ผู้เขียน หัวข้อ: รวมเคล็ดไม่ลับ กับการใช้ยา  (อ่าน 8533 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
รวมเคล็ดไม่ลับ กับการใช้ยา
« เมื่อ: ตุลาคม 07, 2012, 10:04:01 am »
ยา...อันตราย ถ้าใช้ไม่เป็น?
-http://health.kapook.com/view47820.html-




ยา…อันตราย ถ้าใช้ไม่เป็น? (e-magazine)

          จริงอยู่ที่ยาเป็นสิ่งดีมีคุณอนันต์ แต่ขณะเดียวกันก็มีโทษมหันต์ ถ้าใช้ไม่เป็น โดยความเข้าใจของคนส่วนใหญ่มักนึกว่า "ยา" คือ สิ่งที่ใช้บรรเทาหรือรักษาให้เราหายจากโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ แล้วจะมีโทษมหันต์ได้อย่างไร แต่แท้จริงแล้วยาเปรียบเสมือนดาบสองคม หากรู้จักใช้อย่างถูกต้องก็จะเป็นประโยชน์ สามารถนำไปแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายของคนเราได้ ช่วยให้มนุษย์มีชีวิตยืนยาวขึ้น เจ็บปวดน้อยลง แต่ถ้าใช้ยาไม่ถูกต้องหรือถูกวิธี นอกจากจะทำให้ไม่หายจากโรคแล้ว ยังอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

ดูสักนิดก่อนใช้ยา

          ก่อนที่จะหยิบหยูกยามาใช้ คุณควรระมัดระวังสักนิด โดยต้องศึกษาวิธีการใช้ยาอย่างละเอียด อ่านคำเตือน และข้อควรระวังก่อนใช้ยานั้น ๆ และเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษานั่นเอง ก่อนกินยาทุกครั้งต้องดูให้แน่ใจว่า ยานั้นต้องกินก่อน หรือหลังอาหาร หรือพร้อมอาหาร ในขนาดหรือปริมาณเท่าไร ยาก่อนอาหารควรกินก่อนอาหาร ประมาณครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง ส่วนยาหลังอาหารส่วนมากกินหลังอาหารหนึ่งชั่วโมง แต่บางชนิดจะระบุให้กินหลังอาหารทันที จึงต้องแน่ใจว่า ยานั้น ๆ ใช้อย่างไร นอกจากนี้การกินยาควรกินกับน้ำธรรมดา หรือน้ำอุ่น ไม่ควรกินกับเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต ไม่ควรกินยากับน้ำชา กาแฟ น้ำอัดลม หรือน้ำผลไม้เช่นกัน

ยากับลูกน้อย

          การใช้ยาที่ควรระวังเป็นพิเศษก็คือ การใช้ยาในเด็ก ต้องแน่ใจว่า ยาที่ได้มานั้นสำหรับเด็กเท่านั้น และการใช้ยาจะต้องถามแพทย์หรือเภสัชกรให้แน่ใจ หรือดูฉลากยาให้ละเอียดด้วยว่าเด็กมีน้ำหนักตัวเท่าไร ถ้าเด็กตัวเล็ก น้ำหนักน้อย ยาบางชนิดจะระบุให้ใช้ในปริมาณที่ต่ำกว่าเด็กที่มีน้ำหนักตัวมากกว่า แม้ว่าจะอายุเท่ากันก็ตาม เช่น การใช้ยาลดไข้ พาราเซตามอลกับเด็ก ถ้ารับประทานเกินขนาด อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้




เก็บยาให้เป็น

          สำหรับการเก็บรักษายา ควรเก็บไว้บนที่สูงที่เด็กเอื้อมไม่ถึง อย่าปล่อยให้ยาโดนแสงแดด หรือความชื้น หรือเก็บไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิสูง เพราจะทำให้ยาเสื่อมคุณภาพเร็วกว่ากำหนด เมื่อเปิดใช้ยาแล้วควรปิดฝาให้สนิทป้องกันฝุ่น แมลง หรือความชื้นเข้า ไม่ควรเก็บยาหลาย ๆ ชนิดไว้ในขวดเดียวกัน เพราะอาจทำให้ยาเสียได้ ไม่ควรเก็บยาไว้นาน ๆ ต้องดูวันหมดอายุของยา อย่าเผลอกินยาที่หมดอายุแล้ว เพราะอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้เช่นกัน

          นอกจากนี้ แม้ยาบางชนิดจะไม่ระบุวันหมดอายุไว้ที่แผงยา หรือบรรจุภัณฑ์ แต่โดยทั่วไปสภาพของยาจะมีอายุอยู่ได้นานเป็นเวลาประมาณ 2-3 ปี หลังจากวันที่ผลิต แต่ยาบางชนิดเมื่อเปิดใช้แล้วก็อาจมีอายุการใช้สั้น เช่น ยาหยอดตา ซึ่งจะมีอายุหลังเปิดใช้เพียง 1 เดือนเท่านั้น หรือยาปฏิชีวนะที่ต้องผสมน้ำสำหรับให้เด็กรับประทาน หลังจากผสมน้ำแล้วยาตัวนั้นจะมีอายุอยู่ได้เพียง 7 วัน หมายความว่าหลังจาก 7 วันแล้วไม่ควรนำยานั้นมาใช้อีกต่อไป

ใช้ให้ถูก

          วิธีการใช้ยาแต่ละชนิดเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องทราบและใช้ให้ถูกวิธีดังกล่าวแล้ว ตัวอย่างการใช้ยาให้ถูกวิธี เช่น การกินยาฆ่าเชื้อราที่ผิวหนัง หากเป็นชนิดรับประทานวันละ 1 เม็ด ควรรับประทานเวลาเช้า เพื่อให้ยาสามารถซึมออกมากับเหงื่อช่วงที่ร่างกายเราเคลื่อนไหวในเวลากลางวัน หรืออย่างแคลเซียมคาร์บอเนต ก็ต้องรับประทานหลังอาหารเพราะตัวยาจะถูกดูดซึมได้ดีเมื่อกระเพาะมีการหลั่งกรดออกมามาก หรืออย่างยาระบายไม่ควรกินร่วมกับนม เพราะอาจทำให้เกิดอาการคลื่นเหียน อาเจียน ท้องเสียได้

          ส่วนยาประเภทซัลฟา ให้กินหลังอาหารและดื่มน้ำตามมาก ๆ เพื่อป้องกันมิให้ยาตกตะกอน ซึ่งอาจมีส่วนทำให้เป็นนิ่วที่ไตได้ในภายหลัง เป็นต้น และเพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง ในการไปพบแพทย์ควรแจ้งให้แพทย์ทราบด้วยว่า ขณะนี้คุณกำลังกินยาอะไรอยู่บ้าง ถ้าจำไม่ได้ ให้นำยาทั้งหมดไปให้แพทย์ดูด้วย เพื่อที่แพทย์จะได้สั่งยาไม่ซ้ำ หรือยาที่ไม่มีปฏิกิริยาต่อกัน และอย่าลืมแจ้งด้วยว่าคุณแพ้ยาอะไร ตลอดจนควรบอกให้แพทย์ทราบว่าคุณมีโรคประจำตัว หรือกำลังป่วยด้วยโรคอะไร เช่น โรคตับ โรคไต โรคกระเพาะอาหาร หรือกำลังตั้งครรภ์ เพื่อที่แพทย์จะได้เลี่ยงการจ่ายยาที่เป็นอันตรายกับโรคที่คุณเป็นอยู่นั้น

          ก่อนจะใช้ยา ให้คุณคิดถึงหลักเกณฑ์ ถูกต้อง ถูกวิธี ถูกเวลา ถูกเงื่อนไข ถูกขนาด และถูกกับโรค จึงจะสัมฤทธิ์ผล และมีประสิทธิภาพต่อการรักษาโรคอย่างแท้จริงและมีความปลอดภัย


ลิขสิทธิ์บทความของ e-magazine.info
ติดตามบทความ สุขภาพ หรืออ่าน แมกกาซีน

-http://www.e-magazine.info/site/-

-http://www.e-magazine.info/site/category/article/healthy/-

.


