ตอบ

ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เคยนวดฝ่าเท้าให้ คุณพ่อคุณแม่บ้างไหม ถ้ามีโอกาส เราควรทำหรือไม่ (ควรกระทำอย่างยิ่ง หรือ ไม่ควรทำ):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: พฤษภาคม 30, 2014, 06:23:47 am »

“ด้วงกระเบื้อง” บุกบ้าน กำจัดอย่างไร?
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    29 พฤษภาคม 2557 15:14 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000060101-


 บ้านสกปรกระวัง “ด้วงกระเบื้อง” บุกรุก เสี่ยงภูมิแพ้ทางเดินหายใจ-ผิวหนัง โรคทางเดินอาหาร แนะทำบ้านให้สะอาด โล่ง เผยกวาดรวบตัวด้วงลงกะละมังใส่น้ำผสมผงซักฟอกช่วยกำจัดได้ หรือใช้สารไซฟลูทรินผสมน้ำฉีดพ่นฆ่าตัวด้วงและตัวหนอน ป้องกันได้ 6 เดือน ไม่เป็นอันตรายต่อคน สัตว์เลี้ยง

“ด้วงกระเบื้อง” บุกบ้าน กำจัดอย่างไร?
       วันนี้ (29 พ.ค.) นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวถึงกรณีพบแมลงกระเบื้องจำนวนมากในบ้านเลขที่ 69 หมู่ที่ 11 ต.ทับช้าง อ.สอยดาว จ.จันทบุรี นานกว่า 3 เดือน ว่า กลุ่มกีฏวิทยาและควบคุมแมลงนำโรค สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง ได้เข้าไปตรวจสอบและกำจัดแมลงดังกล่าวแล้ว โดยแมลงกระเบื้องจัดเป็นด้วงปีกแข็งขนาดเล็กอยู่ในวงศ์เดียวกันกับด้วงมอดแป้ง แต่ความเป็นอยู่สกปรกกว่า ลักษณะลำตัวกลมรี มีสีน้ำตาลเข้มจนถึงดำ เปลือกค่อนข้างแข็ง ชอบอยู่ตามพื้นดินในที่ต่างๆ เช่น ใต้ไม้ผุๆ ใต้ก้อนหิน ตามรังมด รังปลวก ตามต้นพืชหลายชนิด หรือตามบ้านเรือน ตามกองใบไม้ทับถม และตามที่ที่มีเชื้อรา หรือซากสัตว์เน่าเปื่อย ตัวหนอนของด้วงชนิดนี้สามารถเดินได้เร็วและชอนไชเก่งมาก ชอบดินชื้นๆ โดยจะออกหาอาหารในเวลากลางคืน
       
       นพ.โสภณ กล่าวว่า ส่วนด้วงตัวแก่ที่เข้ามาอาศัยภายในบ้าน หากเข้าหูอาจทำให้หูอักเสบ หรือเกิดโรคภูมิแพ้ในระบบทางเดินหายใจ หรือผิวหนังจากกลิ่น เกล็ดและขนที่หลุดร่วง หรือหนามที่ขา นอกจากนี้ ยังสามารถนำโรคอาหารเป็นพิษ ซึ่งติดมาตามขาและลำตัวด้วย จึงขอแนะนำประชาชนหากพบจะต้องรีบกำจัดทันที โดยลดหรือกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ ด้วยการรักษาความสะอาดบ้านเรือน และบริเวณบ้านให้โล่งเตียน กำจัดเศษใบไม้ทับถม ส่วนเศษมูลสัตว์ที่จะทำเป็นปุ๋ยคอก ควรตากแดดให้แห้ง แล้วเก็บไว้ในถุงที่มิดชิดหรือนำไปใช้ใส่ต้นไม้ทันที
       
       “หากต้องการป้องกันและกำจัดไม่ให้ด้วงเข้าไปอยู่ในบ้าน ให้ต่อหลอดไฟนีออนห่างจากตัวบ้าน 5-10 เมตร สูง 2 เมตร เพื่อล่อด้วงตัวแก่ เพราะชอบเล่นไฟนีออนตอนกลางคืน โดยทำโคมสังกะสีโค้งๆ ครอบเหนือหลอดไฟ แล้ววางกะละมังบรรจุน้ำผสมผงซักฟอกแบบไม่ต้องมีฟองไว้บนพื้นใต้หลอดไฟ เมื่อฝูงด้วงเล่นไฟแล้วบินชนโคมไฟก็จะตกลงในกะละมัง เมื่อปีกเปียกน้ำผสมผงซักฟอกจะไม่สามารถไต่หรือบินขึ้นมาได้และจมน้ำตายในที่สุด” อธิบดี คร. กล่าว
       
       นพ.โสภณ กล่าวอีกว่า แต่หากด้วงบุกเข้าไปอยู่ในบ้านแล้ว ให้ใช้ไม้กวาดและที่ตักผงกวาดรวบรวมตัวด้วงนำไปใส่ในกะละมังบรรจุน้ำผสมผงซักฟอกดังกล่าวเพื่อฆ่าฝูงด้วง แต่หากจะกำจัดแบบถาวรให้ใช้สารเคมีชื่อไพรีทรอยด์ ชนิดไซฟลูทริน (cyfluthrin) สูตรน้ำมันละลายน้ำ (สูตร EC) ผสมกับน้ำแล้วนำไปฉีดพ่นใส่ตัวด้วง หรือพื้นผิวที่ด้วงอาศัย เพื่อฆ่าระยะตัวหนอน โดยพ่นในปริมาณ 50 มิลลิลิตรต่อพื้นที่หนึ่งตารางเมตร แต่หากจะพ่นตามผนังอาคารที่ด้วงเคยเกาะให้ใช้สูตรผงละลายน้ำ (สูตร WP) ทั้งนี้ ฤทธิ์ของสารเคมีดังกล่าวเมื่อถูกตัวด้วงจะทำให้ด้วงตายภายใน 24 ชั่วโมง มีฤทธิ์ตกค้างบนผนังอาคาร 6 เดือน ด้วงจะได้ไม่มาเกาะอีก แต่สารดังกล่าวไม่เป็นอันตรายต่อคนและสัตว์เลี้ยง พ่นซ้ำได้ทุก 6 เดือน หาซื้อได้ที่ร้านขายอุปกรณ์การเกษตรทั่วไป



.
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: เมษายน 12, 2014, 07:39:09 pm »

อภ.เตือนกินยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ ก่อนขับรถ ระวังง่วง

-http://club.sanook.com/28965/%E0%B8%AD%E0%B8%A0-%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B8%94-%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A5-


ช่วงวันหยุดยาวนี้หลายท่านคงมีแผนเดินทางเพื่อกลับบ้านหรือท่องเที่ยวต่างจังหวัดกันใช่ไหมคะ การเดินทางไกลด้วยการขับรถนานๆในสภาพอากาศร้อนจัดแบบนี้อาจทำให้เกิดความเหนื่อยล้าและไม่สบายได้ง่าย ทางแก้ที่ง่ายคือหายามารับประทาน แต่การทานยานั้น ต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยองค์การเภสัชกรรมได้มีคำเตือนเกี่ยวกับการทายยาแก้ปวดและยาคลายกล้ามเนื้อมาดังนี้

 

องค์การเภสัชกรรมเตือนประชาชนที่ต้องเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ให้ระวังการทานยาแก้ปวด และยาคลายกล้ามเนื้อ ก่อนขับรถ อาจทำให้ง่วง หลับในและเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้



ภญ.นิภาพร ชาตะวิริยะพันธ์ รองผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประชาชนจำนวนมากต้องเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถยนต์จำนวนมาก และปีนี้จากการคาดการณ์ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จะมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนประมาณ 268-334คน  ซึ่งเกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน หนึ่งในนั้นคืออาการง่วงนอนหรือหลับใน องค์การฯจึงขอเตือนผู้ที่ต้องขับรถเดินทางควรระมัดระวังในการรับประทานยาแก้ปวด และยาคลายกล้ามเนื้อ อาทิ ยาแก้ปวดทรามาดอล(Tramadol), ยาแก้ปวดอะมิทริปทัยลีน(Amitriptyline) และยาแก้ปวดกาบ้าเพนติน(Gabapentin) เป็นต้น ซึ่งยาเหล่านี้มีฤทธิ์ในการกดประสาทส่วนกลาง เพื่อบรรเทาอาการปวด  ส่วนยาคลายกล้ามเนื้อ อาทิ ยาโทลเพอริโซน (Tolperisone) และยาออเฟเนดรีน (Orphenadrine)   ยาเหล่านี้มีฤทธิ์ในการลดอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อในร่างกาย ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย ลดอาการปวดตึงทั้งร่างกาย ซึ่งยาทั้ง 2กลุ่มนี้ มีผลข้างเคียงมากน้อยแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล อาจจะทำให้ลดประสิทธิภาพในการขับขี่ ทำให้ตัดสินใจได้ช้าลง มองเห็นเป็นภาพเบลอ ไม่ชัด ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้

 

รองผู้อำนวยการฯ กล่าวอีกว่า ไม่เพียงยาทั้ง 2 ชนิดดังกล่าว ยังมียาที่มีฤทธิ์ทำให้ง่วงนอนชนิดอื่นๆ ซึ่งควรหลีกเลี่ยงเมื่อต้องขับรถเช่นกัน อาทิ ยาแก้แพ้ลดน้ำมูก, ยาแก้แพ้ แก้คัน, ยากล่อมประสาท, ยาคลายกังวล, ยาแก้เวียนศีรษะ และยาแก้เมารถ นอกจากนี้ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ทานยาลดน้ำตาลในเลือด และต้องขับรถ หากระหว่างการเดินทางไม่สามารถทานอาหารได้ตรงเวลา อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป ทำให้เวียนศีรษะ หน้ามืด เหงื่อออกมาก ใจสั่น และอาจหมดสติได้ จึงจำเป็นต้องเตรียมอาหาร ลูกอม น้ำหวานไว้ระหว่างการเดินทาง เพื่อป้องกันการเกิดอาการดังกล่าว นอกจากนี้ไม่ควรทานยาร่วมกับเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ เช่น ดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับยาลดน้ำมูก จะทำให้อาการง่วงของยาเพิ่มขึ้น ดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับยาบรรเทาปวด ลดไข้ จะทำให้ตับเสียหายได้มากขึ้น เป็นต้น

