานทางใจโน้มเอียงไปในตมะ ย่อมบำเพ็ญตบธรรมทั้งสามนี้ด้วยความรู้สึกอันงมงาย จนการบำเพ็ญเพียรนั้นกลายมาเป็นสิ่งทรมานตนให้เดือดร้อน
     
                     บุคคลผู้มีพื้นฐานทางใจโน้มเอียงไปในสัตตวะ ย่อมให้ทานโดยไม่หวังผลตอบแทน หากแต่กระทำไปด้วยเห็นว่าการเจือจานเช่นนั้นเป็นหน้าที่ที่สาธุชนพึงกระทำ อนึ่งการให้นั้นก็ให้อย่างถูกกาล ถูกสถานที่ และถูกบุคคล
     
                     บุคคลผู้มีพื้นฐานทางใจโน้มเอียงไปในรชะ ย่อมให้ทานด้วยหวังว่าการให้นั้นจะกลับคืนสนองตนในวันข้างหน้า หรือบางครั้งให้แล้วเกิดเสียดายขึ้นในภายหลัง     
                     ส่วนบุคคลผู้มีพื้นฐานทางใจโน้มเอียงไปในตมะ ย่อมให้ทานโดยไม่พิจารณาว่าทานนั้นเหมาะแก่กาล เหมาะแก่สถานที่ และเหมาะแก่บุคคลหรือไม่ สักแต่ว่าให้เท่านั้น
     
                     อรชุน! จงฟังคำพูดสามคำต่อไปนี้!     
                     “โอม! ตัต! สัต!”     
                     ทั้งสามคำนี้คือสัญลักษณ์ของพรหม

     
                     เพราะฉะนั้นผู้ใดก็ตามที่ศรัทธาในพรหม, ในเวลาประกอบยัญพิธีก็ดีให้ทานก็ดีหรือบำเพ็ญตบะก็ดี ผู้นั้นพึงบริกรรมวาจาว่า “โอม!”อยู่ตลอดเวลาเถิด     
                     และขณะที่ประกอบยัญพิธี ให้ทาน หรือบำเพ็ญตบะนั้น หากผู้ใดปรารถนาความหลุดพ้น ผู้นั้นพึงเปล่งวาจาว่า “ตัต!”เถิด     
                     ส่วนคำว่า “สัต!”นั้น หมายถึง ความจริง ความดี และความถูกต้อง     
                     การประกอบยัญกรรม ให้ทาน และบำเพ็ญตบะ ด้วยใจอันบริสุทธิ์ล้วนแล้วแต่เป็น “สัต”ทั้งนั้น
     
                     ส่วนการประกอบยัญกรรม ให้ทาน และบำเพ็ญตบะด้วยใจอันเคลือบแฝงด้วยความไม่บริสุทธิ์ การกระทำนั้นแม้จะดูเป็นความดีในภายนอก แต่ภายในล้วนแล้วแต่เป็น “อสัต”ทั้งสิ้น


ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ตุลาคม 13, 2011, 10:11:19 pm »



ภควัทคีตา
บทเพลงแห่งองค์ภควัน
สมภาร พรมทา แปล
และเรียบเรียง

บทที่สิบหก 
                    กฤษณะตรัสว่า   
                    อรชุน! คุณธรรมต่อไปนี้หากผู้ใดมีเป็นสมบัติประจำกาย ผู้นั้นย่อมชื่อว่ามีเทวภาวะในตัว   
                    คุณธรรมดังกล่าวคือ การรู้จักให้อภัยหนึ่ง, ความเป็นผู้มีใจใสสะอาดหนึ่ง, ความเป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในปัญญาและสมาธิหนึ่ง, ความเป็นผู้รู้จักเจือจานแก่เพื่อนร่วมโลกหนึ่ง, ความเป็นผู้รู้จักบังคับอารมณ์และรู้จักควบคุมประสาทสัมผัสหนึ่ง, การประกอบยัญกรรมหนึ่ง, การสาธยายมนตร์หนึ่ง, การบำเพ็ญตบะธรรมหนึ่ง, ความซื่อสัตย์หนึ่ง, อหิงสธรรมหนึ่ง, ความเป็นผู้รู้แจ้งสัจธรรมหนึ่ง, ความเป็นผู้รู้จักระงับความโกรธหนึ่ง, การเสียสละเพื่อผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนหนึ่ง, ความเป็นผู้มีใจสงบเยือกเย็นหนึ่ง, ความเป็นผู้งดเด็ดขาดจากการสร้างความร้าวฉานแตกแยกแก่คนอื่นหนึ่ง, ความเป็นผู้มีเมตตาในสัตว์ทั้งปวงเสมอกันหมดสิ้นหนึ่ง, ความสุภาพอ่อนโยนหนึ่ง, ความละอายต่อการกระทำความชั่วหนึ่ง, ความเป็นคนเสมอต้นเสมอปลายไม่กลับกลอกตลบตะแลงหนึ่ง, ความอดทนหนึ่ง, ความไม่ริษยาผู้ที่ได้ดีกว่าตัวหนึ่ง, และความถ่อมตนอีกหนึ่ง
   
                    ส่วนโทษธรรมต่อไปนี้คือ ความเป็นคนหัวดื้อหนึ่ง, ความอวดดีหนึ่ง, ความทะนงตนหนึ่ง, ความเป็นผู้ฉุนเฉียวอยู่ตลอดเวลาหนึ่ง, ความหยาบคายหนึ่ง, และความหลงตนว่าฉลาดทั้งๆ ที่เป็นคนโง่อีกหนึ่ง, สิ่งเหล่านี้หากใครมีอยู่ในตัวผู้นั้นชื่อว่ามีอสูรภาวะในตน   
                    ในจำนวนภาวะทั้งสองประการนี้ เทวภาวะย่อมชักนำบุคคลไปสู่ความหลุดพ้น ส่วนอสูรภาวะย่อมชักนำบุคคลไปสู่การติดอยู่ในห้วงแห่งสังสารวัฏฏ์
   
                    อรชุน! เทวภาวะเราได้กล่าวแก่ท่านค่อนข้างละเอียดแล้ว ต่อไปนี้เชิญท่านฟังเรื่องราวของอสูรภาวะเถิด   
                    อรชุน! คนที่มีอสูรภาวะอยู่ในตัวย่อมไม่เชื่อถือกฎแห่งกรรม ไม่เชื่อว่าการหลุดพ้นจากห้วงแห่งกรรมเป็นสิ่งที่เกิดมีได้ด้วยความเพียรพยายามของมนุษย์ พวกเขาไม่รู้จักความบริสุทธิ์ ไม่รู้จักปฏิบัติตนให้ดีงามทั้งด้วยกายและวาจา สัตยธรรมจะหาไม่พบในหมู่ชนเช่นนั้น   
                    คนพวกนี้จะพูดเสมอว่า โลกนี้ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร! พระเจ้าไม่มี! มนุษย์และสัตวเกิดมาจากการร่วมประเวณีกันเท่านั้น!
                 