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวมเคล็ดไม่ลับ กับการใช้ยา
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ตุลาคม 07, 2012, 10:06:57 am »
ตะเวณเที่ยว โปรดยาลืมยา
-http://www.e-magazine.info/site/2012/09/%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B7/-

http://www.e-magazine.info/site/2012/09/%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B7/

ถึงเวลาแบกเป้าเข้าป่าเข้าเขากันแล้ว เรื่องของร่างกายแน่นอนว่าจะต้องพร้อม

 แต่ทว่าเจ้ากระเป๋าใบเบ้อเริ่มของคุณมีที่ว่างพอสำหรับหยูกยาที่ควรตระเตรียมขณะออกเที่ยวแล้วหรือยัง หากแต่ว่าคุณๆ นักท่องเที่ยวจะไม่แน่ใจว่าควรหยิบยาอะไรไป วันนี้อีแมกกาซีนมีคำตอบ

ภญ.จินตนา แสงโพธิ์ จากโรงพยาบาลภูเขียว เผยว่า ยาที่ทุกคนควรพกติดกระเป๋าไปเที่ยวด้วยนั้น นับว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นยิ่งนัก เพราะบางครั้งระหว่างทาง คุณอาจไม่ได้พบกับร้านขายยา ซึ่งแน่นอนว่า ผลร่ายที่เกิดกับร่างกายจะทำให้การออกเที่ยวหมดสนุดไปได้อย่างแน่นอน

ยาสามัญประจำบ้านที่ควรพกติดเป้ไปท่องเที่ยว

1. ยาเม็ดแก้เมารถ เมาเรือ ไดเมนไฮดริเนท

เป็นยาในกลุ่มแอนตี้ฮิสตามีนออกฤทธิ์โดยตรงที่อวัยวะควบคุมการทรงตัวในหูชั้นใน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเมารถ เมาเรือ วิธีใช้เพื่อป้องกันอาการเมารถ เมาเรือ ในผู้ใหญ่ รับประทานครั้งละ 1 เม็ด ก่อนออกเดินทางอย่างน้อย 30 นาที ไม่ควรรับประทานเมื่อมีอาการแล้ว เพราะยาจะปนออกมากับอาเจียนโดยที่ไม่ถูกดูดซึมเข้าร่างกาย

ยานี้เมื่อรับประทานแล้วจะทำให้เกิดอาการง่วงซึม ดังนั้น ไม่ควรขับขี่ยานยนต์ หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล

2. ยาเม็ดบรรเทาปวด ลดไข้ พาราเซตามอล ขนาด 500 มิลลิกรัม

ใช้สำหรับลดไข้ หรือบรรเทาอาการปวด ให้รับประทานทุก 4 หรือ 6 ชั่วโมงเมื่อมีอาการ ในขนาด...

- ผู้ใหญ่ ให้รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด

- เด็กอายุ 6-12 ปี ให้รับประทานครั้งละ 1/2-1 เม็ด

- ไม่ควรรับประทานเกินวันละ 5 ครั้ง และเมื่อหายจากอาการปวดหรือไข้แล้วให้หยุดยา ไม่ควรใช้ยาติดต่อกันเกิน 5 วัน และห้ามใช้ยานี้รักษาอาการปวดเมื่อยจากการทำงานหนัก

3. ยาเม็ดแก้แพ้คลอร์เฟนิรามีน

บรรเทาอาการแพ้หรือลมพิษที่เกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน ขนาดและวิธีใช้ของยานี้ คือ รับประทานยาทุก 4-6 ชั่วโมงเมื่อมีอาการ

- ผู้ใหญ่ รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด ไม่ควรรับประทานเกินวันละ 12 เม็ด

- เด็กอายุ 6-12 ปี ให้รับประทานครั้งละ 1 เม็ด และไม่เกินวันละ 6 เม็ด

- ยานี้อาจทำให้ง่วงซึม จึงควรหลีกเลี่ยงการขับรถ การทำงานกับเครื่องจักรกล


4. ผงน้ำตาลเกลือแร่ (โอ อาร์ เอส)

สรรพคุณของยาตำรับนี้ จะช่วยทดแทนการเสียน้ำในรายที่มีอาการท้องเสีย หรือในรายที่อาเจียนมาก และป้องกันการช็อคเนื่องจากร่างกายขาดน้ำ วิธีใช้ คือ ละลายยาในน้ำสะอาด เช่น น้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว ประมาณ 250 มิลลิลิตร (1 แก้ว) ให้ดื่มมาก ๆ เมื่อเริ่มมีอาการท้องร่วง ถ้าถ่ายบ่อยให้ดื่มบ่อยครั้งขึ้น ถ้าอาเจียนด้วยให้ดื่มทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง

เด็กอายุมากกว่า 2 ปี-ผู้ใหญ่ ให้ดื่ม 1 แก้ว ต่อการถ่ายอุจจาระ 1 ครั้ง หรือตามความกระหาย

เด็กอ่อน-เด็กอายุ 2 ปี ให้ดื่มทีละน้อย สลับกับน้ำเปล่าประมาณวันละ 3 ซอง หรือมากพอที่ผู้ป่วยต้องการ และดื่มต่อไปจนกว่าอาการจะดีขึ้น

5. ยาเม็ดลดกรดอะลูมินา-แมกนีเซีย

ประกอบด้วยตัวยาอะลูมิเนียมไฮดร็อกไซด์ และ แมกนีเซียมไฮดร็อกไซด์ ซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่าง เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วยาจะไปเจือจางกรดในกระเพาะอาหาร มีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดท้อง จุกเสียด ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ เนื่องจากมีกรดในกระเพาะอาหารมาก หรือมีแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้

การรับประทานให้รับประทานยาครั้งแรกเมื่อมีอาการปวดท้อง หรือจุกเสียด ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ โดยเคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน พร้อมด้วยน้ำสัก 1-2 แก้ว หากอาการยังไม่หาย ก็ให้รับประทานต่อ โดยรับประทานก่อนอาหารครึ่งชั่วโมง หรือหลังอาหาร 1 ชั่วโมง แล้วแต่สะดวก

6. ยาหม่องชนิดขี้ผึ้ง

มีตัวยาที่เป็นสารระเหยง่าย มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ได้แก่ เมธิลซาลิซิเลต การบูร เมนธอล น้ำมันกานพลู ยูคาลิปตัส น้ำมันสน เป็นต้น มีสรรพคุณทำให้ผิวหนังระคายเคือง ทำให้บริเวณที่ทายามีเลือดมาเลี้ยงมากขึ้น ผิวหนังจะมีสีแดง และรู้สึกร้อนขึ้น เลือดมีการหมุนเวียนดี กล้ามเนื้อคลายตัว จึงทำให้บรรเทาอาการปวดได้ และยังมีสรรพคุณเป็นยาชาเฉพาะที่ ทำให้ลดความเจ็บปวด และลดอาการคันได้ด้วย

ใช้ทาและนวดบริเวณที่ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และยังสามารถใช้บรรเทาอาการปวดบวม คัน เนื่องจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ โดยทั่วไปใช้ทาวันละ 3-4 ครั้ง


7. ยาใส่แผล โพวิโดน-ไอโอดีน

ใช้เมื่อเกิดแผลถลอกหรือแผลมีเลือดออก สิ่งสำคัญที่สุด คือ การห้ามเลือด และการทำความสะอาด โดยการทำความสะอาดแผลสามารถทำได้ด้วยการใช้สบู่และน้ำ หรือใช้น้ำสะอาดเพียงอย่างเดียวล้างบริเวณแผล เพื่อชำระสิ่งสกปรก

ลิขสิทธิ์บทความของ e-magazine.info

ติดตามบทความ สุขภาพ หรืออ่าน แมกกาซีน

(ติดต่อขอใช้บทความที่ฝ่ายการตลาด)

ที่มาข้อมูล : www.e-magazine.info


.


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวมเคล็ดไม่ลับ กับการใช้ยา
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2012, 06:27:40 am »
ต้อหินกับการใช้ยา
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9550000123923-
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
10 ตุลาคม 2555 00:35 น.


การมองเห็นของคนปกติ



การมองเห็นของคนเป็นต้อหิน



ต้อหินอาจพบในเด็กเล็กได้โดยจะมีตาโตและกระจกตาขุ่น


โดย...รศ.นพ.นริศ กิจณรงค์
       ภาควิชาจักษุวิทยา
       
       การเกิดโรคต้อหิน อาจพบได้ในผู้สูงอายุ ผู้ที่สายตาสั้น หรือยาวมากๆ ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน และยังเชื่อว่า เกิดจากกรรมพันธุ์ แต่สาเหตุสำคัญอีกอย่างที่ทำให้เกิดต้อหินได้เช่นกัน ก็คือ การใช้ยาหยอดตาประเภท สเตียรอยด์ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น เพราะยากลุ่มนี้สามารถรักษาอาการคัน และระคายเคืองตาได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยรักษาโรคภูมิแพ้ต่างๆ ได้ด้วย จึงทำให้คนทั่วไปนิยมซึ้อมาใช้เอง หรือนำตัวอย่างยาที่เคยได้รับจากจักษุแพทย์ไปหาซื้อมาใช้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ดวงตาได้รับปริมาณยามากเกินไป ความดันตาจะสูงขึ้นจนถึงขั้นทำให้เกิดโรคต้อหิน ตาจะมัวลงเรื่อยๆ จนถึงขั้นตาบอดสนิทได้
       
       ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นต้อหินจากการใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ นอกจากจะพบในผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ หรือการอักเสบเรื้อรังที่ตา และจำเป็นต้องรักษาด้วยการหยอดยาลดการอักเสบประเภทสเตียรอยด์แล้ว ยังพบได้ในผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานานทั้งยารับประทาน ยาฉีด ยาพ่นจมูก รวมถึงยาป้ายผิวหนังบริเวณใบหน้า หรือรอบดวงตา เช่น โรคผื่นแพ้ที่ผิวหนัง ผู้ป่วยโรคไต ผู้ป่วยภาวะภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติที่ต้องได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยโรคหอบหืดเรื้อรัง เป็นต้น ผู้ป่วยกลุ่มนี้จึงควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ และไม่ควรซื้อยามาใช้เอง เพราะอาจเป็นได้ทั้งต้อหินและต้อกระจก
       
       การตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคต้อหิน จำเป็นต้องไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจวัดความดันตา และวางแผนการรักษา สำหรับมาตรฐานการรักษาต้อหินในปัจจุบันมี 3 วิธี ได้แก่ การใช้ยาซึ่งอาจต้องใช้ยาหยอดตาหลายชนิดร่วมกัน การรักษาโดยใช้แสงเลเซอร์ และการผ่าตัด ซึ่งจะใช้สำหรับผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา ส่วนการนวดตา หรือการใช้สมุนไพรยังไม่เป็นที่ยอมรับว่าเป็นมาตรฐานการรักษาต้อหินในปัจจุบันครับ
       
       ฉะนั้น ก่อนการใช้ยาทางตาต่างๆ ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรเสมอ ควรอ่านเอกสารกำกับยาเพื่อดูข้อบ่งใช้และผลข้างเคียงให้เข้าใจ รวมถึงการใช้ยาหยอดตาอย่างต่อเนื่องควรอยู่ในความดูแลของจักษุแพทย์ โดยเฉพาะยาที่อาจมีส่วนผสมของสเตียรอยด์ ข้อสังเกตเบื้องต้นคือ ยาที่ขึ้นต้นหรือลงท้ายว่า เด็กซ์ (Dex)
       
       แต่ถ้าเป็นยาที่ไม่อันตราย เช่น น้ำตาเทียม ยาล้างตา ก็สามารถซื้อมาใช้เองได้ครับ
       
       ***
       
       กิจกรรมดีๆ ที่ศิริราช
       12 ต.ค.อบรม “Palliative and end of life care” โดย ผศ.นพ.รุ่งนิรันดร์ ประดิษฐสุวรรณ แก่บุคลากรทางการแพทย์ ดาวน์โหลดใบสมัครที่ www.si.mahidol.ac.th/education สอบถาม โทร.0 2411 6430
       14 ต.ค.บรรยาย “เลี้ยงทารกให้ง่ายๆ สบายๆ สไตล์ศิริราช” โดย รศ.กรรณิการ์ วิจิตรสุคนธ์ และ อ.พิกุล ขำศรีบุศ แก่ผู้ปกครองฟรี ณ ตึกสยามินทร์ ชั้น 7 รพ.ศิริราช สำรองที่นั่ง โทร. 0 2419 5722, 0 2419 7626

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9550000123923

.



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวมเคล็ดไม่ลับ กับการใช้ยา
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2012, 09:24:57 am »
รู้ไว้ใช่ว่า! อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงก่อนการทานยาปฏิชีวนะ
-http://men.kapook.com/view49895.html-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
   
          ยาปฏิชีวนะ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ยาแก้อักเสบ นั้น ถูกนำมาใช้รักษาโรคหลายต่อหลายชนิดเลย ไม่ว่าจะเป็น อาการเจ็บคอ ไข้หวัด หรืออาการอักเสบต่าง ๆ เพราะยาชนิดนี้จะเข้าไปยับยั้งการเจริญเติบโต และช่วยฆ่าเชื้อโรคในร่างกายนั่นเอง ซึ่งนอกจากจะต้องทานยาให้ครบจำนวนตามที่แพทย์สั่งแล้ว ก่อนทานยาทุกครั้งก็ควรจะทานอาหารรองท้องไว้ด้วย ซึ่งเชื่อว่ายังมีคนอีกจำนวนมากที่ไม่ทราบข้อมูลรายละเอียดปลีกย่อยเกี่ยวกับยาชนิดนี้ และรับประทานเข้าไปแบบไม่ถูกต้อง วันนี้เราก็เลยนำเกร็ดความรู้ดี ๆ เกี่ยวกับอาหาร 5 ประเภทที่คุณควรหลีกเลี่ยงก่อนการทานยาปฏิชีวนะมาฝากกันดังนี้



 1. แอลกอฮอล์

          แอลกอฮอลที่กล่าวถึงนั้น ไม่ได้หมายถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึง น้ำเชื่อม หรือของเหลวอื่น ๆ ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อีกด้วย เพราะแอลกอฮอล์นั้นจะเข้าไปขัดขวางการดูดซึมตัวยา ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพการรักษาของตัวยาลดลง นอกจากนี้แอลกอฮอล์ยังมีฤทธิ์กดประสาท ซึ่งหากคุณทานร่วมกันกับยาปฏิชีวนะ ก็อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน หรือหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติก็เป็นได้ หากเป็นไปได้ก็พยายามทานยากับน้ำเปล่าจะดีที่สุด



2. ผลิตภัณฑ์จากนมวัว

          ถึงแม้การบริโภคผลิตภัณฑ์จากนมวัวจะทำให้สุขภาพของคุณแข็งแรง แต่หากคุณทาน หรือดื่มนมพร้อม ๆ กับยาคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ เพราะแคลเซียมในน้ำนมหรือผลิตภัณฑ์จากนมวัวนั้น จะทำให้ยาจับตัวกันเป็นก้อน จนร่างกายไม่สามารถดูดซึมตัวยาได้ หรืออาจจะดูดซึมยาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนี้การทานยากับผลิตภัณฑ์จากนมวัวนั้น ยังทำให้เกิดอาการท้องเสีย เป็นผลข้างเคียงตามมาอีกด้วย



3. อาหารที่มีไฟเบอร์สูง

          หลังจากที่คุณทานยาปฏิชีวนะแล้ว ควรพยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไฟเบอร์สูง อย่างเช่น พวกผักใบเขียวและอาหารประเภทถั่ว เพราะอาหารทั้งสองชนิดนี้จะเข้าไปรบกวนการทำงานของลำไส้ ทำให้ร่างกายดูดซึมตัวยาได้น้อยลง นอกจากนี้บางรายยังทำให้เกิดอาการท้องเสียขั้นรุนแรงอีกด้วย



4. อาหารที่มีค่าความเป็นกรดสูง

          อาหารที่มีค่าความเป็นกรดสูง อันได้แก่ มะนาว มะเขือเทศ หรือน้ำอัดลมต่าง ๆ ไม่เพียงแต่จะเข้าไปขัดขวางการดูดซึมและยับยั้งฤทธิ์ยาเท่านั้น แต่อาหารประเภทนี้ยังส่งผลต่อปริมาณยาที่ร่างกายขับออกมาด้วย ดังนั้นหากเป็นไปได้ควรจะทานอาหารประเภทนี้ หลังจากที่คุณทานยาผ่านไปแล้ว 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง จะเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด



5. อาหารหนัก

          ก่อนที่คุณจะทานยาไม่ควรรับประทานอาหารหนักหรือย่อยยาก อย่างเช่น ข้าว ก๋วยเตี๋ยว หรืออาหารฟาสต์ฟู้ด เพราะเป็นอาหารที่ย่อยยากและทำให้ลำไส้ของคุณทำงานหนักขึ้น อีกทั้งอาหารเหล่านี้ยังทำให้ร่างกายดูดซึมยาได้น้อยลงด้วย ดังนั้นก่อนทานยาคุณจึงควรรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ และเป็นอาหารเบา ย่อยง่าย ๆ อย่างเช่น ขนมปัง ข้าวต้ม หรือโจ๊กจะดีกว่า

          หากคุณอยากจะให้ยาออกฤทธิ์ได้เต็มที่ก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารดังที่กล่าวมาข้างต้น เพื่อไม่ให้อาหารเหล่านั้นเข้าไปขัดขวางการดูดซึม และลดประสิทธิภาพในการรักษาของยาด้วย รู้แบบนี้แล้วก็อย่าลืมนำไปปฏิบัติกันด้วยนะครับ


http://men.kapook.com/view49895.html

.

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวมเคล็ดไม่ลับ กับการใช้ยา
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: มกราคม 17, 2013, 10:37:49 pm »
พบยานอนหลับตัวใหม่ “ฟีนาซีแพม” แรงกว่า 10 เท่า เสพกับเหล้าถึงตาย!
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000006787-
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    17 มกราคม 2556 17:01 น.