 

ดังนั้น ก่อนการเดินทางทุกครั้ง ควรมีการวางแผนการเดินทาง และวางแผนการทานยาก่อน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทาง ว่ายาแต่ละชนิดที่ต้องทานในระหว่างการเดินทางนั้น มีผลข้างเคียงอย่างไรบ้าง โดยปรึกษาแพทย์, เภสัชกร หรือโทรปรึกษาปัญหาการใช้ยาได้ที่ Call Center องค์การเภสัชกรรม 1648 ฟรี

 

ที่มา :: สำนักงานสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: เมษายน 04, 2014, 10:37:29 pm »

คุยกับหมอพิณ ยาสามัญประจำทริป

-http://men.sanook.com/2137/%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%93-%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%9B/-


สวัสดีค่ะ ใกล้จะถึงเดือนเมษายน เดือนแห่งวันเทศกาล วันหยุดหลาย ๆ ท่านคงวางแผนที่จะออกไปเที่ยวในหรือต่างประเทศกันแล้วนะคะ

สัปดาห์นี้จะขอคุยเกี่ยวกับการเตรียมตัวออกไปเที่ยวละกันค่ะ

ถ้าไปเที่ยวแล้วเกิดป่วยระหว่างการเดินทาง ทริปของเราอาจจะไม่น่าจดจำเท่าไหร่ใช่ไหมคะ

ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่า ข้อมูลอาจจะไม่ค่อยครบถ้วน

เพราะอ้างอิงจากประสบการณ์ส่วนตัวของหมอเองค่ะ

1.ยารักษาโรคประจำตัว : หากคุณ (หรือผู้ร่วมทริป เช่น คุณพ่อคุณแม่) มีโรคประจำตัว เอายาไปให้ครบ
เอาไปเผื่อด้วยจะปลอดภัยกว่านะคะ เกิดยาหล่น หรือแผนเปลี่ยน เช่น ตกรถ ตกเรือ (หรือโดน Hijack เครื่องบิน)
กลับบ้านช้ากว่ากำหนด อย่างน้อยยังมียาประจำตัวไว้ให้ทาน จดชื่อยาพกไว้ด้วยก็ดีนะคะ เกิดยาหายจะได้ซื้อทานได้

2.ยารักษาโรคประจำการเดินทาง : บางคนเดินทางทีไร อาการไม่พึงประสงค์มาเยี่ยมทุกที เช่น

-เมารถ : ยาแก้เมารถ เมาเรือ มีหลายกลุ่มค่ะ เช่น ยา Dimenhydrinate ทานก่อนออกเดินทางซัก 30-60 นาที

ทานซ้ำได้ทุก 6-8 ชั่วโมงค่ะ

-แพ้อากาศ : บางคนอากาศเปลี่ยนก็คัดจมูก น้ำมูกไหล

ไอเจ็บคอ ขอแนะนำให้พกยาลดน้ำมูก ยาแก้ไอ ยาอมแก้เจ็บคอไปด้วยค่ะ

-ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ : ยาแก้ปวด Paracetamol ไม่ควรลืมนะคะ เกิดมีใครปวดแข้งปวดขาก็สามารถรับประทานได้
ถ้าคิดว่าจะปวดมาก ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAID เช่น Ibuprofen ก็สามารถพกพาไปได้ แต่ควรระวังด้วยนะคะ เพราะหลายคนแพ้ยากลุ่มนี้
ถ้าเคยทานแล้วไม่แพ้ก็จัดเลยค่ะ อ้อ อย่าลืมพกยานวดไปซักหลอดนะคะ

-อาหารเป็นพิษ ถ้าทริปไหนท้องเสีย อาเจียน อ่อนเพลีย ทานอะไรก็ไม่ได้ มันน่าเศร้านะคะ
อย่าลืมพกผงเกลือแร่ ยากันอาเจียน เช่น Motilium ยาปฏิชีวนะ เช่น Norfloxacin, Ciprofloxacin

ถ้าท้องเสียรุนแรง มีไข้ อ่อนเพลียมาก แนะนำให้ไปพบแพทย์ค่ะ

ในกรณีที่อาหารไม่เป็นพิษ แต่อาหารเป็นมิตรทานจนแน่น แนะนำแอร์-เอ็กซ์ หรืออีโนนะคะ

3. อื่น ๆ เช่น

-พลาสเตอร์แปะแผล แอลกอฮอล์ล้างแผลขวดเล็ก สำหรับแผลถลอกเล็ก ๆ น้อย ๆ

-ยากันแดด ยากันยุง ยาทาแก้คันแมลงสัตว์กัดต่อย

-หน้ากากอนามัย เผื่อไว้เกิดเราเป็นหวัด เราจะได้ไม่ไปแพร่ใส่ใคร หรือสมมติที่ที่เราไปเที่ยวเกิดมีโรคระบาด
เช่น มีไข้หวัดหมู ไข้หวัดหมี อย่างน้อยก็อาจจะป้องกันได้บ้าง (มีทริปหนึ่งของหมอช่วงไข้หวัดหมูระบาด หมอพกหน้ากาก N95 ไปเที่ยวด้วยนะคะ)

-สำหรับสุภาพสตรี หากระยะที่จะไปเที่ยวเกิดมีประจำเดือน อย่าลืมพกยาแก้ปวดประจำเดือนไปเผื่อด้วยนะคะ ผ้าอนามัยควรเอาไปเผื่อด้วยค่ะ

-ยาระบาย สำหรับคนที่ไปเที่ยวต่างที่ ถ้าห้องน้ำไม่ใช่ที่บ้านหรือที่ทำงาน บรรยากาศมันไม่ใช่แล้วถ่ายไม่ออก ขอแนะนำพกยาระบายไปเผื่อด้วยค่ะ

ถ้าไปเที่ยวต่างประเทศแนะนำทำประกันก่อนเดินทางก็ดีนะคะ เพราะ 30 บาทรักษาทุกโรคไม่ใช่รักษาได้ทั่วโลก เกิดเจ็บป่วยอะไรอุ่นใจกว่าค่ะ

สุดท้ายนี้ขอย้ำนะคะ ว่ายาแต่ละชนิดที่พกไป ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรว่าเราไม่ได้แพ้ยาหรือข้อห้ามในการใช้ยาเหล่านี้หรือกลุ่มนี้มาก่อน
เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเองนะคะ

ขอให้คุณผู้อ่านมีวันหยุดที่สนุกสนานและปลอดภัยค่ะ

สวัสดีค่ะ


ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2014, 05:30:09 pm »

สธ. ห่วงวัยรุ่นคลั่งผอม กินยาลดน้ำหนัก-รีดไขมัน ชี้เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต

-http://health.kapook.com/view82323.html-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          สธ. ห่วงวัยรุ่นคลั่งผอม กินยาลดน้ำหนัก-รีดไขมัน ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้อ้วนจริง เพียงแค่อยากผอมเหมือนดาราและใส่เสื้อผ้าขนาดเล็กได้เท่านั้น ชี้เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต

          วันนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2557) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงสาธารณสุข แสดงความเป็นห่วงวัยรุ่นไทยที่ไม่ได้อ้วนจริง แต่ใช้ยาลดความอ้วน เพราะคลั่งความผอม ความสวย อยากมีหุ่นเพรียวลมเหมือนการ์ตูนญี่ปุ่นและดารา และนิยมสั่งซื้อยาลดความอ้วนผ่านอินเทอร์เน็ต เข้าสถานบริการลดความอ้วนตามตลาดมืด หรือหลงเชื่อโฆษณาน้ำผลไม้สารสกัดลดน้ำหนัก

         ทั้งนี้ เภสัชกรประพนธ์ อางตระกูล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ขณะนี้วัยรุ่นหญิงไทยและหญิงข้ามเพศ มีค่านิยมว่าจะต้องมีรูปร่างที่ผอมมาก เพราะคิดว่าผอม ๆ เช่นนั้นแล้วสวย ใส่เสื้อผ้าที่มีขนาดเล็กมากได้ ทำให้วัยรุ่นที่อ้วนหรือแค่รู้สึกว่าตัวเองอ้วน หันมาใช้ยาลดน้ำหนัก ใช้ทางลัดต่าง ๆ ทั้งเข้าสถานบริการลดความอ้วน ทานยา อดอาหารอย่างผิดวิธี โดยไม่คิดที่จะออกกำลังกายสลายไขมัน นอกจากนี้ ยังใช้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น อาหารเสริม ชา กาแฟ น้ำผลไม้ที่โฆษณาว่ามีสรรพคุณช่วยลดน้ำหนัก ทำให้ได้รับผลข้างเคียงหรือพิษภัยจากการลักลอบใส่ยาลดความอยากอาหารดังกล่าว  จนบางรายถึงกับเสียชีวิต

        เภสัชกรประพนธ์ กล่าวต่อว่า ยาลดความอ้วนที่ใช้กันในปัจจุบันมี 2 กลุ่ม คือ ยาที่ออกฤทธิ์ที่ระบบลำไส้  ยับยั้งการดูดซึมของสารอาหาร  และยาที่ออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลาง  เพื่อลดความอยากอาหารกินแล้วไม่หิวง่าย เช่นเฟนฟลูรามีน (Fenfluramine), เด็กซ์เฟนฟลูรามีน (Dexfenfluramine), ไซบูทรามีน (Sibutramine)  โดยตัวยาเหล่านี้ ทาง อย. ได้เพิกถอนการขึ้นทะเบียนยาทุกตำรับที่มีส่วนผสมของยาชนิดนี้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2543 และ พ.ศ. 2553 ตามลำดับ

         พร้อมกันนี้ เภสัชกรประพนธ์  เผยต่อว่า ขณะนี้ประเทศไทยก็ไม่ได้มีการใช้ยาดังกล่าว เนื่องจากข้อมูลการใช้ยาไซบูทรามีนในผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ (cardiovascular disease) จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (heart attack) และการเกิดหลอดเลือดในสมองแตก (stroke) ได้