                    คนเหล่านี้นับว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิกชนโดยแท้ เป็นพวกที่ไม่มีประโยชน์อันใดแก่โลก เกิดมาก็เพื่อทำลายความสุขสงบของแผ่นดินเท่านั้น!   
                    พวกเขาไม่รู้จักอิ่มในกาม นิสัยตลบตะแลง หัวดื้ออวดดี ลุ่มหลงอยู่ด้วยโมหะ มีความเห็นอันวิปริต และเกลือกกลั้วอยู่ในกรรมอันสกปรก   
                    เพราะความหมกมุ่นในความคิดอันวิปริตนั้น คนพวกนี้จึงเพียรพยายามอย่างเต็มที่ในการเสาะหากามอันไม่มีที่สิ้นสุดมาเสพ เมื่อเสพจนเบื่อแล้วก็ผละหากามอย่างใหม่ที่ละเอียดอ่อนยิ่งๆ ขึ้นไปเข้าทดแทนด้วยหลงคิดว่ากามเท่านั้นคือความสุขสุดยอดของชีวิต
   
                    เมื่อจิตใจถูกบ่วงคือความกระหายอยากรัดรึงเช่นนั้น เขาย่อมพยายามทุกวิถีทางที่จะสะสมทรัพย์สำหรับเอาไว้ซื้อกามสุขโดยไม่กระดากอายว่าการกอบโกยนั้นจะเป็นความอยุติธรรมอย่างไร   
                    “กูได้สมใจหวังแล้วในวันนี้ อีกไม่นานสิ่งที่กูคาดหวังว่าจะได้ก็คงมาถึง บัดนี้คู่แข่งก็ถูกกูกำจัดไปมากแล้ว ยังเหลืออีกไม่กี่คนที่กูจะต้องโค่นล้มมันลงให้ได้ คราวนี้ล่ะที่กูจะได้เป็นใหญ่มีอำนาจเหนือผู้คน กูจะมีความสุข มีทรัพย์จับจ่ายอย่างฟุ่มเฟือย”   
                    นี่คือความนึกคิดอันสกปรกที่ถูกชักนำไปด้วยอำนาจแห่งโมหะและความมืดบอดแห่งปัญญา
   
                    เมื่อบุคคลมีใจวุ่นวายเพราะถูกโมหะเข้าครอบงำเสียแล้ว ชีวิตของเขาย่อมจมหมกอยู่กับการเสพสำราญกามสุข และนั่นชีวิตทั้งชีวิตของเขาก็ย่อมเสมือนหนึ่งดิ่งลงแล้วสู่ห้วงนรกอัน โสโครก!   
                    อรชุน! สำหรับคนที่จิตใจเต็มไปด้วยอสูรภาวะนั้น ถึงจะแสร้งทำความดีเช่นให้ทานหรือประกอบยัญกรรม ความดีนั้นๆ ก็สักแต่ว่าถูกกระทำไปในนามเท่านั้น หาผลอันใดมิได้!   
                    ในสังสารวัฏฏ์นี้ มันผู้ใดหลงมัวเมาในอำนาจ! เกิดมาเพื่อกอบโกยความสุขใส่ตน โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของเพื่อนร่วมโลก ! ดูแคลนเราซึ่งเป็นภาวะสูงสุดที่สถิตอยู่ในสรรพสิ่งรวมทั้งตัวมันเองด้วย! มันผู้นั้นจะถูกเราเหวี่ยงลงไปสู่อสูรกำเนิดให้เสวยผลกรรมอันเจ็บแสบชั่วกัป ชั่วกัลป์!

   
                    อรชุน! ใครก็ตามที่หลงผิดดังที่เรากล่าวมา ผู้นั้นย่อมเวียนว่ายอยู่ในอสูรกำเนิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่มีโอกาสได้เข้าถึงเรา มีแต่จะตกต่ำลงเรื่อยไป   
                    อรชุน! ประตูนรกนั้นมีอยู่สามประการคือ กามะ อันได้แก่ความกระหายอยากในทางที่ผิดหนึ่ง, โกรธะ อันได้แก่ความขึ้งเคียดเมื่อไม่ได้สิ่งที่ตนกระหายอยากนั้นหนึ่ง, และโลภะอันได้แก่ความเพียรพยายามเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนยังไม่ได้นั้นอีกหนึ่ง , ประตูทั้งสามนี้ผู้มีปัญญาพึงละเสีย   
                    ผู้ใดก้าวพ้นจากประตูสู่ความมืดมนทั้งสามนี้แล้วเพียรพยายามประกอบกรรมดีงามอยู่เสมอ ผู้นั้นย่อมบรรลุถึงบรมคติกล่าวคือปรมาตมันในที่สุด
   
                    ส่วนผู้ใดปล่อยใจและกายไปตามความกระหายอยากที่ผิดๆ ไม่ใส่ใจถึงครรลองแห่งความถูกต้องที่ท่านผู้รู้กล่าวไว้ ผู้นั้นย่อมไม่อาจบรรลุถึงความสมบูรณ์แห่งชีวิตและความสุขตลอดจนบรมคติดังกล่าวมาแล้วนั้น
                 
                    เพราะเหตุนี้แลอรชุน! ท่านพึงไตร่ตรองให้แจ้งว่าสิ่งไหนควรกระทำ สิ่งใดไม่พึงกระทำ โดยถือเอาครรลองที่ท่านผู้รู้ในอดีตวางไว้เป็นเกณฑ์ตัดสิน แล้วเร่งประกอบกรรมดีเถิด!


ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ตุลาคม 13, 2011, 11:40:08 am »





ภควัทคีตา
บทเพลงแห่งองค์ภควัน
สมภาร พรมทา แปล
และเรียบเรียง

บทที่สิบห้า 
                   กฤษณะตรัสสืบไปว่า   
                   อรชุน! มีเรื่องเล่ากันมาว่าต้นไม้ชนิดหนึ่งชื่ออัศวัตถะ เป็นต้นไม้อมตะไม่รู้จักแก่และตาย ต้นอัศวัตถะนี้มีรากอยู่บนต้น ส่วนใบและกิ่งก้านนั้นอยู่เบื้องล่างของลำต้น   
                   ใบของต้นอัศวัตถะเรียกกันว่าพระเวท ผู้ใดรู้จักต้นไม้ชนิดนี้ ผู้นั้นย่อมรู้จักพระเวท   
                   กิ่งของต้นไม้นั้นแผ่ไปทั้งเบื้องล่างและเบื้องบน อาศัยคุณะทั้งสามคือสัตตวะ รชะ และตมะเป็นน้ำหล่อเลี้ยง มีวิสัยกล่าวคืออารมณ์เป็นช่อดอกและผล ส่วนเบื้องล่างนั้นเล่า รากของอัศวัตถพฤกษ์นั้นประกอบขึ้นจากกรรม แผ่เลื้อยไปในมนุษย์โลกตลอดสิ้นทุกถิ่นที่
   
                   ไม่มีใครในโลกนี้สามารถมองเห็นต้นไม้นี้ ยอด โคน ตลอดจนสถานที่ตั้งของมันก็ไม่ปรากฏ   
                   ต้นไม้นี้จะทำลายให้โค่นลงได้ต้องเอาอาวุธคือ ความไม่ยึดมั่นถือมั่น เท่านั้นเข้าตัด
   
                   ผู้หวังประสบชีวิตนิรันดร พึงทำลายต้นไม้นี้เสียด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่นใน สรรพสิ่ง แล้วก้าวไปข้างหน้าสู่ อมตมรรคา ที่ใครได้เดินไปแล้วไม่ต้องหวนกลับมาเวียน ว่ายในห้วงทุกข์อีก


                   ผู้ใดปราศจากความถือตัวและความลุ่มหลง สามารถเอาชนะความยึดมั่นถือมั่นได้อย่างเด็ดขาด มีจิตตั้งมั่นไม่แคลนคลอนในอาตมัน มีใจหลุดพ้นจากความกระหายอยากอันไม่สิ้นสุดและมีชีวิตเป็นอิสระจากความยึดติดในสภาวธรรม อันเป็นคู่เช่นสุข-ทุกข์, ผิดหวัง-สมหวัง เป็นต้น   
                   คนเช่นนี้ย่อมบรรลุถึง
ทิพยสถานอันเป็นนิรันดร