พบยานอนหลับชนิดใหม่ “ฟีนาซีแพม” ระบาดภาคใต้ แรงกว่ายานอนหลับทั่วไป 10 เท่า ออกฤทธิ์นาน 60 ชั่วโมง ทำผู้ใช้ยาง่วงมึน สับสน เสียการทรงตัวและความจำ เสพร่วมกับเหล้าอาจถึงตาย ด้าน อย.เอาผิดได้แค่ยาไม่ตรงฉลาก เหตุยังไม่เป็นสารควบคุมในไทย ชี้ ถูกนำมาใช้เพื่อเลี่ยงกฎหมาย เตรียมชงคณะกรรมการประกาศเป็นวัตถุออกฤทธิ์ฯประเภท 2



       วันนี้ (17 ม.ค.) นพ.นิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยถึงกรณีการพบการลักลอบนำเข้ายานอนหลับชนิดใหม่ ซึ่งกำลังระบาดอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย ว่า สถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ จ.สงขลา ได้ส่งของกลางยานอนหลับชนิดใหม่จำนวน 2,940 เม็ด มาให้ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา ทำการตรวจวิเคราะห์ โดยลักษณะยาดังกล่าวด้านหนึ่งมีสัญลักษณ์พร้อมตัวเลข 028 และอีกด้านมีตัวเลข 5 บรรจุในแผงพลาสติกใสสีแดง-อะลูมิเนียม บนแผงมีข้อความตัวอักษร “Erimin 5” ซึ่งจากการตรวจพิสูจน์ทางห้องปฏิบัติการสำนักยาและวัตถุเสพติด กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์พบ “ฟีนาซีแพม (Phenazepam หรือ Fenazepam)” ซึ่งเป็นยานอนหลับในกลุ่มเบนโซไดอะซีปีนส์ (Benzodiazepines) มีฤทธิ์แรงกว่า ไดอาซีแพม (Diazepam) ซึ่งเป็นยานอนหลับที่คนส่วนใหญ่รู้จักถึง 10 เท่า และออกฤทธิ์ได้ยาวนานกว่า 60 ชั่วโมง
       
       “ผู้ที่ใช้ยาดังกล่าวจะมีอาการง่วงซึม มึนงง สับสน สูญเสียการทรงตัว และสูญเสียความทรงจำ หากหยุดยาทันทีหลังได้รับยาขนาดสูง หรือเป็นระยะเวลานานอาจเกิดอาการถอนยา และถ้าใช้ร่วมกับแอลกอฮอล์ หรือสารที่มีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง เช่น ยาแก้ปวดกลุ่มโอปิเอตส์ หรือยานอนหลับอื่นๆ อาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา พบการนำฟีนาซีแพมไปใช้ในทางที่ผิด ซึ่งกลุ่มผู้เสพนิยมเรียกยานี้ ว่า Phenny, P, Bonsai, Bonsai Supersleep และ 7 bromo-5 ส่วนการเสพมีหลายวิธี ได้แก่ การกิน การอมใต้ลิ้น การสูด และการฉีดเข้าเส้น ทั้งนี้ ในสหรัฐอเมริกาก็มีรายงานพบผู้เสพยาชนิดนี้เสียชีวิตจากการได้รับยาเกินขนาดด้วย” อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าว
       
       นพ.นิพนธ์ กล่าวอีกว่า ปกติแล้วยา Erimin 5 จะตรวจพบสารไนเมตาซีแพม ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 และไม่มีการอนุมัติทะเบียนตำรับในประเทศไทย แต่จากการตรวจพิสูจน์ตัวอย่างของกลาง Erimin 5 แล้วพบฟีนาซีแพมนั้น จึงสันนิษฐานว่า อาจมีการนำฟีนาซีแพมมาผลิตเป็นยา Erimin 5 ทดแทน ไนเมตาซีแพม เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมาย เนื่องจากฟีนาซีแพมยังไม่ได้จัดเป็นสารควบคุมในประเทศไทย รวมทั้งในอนุสัญญาสหประชาชาติ สหรัฐอเมริกา และอีกหลายประเทศในทวีปยุโรป ดังนั้น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จะดำเนินการเฝ้าระวังและแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการกำหนดมาตรการทางกฎหมายเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของสารนี้ต่อไป



       นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า รายงานข้อมูลระบุว่า Erimin 5 เป็นยาที่ผลิตโดยบริษัท Sumimoto Pharmaceuticals ในประเทศญี่ปุ่น ประกอบด้วย ตัวยาสำคัญชื่อ ไนเมตาซีแพม (Nimetazepam) ขนาดยา 5 มก.เป็นยานอนหลับในกลุ่มเบนโซไดอะซีปีนส์ มีการอนุญาตให้ใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์ในประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง และออสเตรเลีย โดยเป็นสารควบคุม สำหรับประเทศไทยตัวยาดังกล่าวจัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ตามพระราชบัญญัติวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 แต่ยานี้ไม่มีการอนุมัติทะเบียนตำรับในประเทศไทย ซึ่งยาที่ถูกจับได้จึงเป็นยาที่ลักลอบนำเข้ามาจากประเทศอื่นทั้งสิ้น โดยพบว่ามีการนำไปใช้ในทางที่ผิดในบริเวณภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งนิยมเรียกยานี้ในชื่อ five-five หรือ Happy 5 ดังนั้น ยาดังกล่าวที่ตรวจพบสารสำคัญไม่ตรงตามที่ระบุไว้ จึงเข้าลักษณะของวัตถุออกฤทธิ์ปลอม ซึ่งผู้ขายมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท ส่วนผู้ผลิตหรือผู้นำเข้ามีโทษจำคุกตั้งแต่ 5-15 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000-300,000 บาท แต่ไม่สามารถเอาผิดในเรื่องการผสมสารฟีนาซีแพมได้ เนื่องจากสารดังกล่าวไม่ได้เป็นสารควบคุมในประเทศไทยและสหประชาชาติว่าด้วยวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท
       
       “อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะนำเรื่องเข้าคณะกรรมการวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทได้ในปลายเดือนมกราคมนี้ เพื่อประกาศให้เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภทที่ 2 ซึ่งสามารถใช้ได้ภายในสถานพยาบาลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น” เลขาฯ อย.กล่าว
       
       อนึ่ง สารฟีนาซีแพมได้ถูกสังเคราะห์ขึ้นครั้งแรกในประเทศรัสเซีย เมื่อปี พ.ศ.2517 และนำไปใช้ในทางการแพทย์ในประเทศรัสเซียและบางประเทศในยุโรปตะวันออกรักษาโรคระบบประสาท และโรคลมชัก โดยใช้ประมาณ 1- 1.5 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ไม่เกิน 10 มิลลิกรัมต่อวัน

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวมเคล็ดไม่ลับ กับการใช้ยา
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: มกราคม 19, 2013, 10:30:36 am »
คุมเข้ม 'ยาเสียสาว' - คุณหมอขอบอก
วันเสาร์ที่ 19 มกราคม 2556 เวลา 00:00 น.



จากกรณีที่ นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข ลงนามในประกาศกระทรวงสาธารณสุข ยกระดับ “อัลปราโซแลม” จากวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ทำให้หลายคนสงสัยว่าเพราะเหตุใดจึงต้องมีการคุมเข้มยาดังกล่าวมากกว่าเดิม

นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) บอกว่า ที่ผ่านมามีการเฝ้าระวังมานานแล้วพบว่ามีการนำยาอัลปราโซแลมไปใช้ในทางที่ผิดวัตถุประสงค์ ปรากฏเป็นข่าวอยู่เรื่อย ๆ เนื่องจากอัลปราโซแลมไม่มีสี ไม่มีกลิ่น จึงมีผู้ไม่หวังดีนำไปบดผสมกับเครื่องดื่มมอมเหยื่ออยู่บ่อย ๆ ที่หลายคนเรียกกันว่า ยาเสียสาว ก็ยาตัวนี้ที่มีการนำไปใส่เครื่องดื่มมอมเมากัน ดังนั้นการยกระดับให้เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 น่าจะช่วยให้การเข้าถึงอัลปราโซแลมยากขึ้น เพราะมีการกลั่นกรองโดยแพทย์ มีการนำไปใช้ให้ถูกวัตถุประสงค์มากขึ้น

เดิมเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ร้านขายยาที่มีใบอนุญาตขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 3 และ 4 สามารถจำหน่ายได้ แต่พอยกระดับขึ้นมาต่อไปร้านขายยาไม่สามารถจำหน่ายได้ จะมีเฉพาะในคลินิก หรือสถานพยาบาลที่มีแพทย์สั่ง การนำไปใช้ในทางที่ผิดก็น้อยลง