         ในส่วนของผลิตภัณฑ์ยาลดความอ้วนที่โฆษณาทางอินเทอร์เน็ตนั้น ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อโดดเด็ดขาดและขอให้ตั้งข้อสังเกตว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงในการลักลอบใส่สารลดน้ำหนักที่เป็นอันตราย แม้ว่าตัวผลิตภัณฑ์อาจจะบอกว่าเป็นน้ำผลไม้ หรือเป็นสารสกัดก็ตาม ถือว่าเป็นการแสดงสรรพคุณโอ้อวดเกินจริง หรือแสดงสรรพคุณที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งถือว่าเป็นความผิด







         สำหรับคนที่ใช้ยาลดความอ้วนขณะนี้ ส่วนใหญ่ไม่ใช่กลุ่มคนที่อ้วนจริง เนื่องจากวัดค่าดัชนีมวลกายมักพบว่าคนเหล่านี้อยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ที่ต้องการลดความอ้วนเพราะอยากเลียนแบบดาราหรือต้องการทำตามเพื่อน ส่วนผลข้างเคียงที่พบบ่อยก็คือ นอนไม่หลับ เวียนศีรษะ วิตกกังวล ปวดศีรษะ ใจสั่น ตาพร่า ท้องผูก  และหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจก่อให้เกิดการติดยาได้

        เภสัชกรประพนธ์ กล่าวต่ออีกว่า ยาลดความอ้วนห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะซึมเศร้า เนื่องจากฤทธิ์ยาจะกระตุ้นอาการซึมเศร้าให้รุนแรงขึ้น และห้ามใช้ในเด็กที่อายุต่ำกว่า 13 ปี เนื่องจากเป็นวัยกำลังเจริญเติบโต ซึ่งยาอาจจะส่งผลต่อการเจริญพันธุ์ในวัยหนุ่มสาว รวมทั้งห้ามใช้ในหญิง มีครรภ์ด้วย เนื่องจากจะส่งผลถึงเด็กในครรภ์  ทำให้เด็กพิการหรือเสียชีวิตได้

         ทั้งนี้ การใช้ยาลดน้ำหนักที่ถูกต้อง จะต้องอยู่ภายใต้การสั่งใช้และการควบคุมโดยแพทย์อย่างใกล้ชิด ใช้ร่วมกับการควบคุมอาหาร และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค เพราะยาลดน้ำหนักไม่สามารถรักษาโรคอ้วนให้หายขาด เมื่อหยุดยา น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นได้อีก 

        อย่างไรก็ดี หากประชาชนมีข้อสงสัยหรือมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับยา ผลิตภัณฑ์สุขภาพ ขอให้ปรึกษาสายด่วน อย. 1556 หรือสามารถไปร้องเรียนได้ด้วยตนเองพร้อมนำตัวอย่างผลิตภัณฑ์ไปด้วย ที่ศูนย์เฝ้าระวังและรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ อย. อาคาร 1 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา  กระทรวงสาธารณสุข อ.เมือง จ.นนทบุรี ส่วนภูมิภาคติดต่อได้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่ง


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          สธ. ห่วงวัยรุ่นคลั่งผอม กินยาลดน้ำหนัก-รีดไขมัน ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้อ้วนจริง เพียงแค่อยากผอมเหมือนดาราและใส่เสื้อผ้าขนาดเล็กได้เท่านั้น ชี้เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต

          วันนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2557) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงสาธารณสุข แสดงความเป็นห่วงวัยรุ่นไทยที่ไม่ได้อ้วนจริง แต่ใช้ยาลดความอ้วน เพราะคลั่งความผอม ความสวย อยากมีหุ่นเพรียวลมเหมือนการ์ตูนญี่ปุ่นและดารา และนิยมสั่งซื้อยาลดความอ้วนผ่านอินเทอร์เน็ต เข้าสถานบริการลดความอ้วนตามตลาดมืด หรือหลงเชื่อโฆษณาน้ำผลไม้สารสกัดลดน้ำหนัก

         ทั้งนี้ เภสัชกรประพนธ์ อางตระกูล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ขณะนี้วัยรุ่นหญิงไทยและหญิงข้ามเพศ มีค่านิยมว่าจะต้องมีรูปร่างที่ผอมมาก เพราะคิดว่าผอม ๆ เช่นนั้นแล้วสวย ใส่เสื้อผ้าที่มีขนาดเล็กมากได้ ทำให้วัยรุ่นที่อ้วนหรือแค่รู้สึกว่าตัวเองอ้วน หันมาใช้ยาลดน้ำหนัก ใช้ทางลัดต่าง ๆ ทั้งเข้าสถานบริการลดความอ้วน ทานยา อดอาหารอย่างผิดวิธี โดยไม่คิดที่จะออกกำลังกายสลายไขมัน นอกจากนี้ ยังใช้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น อาหารเสริม ชา กาแฟ น้ำผลไม้ที่โฆษณาว่ามีสรรพคุณช่วยลดน้ำหนัก ทำให้ได้รับผลข้างเคียงหรือพิษภัยจากการลักลอบใส่ยาลดความอยากอาหารดังกล่าว  จนบางรายถึงกับเสียชีวิต

        เภสัชกรประพนธ์ กล่าวต่อว่า ยาลดความอ้วนที่ใช้กันในปัจจุบันมี 2 กลุ่ม คือ ยาที่ออกฤทธิ์ที่ระบบลำไส้  ยับยั้งการดูดซึมของสารอาหาร  และยาที่ออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลาง  เพื่อลดความอยากอาหารกินแล้วไม่หิวง่าย เช่นเฟนฟลูรามีน (Fenfluramine), เด็กซ์เฟนฟลูรามีน (Dexfenfluramine), ไซบูทรามีน (Sibutramine)  โดยตัวยาเหล่านี้ ทาง อย. ได้เพิกถอนการขึ้นทะเบียนยาทุกตำรับที่มีส่วนผสมของยาชนิดนี้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2543 และ พ.ศ. 2553 ตามลำดับ

         พร้อมกันนี้ เภสัชกรประพนธ์  เผยต่อว่า ขณะนี้ประเทศไทยก็ไม่ได้มีการใช้ยาดังกล่าว เนื่องจากข้อมูลการใช้ยาไซบูทรามีนในผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ (cardiovascular disease) จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (heart attack) และการเกิดหลอดเลือดในสมองแตก (stroke) ได้

         ในส่วนของผลิตภัณฑ์ยาลดความอ้วนที่โฆษณาทางอินเทอร์เน็ตนั้น ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อโดดเด็ดขาดและขอให้ตั้งข้อสังเกตว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงในการลักลอบใส่สารลดน้ำหนักที่เป็นอันตราย แม้ว่าตัวผลิตภัณฑ์อาจจะบอกว่าเป็นน้ำผลไม้ หรือเป็นสารสกัดก็ตาม ถือว่าเป็นการแสดงสรรพคุณโอ้อวดเกินจริง หรือแสดงสรรพคุณที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งถือว่าเป็นความผิด

ยาลดความอ้วน

         สำหรับคนที่ใช้ยาลดความอ้วนขณะนี้ ส่วนใหญ่ไม่ใช่กลุ่มคนที่อ้วนจริง เนื่องจากวัดค่าดัชนีมวลกายมักพบว่าคนเหล่านี้อยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ที่ต้องการลดความอ้วนเพราะอยากเลียนแบบดาราหรือต้องการทำตามเพื่อน ส่วนผลข้างเคียงที่พบบ่อยก็คือ นอนไม่หลับ เวียนศีรษะ วิตกกังวล ปวดศีรษะ ใจสั่น ตาพร่า ท้องผูก  และหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจก่อให้เกิดการติดยาได้

        เภสัชกรประพนธ์ กล่าวต่ออีกว่า ยาลดความอ้วนห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะซึมเศร้า เนื่องจากฤทธิ์ยาจะกระตุ้นอาการซึมเศร้าให้รุนแรงขึ้น และห้ามใช้ในเด็กที่อายุต่ำกว่า 13 ปี เนื่องจากเป็นวัยกำลังเจริญเติบโต ซึ่งยาอาจจะส่งผลต่อการเจริญพันธุ์ในวัยหนุ่มสาว รวมทั้งห้ามใช้ในหญิง มีครรภ์ด้วย เนื่องจากจะส่งผลถึงเด็กในครรภ์  ทำให้เด็กพิการหรือเสียชีวิตได้

         ทั้งนี้ การใช้ยาลดน้ำหนักที่ถูกต้อง จะต้องอยู่ภายใต้การสั่งใช้และการควบคุมโดยแพทย์อย่างใกล้ชิด ใช้ร่วมกับการควบคุมอาหาร และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค เพราะยาลดน้ำหนักไม่สามารถรักษาโรคอ้วนให้หายขาด เมื่อหยุดยา น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นได้อีก 

        อย่างไรก็ดี หากประชาชนมีข้อสงสัยหรือมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับยา ผลิตภัณฑ์สุขภาพ ขอให้ปรึกษาสายด่วน อย. 1556 หรือสามารถไปร้องเรียนได้ด้วยตนเองพร้อมนำตัวอย่างผลิตภัณฑ์ไปด้วย ที่ศูนย์เฝ้าระวังและรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ อย. อาคาร 1 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา  กระทรวงสาธารณสุข อ.เมือง จ.นนทบุรี ส่วนภูมิภาคติดต่อได้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่ง


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          สธ. ห่วงวัยรุ่นคลั่งผอม กินยาลดน้ำหนัก-รีดไขมัน ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้อ้วนจริง เพียงแค่อยากผอมเหมือนดาราและใส่เสื้อผ้าขนาดเล็กได้เท่านั้น ชี้เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต

          วันนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2557) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงสาธารณสุข แสดงความเป็นห่วงวัยรุ่นไทยที่ไม่ได้อ้วนจริง แต่ใช้ยาลดความอ้วน เพราะคลั่งความผอม ความสวย อยากมีหุ่นเพรียวลมเหมือนการ์ตูนญี่ปุ่นและดารา และนิยมสั่งซื้อยาลดความอ้วนผ่านอินเทอร์เน็ต เข้าสถานบริการลดความอ้วนตามตลาดมืด หรือหลงเชื่อโฆษณาน้ำผลไม้สารสกัดลดน้ำหนัก