   
                   ทิพยสถานนั้น ดวงตะวัน ดวงเดือน ตลอดจนประกายเพลิงอื่นๆ มิอาจส่องไปถึง ที่แห่งนั้นคือบรมศานติสถานของเราเป็นสถานที่ที่ใครได้ไปแล้วจะไม่มีวันกลับมา เวียนว่ายในห้วงแห่งสังสารวัฏฏ์อีก   
                   อรชุน! มีธรรมชาติอยู่อย่างหนึ่งเรียกว่าชีวภูต ชีวภูตนี้เป็นภาคหนึ่งของเรา เมื่อชีวภูตเข้าสิงสู่ร่างกายมนุษย์ ชีวภูตนี้จะทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมอินทรีย์ทั้งหก
คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ   
                   เมื่อชีวภูตลอยล่องออกจากร่าง ชีวภูตย่อมพาเอาอินทรีย์เหล่านี้ไปด้วย อุปมาดังลมพัดพาเอากลิ่นไปฉะนั้น* (ตัวอย่างยืนยันความเชื่อนี้จะเห็นได้จากเวลาที่คนตาย ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจของเขาจะหมดความหมายทันที ไม่อาจใช้งานได้ดังแต่ก่อนเพราะไม่มีชีวภูตควบคุมการทำงาน ชาวฮินดูจึงถือว่าเมื่อชีวภูตลอยออกจากร่าง ชีวภูตนั้นได้พาเอาอินทรีย์ทั้งหกไปด้วย -ผู้แปล)*
   
                   เมื่อยังสิงสถิตอยู่ในร่างตราบใด ชีวภูตก็จะยังใช้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เป็นสื่อรับรู้อารมณ์อยู่ตราบนั้น   
                   ผู้ด้อยปัญญาย่อมมองไม่เห็นชีวภูตอันอยู่เบื้องหลังการรับรู้อารมณ์และการเคลื่อนไหวของร่างกายนี้ได้ ผู้มีดวงตาคือปัญญาเท่านั้นจึงจะหยั่งเห็นความลี้ลับแห่งชีวภูตนี้
   
                    ชีวภูตนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอาตมัน
   
                   ผู้มีใจตั้งมั่นในโยคธรรมย่อมมองเห็นอาตมันนี้ได้ ส่วนผู้มีใจฟุ้งซ่านขาดความแน่วแน่เด็ดขาด ถึงเพียรปรารถนาจะเห็นอย่างไร ก็ไม่อาจพบพานอาตมันได้เลย   
                   รังสีจัดจ้าแห่งดวงตะวันที่แผดแผ่ลงมายังโลกนี้ก็ดี, รัศมีนวลอ่อนแห่งดวงเดือนอันทอทาบลงสู่แผ่นปฐพีนี้ก็ดี, ประกายเพลิงอันเร่าร้อนทั้งมวลในโลกนี้ก็ดี, ความแผดร้อนอันแฝงอยู่ในสิ่งดังที่ว่ามานี้ จงทราบเอาไว้เถิดอรชุนว่านั่นคืออานุภาพของเรา
   
                   อรชุน! เราคือธาตุอาหารที่แทรกอยู่ในดินคอยหล่อเลี้ยงชีวิตแห่งพืชพันธุ์ทั่วทั้งปฐพีให้ตกดอกออกผลเลี้ยงดูโลก   
                   เราคือความอบอุ่นในร่างมนุษย์และสัตว์ และเรานี่เองที่เป็นความร้อนอันเผาผลาญอาหารที่มนุษย์และสัตว์กินลงไปให้ ย่อย   
                   เราแทรกอยู่ในลมหายใจเข้า-ออกของมนุษย์และสัตว์ทุกชนิด   
                   เราสถิตอยู่ในหัวใจของสรรพสัตว์ เราเป็นสติเป็นปัญญาของสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น และการที่มนุษย์หรือสัตว์มีสติปัญญาแตกต่างกันนั้นก็เป็นผลจากการกำหนดของเรานี่เอง

   
                   อรชุน! ในโลกนี้มีสภาวธรรมอยู่สองประเภท ประเภทที่หนึ่งเรียกว่ากษรธรรมหมายถึงสิ่งอันแปรเปลี่ยนสิ้นสลายไปได้ ประเภทที่สองเรียกว่าอักษรธรรมหมายถึงสิ่งอันยั่งยืนเป็นอมตะไม่รู้จักแปรผัน สูญสลาย   
                   สิ่งที่เกิดขึ้นมาเพราะมีปัจจัยหนุนส่งทุกอย่างเป็นกษรธรรม ส่วนสิ่งใดเกิดขึ้นโดยปราศจากปัจจัยปั้นแต่ง สิ่งนั้นเป็นอักษรธรรม
   
                   แต่ก็ยังมีสภาวะธรรมอยู่อีกอย่างหนึ่งที่อยู่เหนือสภาวธรรมสองประเภทนี้ สิ่งนี้เรียกว่าปรมาตมัน   
                   อรชุน! เราคือปรมาตมัน! เราคือผู้สูงสุดเหนือสรรพสิ่งในจักรวาล!   
                   ผู้ใดทราบความจริงอันนี้ ผู้นั้นชื่อว่าหยั่งทราบแล้วซึ่งสรรพสิ่งในโลก
   
                   อรชุน! ความลี้ลับแห่งปรมาตมันเราได้บอกแก่ท่านจนจบสิ้นกระแสความแล้ว ทราบไว้เถิดอรชุนว่าใครก็ตามที่รู้แจ้งรหัสยนัยที่กล่าวมานี้ ผู้นั้นชื่อว่ากระทำกิจแห่งความเป็นคนได้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว





ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ตุลาคม 13, 2011, 07:13:44 am »



ภควัทคีตา
บทเพลงแห่งองค์ภควัน
สมภาร พรมทา แปล
และเรียบเรียง

บทที่สิบสี่
                    กฤษณะตรัสว่า   
                    เราจักกล่าวซ้ำถึงความรู้แจ้งอันประเสริฐกว่าความรู้แจ้งทั้งปวงแก่ท่านอีกครั้ง ความรู้แจ้งอันนี้นี่เองที่ส่งผลให้บรรดาเหล่ามุนี ที่ลุถึงประจักษ์แจ้ง ข้ามพ้นจากห้วงสังสารวัฏฏ์เข้าสู่บรมศานติชั่วนิรันดร์   
                    ผู้ใดรู้แจ้งชญานอันประเสริฐที่เราจะกล่าวต่อไปนี้ ผู้นั้นย่อมกลายเป็นหนึ่งเดียวกับเรา เขาจะไม่เกิดอีกเมื่อมีการสร้างโลกและจักรวาลขึ้นใหม่ในต้นกัลป์ และจะไม่พินาศเมื่อมีการล้างโลกและจักรวาลให้ประลัยในคราวจะสิ้นกัลป์
   
                    อรชุน! มหาพรหมคือต้นกำเนิดของโลกและจักรวาล อนึ่งมหาพรหมนั้นที่แท้ก็คือครรภสถานที่เราได้หยอดเมล็ดพันธุ์ลงไว้สำหรับ ให้เป็นแดนกำเนิดของสรรพสิ่ง
   