ส่วนใหญ่แพทย์จะสั่งยาเหล่านี้ให้คนไข้ ตัวคนไข้ก็ต้องผ่านวิธีการรักษาอื่น ๆ มาพอสมควร เพราะการรักษาด้วยยามีขึ้นอยู่แล้ว การสั่งจ่ายยากลุ่มนี้แสดงว่า คนไข้เคยใช้ยาตัวอื่นมาแล้ว บางคนมีปัญหาเยอะมันจำเป็นจริง ๆ เพราะถ้าไม่ได้รับยาคนไข้จะทรมานมากนอนไม่หลับ และมีปัญหาอื่นตามมาอีกเยอะแยะ ดังนั้นความจำเป็นในการใช้ยาตัวนี้ก็ยังคงมีอยู่
 
อัลปราโซแลมมี 3 ขนาด คือ 0.25 มก. 0.50 มก. และ 1มก. ต่อเม็ด โดยเฉลี่ยปีหนึ่งมีการใช้ประมาณ 70-80 ล้านเม็ด ไม่ถึง 100 ล้านเม็ด การใช้โดยแพทย์สั่งคงไม่มีปัญหาอะไร เพราะว่าแพทย์ต้องประเมินคนไข้ก่อน แต่ที่เรากังวลคือการนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ดังนั้นการยกระดับเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 คงลดปัญหาลงได้พอสมควรแต่คงยังไม่หมดไป เพราะยังมีการหลุดรอดออกไปได้อยู่
 
ด้าน ภก. ประพนธ์ อางตระกูล ผอ.กองควบคุมวัตถุเสพติด กล่าวว่า ยาอัลปราโซแลมใช้สำหรับรักษาอาการวิตกกังวล ช่วยให้นอนหลับ แต่มีคนไม่หวังดีเอาไปใช้ในการมอมเมาผิดวัตถุประสงค์ ประกาศกระทรวงสาธารณสุขยกระดับอัลปราโซแลมเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว มีผลบังคับใช้ในวันที่ 17 มิ.ย.นี้ ดังนั้นต่อไปร้านขายยาจะไม่สามารถจำหน่ายได้ ที่ผ่านมายาตัวนี้ส่วนใหญ่อยู่ที่คลินิกและโรงพยาบาล ในร้านขายยามีไม่ถึง 10%

โรงพยาบาลรัฐจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องขอใบอนุญาตครอบครอง ส่วนโรงพยาบาลเอกชน คลินิก ต้องขอใบอนุญาตครอบครอง ในส่วนภูมิภาคยื่นขออนุญาตต่อสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด ส่วนกรุงเทพฯ ยื่นขออนุญาตที่ อย. ทั้งนี้ให้ทุกโรงพยาบาลทั้งรัฐ เอกชน คลินิก จัดทำบัญชีรับ-จ่าย ตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

ปัจจุบันยานอนหลับซื้อในร้านขายยาได้หรือไม่? ภก.ประพนธ์ กล่าวว่า ยานอนหลับส่วนใหญ่เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2  ประเภท 3 และ 4 ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ห้ามร้านขายยาจำหน่าย ส่วนประเภท 3 และ 4 ร้านขายยาที่ได้รับใบอนุญาตขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 3 หรือประเภท 4 ขายได้ โดยต้องมีใบสั่งแพทย์ และมีเภสัชกรเป็นผู้ส่งมอบ อย่างไรก็ตามวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 3 หรือประเภท 4 ปกติก็ไม่ค่อยมีอยู่ในร้านขายยาอยู่แล้ว กรณีอัลปราโซแลมเดิมร้านขายยามีไว้ก็ไม่ได้เอาไว้ขายให้กับประชาชนทั่วไป แต่เอาไว้ขายให้กับคลินิก เพราะต่างจังหวัดเข้ามาซื้อยาหรือสั่งยาในกรุงเทพฯ หรือร้านขายส่งค่อนข้างลำบาก.

นวพรรษ บุญชาญ รายงาน
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวมเคล็ดไม่ลับ กับการใช้ยา
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: พฤษภาคม 01, 2013, 08:29:31 am »
13 วิธีสร้างสุขให้ทุกวันของชีวิต/ดร.สุภาพร เทพยสุวรรณ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    30 เมษายน 2556 13:36 น.

-http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9560000051306-


  ชีวิตของมนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาความสุขและต่างก็แสวงหาความสุขด้วยกันทั้งสิ้น วันนี้ผู้เขียนมีวิธีที่ช่วยเพิ่มความสุขให้ตัวเองที่ทำได้ไม่ยากมาฝากค่ะ
       
       1. อยู่กับคนที่ทำให้เรายิ้มได้ จากการศึกษาพบว่าเราจะมีความสุขที่สุดเมื่ออยู่ท่ามกลางคนที่มีความสุขเหมือนกัน ให้เราอยู่กับคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส สร้างอารมณ์สุนทรีย์เพราะคนเหล่านั้นจะพลอยพาให้เราหัวเราะและมีความสุขไปด้วย
       
       2. ยึดถือคุณค่าในตัวเอง อะไรคือความเชื่อของเรา อะไรคือสิ่งที่ยึดถือ เช่น ความเมตตากรุณา ความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม หากเราให้ความสำคัญต่อคุณค่าเหล่านี้มากเท่าไหร่ เราจะมีความรู้สึกที่ดีต่อตัวเองและคนที่เรารักมากขึ้นเท่านั้น
       
       3. ยอมรับสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน แม้ว่าจะเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆก็ตาม อย่าผลักไสสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นและคิดว่าสิ่งนั้นไม่สมบูรณ์แบบ ให้เรายอมรับสิ่งดีที่เกิดขึ้นแม้ว่าจะเป็นสิ่งน้อยนิดก็ตาม
       
       4. จินตนาการถึงการประสบความสำเร็จ อย่ากลัวว่าสิ่งที่เราคาดหวังไว้นั้นเราจะไปไม่ถึง ให้เราวาดภาพความสำเร็จของตัวเอง หลายคนไม่กล้าวาดภาพความสำเร็จของตัวเอง เพราะกลัวว่าจะทำให้ตัวเองผิดหวัง แต่ในความจริงการจินตนาการถึงความสำเร็จของตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะทำให้เราไปถึงจุดนั้น
       
       5. ทำในสิ่งที่เรารัก แม้ว่าเราไม่สามารถไปนั่งชมวิวชายทะเลทุกวัน หรือดำน้ำดูปะการังที่เราชอบได้บ่อยๆ แต่การได้ทำในสิ่งที่เรารักบ้างนานๆครั้ง จะช่วยเพิ่มความสุขให้แก่เราอย่างไม่น่าเชื่อ
       
       6. มีเป้าหมายในชีวิต คนที่มีเป้าหมายในชีวิตจะพยายามไปถึงจุดนั้นและจะมีความรู้สึกที่ดีต่อตัวเองและต่อชีวิต
       
       7. ทำตามใจของเรา เราเป็นคนเดียวเท่านั้นที่สามารถบอกตัวเราเองได้ว่าอะไรจะเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข ไม่ใช่สิ่งที่ครอบครัวหรือเพื่อนๆบอก แต่เป็นสิ่งที่รู้อยู่แก่ใจตัวเอง
       
       8. ผลักดันตัวเองไม่ใช่กดดันผู้อื่น เป็นการง่ายที่เราจะรู้สึกว่าความสำเร็จของเรานั้นขึ้นอยู่กับคนอื่น แต่ความเป็นจริงแล้วสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับเรา เมื่อเราเข้าใจและตระหนักในสิ่งนี้แล้ว ในทางกลับกันสิ่งเหล่านี้จะมีอำนาจผลักดันให้เราไปถึงจุดหมายได้ ให้เราหยุดตำหนิโลกนี้และคนอื่น อย่าเปรียบเทียบตัวเราเองกับคนอื่น และเราจะค้นพบคำตอบในไม่ช้า
       
       9. เต็มใจรับการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าอาจจะยาก แต่ให้เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงทำให้เราได้เรียนรู้ประสบการณ์แปลกๆใหม่ๆในชีวิต และจะทำให้เราก้าวไปสู่ความสำเร็จอีกขั้นหนึ่ง
       
       10. พอใจกับชิวิตง่ายๆ คิดทางบวกอยู่เสมอ เช่น เรามีคนที่รักเรา เรามีความทรงจำที่ดี เรามีเพื่อนที่ดี วันนี้รถติดน้อยกว่าเมื่อวาน สิ่งง่ายๆเหล่านี้ทำให้ชีวิตของเราดำเนินต่อไปได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไร
       
       11. ทำดีกับทุกคน การทำดีกับผู้อื่นจะช่วยสร้างความสุขให้แก่ตัวเรา ไม่ว่าความดีที่เราทำนั้นจะเล็กน้อยเพียงใด แต่จะช่วยสร้างความรู้สึกที่ดีต่อตัวเราได้ งานวิจัยพบว่า เด็กอายุ 9-11 ขวบที่ให้ทำสิ่งที่ดีเป็นเวลาหลายสัปดาห์ติดต่อกัน ไม่เพียงแต่มีความสุขเพิ่มมากขึ้นแต่ยังเป็นที่ยอมรับในกลุ่มเพื่อนๆอีกด้วย
       