         ทั้งนี้ เภสัชกรประพนธ์ อางตระกูล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ขณะนี้วัยรุ่นหญิงไทยและหญิงข้ามเพศ มีค่านิยมว่าจะต้องมีรูปร่างที่ผอมมาก เพราะคิดว่าผอม ๆ เช่นนั้นแล้วสวย ใส่เสื้อผ้าที่มีขนาดเล็กมากได้ ทำให้วัยรุ่นที่อ้วนหรือแค่รู้สึกว่าตัวเองอ้วน หันมาใช้ยาลดน้ำหนัก ใช้ทางลัดต่าง ๆ ทั้งเข้าสถานบริการลดความอ้วน ทานยา อดอาหารอย่างผิดวิธี โดยไม่คิดที่จะออกกำลังกายสลายไขมัน นอกจากนี้ ยังใช้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น อาหารเสริม ชา กาแฟ น้ำผลไม้ที่โฆษณาว่ามีสรรพคุณช่วยลดน้ำหนัก ทำให้ได้รับผลข้างเคียงหรือพิษภัยจากการลักลอบใส่ยาลดความอยากอาหารดังกล่าว  จนบางรายถึงกับเสียชีวิต

        เภสัชกรประพนธ์ กล่าวต่อว่า ยาลดความอ้วนที่ใช้กันในปัจจุบันมี 2 กลุ่ม คือ ยาที่ออกฤทธิ์ที่ระบบลำไส้  ยับยั้งการดูดซึมของสารอาหาร  และยาที่ออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลาง  เพื่อลดความอยากอาหารกินแล้วไม่หิวง่าย เช่นเฟนฟลูรามีน (Fenfluramine), เด็กซ์เฟนฟลูรามีน (Dexfenfluramine), ไซบูทรามีน (Sibutramine)  โดยตัวยาเหล่านี้ ทาง อย. ได้เพิกถอนการขึ้นทะเบียนยาทุกตำรับที่มีส่วนผสมของยาชนิดนี้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2543 และ พ.ศ. 2553 ตามลำดับ

         พร้อมกันนี้ เภสัชกรประพนธ์  เผยต่อว่า ขณะนี้ประเทศไทยก็ไม่ได้มีการใช้ยาดังกล่าว เนื่องจากข้อมูลการใช้ยาไซบูทรามีนในผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ (cardiovascular disease) จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (heart attack) และการเกิดหลอดเลือดในสมองแตก (stroke) ได้

         ในส่วนของผลิตภัณฑ์ยาลดความอ้วนที่โฆษณาทางอินเทอร์เน็ตนั้น ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อโดดเด็ดขาดและขอให้ตั้งข้อสังเกตว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงในการลักลอบใส่สารลดน้ำหนักที่เป็นอันตราย แม้ว่าตัวผลิตภัณฑ์อาจจะบอกว่าเป็นน้ำผลไม้ หรือเป็นสารสกัดก็ตาม ถือว่าเป็นการแสดงสรรพคุณโอ้อวดเกินจริง หรือแสดงสรรพคุณที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งถือว่าเป็นความผิด

ยาลดความอ้วน

         สำหรับคนที่ใช้ยาลดความอ้วนขณะนี้ ส่วนใหญ่ไม่ใช่กลุ่มคนที่อ้วนจริง เนื่องจากวัดค่าดัชนีมวลกายมักพบว่าคนเหล่านี้อยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ที่ต้องการลดความอ้วนเพราะอยากเลียนแบบดาราหรือต้องการทำตามเพื่อน ส่วนผลข้างเคียงที่พบบ่อยก็คือ นอนไม่หลับ เวียนศีรษะ วิตกกังวล ปวดศีรษะ ใจสั่น ตาพร่า ท้องผูก  และหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจก่อให้เกิดการติดยาได้

        เภสัชกรประพนธ์ กล่าวต่ออีกว่า ยาลดความอ้วนห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะซึมเศร้า เนื่องจากฤทธิ์ยาจะกระตุ้นอาการซึมเศร้าให้รุนแรงขึ้น และห้ามใช้ในเด็กที่อายุต่ำกว่า 13 ปี เนื่องจากเป็นวัยกำลังเจริญเติบโต ซึ่งยาอาจจะส่งผลต่อการเจริญพันธุ์ในวัยหนุ่มสาว รวมทั้งห้ามใช้ในหญิง มีครรภ์ด้วย เนื่องจากจะส่งผลถึงเด็กในครรภ์  ทำให้เด็กพิการหรือเสียชีวิตได้

         ทั้งนี้ การใช้ยาลดน้ำหนักที่ถูกต้อง จะต้องอยู่ภายใต้การสั่งใช้และการควบคุมโดยแพทย์อย่างใกล้ชิด ใช้ร่วมกับการควบคุมอาหาร และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค เพราะยาลดน้ำหนักไม่สามารถรักษาโรคอ้วนให้หายขาด เมื่อหยุดยา น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นได้อีก 

        อย่างไรก็ดี หากประชาชนมีข้อสงสัยหรือมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับยา ผลิตภัณฑ์สุขภาพ ขอให้ปรึกษาสายด่วน อย. 1556 หรือสามารถไปร้องเรียนได้ด้วยตนเองพร้อมนำตัวอย่างผลิตภัณฑ์ไปด้วย ที่ศูนย์เฝ้าระวังและรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ อย. อาคาร 1 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา  กระทรวงสาธารณสุข อ.เมือง จ.นนทบุรี ส่วนภูมิภาคติดต่อได้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่ง


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=218993&catid=176&Itemid=524#.UwCTmoWbyZR-

ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: มกราคม 25, 2014, 08:54:15 pm »

อย.เตือนกินยาแก้ปวดพร่ำเพื่ออาจตายได้

-http://news.springnewstv.tv/42209/%E0%B8%AD%E0%B8%A2-%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-


นพ.ปฐม สวรรค์ปัญญาเลิศ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า จากข้อมูลการใช้ยาพาราเซตามอลของคนไทยพบว่า ส่วนใหญ่มักใช้ยาพาราเซตามอล เกินกว่าปริมาณที่กำหนด เพราะมองว่าเป็นยาพื้นฐาน มีความปลอดภัย และเข้าใจว่าสามารถรักษาได้ทุกอาการปวด ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เนื่องจากยาแก้ปวดแต่ละชนิดมีประสิทธิภาพในการรักษา และความปลอดภัยในการใช้ยาแตกต่างกัน โดยทั่วไปแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มยาแก้ปวดที่ใช้ระงับปวดที่รุนแรงถึงรุนแรงมากที่สุด แต่ไม่มีฤทธิ์ลดไข้ เช่น มอร์ฟีน ทรามาดอล ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง ใช้ระงับความเจ็บปวดที่รุนแรงจากอวัยวะภายใน เช่นปวดนิ่วในไต ปวดกล้ามเนื้อหัวใจจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ปวดจากบาดแผลที่มีขนาดใหญ่ เช่น หลังการผ่าตัด การคลอดลูก โรคมะเร็ง ยาประเภทนี้ต้องใช้ใบสั่งแพทย์ในการซื้อ จึงมักใช้กับคนไข้ในโรงพยาบาลหรือคลินิกเป็นส่วนใหญ่

สำหรับยากลุ่มดังกล่าวอาจก่อให้เกิดอาการข้างเคียงสูง หากได้รับยาเกินขนาดจะทำให้เกิดภาวะอื่นๆ ตามมาเช่น อาเจียน ระบบหัวใจและหลอดเลือดล้มเหลว ชักและระบบหายใจทำงานช้าลงจนถึงขั้นหยุดหายใจได้
 
ผู้สื่อข่าว : ทีมข่าวสปริงนิวส์

ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: ธันวาคม 05, 2013, 09:24:49 am »

ถ้าลืม “กินยา” ทำไงดี

-http://club.sanook.com/16145/%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%A1-%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B5-



ยาก่อนอาหาร ยาหลังอาหาร ลืมกินยาตามเวลา อันตรายหรือไม่

ภก. ธีรัตถ์ เหลืองมั่นคง
ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ปัญหาที่มักพบเสมอเวลาจะรับประทานยา คือ ต้องรับประทานก่อนหรือหลังอาหาร และก่อนอาหารนานเท่าไหร่ หลังอาหารกี่นาที ก่อนนอนนานแค่ไหน ถ้าลืมแล้วจะทำอย่างไร บทความนี้จึงขอสรุปหลักการและหลักปฏิบัติที่ถูกต้องทั่วไปของวิธีการรับประทานยาเหล่านี้

1. ยาก่อนอาหาร ควรรับประทานก่อนอาหาร อย่างน้อย ๓๐ นาที

ยาที่รับประทานก่อนอาหาร ควรรับประทานในช่วงที่ท้องว่าง ยังไม่ได้รับประทานอาหาร ซึ่งก็คือก่อนรับประทานอาหารอย่างน้อย ๓๐ นาที เนื่องจากยาอาจถูกทำลายและเสียประสิทธิภาพในการรักษา เมื่อพบกับกรดปริมาณมากที่กระเพาะอาหารจะหลั่งออกมาหลังมื้ออาหาร การรับประทานยาในช่วงที่ท้องว่าง ทำให้ยาไม่ถูกทำลาย และประสิทธิภาพของยาไม่ลดลง

อาหารและส่วนประกอบของอาหารอาจลดการดูดซึมของยาเข้าสู่ร่างกาย จึงไม่สามารถรับประทานยาพร้อมหรือหลังอาหารได้

ยาที่ออกฤทธิ์เพิ่มการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร ยาลดอาการคลื่นไส้อาเจียน รวมทั้งยาที่ออกฤทธิ์เพิ่มการหลั่งอินซูลิน จะใช้เวลาประมาณ ๓๐ นาทีก่อนที่จะออกฤทธิ์ การรับประทานยาก่อนอาหารจึงเป็นเสมือนการเตรียมพร้อมให้ระบบทางเดินอาหาร ก่อนจะรับประทานอาหาร