                    สรรพสัตว์ที่ถือกำเนิดในครรภ์ทั้งปวงล้วนแล้วแต่มีมหาพรหมเป็นครรภ์รองรับ โดยมีเราเป็นบิดาผู้ประทานเชื้อพันธุ์เข้าผสม* (หมายถึงความว่าสัตว์ทุกชนิดแม้จะเกิดจากครรภ์มารดาตนเอง แต่ก็ต้องได้รับการปกป้องรักษาจากมหาพรหม(ประกฤติ) อันเป็นเสมือนครรภ์หุ้มเลี้ยงสรรรพชีวิต ความเชื่อนี้เป็นคติของชาวฮินดูซึ่งถือกันว่าทุกชีวิตจะก่อเกิดมาก็ต่อเมื่อ เชื้อพันธุ์ซึ่งเรียกกันในภาษาสันสกฤตว่า พีชะ ได้เข้าผสมกับไข่ในมดลูก(มดลูกนี้เรียกกันในภาษาสันสกฤตว่าโยนี) มหาพรหมหรือประกฤติ ชาวฮินดูถือว่าเป็นมดลูกหรือครรภ์ของโลกและจักรวาล เมื่อปรมาตมันหรือพรหมประทานเชื้อ(พีชะ) ลงผสมในครรภสถานนแห่งมหาพรหมนั้น สรรพชีวิตจึงก่อเกิด พรหมหรือปรมาตมันจึงเป็นเสมือนบิดาของสรรพสิ่ง -ผู้แปล)
   
                    อรชุน! ธรรมชาติสามประการต่อไปนี้คือ สัตตวะหนึ่ง, รชะหนึ่ง, และตมะอีกหนึ่ง เป็นธรรมชาติตัวคนเรามาตั้งแต่เกิด   
                    สัตตวะคือความดีและความบริสุทธิ์สะอาด   
                    รชะคือความกระหายอยากอันไม่รู้จักสิ้นสุด   
                    ส่วนตมะนั้นได้แก่ความลุ่มหลงมืดบอด   
                    สัตตวะย่อมส่งผลให้เกิดความสุข รชะย่อมส่งผลให้กระทำกรรมตามความกระหายอยากนั้น ส่วนตมะย่อมชักนำให้เกิดความมืดมนและประมาท
   
                    อรชุน! ในบรรดาธรรมชาติทั้งสามประการนี้ บางครั้งสัตตวะก็มีอำนาจเหนือรชะกับตมะ บางคราวรชะก็มีอำนาจเหนือสัตตวะกับตมะ บางขณะตมะก็อาจมีอำนาจเหนือสัตตวะกับรชะ สุดแท้แต่ว่าช่วงเวลาใดธรรมชาติส่วนไหนจะมีพลังมากกว่าส่วนอื่นๆ   
                    เมื่อใดปรากฏความรู้แจ้งขึ้นในทางเข้าแห่งประสาทสัมผัสทั้งห้า คือ ตา หู จมูก ลิ้น และกาย เมื่อนั้นพึงทราบเถิดว่าสัตตวะได้ปรากฏแล้ว   
                    อรชุน! เมื่อใดที่รชะปรากฏขึ้น เมื่อนั้นความโลภ ความกระวนกระวาย และความกระหายอยาก อันจะชักนำไปสู่การกระทำกรรมย่อมปรากฏตามมา
   
                    และเมื่อใดที่ตมะปรากฏขึ้น เมื่อนั้นความมืดมน ความท้อแท้ ความเลินเล่อ และความมัวเมาย่อมปรากฏตามมาเช่นกัน
   
                    ผู้ใดร่างแตกดับไปในขณะที่สัตตวะเจริญขึ้นในดวงจิต ผู้นั้นย่อมจะไปสู่วิสุทธิสถานอันเป็นบรมสุข   
                    ผู้ใดร่างแตกดับขณะจิตถูกรชะหุ้มห่ออยู่ ผู้นั้นย่อมไปสู่คติภพตามผลแห่งกรรมที่ตนเองกระทำลงไปด้วยอำนาจแห่งรชะนั้น
   
                    ส่วนบุคคลใดตายไปในขณะจิตจมดิ่งลงสู่ห้วงแห่งตมะ บุคคลนั้นย่อมไปสู่ภพภูมิที่มืดมน   
                    สัตตวะย่อมอำนวยผลเป็นความดี ความบริสุทธิ์และความสุข   
                    รชะย่อมอำนวยผลเป็นความทุกข์ร้อนเจ็บปวด   
                    ส่วนตมะย่อมอำนายผลเป็นความมืดมนลุ่มหลง

   
                    ผู้ดำรงอยู่ในสัตตวะ ย่อมมีชีวิตที่รุ่งโรจน์สูงส่ง ผู้ดำรงอยู่ในรชะย่อมมีชีวิตปานกลางไม่สูงไม่ต่ำ ส่วนผู้ดำรงอยู่ในตมะชีวิตของเขาย่อมตกต่ำมืดมน   
                    บุคคล ใดหยั่งเห็นว่าธรรมชาติแห่งชีวิตทั้งสามนี้คือสิ่งหน่วงเหนียวชีวิตเอาไว้ใน ห้วงแห่งมายาแล้วเพียรยกจิตใจให้ข้ามพ้นบ่วงชีวิตทั้งสามนี้เพื่อเข้าสู่ ปรมาตมันอันประเสริฐ บุคคลนั้นย่อมเข้าถึงเรา* (สัต ตวะ รชะ และตมะ เป็นเพียงโลกียธรรมซึ่งส่งผลให้บุคคลเสวยสุขและทุกข์ในห้วงสังสารวัฏฏ์เหมือน กุศลกับอกุศลในพุทธศาสนา การจะเข้าถึงชีวิตนิรันดร์ต้องยกระดับจิตใจให้อยู่เหนือธรรมชาติแห่งชีวิตสามประการนี้ ข้อนี้เทียบได้กับการละกุศลและอกุศลเพื่อเข้าถึงนิพพานของชาวพุทธ -ผู้แปล)   
                    บุคคล ผู้ข้ามพ้นจากมายาของสัตตวะ รชะ และตมะ เสียได้ ย่อมพ้นจากการเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย ชีวิตเขาย่อมประสบสุขอันเป็นอมตะชั่วนิรันดร์
   
                    อรชุนถามว่า   
                    ข้าแต่องค์กฤษณะ! โปรดแสดงแก่ข้าด้วยเถิดว่าบุคคลเช่นใดจึงสามารถข้ามพ้นธรรมชาติแห่งชีวิตสามประการนี้ได้ และในการพาตนข้ามพ้นจากสิ่งเหล่านี้ บุคคลจะต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง
   
                    กฤษณะตอบว่า   
                    อรชุน! ผู้ใดมีปัญญาประจักษ์ชัด หมั่นเพียรชำระจิตให้สะอาดอยู่เสมอ เมื่อประสบสิ่งมุ่งหวังก็ไม่ดีใจจนลืมตน เมื่อพลาดหวังในสิ่งที่มุ่งหมายก็ไม่เสียใจจนลืมตัว ดำรงตนอยู่อย่างมั่นคงท่ามกลางมายาแห่งชีวิต เมื่อประสบสุข-ทุกข์ก็รู้เท่ากันว่านั่นเป็นธรรมดาของชีวิต ต่อเสียงนินทาหรือสรรเสริญเขาวางใจให้เป็นกลาง ไม่เอนเอียงด้วยอำนาจแห่งความชอบหรือความชัง ปฏิบัติตนเสมอต้นเสมอปลายกับคนที่ดูแคลนหรือยกย่องตนและไม่ว่าจะเป็นมิตร หรือศัตรู เขาจะปฏิบัติต่อคนเหล่านี้อย่างเท่าเทียมกัน บุคคลเช่นนี้และอรชุนชื่อว่าผู้ข้ามพ้นจากสัตตวะ รชะ และตมะ อันรวมเรียกว่าคุณะหรือธรรมชาติพื้นฐานของชีวิตสามประการดังว่ามา




ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ตุลาคม 12, 2011, 04:15:47 pm »