       12. มีความเพียงพอ รู้จักประหยัด การมีหนี้สินหรือการใช้จ่ายเกินตัว ทำให้เราเป็นทุกข์ สิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตนั้นมีไม่กี่อย่าง แต่สิ่งที่เราต้องการมีมากจนไม่รู้จบ ให้เรารู้จักพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ ว่าเรามีเพียงพอแล้ว ความละโมบทำให้เราเกิดความทุกข์ จากการไม่รู้จักพอ
       
       13. เป็นพ่อแม่คน สิ่งนี้หลายคนอาจไม่เห็นด้วย แต่การจากศึกษาพบว่าการเป็นพ่อแม่หรือผู้ปกครองทำให้เรามีประสบการณ์อีกขั้นหนึ่งในชีวิตที่คนที่ไม่มีลูกไม่ได้รับ แต่ไม่ได้หมายความว่าการเป็นพ่อแม่คนทำให้เรามีความสุขแต่การเป็นพ่อแม่เป็นการเชื่อมต่อของความสุขและเป็นสิ่งที่มีความหมาย จากการศึกษาของ Lyubomirsky ในปี 2012 พบว่า การเป็นพ่อ แม่ของลูกเป็นประสบการณ์ที่ทำให้มีความสุขอีกขั้นหนึ่งของชีวิตและทำให้เรารู้จักความหมายของชีวิตมากขึ้น
       
       ความสุขเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราและหาได้ไม่ยาก แค่เพียงเริ่มต้นจากการเข้าใจตัวเอง มองเห็นคุณค่าในตัวเอง พอใจกับชีวิตง่ายๆ รู้จักพอ และพร้อมจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับความเปลี่ยนแปลงและประสบการณ์แปลกๆใหม่ๆในชีวิต ผู้เขียนขอเป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัวเสมอค่ะ
       
       ข้อมูลอ้างอิงจาก -http://m.psychologytoday.com-

-------------------

วิธีแก้ปัญหาสารพัดเบื่อ/ดร.แพง ชินพงศ์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 เมษายน 2556 08:55 น.

-http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9560000048990-

 “เบื่อ” เป็นสภาวะของอารมณ์ที่รู้สึกไม่พึงพอใจกับชีวิตความเป็นอยู่ของตนเองในขณะนั้น โดยอาจแสดงออกด้วยการซึมเศร้า นิ่งเฉย ขาดความสดชื่น ไม่มีความตื่นเต้น ไม่สนใจสิ่งรอบตัว ขาดแรงจูงใจและเป้าหมายในการกระทำสิ่งต่างๆ
       
       ผู้เขียนเชื่อว่าผู้อ่านทุกคนต้องเคยตกอยู่ในสภาวะแห่งความเบื่อหน่ายกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเบื่องาน เบื่อแฟน เบื่อคนใกล้ตัวหรือแม้กระทั่งเบื่อตัวเอง
       
       ผู้เขียนมีวิธีการแก้เบื่ออย่างง่ายๆ ที่มั่นใจว่าช่วยลดความเบื่อได้อย่างแน่นอน 100% ดังนี้
       
       1.เบื่องาน เช่น รู้สึกไม่อยากทำงาน ขาดแรงจูงใจในการทำงาน รวมไปถึงเบื่อเพื่อนร่วมงาน เบื่อหัวหน้า เบื่อลูกนัอง เบื่อระบบงานต่างๆ ซึ่งทำให้ไม่อยากจะหยิบจะจับงานอะไรหรือพาลอยากจะลาออกจากงานไปเลยด้วยซ้ำ
       
       วิธีแก้เบื่องาน
       - คิดด้านบวกเกี่ยวกับการทำงาน คือ คิดเสียว่างานเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อชีวิตของเรา มีงานทำดีกว่าไม่มี เพราะถ้าไม่มีงานเราก็จะขาดรายได้ซึ่งทำให้เราไม่มีเงินสำหรับการใช้จ่ายในสิ่งจำเป็นหรือซื้อหาความสะดวกสบายให้ชีวิต
       - คิดว่างานเป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถของเรา เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่เราจะต้องเอาชนะและทำให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยความสามารถของเรา
       - จัดแต่งโต๊ะทำงานใหม่ เช่น เอารูปภาพวิวสวย ๆ มาติด เอาแจกันใส่ดอกไม้สวย ๆ มาวางบนโต๊ะทำงาน ทำความสะอาดโต๊ะทำงานให้เรียบร้อยสะอาดสะอ้าน ซึ่งจะช่วยทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายหายเบื่อได้
       - แก้ปัญหาเบื่อเพื่อนร่วมงาน อาจจะเกิดจากการที่เรามีเพื่อนร่วมงานที่มีทัศนคติไม่ตรงกัน หรือเจอเพื่อนร่วมงานที่ชอบเอาเปรียบ อิจฉาริษยา ชอบนินทาว่าร้าย ซึ่งทำให้เรารู้สึกเบื่อหน่ายจนพาลอยากจะลาออกจากงาน วิธีแก้เบื่อเพื่อนร่วมงานอย่างง่ายที่สุดก็คือ พยายามหลีกเลี่ยงการอยู่กับคนที่ทำให้เรารู้สึกเบื่อหน่าย ซึ่งถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็พยายามพูดหรือเกี่ยวข้องกับคนที่เราเบื่อให้น้อยที่สุด
       
       2.เบื่อคนใกล้ตัว เช่น เบื่อแฟน เบื่อสามี เบื่อภรรยา ซึ่งก็มักเกิดจากความไม่เข้าใจกัน มีปากเสียงทะเลาะกันบ่อยๆ รู้สึกว่าถูกคนใกล้ตัวเอาเปรียบอย่างใดอย่างหนึ่งเบื่อหน่ายนิสัยบางอย่างของเขา ถูกเขาทำให้เสียใจ ผิดหวังซ้ำซาก หรืออาจเกิดจากการที่ความพิศวาส หรือความพึงพอใจในตัวเขาลดลง ทำให้ขาดความตื่นเต้นในชีวิตคู่ สัญญาณในการบอกว่าเรารู้สึกเบื่อแฟนหรือเบื่อสามีภรรยา สังเกตได้ง่ายๆ คือ รู้สึกคิดถึงและห่วงใยน้อยลง เวลาอยู่ด้วยกันก็แทบไม่คุยกันหรือมีกิจกรรมร่วมกันน้อยมาก
       
       วิธีแก้เบื่อคนใกล้ตัว
       - หันหน้าเข้าหากันเพื่อปรับความเข้าใจ รวมทั้งพูดตรงๆ ถึงความรู้สึกของกันและกันว่าเรารู้สึกไม่พอใจกันตรงไหนบ้าง เพื่อหาวิธีแก้ไขและปรับเปลี่ยน เพื่อที่จะมีความเข้าใจกันมากขึ้นและเมื่อได้ร่วมกันปรับเปลี่ยนแล้ว ความรู้สึกจะดีขึ้นและทำให้หายเบื่อหน่ายซึ่งกันและกันได้
       - ท่องเที่ยวร่วมกัน การที่แฟนหรือสามีภรรยา ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน ในการไปดูหนัง ฟังเพลง ช้อปปิ้ง เที่ยวต่างจังหวัด ไปเที่ยวต่างประเทศ เหมือนเป็นการไปฮันนีมูน ไปดูสิ่งที่สวยงามแปลกใหม่ เป็นโอกาสให้ได้ใช้เวลาที่ดีร่วมกัน ซึ่งนอกจากช่วยสานสัมพันธ์ที่ดีแล้ว ยังช่วยทำให้ความเบื่อหน่ายระหว่างกันลดลงด้วยเพราะความตื่นเต้นสนุกสนานจะทำให้อารมณ์ดีและมีความสุขขึ้นได้
       
       3.เบื่อตัวเอง เกิดจากความรู้สึกเหงา คับข้องใจ ไม่ได้ตามที่ใจต้องการ หันไปทางไหนก็มีแต่สิ่งที่ซ้ำซากจำเจ หดหู่ ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้ถ้าเกิดกับใครขึ้นมา คนนั้นก็จะรู้สึกเบื่อหน่ายตัวเองจนขาดแรงบันดาลใจและความสุขในการดำเนินชีวิต
       