การลืมรับประทานยาก่อนอาหาร

ถ้าลืมรับประทานยาก่อนอาหาร หรือนึกได้ว่าต้องรับประทานยาก่อนที่จะทานอาหารไม่ถึงครึ่งชั่วโมง การทานยาก่อนอาหารทันที จึงไม่ต่างกับการรับประทานยาหลังอาหาร ควรข้ามยามื้อที่ลืมไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาที่ออกฤทธิ์เพิ่มการหลั่งอินซูลิน กรณียาที่รับประทานก่อนอาหารเพราะยาจะถูกทำลายหรืออาหารอาจลดการดูดซึมของยา อาจรอให้กระเพาะอาหารว่างก่อนแล้วค่อยรับประทานยาก็ได้ ซึ่งก็คือประมาณ ๒ ชั่วโมง หลังรับประทานอาหาร แต่ยาที่ต้องรับประทานในมื้อถัดไปอยู่แล้ว ให้ทานยาก่อนอาหารมื้อถัดไปแทนได้เลย ไม่ต้องทานยาซ้ำ

2. ยาหลังอาหาร ควรรับประทานหลังอาหารทันทีและไม่ควรนานเกิน ๑๕ นาทีหลังอาหาร

ยาหลังอาหาร ควรรับประทานหลังอาหารทันที อาจทานพร้อมอาหารหรือก่อนรับประทานอาหารคำแรกก็ได้ เพราะไม่ว่าจะกรณีใด ยาจะเข้าไปอยู่ในกระเพาะอาหารพร้อมกับอาหารที่รับประทานเหมือนๆ กัน ยาที่ควรรับประทานหลังอาหาร เนื่องจาก

ยามีผลข้างเคียงที่สำคัญคือ ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน การรับประทานพร้อมหรือหลังอาหารทันทีจะช่วยลดอาการเหล่านี้ได้

ต้องการกรดในกระเพาะอาหารช่วยในการดูดซึมยาเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งกรดในกระเพาะอาหารจะหลั่งสูงสุดในระหว่างที่รับประทานอาหารเท่านั้น

การลืมรับประทานยาหลังอาหาร

ถ้าลืมรับประทานยาหลังอาหาร สามารถรับประทานยาได้ทันทีที่นึกได้และไม่เกิน ๑๕ นาที แต่ถ้านึกได้หลังจากรับประทานอาหารมากกว่า ๑๕ นาทีแล้ว ควรรอรับประทานหลังอาหารในมื้อถัดไปแทน หรืออาจรับประทานอาหารมื้อย่อยแทนมื้อหลักก่อนรับประทานยาก็ได้ กรณีที่ยานั้นมีความสำคัญมาก

3. ยาก่อนนอน ควรรับประทานยาก่อนเข้านอน ๑๕ – ๓๐ นาที

ยาที่แนะนำให้รับประทานก่อนนอนมีหลายประเภท แต่โดยทั่วไป ควรรับประทานก่อนนอน ๑๕ – ๓๐ นาที เนื่องจาก

ยามีผลข้างเคียงสำคัญคือทำให้ง่วงนอนหรือวิงเวียนศีรษะมาก ถ้ารับประทานก่อนนอนนานเกินไป อาจส่งผลต่อให้ผู้รับประทานยาทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ กรณีที่ยังไม่พร้อมจะเข้านอน

ยาที่ช่วยให้นอนหลับ มักใช้เวลาประมาณ ๑๕ – ๓๐ นาทีก่อนที่จะออกฤทธิ์ช่วยให้หลับ

การลืมรับประทานยาก่อนนอน

ถ้าลืมรับประทานยาก่อนนอน มักนึกได้เมื่อถึงเช้าของวันรุ่งขึ้นแล้ว ไม่ควรรับประทานยานั้นอีก ควรรอให้ถึงเวลาก่อนเข้านอนในคืนถัดไปค่อยรับประทานยานั้น

4. ยารับประทานเวลามีอาการ ควรรับประทานเมื่อมีอาการจริงๆ

ยาในกลุ่มนี้ มักระบุในฉลากว่ารับประทานทุก ๔ – ๖ ชั่วโมง ทุก ๘ ชั่วโมง หรือทุก ๑๒ ชั่วโมง เวลามีอาการ เมื่อมีอาการสามารถรับประทานยาได้เลย ไม่ต้องคำนึงถึงมื้ออาหาร เนื่องจากไม่ว่าจะรับประทานอาหารหรือไม่ ก็ไม่ส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หลังรับประทานยาแล้วถ้ายังมีอาการอยู่สามารถทานยาซ้ำได้ ตามระยะเวลาที่ระบุไว้ ไม่ควรรับประทานบ่อยกว่าที่ระบุไว้บนฉลาก เมื่อหายแล้วสามารถหยุดยาได้เลย

หมายเหตุ ยาบางประเภท อาจมีวิธีรับประทานยานอกเหนือไปจากยาโดยทั่วๆ ไปข้างต้น รวมทั้งยาบางประเภทอาจรับประทานก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ แล้วแต่สะดวก เนื่องจากยาอาจมีการออกฤทธิ์ที่พิเศษหรือมีผลข้างเคียงอื่นๆ ซึ่งผู้ทำหน้าที่ส่งมอบยาเหล่านี้จะอธิบายวิธีการรับประทานเป็นกรณีๆ ไป

เอกสารอ้างอิง

Larry AB, editors. Applied clinical pharmacokinetics. 2nd ed. New York: McGraw-Hill Medical; 2008.

Joseph TD, editors. Concepts in clinical pharmacokinetics. 5th ed. American Society of Health-System Pharmacists; 2010.

 

Credit : คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล  http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/thai/knowledgeinfo.php?id=83




ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2013, 06:51:35 am »

3 โรคหายเองได้ ไม่ต้องใช้ "ยาปฏิชีวนะ"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 พฤศจิกายน 2556 19:00 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000145976-

โดย...สิรวุฒิ รวีไชยวัฒน์



       สถานการณ์เชื้อดื้อยาปฏิชีวนะในประเทศไทยถือว่าค่อนข้างน่าเป็นห่วง ซึ่งข้อมูลจากศูนย์เฝ้าระวังเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพแห่งชาติ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ระบุว่า อัตราการเกิดเชื้อดื้อยาเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยสำคัญมาจาก...การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่สมเหตุสมผล
       
       ไม่สมเหตุสมผลในที่นี้คือ มีการใช้ยาปฏิชีวนะเกินความจำเป็นอย่างมากทั้งในคนและในสัตว์ ยกตัวอย่าง เมื่อเวลาเจ็บคอ ก็มักจะนิยมรับประทานยา "อะม็อกซี" หรือ Amoxicillin ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ "แบคทีเรีย" เท่านั้น แต่สาเหตุของการเจ็บคอมากกว่า 75% เกิดจากเชื้อไวรัสที่ยาปฏิชีวนะไม่สามารถช่วยรักษาให้หายได้ มีเพียงน้อยกว่า 15% เท่านั้นที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
       
       นอกจากนี้ นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทยื ได้กล่าวไว้ในการแถลงข่าวเรื่อง “การรณรงค์การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผลในเด็ก : Antibiotics Smart Use in Children (ASU KIDs)” เนื่องในวัน Antibiotic Awareness Day ว่า การใช้ยาปฏิชีวนะมากเกินจำเป็นส่วนหนึ่งนั้นเกิดจากผู้ปกครองด้วย
       
       "ผู้ป่วยเด็กที่มีอาการไข้หวัด-เจ็บคอ ซึ่งมักพบบ่อยในเด็ก 2-5 ปี เป็นโรคที่สามารถหายเองได้โดยภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ควรให้เด็กรับประทานยามากเกินไป โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะ เช่น อะม็อกซีซิลลิน ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ไม่สามารถรักษาอาการไข้หวัด-เจ็บคอ ที่เกิดจากเชื้อไวรัสได้ อีกทั้งยังเป็นอันตรายอาจทำให้เด็กแพ้ยาเพิ่มความเสี่ยงของโรคภูมิแพ้ในเด็ก ที่สำคัญคืออาจเหนี่ยวนำให้เด็กเกิดเชื้อดื้อยาซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กในระยะยาว อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้"

การรับประทานยาปฏิชีวนะโดยที่ไม่จำเป็นนั้น นอกจากจะมีอันตรายคือทำให้เด็กแพ้ยา มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน แล้ว ยังทำให้เชื้อดื้อยาจนรักษายากขึ้นด้วย รวมไปถึงทำให้มูลค่าการใช้ยาปฏิชีวนะในไทยเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งนี้ จากรายงานการผลิตและนำเข้ายาประจำปี 2552 พบว่า ประเทศไทยใช้ยาปฏิชีวนะมูลค่าปีละกว่า 10,000 ล้านบาท มีผู้ติดเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะมากกว่า 100,000 คน อยู่โรงพยาบาลนานขึ้นกว่า 1 ล้านวัน และเสียชีวิตมากกว่า 30,000 คน
       
       ดังนั้น การใช้ยาปฏิชีวนะจึงควรใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น หากมีอาการเจ็บคอ ทางที่ถูกต้องคือควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องก่อนใช้ยาปฏิชีวนะ
       
       ทั้งนี้ ล่าสุด กลุ่มนักศึกษาแพทย์ทั่วประเทศกว่า 150 คน จาก 6 สถาบันคือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และสถาบันพระบรมราชชนก ได้ออกมาทำแฟลชม็อบ เพื่อร่วมต้านการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่สมเหตุผล เมื่อวันที่ 23 พ.ย.ที่ผ่านมา ณ Digital Gateway สยามสแควร์ ซึ่งภายในงานมีการรณรงค์การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุสมผล เพื่อลดการดื้อยา
       
       โดยโรคที่ทำการรณรงค์ว่าสามารถหายเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งยาปฏิชีวนะมีทั้งหมด 3 โรคด้วยกันคือ 1.ท้องเสีย ซึ่ง 99% เกิดจากเชื้อไวรัส หรืออาหารเป็นพิษ เพียงดื่มน้ำเกลือแร่ก็หายได้ เพียงแต่ต้องจำกัดการรับประทานอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารแข็งและนม แล้วรับประทานผงเกลือแร่และน้ำ เพื่อทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไป นอกจากนี้ หากอุจจาระมีมูกเลือดปน และอาการท้องเสียไม่ดีขึ้นใน 24 ชั่วโมง ควรไปพบแพทย์
       