ต่อค่ะ
                 อรชุน! ต่อไปนี้เราจะกล่าวถึง “เชญยะ”อันได้แก่สิ่งที่บุคคลพึงรู้ เชญยะกล่าวคือสิ่งควรรู้นี้เมื่อใครได้รู้แล้ว เขาผู้นั้นย่อมประสบชีวิตอมตะ

                 อรชุน! สิ่งที่บุคคลพึงรู้สูงสุดในโลกนี้คือพรหม!
                 พรหมนี้เป็นสภาวะอันสูงสุด! ไม่มีเบื้องต้น! ไม่เป็นทั้งสิ่งที่มีอยู่และสิ่งที่ไม่มีอยู่* (คำ ว่า “ไม่มีเบื้องต้น”Beginingless หมายถึงเป็นสภาพที่ไม่มีใครสร้างขึ้นมา หากแต่เกิดมีเอง, คำว่า “สิ่งที่มีอยู่” Existent ภาษาสันสกฤต ท่านใช้ว่า “สัต”หมายถึงสิ่งที่มีตัวตน สามารถสัมผัสพิสูจน์ความมีอยู่ได้ด้วยประสาทสัมผัส. ส่วน "สิ่งที่ไม่มีอยู่" Non-Existent ภาษาสันสกฤตเรียกว่า "อสัต" หมายถึงสิ่งที่ไม่มีตัวตน สัมผัสและพิสูจน์ไม่ได้ บางครั้งคำว่า “สัต”กับ “อสัต” ท่านก็ใช้คำว่า “ภาวะ กับ “อภาวะ” แทน ทั้งสัตและอสัตเป็นคำนิยามเรียกสิ่งที่อยู่ในวิสัยการรับรู้ของสามัญมนุษย์ พรหมเป็นโลกุตตรภาวะที่อยู่เหนือการนิยามด้วยตรรกะอันนี้ พรหมจึงไม่เป็นทั้งสัตและอสัต -ผู้แปล)
 
                 พรหม เป็นประดุจพัสตราที่หุ้มห่อโลกทั้งโลกเอาไว้! ไม่มีสถานที่แห่งใดในโลกที่หัตถ์ บาท ดวงเนตร เศียร พักตร์ และกรรณของพรหมจะไม่แผ่ไปถึง!
                 พรหมหยั่งรู้ถึงสรรพารมณ์ เช่น ความโลภ ความโกรธ และความหลง เป็นต้น แต่พรหมปราศจากอารมณ์เหล่านั้น
                 พรหมไม่มีความยึดมั่นในสรรพสิ่ง
                 พรหมคือผู้ค้ำจุนสิ่งดีงามทั้งปวง

                 พรหมเป็นสภาวะที่อยู่เหนือความดีและความชั่ว แต่พรหมก็ยังต้องเกลือกกลั้วอยู่กับสิ่งเหล่านี้เพื่อปกป้องโลก
                 พรหมอยู่ทั้งภายนอกและภายในสรรพสิ่ง
                 พรหมเป็นทั้งสิ่งที่เคลื่อนไหวและและหยุดนิ่ง และเป็นสิ่งที่ใครๆ ไม่อาจหยั่งรู้ด้วยการขบคิดหรือใช้เหตุผล
                 พรหมเป็นทั้งสิ่งที่อยู่ไกลห่างและใกล้ชิดโลก
 
                 พรหมเป็นสภาวะที่ไม่อาจแยกแยะออกมาจากสรรพสิ่ง แต่บางครั้งพรหมก็ปรากฏเสมือนสิ่งที่อาจจำแนกออกมาได้
                 พรหมคือผู้ดูแลความเป็นไปของสรรพสิ่ง
                 พรหมคือผู้ทำลายสรรพสิ่ง
                 พรหมคือผู้สร้างสรรพสิ่งขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่เลี้ยงดูและทำลายมันแล้ว
 
                 พรหมคือแสงสว่างเหนือแสงสว่างทั้งมวล และเป็นสภาวะที่ไม่มีความมืดใดบังอาจเข้ามากร้ำกรายได้
                 พรหมดังที่เราแสดงมานี้คือ “เชญยะ อันได้แก่สิ่งที่บุคคลพึงรู้แจ้งในชีวิต
                 การรู้แจ้งสภาวะแห่งพรหมเรียกว่า “ชญาน”
                 อรชุน! คำว่าเกษตระ, ชญาน, และเชญยะ เราแสดงมาโดยย่อด้วยประการฉะนี้ ผู้ใดภักดีต่อเรา ผู้นั้นย่อมหยั่งทราบถึงความหมายของสิ่งเหล่านี้ และด้วยการประจักษ์แจ้งนั้น เขาย่อมบรรลุถึงพรหมภาวะแห่งเรา
 
                 ส่วนประกฤติกับปุรุษะนั้น จงทราบเอาไว้ในเบื้องต้นก่อนว่า เป็นสภาวะที่เกิดมีขึ้นเอง ไม่มีใครสร้างขึ้นมา
                 ประกฤติคือต้นกำเนิดของวิการและคุณ* (“วิการ ”transfotmation ได้แก่การแปรเปลี่ยนไม่หยุดนิ่งของสรรพสิ่งในจักรวาล ส่วน “คุณ modes of matter ได้แก่สภาวะที่จำแนกให้เห็นความแตกต่างของสรรพสิ่งนั้น ตัวอย่างของวิการก็เช่นการที่สัตว์และพืชมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เริ่มจากเกิดขึ้นมาแล้วก็เติบโต จากนั้นก็ร่วงโรยจนสิ้นสลายไปในที่สุด ส่วนตัวอย่างของคุณก็เช่นการที่พืชและสัตว์นั้นมีชาติพันธุ์ที่ต่างกัน ต้นมะม่วงกับต้นขนุนย่อมมีลักษณะต่างกัน สภาพที่เป็นความต่างกันนั้นคือคุณ นอกจากนั้นวิการและคุณนี้ ยังครอบคลุมไปถึงสิ่งที่ไม่มีชีวิตด้วยการที่ก้อนหินเปื่อยละลายกลายเป็นดิน ก็คือตัวอย่างของวิการ หรือการที่ดินกับหินมีลักษณะเฉพาะ ตัวบ่งบอกความเป็นหินและดิน นั่นก็คือคุณ ทั้งคุณและวิการนี้มีประกฤติเป็นตัวหกระทำให้เกิดขึ้น ประกฤติ (ซึ่งก็คือภาคหนึ่งของปรมาตมันนั่นเอง) จึงเป็นสิ่งอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเหล่านี้ -ผู้แปล)
 
                 ประกฤติคือผู้สร้างร่างกาย ส่วนปุรุษะเป็นผู้สร้างความรู้สึก
                 ปุรุษะอาศัยประกฤติเป็นที่อิงอาศัยพร้อมกันนั้นก็รับรู้สิ่งปรุงแต่งต่างๆ เช่น ความงามหรือความน่าเกลียดที่ประกฤติแต่งสร้างขึ้นในโลก
                 การที่ปุรุษะยึดเหนี่ยวเอามายาของประกฤติเข้าไว้นี้ หากมายานั้นเป็นฝ่ายกุศลก็จะส่งผลให้ผู้ยึดเหนี่ยวมีชาติกำเนิดที่ดีเป็น เบื้องหน้า ในทางกลับกันหากว่ามายานั้นเป็นฝ่ายอกุศล ผลสนองของการยึดมั่นนั้นก็จะส่งให้เขาเข้าสู่ชาติกำเนิดที่ต่ำทรามต่อไป
                 ปุรุษะอันอิงอาศัยร่างกายนี้ก็คือสิ่งสิ่งเดียวกับสิ่งที่เรียกว่าปรมาตมัน
 