       วิธีแก้เบื่อตัวเอง
       - เปลี่ยนทรงผมและเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวของตัวเอง แค่นี้ก็ทำให้รู้สึกได้ว่าเราเป็นคนใหม่ได้
       - ออกกำลังกาย ทำให้จิตใจแจ่มใสและอารมณ์ผ่อนคลาย ยิ่งถ้าคุณมีปัญหาในเรื่องน้ำหนักด้วยแล้วยิ่งดีใหญ่ ลองท้าทายตัวเองโดยการออกกำลังกายเพื่อให้เรามีรูปร่างที่ดีขึ้น แล้วชีวิตใหม่ๆ จะเกิดขึ้นแน่นอน
       - เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น แต่งบ้านใหม่ ปรับเปลี่ยนมุมในบ้านให้แปลกตาไปกว่าเดิม จัดสวนใหม่ หาสัตว์เลี้ยงมาเลี้ยง เช่น สุนัข แมว ปลา จะทำให้ชีวิตเราสดชื่นขึ้นและผ่อนคลายขึ้น
       - ลองเปลี่ยนเส้นทางในการไปทำงานหรือกลับบ้านบ้าง จากเส้นทางเดิมๆที่รถติดน่าเบื่อหน่ายอาจสลับเปลี่ยนไปเดินทางที่ลัดบ้างอ้อมบ้างแต่รถไม่ติดมากและยังได้เห็นทิวทัศน์ที่แปลกตาไปจากเดิม
       - ไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ที่ไม่เคยไป เพื่อสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ในชีวิต
       - กินอะไรที่ไม่เคยกิน ไปร้านอาหารใหม่ๆ ที่ไม่เคยไปมาก่อน หรือลองคิดค้นหาเมนูอาหารใหม่ๆ ลองทำกินดู
       - โซเชียลเน็ตเวิร์กช่วยได้ การคุยกับเพื่อน ๆ ออนไลน์ผ่านทาง facebook whatsapp line ช่วยทำให้เราหายเบื่อได้ แต่อย่าถึงเสพติดจนติดแหง่กไม่สนใจชีวิตด้านอื่นเลย
       - สมัครเรียนคอร์สสั้นๆ ที่เราสนใจ เช่น เรียนทำขนม เรียนภาษา เรียนร้องเพลง เรียนโยคะ
       - ไปเดินตลาดต้นไม้ หาต้นไม้มาปลูกที่บ้าน เพื่อสร้างความสดชื่น
       - เขียนบันทึก หรือเขียนบล็อกของตัวเอง ระบายความในใจ
       - ไปเยี่ยมคนชราหรือเด็กกำพร้าที่สถานสงเคราะห์ สมัครเป็นอาสาสมัครในการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม เช่น ไปอ่านหนังสือให้คนตาบอดฟัง ไปเก็บขยะที่ชายหาด เราจะได้รู้สึกว่าชีวิตเรามีค่าขึ้น
       
       ความรู้สึก “เบื่อ” เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วเราสามารถจัดการกับมันได้ด้วยการปรับเปลี่ยนทัศนคติ ปรับสภาพแวดล้อม เปลี่ยนมุมมองความคิดของตัวเราเอง ด้วยการก้าวไปข้างหน้าเพื่อแสวงหาประสบการณ์แปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้เราสดชื่นและหายเบื่อได้ อย่าบ่อยให้ความเบื่อครอบงำเรานานเกินไป เพราะมันไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับชีวิตเรา มีแต่จะสร้างความเสียหายทั้งนั้น
       
       ถึงเวลาทิ้งความเบื่อของคุณแล้วรึยัง!

.


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวมเคล็ดไม่ลับ กับการใช้ยา
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: มิถุนายน 16, 2013, 01:52:14 pm »
‘ข้อควรปฏิบัติเพื่อลดอันตรายและผลข้างเคียงจากการใช้ยา’ - ชีวิตและสุขภาพ
วันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/article/1490/212123-







ต้องยอมรับว่า ปัจจุบันคนไทยมีการเข้าถึงยาและใช้ยากันมากขึ้น บางคนถึงกับกินยาต่างอาหาร โดยเฉพาะผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ต้องกินยาหลายขนานร่วมกัน และจะเห็น

ได้ว่าปัจจุบันค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยค่าใช้จ่ายด้านยาคิดเป็นเกือบร้อยละ 50 ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพทั้งหมด ซึ่งมีมูลค่าถึง 200,000 ล้านบาท

ค่ายาประมาณ 100,000 ล้านบาท นับเป็นมูลค่ามหาศาลและมากกว่าที่ควรจะเป็นสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาที่ไม่เหมาะสม และความไม่รู้ของประชาชนอยู่

อีกมาก

ด้วยตระหนักถึงผลกระทบของปัญหาการใช้ยาดังกล่าว ในงานประชุมวิชาการและประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2556 สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นวาระครบ

100 ปีวิชาชีพเภสัชกรรมโรงพยาบาล และเป็นปีที่สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) ก่อตั้งมาครบ 24 ปี จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการพัฒนาบทบาทวิชาชีพของ

เภสัชกรโรงพยาบาล ในการเป็นผู้ให้ข้อมูลและความรู้ด้านยาแก่ประชาชน ซึ่งจะส่งผลให้มีการใช้ยาอย่างถูกต้องและปลอดภัย โดยจัดขึ้นที่อาคารเฉลิมพระบารมี 50 ปี แพทย

สมาคมแห่งประเทศไทย ซอยศูนย์วิจัย เมื่อเร็ว ๆ นี้

สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) ได้มีการนำเสนอผลการวิจัยเรื่องยาเหลือใช้ ซึ่งทำการศึกษาจากข้อมูลการจ่ายยาในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 4 โรค คือ ความดันโลหิตสูง

เบาหวาน หืด และปอดอุดกั้นเรื้อรัง กว่า 57,916 ราย พบว่า ผู้ป่วยกว่าร้อยละ 60 มียาเหลือใช้ คิดเป็นมูลค่าประมาณ4% และประมาณการว่ามูลค่ายาเหลือใช้ทั้งประเทศมีประมาณ

4,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถลดปัญหานี้ได้หากมีความตระหนักและจัดการอย่างเหมาะสม และยังได้มีการนำเสนอการศึกษาเกี่ยวกับ “ความรู้เรื่องยา” ในผู้ป่วยโรคเรื้อรังครอบคลุม

โรงพยาบาลทุกระดับทั่วประเทศ จำนวน 3,136 ราย ซึ่งพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังขาดความรู้เรื่องยา โดยร้อยละ 50 ไม่รู้จักชื่อยาที่ตนเองใช้ และมีเพียงร้อยละ 53.6 ที่อ่านฉลาก

ก่อนการใช้ยา

ดังนั้น เพื่อลดอันตรายและผลข้างเคียงจากการใช้ยา ผู้ใช้ยาควรปฏิบัติ ดังนี้

• ผู้ป่วยควรอ่านฉลากยาให้ละเอียดทุกครั้งก่อนใช้ยา เพราะการไม่อ่านฉลากยา และใช้ยาผิด อาจทำให้เกิดการแพ้ยาอย่างรุนแรงและอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

• ไม่ควรใช้ยาของคนอื่น

• ผู้ที่มียาเหลือใช้อยู่ในบ้านต้องระมัดระวังและจัดเก็บให้ดี เพราะถือเป็นความเสี่ยงใกล้ตัว ถ้าเก็บไม่ถูกวิธีจะกลายเป็นยาเสีย หากมีคนนำไปใช้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์จะเป็น

อันตรายต่อสุขภาพ

• หากมียาเหลือใช้ที่ยังไม่หมดอายุและอยู่ในสภาพดี ควรเก็บอยู่ในซองยา หรือขวดยาเดิมไว้ในที่เดียวกันและให้พ้นมือเด็ก หรือเก็บในตู้ยา หรือกระเป๋ายาให้พ้นแสงแดด ไม่อยู่ใน

ที่ชื้น

• อย่าเก็บยาในตู้เย็นยกเว้นยาที่มีฉลากระบุไว้

• อย่านำยาเหลือใช้มารวมในซองยา หรือขวดยาเดียวกัน

• อย่าแกะยาออกจากแผงหากยังไม่ใช้

• อย่านำยาเหลือใช้ไปให้คนอื่นใช้ และอย่ากินยาที่คนอื่นให้มา เพราะอาการที่คล้ายกันอาจไม่ได้เกิดจากโรคเดียวกัน ขนาดยาก็อาจไม่เหมาะสม และอาจเกิดอาการแพ้ยาได้อีก

ด้วย

• อย่าใช้ยาที่หมดอายุ หรือยาเสื่อมสภาพ

• ยาเหลือใช้ที่หมดอายุ หรือเสื่อมสภาพ สีเปลี่ยนแล้วให้ทำลายก่อนทิ้ง โดยแกะฉลากที่มีชื่อผู้ป่วย ถ้าเป็นยาเม็ดให้ทุบทำลายและเติมน้ำเล็กน้อย ถ้าเป็นยาน้ำก็ให้เทน้ำผสมลงไป

ส่วนยาที่เป็นครีมหรือขี้ผึ้ง ให้บีบออกจากหลอด จากนั้น นำกากชา ขี้เลื่อย เศษผัก หรือเปลือกผลไม้ ผสมลงไปในถุงเดียวกัน ปิดปากถุงให้สนิท ก่อนนำไปทิ้ง เพื่อไม่ให้คนอื่นนำ