       ซึ่งกลุ่มที่ท้องเสียมีการถ่ายเหลวและมีมูกเลือดปน มีไข้ ตรวจพบเม็ดเลือดขาวและเม็ดเลือดแดงในอุจจาระ กลุ่มนี้จึงจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้ออะมีบา หรือที่มักวินิจฉัยกันว่าเป็นโรคบิด ต้องกินยาฆ่าเชื้อ แต่ควรจะไปพบแพทย์ก่อนที่จะซื้อมารับประทานเอง เพราะจากข้อมูลทางสถิติโดยกรมควบคุมโรคได้รับรายงานจากสถานพยาบาลต่างๆ ในปี 2550 พบว่า ผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงมี1,433,230 ราย มีผู้ป่วยเพียง 19,026 รายที่เข้าข่ายโรคบิด จึงมีผู้ป่วยที่ควคกินยาปฏิชีวนะเพียง 1.3% เท่านั้น
       
       2.หวัด-เจ็บคอ อย่างที่กล่าวไปแล้วนั้นว่ามากกว่า 80% เกิดจากเชื้อไวรัส การพักผ่อนและทำร่างกายให้อบอุ่น ช่วยทำให้ภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายแข็งแรง กำจัดไวรัสได้เร็วขึ้น จึงหายป่วยเร็วขึ้น และ 3.แผลเลือดออก โดยเกิดจากมีดบาด แผลถลอก ถ้าทำความสะอาดอย่างถูกวิธีและป้องกันไม่ให้แผลโดนน้ำ แผลก็จะหายเองได้
       
       ทั้ง 3 โรคที่เป็นโรคที่เกิดขึ้นได้บ่อย จึงไม่จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะเพื่อช่วยให้หายเร็วขึ้นแต่อย่างใด เพราะนอกจากจะไม่ช่วยแล้วยังเป็นการสิ้นเปลืองและเพิ่มความเสี่ยงต่อการดื้อยาด้วย ดังนั้น ก่อนใช้ยาปฏิชีวนะควรปรึกษาแพทย์ก่อนว่าโรคที่เป็นนั้นจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะหรือไม่
       
       ขอบคุณข้อมูลจากแผนงานพัฒนากลไกเฝ้าระวังระบบยา (กพย.)

ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2013, 05:53:13 am »

อย.แฉ! 5 ยาสมุนไพรอันตรายอ้างสรรพคุณโอเวอร์-ไม่ขึ้นทะเบียนยา
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000144444-

   อย.เผยรายชื่อยาสมุนไพรอันตราย 5 ผลิตภัณฑ์ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา ชี้เฉพาะ “ยาสมุนไพร JIE DU DAN ชนิดแคปซูล” นำเลขผลิตภัณฑ์อื่นมาใส่ฉลากแทน เตือนประชาชนอย่าหลงกลและหลงเชื่อ ข้อความอวดอ้างสรรพคุณรักษาได้สารพัดโรค เพราะอาจได้รับอันตรายจากการปนเปื้อน
       
       ดร.นพ.ปฐม สวรรค์ปัญญาเลิศ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้รับเรื่องร้องเรียนจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุราษฎร์ธานีและผู้บริโภคให้ตรวจสอบยาสมุนไพรแผนโบราณ 5 รายการ ได้แก่ 1.ยาสมุนไพร ZIA TU WAN (เซีย ทู หวัน) 2.ผลิตภัณฑ์ พญาดงชุดชะลอความแก่ 3.ผลิตภัณฑ์ตายสิบปี ดีเหมือนเดิม 4.ผลิตภัณฑ์ฮับบาตุส เซาดาห์ “786” เนื่องจากฉลากแสดงข้อความโอ้อวดสรรพคุณรักษาสารพัดโรค อาทิ แก้หัด อีสุกอีใส ป้องกันและรักษานิ่วในไต นิ่วในถุงน้ำดี ต่อมลูกหมากโต มะเร็ง บำรุงกำหนัด บำรุงหัวใจ รักษาโรคเกาต์ อัมพฤกษ์ อัมพาต เบาหวาน เป็นต้น และ 5.ยาสมุนไพร JIE DU DAN ชนิดแคปซูล ระบุเลขทะเบียนตำรับยา สรรพคุณไม่ระบุข้อความภาษาไทย
       
       หลังรับเรื่องร้องเรียน อย.ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรทั้ง 5 รายการดังกล่าวยังไม่ได้ ขึ้นทะเบียนตำรับยา และยังพบว่ายาสมุนไพร JIE DU DAN ได้นำเลขทะเบียนยาผลิตภัณฑ์อื่นมาใส่บนฉลาก จึงขอเตือนผู้บริโภคอย่าได้หลงเชื่อและซื้อมาใช้โดยเด็ดขาด เนื่องจากมักพบว่าผลิตภัณฑ์ที่แสดงสรรพคุณโอ้อวดเกินจริงมักลักลอบใส่ยาหรือสารที่เป็นอันตรายลงไป และการผลิตผลิตภัณฑ์มักไม่ได้คุณภาพมาตรฐาน จึงอาจทำให้ได้รับอันตรายจากการปนเปื้อน ดังนั้น ขอฝากเตือนประชาชนอย่าได้หลงเชื่อยาสมุนไพรแผนโบราณใดๆ ที่แสดงสรรพคุณเกินจริงว่าสามารถรักษาได้สารพัดโรค เพราะนอกจากจะเสียเงินทองโดยเปล่าประโยชน์แล้ว ยังอาจได้รับอันตรายอย่างคาดไม่ถึง มิหนำซ้ำยังอาจเสียโอกาสในการรักษาโรคอย่างถูกต้องอีกด้วย
       
       รองเลขาธิการ อย.กล่าวต่อว่า ก่อนตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ยาใดๆ ขอให้ผู้บริโภคพิจารณาและอ่านฉลากให้ถ้วนถี่เสียก่อน โดยยาแผนโบราณ ฉลากต้องระบุ ชื่อยา เลขทะเบียนตำรับยา เช่น ทะเบียนยาเลขที่ G 888/50 ปริมาณของยาที่บรรจุ เลขที่หรืออักษรแสดงครั้งที่ผลิต ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต วันเดือนปีที่ผลิตยา และแสดงคำว่า “ยาแผนโบราณ” ให้เห็นได้ชัด รวมทั้งแสดงคำว่า “ยาใช้ภายนอก” “ยาใช้เฉพาะที่” ด้วยตัวอักษรสีแดงเห็นได้ชัดเจน แล้วแต่กรณี หรือแสดงคำว่า “ยาสามัญประจำบ้าน” กรณีเป็นยาสามัญประจำบ้าน หรือแสดงคำว่า “ยาสำหรับสัตว์” กรณีเป็นยาสำหรับสัตว์ เป็นต้น ทั้งนี้ หากผู้บริโภคพบเห็นผลิตภัณฑ์ยาที่ไม่ได้ผ่านการขออนุญาตจาก อย.หรือโฆษณาหลอกลวงผู้บริโภค ขอให้ร้องเรียนมายังสายด่วน อย.โทร.1556 หรืออีเมล : 1556@fda.moph.go.th หรือส่งจดหมายไปที่ ตู้ ปณ.1556 ปณฝ.กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือเดินทางมาร้องเรียนด้วยตัวเองพร้อมตัวอย่างผลิตภัณฑ์มาที่ ศูนย์เฝ้าระวังและรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ อย.อาคาร 1 ชั้น 1 ได้ทุกวันในเวลาราชการ เพื่อ อย.จะได้ตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวด และเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภค
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2013, 12:01:55 pm »

แนะ 5 เทคนิคง่ายๆ กินยาไม่สับสน

-http://campus.sanook.com/1370226/%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B0-5-%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%87%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%86-%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%99/-


หมอชี้กินยา"มาก-ซ้ำซ้อน"สุดอันตราย ตับวาย ไตพัง ถึงชีวิตได้ แนะ 5 เทคนิคง่ายๆ กินยาไม่สับสน

นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ภายใต้ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (ทีเซลส์) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กล่าวแสดงความห่วงใยการบริโภคยาที่มากเกินความจำเป็น ว่า ปัจจุบันมียาจำนวนมาก และยาหลายชนิดมีฤทธิ์ซ้ำและก้ำกึ่งกัน เช่น ยาลดไข้ก็สามารถแก้ปวดได้ หรือยาละลายลิ่มเลือดก็แก้ปวดได้ด้วย ทำให้เกิดปัญหายาเป็นพิษ ปัญหานี้มักพบได้กับคนที่ใช้ยาเยอะอยู่แล้ว หรือมียาประจำตัวอยู่แล้ว ต่อไปก็จะเจอปัญหาสับสนกับการใช้ยาเพราะประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมอุดมยา

"กฎข้อห้ามข้อหนึ่งคือการกินยายิ่งมาก ยิ่งเสี่ยงมาก ทั้งพิษจากยาและยาออกฤทธิ์ตีกัน อีกข้อหนึ่งคือ กินยามากไม่ได้ช่วยให้หายมากขึ้น ตรงข้ามอาจทำให้ตับวายมากกว่า" น.พ.กฤษดากล่าว

น.พ.กฤษดากล่าวว่า เพื่อระงับปัญหาจากการกินยามาก เวชศาสตร์อายุรวัฒน์มี 5 เทคนิคจัดโปรแกรมกินยาไม่สับสน แบบง่ายๆ สำหรับคนกินยาเยอะ คือ

1.แยกยาเป็นชนิดเขียนชื่อกำกับไว้ให้ชัดเจน

2.เขียนฉลากโดยเขียนฤทธิ์ยาสั้นๆ ติดไว้ พร้อมวิธีรับประทาน

3.ใช้ตลับแบ่งยา ข้อนี้ช่วยคนกินยาเยอะไม่ให้กินยาซ้ำ เช่น ยาละลายลิ่มเลือดหากกินซ้ำเข้าไปก็อาจทำให้ตกเลือดจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