                 ผู้ใดรู้แจ้งประกฤติและปุรุษะอย่างทะลุปรุโปร่ง ผู้นั้นกระทำกรรมอันใดลงไป ผลกรรมก็ไม่อาจส่งสนองให้เขาต้องมาเวียนว่ายตายเกิดเพื่อรับผลกรรมอีก
 
                 ปุรุษะหรือปรมาตมันนี้บางคนอาจประจักษ์แจ้งได้ด้วยการบำเพ็ญสมาธิ บางคนอาจประจักษ์แจ้งด้วยการปฏิบัติสางขยโยคะ บางคนอาจประจักษ์แจ้งด้วยการปฏิบัติกรรมโยคะ
 
                 คนบางคนไม่เคยทราบถึงความลี้ลับแห่งปรมาตมันนี้มาก่อน หากแต่ได้ยินได้ฟังมาจากผู้อื่น อาศัยความศรัทธาในปรมาตมันเพียรขยันกระทำคุณความดีเป็นการบูชาปรมาตมันนั้น คนเช่นนี้ก็อาจข้ามพ้นห้วงสังสารวัฏฏ์ได้เช่นกัน
 
                 อรชุน! จงทราบไว้ว่าสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลกไม่ว่าจะเคลื่อนไหวได้หรือเคลื่อน ไหวไม่ได้ก็ตาม สรรพสิ่งเหล่านั้นล้วนแต่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ได้เพราะความสัมพันธ์อันพอ เหมาะระหว่างเกษตระและเกษตรชญะ* (หมายความว่าประกฤติหรือธรรมชาติส่วนที่เป็นต้นกำเนิดของชีวิตด้านกายภาพ physical กับปุรุษะหรือธรรมชาติส่วนที่เป็นต้นกำเนิดของชีวิตด้านจิตภาพ spiritual ประสมประสานกันพอเหมาะ อีกนัยหนึ่งตามคติของศาสนาฮินดูนั้นถือว่าเมื่อมนุษย์และสัตว์ตายลง อาตมันของมนุษย์และสัตว์จะเข้าไปรวมกับปรมาตมันก่อนชั่วระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นอาตมันนั้นจึงจะถูกปรมาตมันส่งไปถือกำเนิดในร่างใหม่ การที่อาตมันเข้าไปรวมกับปรมาตมันชั่วคราวนี้เรียกว่า "สังโยคะ" ด้วยความเชื่อนี้ สรรพสิ่งที่ถือกำเนิดในโลกนี้จึงเกิดและดำรงอยู่ได้ด้วยอำนาจของสังโยคะนั้น อันอาจตีความได้ในอีกแง่หนึ่งว่า เป็นความสัมพันธ์กลมกลืนกันระหว่างอาตมัน (เกษตระ) กับปรมาตมัน (เกษตรชญะ) คำว่า "ความสัมพันธ์อันพอเหมาะ" ในโศลกนี้ผมแปลจากคำว่า "สังโยคะ" ที่กล่าวมานี้ -ผู้แปล)
 
                 ปรมาตมันนั้นแทรกอยู่ในทุกอณูของสรรพสิ่ง เมื่อสิ่งอาศัยสิงสถิตแตกสลายไป ปรมาตมันหาได้พินาศไปด้วยไม่
                 ผู้ใดหยั่งเห็นปรมาตมันดังกล่าวมานี้ ผู้นั้นนับว่าเห็นชอบ
                 เมื่อมองเห็นปรมาตมันซึ่งดำรงอยู่ในสรรพสิ่ง เขาย่อมอาจปฏิบัติตนเพื่อเข้าสู่บรมศานติได้
                 ประกฤติคือผู้รับผิดชอบในการกระทำกรรมทุกอย่าง! อาตมันหาใช่ผู้รับผิดชอบไม่ ผู้ใดหยั่งเห็นได้เช่นนี้ ผู้นั้นนับว่าเห็นถูกอย่างยิ่ง!
                 ผู้ใดมองเห็นว่าสรรพสิ่งในจักรวาลล้วนก่อกำเนิดมาจากพรหม ผู้นั้นย่อมอาจเข้าถึงพรหมได้
 
                 ปรมาตมัน ไม่รู้จักสิ้นสูญ เป็นสภาวะอมตะ ไม่ได้เกิดมาจากอะไร ไม่มีใครทำให้ปรมาตมันเกิด แม้ว่าปรมาตมันนั้นจะตั้งอยู่ในร่างของคนที่กระทำกรรม ผลของกรรมก็มิได้แปดเปื้อนมาถึงปรมาตมัน!
                 อุปมา ดังอากาศที่ซึมแทรกอยู่ทั่วทุกอณูของสรรพสิ่ง อากาศนั้นก็หาได้แปดเปื้อนด้วยสิ่งที่ตนซึมซ่านอยู่ไม่ ข้อนี้ฉันใด อาตมันก็ฉันนั้น แม้สิงสถิตอยู่ในร่างของคน ก็หาได้แปดเปื้อนด้วยกรรมที่คนผู้นั้นกระทำไม่!
 
                 เปรียบเสมือนดวงตะวันเพียงดวงเดียวก็สามารถแผ่รัศมีส่องสว่างครอบคลุมโลก ตลอดโลกได้ อาตมันก็เช่นกัน อาศัยอยู่ในร่างย่อมแผ่อานุภาพให้ร่างทั้งร่างนั้นตกอยู่ในอำนาจดุจกัน!
                 อรชุน! ผู้ใดหยั่งเห็นความแตกต่างระหว่างเกษตระและเกษตรชญะ ดังกล่าวมานี้ด้วยจักษุคือความรู้แจ้งและสามารถแยกอิสรภาพทางจิตออกจากอำนาจ แห่งวัตถุได้ ผู้นั้นย่อมบรรลุโมกษะ!



ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ตุลาคม 12, 2011, 10:19:19 am »



ภควัทคีตา
บทเพลงแห่งองค์ภควัน
สมภาร พรมทา แปล
และเรียบเรียง

บทที่สิบสาม
                      อรชุนกล่าวว่า       
                      ข้าแต่องค์เกศวะ! ข้าประสงค์จะทราบความหมายของคำต่อไปนี้คือ ประกฤติหนึ่ง, ปุรุษะหนึ่ง, เกษตระหนึ่ง, เกษตรชญะหนึ่ง, ชญาหนึ่ง, และเชญยะอีกหนึ่ง, ขอพระองค์โปรดอธิบายความหมายแก่ข้าด้วย       
                      กฤษณะตอบว่า       
                      อรชุน! ร่างกายคือเกษตระ* ส่วนผู้รู้เกษตรภาวะแห่งร่างกายนี้ชื่อว่าเกษตรชญะ* (คำ ว่าเกษตระนี้แปลตามตัวว่า ที่นา field โดยความหมายได้แก่สภาวะอันเป็นเครื่องรองรับผลของกรรมเสมือนหนึ่งที่นาเป็น ที่รองรับเมล็ดพืชให้เจริญเติบโต ที่ว่าร่างกายคือเกษตระก็คือร่างกายของมนุษย์เป็นสิ่งรองรับผลของกรรม หากไม่มีร่างกายแล้วกรรมก็ไม่มี การให้ผลของกรรมก็ไม่มี จากความเชื่ออันนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่าศาสนาฮินดูก็ยอมรับความสำคัญของวัตถุธรรม Matter ไม่ใช่ศาสนาที่ปฏิเสธความมีอยู่ของวัตถุธรรมแล้วยอมรับเพียงจิตธรรม Spirit อย่างที่เข้าใจกัน -ผู้แปล)
       