ยาที่ทิ้งนั้นไปใช้ได้อีก

• หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้ยา ให้ปรึกษาเภสัชกรทุกครั้ง

และเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมีความปลอดภัยจากการใช้ยามากยิ่งขึ้น ทางสมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) ได้จัดทำ สมุดบันทึกการใช้ยาประจำตัวผู้ป่วย และ แอพพลิเคชั่น

โปรแกรมบันทึกบัตรแพ้ยาที่สามารถใช้งานบนสมาร์ทโฟน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยสะดวกในการบันทึกประวัติแพ้ยาได้ด้วยตนเอง และเภสัชกรผู้ประเมินอาการก็สามารถบันทึกข้อมูล

ผ่านทางมือถือ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องลืมบัตรแพ้ยา นอกจากนี้ แอพพลิเคชั่นดังกล่าวยังมีข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการแพ้ยาทั้งในรูปแบบบทความและวิดีโอ ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลด

แอพพลิเคชั่น “โปรแกรมบันทึกบัตรแพ้ยา” ได้ทาง App store หรือ เว็บไซต์ของสมาคมฯ www.thaihp.org โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

ข้อมูลจาก เภสัชกรสมชัย วงศ์ทางประเสริฐ นายกสมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย)

นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์


http://www.dailynews.co.th/article/1490/212123

.

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวมเคล็ดไม่ลับ กับการใช้ยา
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: มิถุนายน 16, 2013, 02:16:25 pm »
จับขายยาปลุกเซ็กส์เกลื่อนเตือนระวังช็อกดับ
-http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNM01UTXdNRFV6TWc9PQ==&subcatid=-



 เมื่อเวลา 03.20 น. วันที่ 15 มิ.ย. ผู้สื่อข่าว ข่าวสด รายงานว่า พ.ต.ท.ออมสิน สุขการค้า พ.ต.ท. ภาสกร ไพจิตต์ รอง ผกก.สภ.วัฒนานคร ช่วยราชการ พดส.ภ.2  พ.ต.ท. กมล ทวีศรี ช่วยราชการ พดส.ภ.2. พร้อมด้วย ร.ต.ท.อิทธิพล ทองนาค และกำลังตำรวจ พดส.ภ.2 ส่วนหน้า นำกำลังแบ่งแยกออกเป็น 3 ชุดออกหาข่าวตามร้านขายยาในเขตเมืองพัทยา หลังมีการแอบลักลอบจำหน่ายยาปลุกอารมณ์ทางเพศให้กับต่างชาติ รวมทั้งชาวไทยกันอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย

 ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดแรก เข้าจับกุมร้าน เค แอนด์ ฟาร์มาซี ตั้งอยู่ถนนพัทยาสายสอง ม.10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ควบคุมตัว น.ส. พรทิวา รสดี อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 108/53 ม.13 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ผู้ดูแลร้าน พร้อมของกลางเป็นยาปลุกอารมณ์ทางเพศจำนวนมาก ส่วนตำรวจชุดสอง เข้าจับกุมร้านไทยแลนด์ ตั้งอยู่ถนนพัทยาสายสอง ม.10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง ควบคุมตัว น.ส.สมฤดี ชินรัตน์ อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 63 ม.8 ต.กำพี้ อ.บรบือ จ.มหาสารคาม ผู้ดูแลร้าน พร้อมของกลาง  ส่วนชุดที่สามเข้าจับกุมร้านอินทาว ตั้งอยู่ถนนพัทยาสายสอง ม.10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง ควบคุมตัว น.ส. นันทิตา วงค์กองแก้ว อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 174 ม. 9 ต.ส้าน อ.เวียงสา จ.น่าน พร้อมของกลาง โดย ทั้ง 3 ร้านตั้งอยู่ย่านพัทยาใต้

 นอกจากเจ้าหน้าที่ยังยึดของกลางเป็นยากระตุ้นอารมณ์ทางเพศ หลายยี่ห้อ เช่น ไวอากร้าซูปเปอร์คามากร้า ชนิดเม็ด และชนิดซอง จำนวนมาก มูลค่าหลายหมื่นบาท พร้อมควบคุมตัวผู้ดูแลทั้ง 3 ร้านนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา ดำเนินคดีตามกฎหมาย

 สำหรับการกวาดล้างยากระตุ้นอารมณ์ทางเพศของผู้ชาย พร้อมทั้งยึดของกลางได้หลายรายการ สืบเนื่องจากได้รับนโยบายมาจาก พล.ต.ต.โกศล พัวเวส รอง ผบช.ภ.2 ให้ทำการกวดขันจับกุมร้านขายยาในพื้นที่ที่ลักลอบจำหน่ายยาที่ไม่ได้รับอนุญาต และออกฤทธิ์ทางประสาทและยากระตุ้นอารมณ์ทางเพศ เนื่องจากยาดังกล่าวส่งผลให้ถ้าผู้ใดกินแล้วเกินอาการแพ้ยา ก็อาจจะช็อกถึงขั้นเสียชีวิตได้จึงมีคำสั่งให้กวดขันสืบหาแหล่งจำหน่ายตามร้านยาต่างๆอย่างต่อเนื่อง

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวมเคล็ดไม่ลับ กับการใช้ยา
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2013, 08:26:59 pm »
หมอณรงค์ เตือนผู้ป่วยไข้เลือดออก ห้ามกินยาแอสไพริน-ไอโบรบรูเฟน
-http://health.kapook.com/view66048.html-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก สำนักสารนิเทศ กระทรวงสาธารณสุข


         หมอณรงค์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ชี้หากมีไข้ขึ้นสูง 2 วันติด เสี่ยงไข้เลือดออก ควรรีบพบแพทย์ พร้อมเตือนห้ามผู้ป่วยไข้เลือดออกกินยา แอสไพริน และไอโบรบรูเฟน โดยเด็ดขาด เพราะจะกัดกระเพาะ-เลือดออกง่ายขึ้น
 
          วันนี้ (7 กรกฎาคม 2556) นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงโรคไข้เลือดออกว่า โรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส และยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะ แพทย์จะรักษาโดยการประคับประคองอาการให้ร่างกายฟื้นตัวจนพ้นระยะอันตรายในช่วงสัปดาห์แรก ดังนั้นหากผู้ป่วยมีไข้ขึ้นสูงต่อเนื่อง 2 วันแล้วกินยาลดไข้หรือเช็ดตัวแล้วไข้ไม่ลด ควรรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจวินิจฉัยทันที ซึ่งหากมีอาการรุนแรงแพทย์จะรับไว้รักษาในโรงพยาบาล

   และสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง แพทย์จะให้กลับไปรักษาตัวที่บ้าน โดยจะให้คำแนะนำวิธีการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน และการสังเกตอาการผิดปกติที่ต้องรีบกลับมาพบแพทย์ทันที ได้แก่

          1. ผู้ป่วยซึมลง

          2. อ่อนเพลียมาก

          3. ปวดท้อง กินอาหารและดื่มน้ำได้น้อย อาเจียน

          4. พบว่ามีเลือดออกเช่น เลือดกำเดา เลือดออกตามไรฟัน ประจำเดือนมากผิดปกติ หรือถ่ายเป็นสีดำ ซึ่งมักเกิดในวันที่ 3 หรือวันที่ 4 หลังเกิดอาการของโรค

          โดยหากมีอาการใดอาการหนึ่งที่กล่าวมา ถือว่าเป็นสัญญาณอันตรายที่ผู้ป่วยจะเริ่มเข้าสู่ภาวะช็อก เนื่องจากมีเลือดออกในอวัยวะภายในซึ่งมักจะเกิดในระยะหลังไข้ลง ซึ่งได้รับการรักษาช้าอาจเสียชีวิตได้ภายใน 24 ชั่วโมง ทั้งนี้หากหลังไข้ลดแล้ว ผู้ป่วยมีอาการยิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุย กินอาหารได้มากขึ้น แสดงว่าอาการดีขึ้นเริ่มฟื้นตัว และจะหายเป็นปกติ

 สำหรับการดูแลผู้ป่วยในระยะ 1-2 วันแรกที่มีไข้สูง ขอให้เช็ดตัวด้วยน้ำธรรมดา กินยาพาราเซตามอล ยาที่ห้ามกินเด็ดขาดคือแอสไพริน และไอโบรบรูเฟน เพราะจะกัดกระเพาะอาหาร ทำให้เลือดออกง่ายขึ้น โดยให้ผู้ป่วยกินอาหารอ่อน เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก และห้ามกินน้ำหรือผลไม้ที่มีสีแดง เช่น น้ำแดง แตงโม เนื่องจากจะทำให้แยกอาการเลือดออกในกระเพาะและลำไส้ได้ยากขึ้น


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก -http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=190063&catid=176&Itemid=524-

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)