4.พกยาติดตัวไปหาหมอเพื่อไม่ให้เกิดการจ่ายยาซ้ำ

5.ขอให้ถามหากสงสัย โดยเฉพาะเรื่องของยาซ้ำ ให้ถามแพทย์หรือเภสัชกร

ผู้อำนวยการศูนย์ เวชศาสตร์อายุรวัฒน์ กล่าวว่า จากประสบการณ์การรักษาคนไข้ ได้รับคำถามมากมายเกี่ยวกับภาษาทางเคมีและปฏิกิริยาในทางเภสัชวิทยา ทำให้เกิดความสับสนในเรื่องของการใช้ยา คือ ยาลดความดันกับยาโรคหัวใจ ยากลุ่มนี้มีอยู่มาก บางตัวลดความดันและทำให้หัวใจเต้นช้าลง แต่ถ้ารับประทานผิดคือซ้ำซ้อนจนทำให้มากเกินไปอาจทำให้ หัวใจเต้นช้า มึนศีรษะ หน้ามืด เหนื่อยไม่รู้สาเหตุ ยิ่งกว่านั้นถ้าเป็นภูมิแพ้หอบหืดอยู่จะถึงขั้นหลอดลมตีบเสียชีวิตได้ ยาลดไขมันคอเลสเตอรอลกับยาลดไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ ถูกเรียกให้สับสนว่า "ยาลดไขมัน" เหมือนๆ กัน

การรับประทานที่มากเกินไปและต่อเนื่อง อาจจะส่งผลให้มึนศีรษะ ไม่สบายตัว ปวดตามร่างกายและทำให้ตับทำงานหนักถึงขั้นเสื่อมเร็วได้ ยาแก้ปวดกับ ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาประเภทนี้มักถูกจ่ายคู่กันซึ่งในหลายครั้งไม่จำเป็นต้องกินควบเลย เพราะการได้รับมากไปใช่ว่าจะทำให้ดีขึ้น หลักง่ายคือห้ามคิดว่า ปวดมากต้องกินยามาก อันนี้จะอันตรายหนักขึ้น

"ยาแก้แพ้กับยาแก้หวัด เป็นยาที่ถูกจ่ายบ่อยมากทั้งเด็กและผู้ใหญ่ มีหลักง่ายคือ ยาแก้แพ้บางชนิดไม่ใช่ยาแก้หวัด และยาแก้หวัดบางชนิดก็ไม่อาจแก้แพ้ได้ ข้อสำคัญคืออย่าใช้ซ้ำซ้อนกันมาก หากเป็นหวัดไปหาคุณหมอขอให้บอกว่าท่านใช้ยาเหล่านี้อยู่ครับจะได้ไม่ถูกจ่าย ยาซ้ำ ยาแก้อักเสบกับยาฆ่าเชื้อ (ยาปฏิชีวนะ) ยา 2 ชนิดนี้ไม่ใช่ยาตัวเดียวกันเลย แต่ถูกจับมาเรียกจนคุ้นปากคุ้นหู ขอให้ทราบว่ายาแก้อักเสบมีอยู่กว้างมากและฆ่าเชื้อไม่ได้

ส่วนยาฆ่าเชื้อนั้นก็ใช่ว่าจะแก้อักเสบได้เสมอไป ถ้าใช้ยาฆ่าเชื้อนานไปจะเสี่ยงเชื้อดื้อยา มากขึ้นด้วย ยาคลายเครียดกับยานอนหลับ ยากลุ่มคลายเครียดอาจมีฤทธิ์ง่วงก็จริงแต่ไม่ใช่ยาช่วยให้หลับเพราะยาคลาย เครียดหรือต้านซึมเศร้ามีฤทธิ์ไปกวนสารเคมีในสมองทำให้เกิดอาการง่วงซึมได้ การรับประทานคู่กันจะยิ่งอันตรายต่อเคมีในสมองมากขึ้น

ยาลดไข้กับยาแก้ปวด ท่านที่ทานยาแก้ปวดเป็นประจำอยู่ เมื่อมีไข้ขอให้ระวังการทานยาลดไข้เพิ่ม และให้หยุดยาแก้ปวดก่อน เพราะยาทั้งสองชนิดมีฤทธิ์ซ้ำซ้อนกันมาก และพิษก็ซ้ำซ้อนกันมากด้วย

ยาโรคกระเพาะกับยาแก้ปวดบิดไส้ เวลาปวดท้องหมออาจจะให้ยาร่วมกันมาทั้ง 2 ชนิด ขอให้ดูให้ดีก่อนรับประทาน หากเป็นโรคกระเพาะไม่มากอาจไม่ต้องกินยาแก้ปวด หรือท่านที่ปวดท้องแต่ไม่แน่ใจว่าจากลำไส้ขอให้เลี่ยงยาแก้ปวดบิดไส้ไว้ก่อนยาช่วยระบายกับยาถ่าย ยกตัวอย่างยาช่วยระบายเช่น ใยอาหาร มะขามแขก ส่วนยาถ่ายคือแบบที่ทำให้ปวดลำไส้ถ่ายเหลวคล้ายท้องเสีย หากรับประทานร่วมกันจะทำให้เกิดอันตรายถ่ายจนถึงขั้นช็อกได้

ยาละลายลิ่มเลือดกับยาช่วยเลือดไหลคล่อง ยาละลายลิ่มเลือดอย่าง "แอสไพริน" ถ้ากินกับยาที่ทำให้เลือดไหลคล่องอย่าง "วาร์ฟาริน" จะทำให้เกิดเลือดออกได้มากหากไม่ระวัง ดังนั้น เทคนิคคือไม่ควรรับประทานร่วมกันและหมั่นเจาะเลือดดูการแข็งตัวของเลือดอยู่เสมอ

ยาสร้างเม็ดเลือดกับยาธาตุเหล็ก ยา 2 ชนิดนี้บางทีถูกจ่ายคู่กัน แม้จะทานร่วมกันได้แต่มันมีพิษโดยเฉพาะกับ "ธาตุเหล็ก" ในกรณีที่โลหิตจางอย่างไม่แน่ใจขอให้เลี่ยงธาตุเหล็กไว้ก่อนเพราะมันเป็นพิษ กับโลหิตจางชนิด "ธาลัสซีเมีย" ส่วนยาสร้างเม็ดเลือดที่เป็น "โฟลิก" นั้นปลอดภัยรับประทานได้ในเลือดจางทุกประเภท
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: พฤศจิกายน 08, 2013, 05:43:13 am »

6 เรื่องควรรู้วิธีดูฉลาก ไม่ตกเป็นเหยื่อ “ยาเถื่อน-เครื่องสำอางปลอม”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    7 พฤศจิกายน 2556 23:20 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000139120-




    เห็นสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ออกมาแถลงข่าวการจับกุมสินค้าผิดกฎหมายคราใด ก็ให้รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยต่อชีวิตแทบทุกครั้ง เพราะสินค้าผิดกฎหมายที่อยู่ในความดูแลของ อย.นั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตของคนไทยเราแทบทั้งสิ้น ไล่ตั้งแต่อาหาร ยา เครื่องสำอาง ไปจนถึงเครื่องมือทางการแพทย์

       ล่าสุด ก็เพิ่งมีข่าวบุกทลายโรงงานยาเถื่อนย่านสายไหม มูลค่ารวมราว 10 ล้านบาท พบว่า ไม่มีการขึ้นทะเบียนตำรับยาตามกฎหมาย รวมไปถึงจับกุมฝรั่งชาวเดนมาร์กนำเข้ายาฮอร์โมนเพิ่มกล้ามเนื้อ ที่ไม่ขึ้นทะเบียนตำรับยาเช่นกัน และเวย์โปรตีนที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับอาหาร และที่ผ่านๆ มา ก็มีทั้งเครื่องสำอางที่มีสารพิษอย่างพวก สารตะกั่ว สารไฮโดรควิโนน เป็นส่วนประกอบ รวมถึงไม่มีเครื่องหมาย อย.มีการสวมเลขทะเบียน เป็นต้น ซึ่ง อย.ก็ทำได้แค่ออกเตือนให้ระวังสินค้าเหล่านี้ ด้วยวิธีการดูฉลาก เพราะหากซื้อมาอุปโภคหรือบริโภคก็คงจะอันตรายมิใช่น้อย
       
       แม้ อย.พยายามแนะนำให้ประชาชนดูฉลากผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะมีระบุถึงเครื่องหมาย อย.ข้อมูลต่างๆ ของสินค้าไปจนถึงผู้ผลิต เพื่อช่วยสกรีนเบื้องต้นว่าสินค้านั้นมีความน่าเชื่อถือหรือไม่อย่างไร ถึงกระนั้นก็ยังคงมีการสวมเลขทะเบียน หรือทำทะเบียนปลอมขึ้นมาหลอกลวง แล้วประชาชนจะรู้ได้อย่างไรว่าฉลากแบบไหนคือของจริง เพราะที่ผ่านมา อย.ก็แทบไม่เคยออกมาให้ข้อมูลในเรื่องดังกล่าว หรือมีแหล่งค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อเป็นความรู้ให้แก่ประชาชน
       
       อย่างไรก็ตาม ขณะนี้แม้ อย.จะสร้างแอปพลิเคชันให้ตรวจสอบเลขทะเบียนสินค้าได้ แต่ก็เป็นเพียงในส่วนของเครื่องสำอางเท่านั้น ดังนั้น การสร้างความรู้ติดอาวุธให้สมองด้วยตัวเราเอง ก็น่าจะเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้เราไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของสินค้าอันตรายและหลอกลวงผู้บริโภคอีกต่อไป
       
       ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับฉลากผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในความดูแลของ อย.ก่อนว่า สินค้าเหล่านั้นมันมีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร เพราะสมัยนี้ก็ไว้ใจไม่ได้ มีการเอาเครื่องหมาย อย.สำหรับอาหาร มาใส่ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางก็มี ทั้งนี้ในคู่มือ “กินดี ใช้เป็น คนไทยไกลโรค” จัดทำโดย อย.ได้ให้ข้อมูลไว้ดังนี้
       
       
       
       1.ฉลากผลิตภัณฑ์อาหาร
       
       หากได้รับอนุญาตจาก อย.แล้ว จะต้องแสดงเครื่องหมาย อย.บนฉลาก เรียกว่า “เลขสารบบอาหาร” ซึ่งจะมีตัวเลข 13 หลัก อยู่ในกรอบเครื่องหมาย อย.เช่นนี้ xx-x-xxxxx-x-xxxx ส่วนข้อความอื่นๆ ในฉลาก ได้แก่ ชื่ออาหาร ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิตหรือแบ่งบรรจุ หรือสำนักงานใหญ่ของสถานที่ผลิตหรือแบ่งบรรจุ วันเดือนปีที่ผลิต และวันเดือนปีที่หมดอายุ น้ำหนักสุทธิ ส่วนประกอบที่สำคัญ เลขสารบบอาหาร คำเตือน คำแนะนำในการเก็บรักษา และวิธีปรุงเพื่อรับประทาน
       