                      อรชุน! เราคือเกษตรชญะผู้หยั่งรู้ถึงความลี้ลับแห่งเกษตรภาวะอย่างทะลุปรุโปร่ง และการรู้แจ้งถึงเกษตรภาวะกับเกษตรชญะนี้แลคือ ชญาน       
                      จงฟังอรชุน! ณ บัดนี้เราจะอธิบายความหมายของสิ่งที่เรียกว่าเกษตระนี้ให้ท่านฟังว่ามันมีธรรมชาติเป็นเช่นไร มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรและมีต้นกำเนิดมาจากไหน และพร้อมกันนี้เราจะสาธยายถึงเกษตรชญะว่าคือใครและมีอานุภาพยิ่งใหญ่เพียงใด
       
                      เรื่องราวของเกษตระและเกษตรชญะนี้บรรดาฤาษีทั้งหลายได้ร้อยกรองเป็นเพลงขับ เอาไว้เป็นมากมายและมีนัยอันแตกต่างกัน กระทั่งในบทสวดก็มีกล่าวเอาไว้เป็นอเนกปริยาย หรือในพรหมสูตรท่านก็วินิจฉัยเอาไว้อย่างมีเหตุมีผลเป็นที่พิสดารยิ่ง       
                      มหาภูตกล่าวคือส่วนประกอบของร่างกายที่เป็นวัตถุธรรมทั้งห้าอันได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม และอากาศหนึ่ง       
                      อหังการอันได้แก่ความรู้สึกว่าเป็นตัวของตัวหรือความรู้สึกว่าตัวตนนั้นมีอยู่หนึ่ง       
                      พุทธิอันได้แก่ความรู้แจ้งหนึ่ง
                      อัพยักตะอันได้แก่นามธรรมที่ไม่ปรากฏรูปหนึ่ง
       
                      อินทรีย์ กล่าวคือส่วนประกอบของร่างกายที่เป็นตัวรับความรู้สึกและเป็นตัวความรู้สึก เองทั้งสิบซึ่งแบ่งเป็นญาเณนทรีย์ห้าและกรรเมนทรีย์อีกห้านี้หนึ่ง* (ญาเณนทรีย์คือส่วนของประสาทสัมผัสที่ทำหน้าที่รับรู้ความรู้สึกมีอยู่ห้าประการคือ ประสาทตา, ประสาทหู, ประสาทจมูก, ประสาทลิ้น, และประสาทกาย ส่วนกรรเมนทรีย์ได้แก่ส่วนของประสาทสัมผัสที่ทำหน้าที่ใช้งานหรือควบคุมการทำงานของอวัยวะในร่างกายมีอยู่ห้าประการเช่นกันคือ ประสาทควบคุมการทำงานของปาก ประสาทควบคุมการทำงานของมือ, ประสาทควบคุมการทำงานของเท้า, ประสาทควบคุมการทำงานของอวัยวะสืบพันธุ์ และประสาทควบคุมการทำงานของท้อง -ผู้แปล)
       
                      อินทรีย์โคจร กล่าวคืออารมณ์อันเข้ามากระทบประสาทสัมผัสทั้งห้าได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ หนึ่ง       
                      อิจฉา กล่าวคือความปรารถนาในสิ่งอันพึงปรารถนาหนึ่ง       
                      เทวษะ อันได้แก่ความเคียดแค้นเมื่อไม่ได้สมปรารถนาหนึ่ง       
                      สุขและทุกข์หนึ่ง
       
                      สังฆาตะ กล่าวคือระบบความสัมพันธ์กันแห่งอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายหนึ่ง       
                      เจตนา กล่าวคือความจงใจเวลากระทำกรรมหนึ่ง       
                      ธฤติ อันได้แก่ความตั้งมั่นแห่จิตใจหนึ่ง
       
                      ทั้งหมดที่กล่าวมาโดยย่อนี้รวมแล้วเรียกว่า "เกษตระ” * (ความตอนนี้เป็นการแสดงรายละเอียดของร่างกายมนุษย์โดยท่านจำแนกให้เห็นย่อๆ ว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง องค์ประกอบของชีวิตตามที่แสดงมานี้อาจจะเข้าใจได้ยากสักหน่อยสำหรับคนรุ่นปัจจุบันที่ไม่ชินกับการจัดระบบและองค์ประกอบของชีวิตตามคัมภีร์ศาสนา การจัดระบบชีวิตกันในลักษณะนี้ดูจะเป็นความเชื่อทั่วไปของคนอินเดียโบราณ ไม่เฉพาะแต่คนที่นับถือศาสนาฮินดูเท่านั้น แม้พุทธศาสนาก็เชื่อคล้ายๆ กันนี้ ดังที่ท่านจำแนกร่างกายส่วนที่เป็นวัตถุธรรมออกเป็นดิน(องค์ประกอบของร่างกายส่วนที่ดำรงสถานะของแข็งเช่นกล้ามเนื้อ กระดูกและเส้นเอ็นเป็นต้น), น้ำ(ส่วนที่ดำรงสถานะของเหลวเช่นเลือด เหงื่อ หนอง น้ำเหลือง ตลอดจนน้ำที่ประกอบอยู่ในเซลล์เป็นต้น), ไฟ(ส่วนที่เป็นพลังงานหรือความอบอุ่นในร่างกาย), ลม(ส่วนที่เป็นอากาศซึ่งเคลื่อนที่ไปมาระหว่างช่องว่างในร่างกายและอวัยวะ ต่างๆ), และอากาศ(ส่วนที่เป็นอากาศอันหยุดนิ่งอยู่กับที่โดยแทรกตัวอยู่ในช่องว่าง ระหว่างอวัยวะและในตัวอวัยวะนั้น) การจัดระบบอวัยวะและร่างกายแบบนี้จะเห็นได้ว่าใกล้เคียงกันกับ ที่จัดกันในความของ ภควัทคีตา ตอนนี้มาก -ผู้แปล)
       
                      เกษตระ กล่าวคือร่างกายนี้ย่อมแปรเปลี่ยนเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา       
                      อมานิตวะ กล่าวคือความไม่ถือตัวหนึ่ง       
                      อทัมภิตวะ กล่าวคือความไม่ดื้อรั้นเจ้าทิฐิหนึ่ง       
                      อหิงสา กล่าวคือความไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นหนึ่ง
       
                      กษานติ กล่าวคือความอดทนต่อความยากลำบากหนึ่ง
                      อารชวะ กล่าวคือความซื่อตรงหนึ่ง
     
                      อาจารโยปาสนะ กล่าวคือความเคารพยำเกรงในครูอาจารย์หนึ่ง       
                      เศาจะ กล่าวคือความบริสุทธิ์แห่งกายวาจาและใจหนึ่ง       
                      สไถรยะ กล่าวคือความมั่นคงเยือกเย็นหนึ่ง       
                      อาตมวินิครหะ กล่าวคือการควบคุมตนเองได้หนึ่ง       
                      ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ก็มีความหมายอย่างเดียวกับคำว่า “ชญาน
       
                      ความไม่หลงใหลอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสทางกายหนึ่ง       
                      ความไม่ยึดมั่นตัวตนหนึ่ง       
                      การมองเห็นทุกข์และโทษของการเกิด การแก่ การเจ็บ และการตายหนึ่ง       
                      ความไม่มัวเมาในอารมณ์อันน่าพอใจหนึ่ง
       