       แต่หากเป็นผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปที่บรรจุในภาชนะพร้อมจำหน่าย อาหารทั่วไป เช่น กะปิ พริกไทย เครื่องปรุงรส เป็นต้น สถานที่ผลิตต้องผ่านหลักเกณฑ์ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข โดยไม่กำหนดให้ต้องขอเลขสารบบอาหาร แต่หากต้องการแสดงเครื่องหมาย อย.บนฉลาก ก็สามารถยื่นขอได้ ตามสมัครใจ
       
       
       
       
       2.ฉลากผลิตภัณฑ์ยา
       
       ผลิตภัณฑ์ยาทุกชนิดทั้งยาแผนปัจจุบันและยาแผนโบราณ จะไม่มีเครื่องหมาย อย.แสดงบนฉลาก แต่จะแสดงเลขที่รหัสใยบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยา หรือที่เรียกว่า “เลขทะเบียนตำรับยา” เช่น 1A12/35 G 99/55 โดยฉลากยาและเอกสารกำกับยาจะต้องแสดงรายละเอียดดังนี้ ชื่อยา เลขทะเบียนตำรับยา ชื่อและปริมาณ หรือความแรงของสารออกฤทธิ์ที่เป้นส่วนประกอบ (กรณียาแผนปัจจุบัน) เลขที่หรืออักษรแสดงครั้งที่ผลิตหรือวิเคราะห์ หรือ Lot. Number ชื่อและที่ตั้งผู้ผลิต นำหรือสั่งยาเข้ามาในราชอาณาจักร วันเดือนปีที่หมดอายุ เช่น Exp. หรือ Exp date หรือข้อความว่า “ยาสิ้นอายุ” แล้วตามด้วยวันเดือนปีที่หมดอายุ นอกจากนี้ ยังมี คำว่า “ยาอันตราย” “ยาควบคุมพิเศษ” “ยาใช้เฉพาะที่” “ยาใช้ภายนอก” ตามแต่กรณี คำว่า “ยาสามัญประจำบ้าน” “ยาแผนโบราณ” “ยาสำหรับสัตว์” ตามแต่กรณี วิธีใช้ และคำเตือน
       
       ทั้งนี้ ตัวเลขที่นำหน้าตัวอักษรจะมีเฉพาะยาแผนปัจจุบันเท่านั้น มีความหมายดังนี้ เลข 1 หมายถึง ยาที่มีตัวยาสำคัญที่ออกฤทธิ์เพียงตัวเดียว เลข 2 หมายถึงยาที่มีตัวยาสำคัญออกฤทธิ์ตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป
       
       ตัวอักษร A-F เป็นตัวอักษรสำหรับยาแผนปัจจุบัน มีความหมายดังนี้ A คือ ยามนุษย์ผลิตภายในประเทศ B คือ ยามนุษย์แบ่งบรรจุ C คือ ยามนุษย์น้ำหรือสั่งเข้า D คือ ยาสัตว์ผลิตภายในประเทศ E คือ ยาสัตว์แบ่งบรรจุ F คือ ยาสัตว์น้ำหรือสั่งเข้า ส่วนตัวอักษร G-N เป็นตัวอักษรสำหรับยาแผนโบราณ โดย G คือ ยามนุษย์ผลิตภายในประเทศ H คือ ยามนุษย์แบ่งบรรจุ K คือ ยามนุษย์น้ำหรือสั่งเข้า L คือ ยาสัตว์ผลิตภายในประเทศ M คือ ยาสัตว์แบ่งบรรจุ N คือ ยาสัตว์น้ำหรือสั่งเข้า
       
       
       
       3.ฉลากผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง
       
       ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางทุกชนิดจะไม่มีเครื่องหมาย อย.แสดงบนฉลาก แต่จะต้องแสดงเลขที่ใบรับแจ้ง เป็นตัวเลข 10 หลัก เช่น 10-1-5512345 พร้อมทั้งฉลากภาษาไทยมีรายละเอียดดังนี้ ประเภทหรือชนิดของเครื่องสำอาง ชื่อการค้าและชื่อเครื่องสำอาง (ต้องมีขนาดใหญ่กว่าข้อความอื่น) ชื่อสารทุกชนิดที่ใช้เป็นส่วนผสม เรียงลำดับจากสารที่มีปริมาณมากไปสารที่มีปริมาณน้อย วิธีใช้ คำเตือน ชื่อ-ที่ตั้งของผู้ผลิต ปริมาณสุทธิ เลขที่แสดงครั้งที่ผลิตเครื่องสำอาง เดือน/ปีที่ผลิต เดือน/ปีที่หมดอายุ (กรณีมีอายุการใช้งานน้อยกว่า 30 เดือน) และเลขที่ใบรับแจ้ง
       
       
       
       4.ฉลากเครื่องมือแพทย์
       
       เครื่องมือแพทย์ มี 3 ประเภท มีการแสดงเครื่องหมาย อย.ที่แตกต่างกัน
       
       -เครื่องมือแพทย์ที่ต้องมีใบอนุญาต ได้แก่ ถุงยางอนามัย ถุงมือสำหรับศัลยกรรม ชุดตรวจที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อเอชไอวี คอนแทกต์เลนส์ เป็นเครื่องมือแพทย์ที่ต้องแสดงข้อความบนฉลากเป็นภาษาไทย เช่น ชื่อเครื่องมือแพทย์ ชื่อและสถานที่ตั้งของผู้ผลิต ปริมาณที่บรรจุ เลขที่หรืออักษรแสดงครั้งที่ผลิต เลขที่ใบอนุญาตหรือเลขที่ใบรับแจ้งรายละเอียด ข้อบ่งใช้ วิธีการใช้ และวิธีการเก็บรักษา ให้แสดงข้อความว่า “ใช้ได้ครั้งเดียว” คำเตือนและข้อควรระวัง อายุการใช้งาน และเครื่องหมาย อย.บนฉลาก โดยตัวอย่างเครื่องหมายจะมีข้อความ ผ 999/2550 ในเครื่องหมาย อย ซึ่งหมายถึงผลิต หรือ น 999/2550 ในเครื่องหมาย อย หมายถึงนำเข้า
       
       -เครื่องมือแพทย์ที่ต้องแจ้งรายการละเอียด ได้แก่ เครื่องใช้หรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้เพื่อกายภาพบำบัด เครื่องตรวจวัดระดับหรือปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกาย เต้านมเทียมซิลิโคนใช้ฝังในร่างกาย เป็นต้น เป็นเครื่องมือแพทย์ที่ต้องแสดงฉลากเหมือนกัน แต่ไม่ต้องแสดงเครื่องหมาย อย.ให้แสดงเลขที่ใบรับแจ้งบนฉลาก
       
       -เครื่องมือแพทย์ทั่วไป ได้แก่ เตียงผ่าตัด เครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด เครื่องตรวจวัดความดันโลหิต เป็นเครื่องมือแพทย์ที่ไม่มีการบังคับให้แสดงฉลากภาษาไทย และไม่ต้องแสดงเครื่องหมาย อย.หรือเลขที่รับแจ้งบนฉลาก
       
       
       
       5.ฉลากผลิตภัณฑ์วัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้านเรือน
       
       ผลิตภัณฑ์นี้จะมีการแสดงฉลาก 3 แบบ โดย วัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้านเรือน ที่ฉลากต้องมีเลขทะเบียนในกรอบเครื่องหมาย อย. เช่น วอส.999/2550 เช่น ผลิตภัณฑ์ป้องกันกำจัด/ไล่แมลง ผลิตภัณฑ์กำจัดหนู ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้นผิวประเภท กรด-ด่าง ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคที่ใช้ในบ้านเรือน ผลิตภัณฑ์ลบคำผิด เป็นต้น
       
       ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ต้องมีเครื่องหมาย อย.แต่ต้องมีเลขที่รับแจ้งข้อเท็จจริง ตัวอย่าง 999/2550 ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ล้างจาน ผลิตภัณฑ์ซักผ้า ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้น ฝาผนัง เครื่องสุขภัณฑ์และวัสดุต่างๆ ที่มีเฉพาะสารลดแรงตึงผิวบางชนิดเป็นสารสำคัญ ผลิตภัณฑ์ประเภทคลอรีนที่ใช้ในการฆ่าเชื้อโรคหรือกำจัดกลิ่นในสระว่ายน้ำ เป็นต้น
       
       สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องแสดงเครื่องหมาย อย.ได้แก่ ก้อนดับกลิ่น/ลูกเหม็น
       
       
       
       และ 6.ตรวจผ่านแอปพลิเคชัน Oryor Smart Application
       
       แอปพลิเคชันนี้มีประโยชน์ต่อผู้บริโภค เพราะสามารถเข้ามาเช็กข้อมูลได้ว่า ผลิตภัณฑ์ใดบ้างที่ขึ้นทะเบียนรับรองจาก อย.หรือผลิตภัณฑ์ใดปลอมเลขทะเบียน โดยการคีย์ตัวเลขสารบบว่า ถูกต้องกับระบบของ อย.หรือไม่ ก็จะทราบทันที โดย นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการ อย.กล่าวว่า อย.เตรียมพัฒนาแอปพลิเคชันเวอร์ชัน 2 เพื่อเพิ่มศักยภาพให้มากขึ้น ซึ่งเวอร์ชันแรกจะเน้นตรวจสอบเลขที่ใบรับแจ้งกลุ่มเครื่องสำอางเป็นหลัก แต่เวอร์ชัน 2 จะครอบคลุมทั้งเลขทะเบียนตำรับยา เลขสารบบอาหารของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และผลิตภัณฑ์วัตถุอันตราย เป็นต้น เป็นการเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนในการตรวจสอบข้อมูลมากขึ้น เพราะปัจจุบันสินค้าแม้จะมีเลข อย.แต่ก็อาจเป้นการสวมทะเบียนหรือเป็นเลขปลอมก็ได้ จึงต้องมีช่องทางในการตรวจสอบให้รับรู้ ซึ่งแอปพลิเคชันดังกล่าวสามารถตรวจเช็กข้อมูลได้รวดเร็ว ตลอด 24 ชั่วโมง