                      ความไม่ยึดมั่นในบุตรภรรยาและเคหสถานหนึ่ง       
                      ความเป็นผู้มีใจเป็นกลางทั้งในสิ่งที่ก่อให้เกิดความพอใจและในสิ่งอันก่อให้เกิดความเคืองใจหนึ่ง       
                      ความภักดีในเราอย่างมั่นคงด้วยอำนาจแห่งโยคะอันแน่วแน่หนึ่ง       
                      การหลีกเร้นจากความวุ่นวายไปสู่วิเวกสถานหนึ่ง
       
                      ความไม่ยินดีในการคลุกคลีกับฝูงชนที่สมาคมกันโดยเปล่าประโยชน์หนึ่ง       
                      การตั้งมั่นอยู่เป็นนิตย์ในอัธยาตมชญาณ กล่าวคือ ความรู้แจ้งจนถึงที่สุดของความจริงหนึ่ง       
                      การประจักแจ้งถึงตัตตวชญานารถะ กล่าวคือการมองทะลุไปจนถึงที่สุดของความจริงหนึ่ง
                      ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนแล้วแต่เป็นคำอธิบายความหมายของสิ่งที่เรียกว่า “ชญานอันหมายถึงความรู้แจ้งทั้งสิ้น       
                      สิ่งใดตรงข้ามจากที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้ สิ่งนั้นย่อมเป็น “อัชญาน”กล่าวคือ ความมืดบอดงมงายมองไม่เห็นสัตยธรรม




ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ตุลาคม 12, 2011, 07:54:34 am »



ภควัทคีตา
บทเพลงแห่งองค์ภควัน
สมภาร พรมทา แปล
และเรียบเรียง

บทที่สิบสอง
                   อรชุนกล่าวว่า   
                   บุคคลสองประเภทต่อไปนี้คือ บุคคลผู้ปฏิบัติโยคธรรมเพื่อบูชาพระองค์อยู่เป็นนิจกาลหนึ่ง, บุคคลผู้โน้มเหนี่ยวเอาพระองค์เป็นที่ยึดพิงทางใจแต่มิได้ปฏิบัติโยคะเพื่อ บูชาพระองค์หนึ่ง, บุคคลสองจำพวกนี้ฝ่ายใดชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติตรงต่อหลักโยคธรรมมากกว่ากัน
   
                   กฤษณะตอบว่า   
                   ผู้มีใจภักดีในเราและปฏิบัติโยคะอันได้แก่การชำระจิตให้บริสุทธิ์เป็นนิจ เพื่อเข้าถึงเรานั่นแลชื่อว่าผู้ปฏิบัติตรงต่อหลักโยคธรรม   
                   กระนั้นก็ดี บุคคลผู้ยึดเหนี่ยวเอาเราเป็นที่พึ่งพิงทางใจรู้จักควบคุมอารมณ์ความรู้สึก เวลากระทบกับเหตุการณ์ต่างๆ มีใจเสมอในสรรพสิ่ง ยินดีในการบำเพ็ญตนให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่น คนเช่นนี้ก็ชื่อว่าอาจเข้าถึงเราด้วยเช่นกัน
   
                   เหตุที่ผู้ยึดเหนี่ยวเอาเราเป็นที่พึ่งเพียงอย่างเดียว แต่มิได้ปฏิบัติโยคธรรมพร้อมกันไปด้วยชื่อว่าปฏิบัติไม่ค่อยตรงต่อหลักแห่งโยคะ ก็เพราะคนเช่นนั้นมักสำคัญผิดในภาวะแห่งเราซึ่งเป็นภาวะที่ปราศจากตัวตน ว่าเป็นตัวเป็นตน การจะเข้าถึงเราผู้เป็นอรูปสภาวะย่อมจะเป็นไปได้ยากสำหรับคนผู้เข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเราคือสิ่งที่เป็นตัวเป็นตน
   
                   แต่สำหรับบุคคลผู้วางใจในเรา กระทำกรรมอันใดก็อุทิศกรรมนั้นเพื่อบูชาเรา เพียรชำระจิตใจให้สะอาดอยู่เสมอ คนเช่นนั้นย่อมเข้าถึงเราได้ง่าย   
                   ผู้ใดภักดีในเรา เราย่อมช่วยฉุดผู้นั้นขึ้นจากห้วงทะเลแห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้เสมอ   
                   เพราะเหตุนี้แลอรชุน ท่านจงมั่นใจในเราเถิด จงมอบความภักดีของท่านให้แก่เราแล้วท่านจะข้ามพ้นจากห้วงสังสารวัฏฏ์และชีวาตมันของท่านก็จักผสานเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับเรา
   
                   แต่ถ้าว่าการตั้งจิตให้มั่นในเราอยู่ทุกเวลาจะเป็นความลำบากแก่ท่านไซร้ ท่านจะใช้วิธีฝึกฝนจิตให้สะอาดจากสิ่งเศร้าหมองแทนการรำลึกถึงเราก็ได้ นั่นก็เป็นวิธีทางเข้าสู่เราเช่นกัน   
                   หรือหากว่าการเพียรชำระจิตอย่างนั้นเป็นสิ่งที่เกินเลยวิสัยที่ท่านจะกระทำได้ ก็ขอให้กระทำกรรมดีอุทิศเป็นสักการะแก่เราแทน กรรมดีที่ท่านกระทำนั้นจักส่งผลให้ท่านระลึกถึงเราให้มั่น แล้วแปรเอาพลังรำลึกนั้นเป็นเครื่องสกัดกรรมชั่วทั้งมวลออกไปจากจิตใจ
   
                   ปัญญา ย่อมประเสริฐกว่าสมาธิ ความรู้แจ้งประเสริฐกว่าปัญญา แต่ความรู้แจ้งนั้นก็ยังไม่ประเสริฐเท่าการสละผลของกรรม ผู้สละผลของกรรมเสียได้ย่อมประสบสุขชั่วนิรันดร์   
                   บุคคลใดปราศจากความมุ่งร้ายต่อผู้อื่น จิตใจประกอบด้วยไมตรีและความการุณย์ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนและสิ่งของของตน สามารถวางใจให้เป็นกลางได้ทั้งในคราวที่ประสบกับสุขและทุกข์ เป็นผู้พร้อมที่จะให้อภัยต่อผู้อื่น มีความสันโดษ ตั้งมั่นอยู่เสมอในสมาธิ อารมณ์เยือกเย็น ควบคุมความรู้สึกได้และมีใจภักดีในเรา บุคคลนั้นย่อมเป็นที่รักของเรา
   
                   บุคคลใดไม่ก่อความวุ่นวายให้แก่โลก ทั้งโลกเองก็ไม่อาจทำให้เขาวุ่นวายได้ เป็นผู้ไม่ยินดียินร้ายต่อความสมหวังและผิดหวังในชีวิต อยู่ในโลกอย่างปราศจากความหวั่นกลัว บุคคลเช่นนี้ก็เป็นที่รักของเราเช่นกัน   
                   บุคคลใดกระทำความดีโดยไม่หวังผลตอบแทน มีกายวาจาและใจบริสุทธิ์สะอาด อดทนต่อความยากลำบากในชีวิต ผู้นั้นก็เป็นที่รักของเราเหมือนกัน   
                   บุคคลใดวางใจให้แสมอทั้งในมิตรและศัตรู ทั้งในเสียงสรรเสริญและคำด่าว่า ทั้งในร้อนและหนาว ทั้งในสุขและทุกข์ได้เท่าเทียมกัน ไม่เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งด้วยความพอใจหรือขัดใจ บุคคลนั้นก็เป็นที่โปรดปรานของเราเช่นกัน
   
                   และสำหรับบุคคลผู้บำเพ็ญอมฤตธรรมเป็นการบูชาเรา บุคคลนั้นชื่อว่าเป็นยอดแห่งผู้ที่เราโปรดปราน!