ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
ท่านจะปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อตกลงของเว็บใต้ร่มธรรมทุกประการหรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
เคยนวดฝ่าเท้าให้ คุณพ่อคุณแม่บ้างไหม ถ้ามีโอกาส เราควรทำหรือไม่ (ควรกระทำอย่างยิ่ง หรือ ไม่ควรทำ):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: กรกฎาคม 27, 2014, 01:01:22 pm »

แม่เล้าสร้างวัด ได้บุญหรือไม่ เพียงไร?

-http://www.gotoknow.org/posts/219031-

ศรัทธาเรืองรองในทองเก๊
ชมชื่น หุยเฮ ครึกครื้นไฉน
ผ้าขี้ริ้ว ฟอกย้อมขาว ไฉไล
รีดเรียบนำไปห่มพระประธาน
ทราบข่าว ร่วมอนุโมทนาพลัน
ผ้าขี้ริ้ว ผืนนั้น สะอาดสะอ้าน
ศรัทธา ปสาทะ สาธุการ
ใส่ทองหยอง ทำทาน เฮละโล

กลอนบทนี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก ประวัติ วัดคณิการาม=อารามที่นางคณิกาสร้างถวาย (คงจะได้บุญโขอยู่)  วัดคณิการาม อยู่ตรงข้าม สน.พลับพลาไชย  ใกล้กับมูลนิธิปอเต็กตื้ง

เวลาจะทำบุญ ทำทาน ท่านวางกฎไว้ดังนี้

1. ผู้ให้บริสุทธิ์
2. ผู้รับบริสุทธิ์
3. วัตถุทานบริสุทธิ์
 
"บุญที่มนุษย์สามารถทําให้ได้ผลสูงสุด พระพุทธเจ้าตรัสว่า ทำทานแก่สัตว์เดรัจฉาน 100 ครั้ง ผลบุญยังน้อยกว่าทำทานกับคนไม่มีศีลแม้เพียงครั้งเดียว ทำทานกับคนไม่มีศีล 100 ครั้ง ผลบุญยังน้อยกว่าทำทานกับผู้มีศีล 5 แม้เพียงครั้งเดียว ให้ทานผู้มีศีล 5 มากถึง 100 ครั้ง ผลบุญยังน้อยกว่าให้ทานผู้มีศีล 8 แม้เพียงครั้งเดียว ให้ทานผู้มีศีล 8 มากถึง 100 ครั้ง ผลบุญยังน้อยกว่าถวายทานผู้มีศีล 10 แม้เพียงครั้งเดียว ถวายทานผู้มีศีล 10 มากถึง 100 ครั้ง ผลบุญยังน้อยกว่าถวายทานแด่สมมุติสงฆ์แม้เพียงครั้งเดียว ถวายทานแด่สมมติสงฆ์ 100 ครั้ง ผลบุญยังน้อยกว่าถวายทานแก่พระโสดาบันแม้เพียงครั้งเดียว ถวายทานแด่พระโสดาบัน 100 ครั้ง ผลบุญยังน้อยกว่าถวายทานแก่พระสกิทาคามี แม้เพียงครั้งเดียว ถวายทานพระสกิทาคามี 100 ครั้ง ผลบุญยังน้อยกว่าถวายทานพระอานาคามีแม้เพียงครั้งเดียว ถวายทานพระอนาคามี 100 ครั้ง ผลบุญยังน้อยกว่าถวายทานให้พระอรหันต์ แม้เพียงครั้งเดียว ถวายทานแก่พระอรหันต์ 100 ครั้ง ผลบุญยังได้น้อยกว่าถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้เพียงครั้งเดียว ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า 100 ครั้ง ผลบุญยังได้น้อยกว่าถวายทานแด่พระสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้เพียงครั้งเดียว ถวายทานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 100 ครั้ง ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายสังฆทานที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะถวายเพียงครั้งเดียว ถวายสังฆทานที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน 100 ครั้ง ยังได้บุญน้อยกว่าถวายวิหารทานครั้งเดียว ถวายวิหารทาน 100 หลัง ยังได้บุญน้อยกว่าให้ธรรมทานครั้งเดียว ให้ธรรมทาน 100 ครั้ง ยังได้บุญน้อยกว่าการให้อภัยทานครั้งเดียว อภัยทาน 100 ครั้ง บุญยังน้อยกว่าการถือศีล 5 แม้เพียงครั้งเดียว ถือศีล 5 มากถึง 100 ครั้ง บุญยังน้อยกว่าถือศีล 8 แม้เพียงครั้งเดียว ถือศีล 8 มากถึง 100 ครั้ง บุญยังน้อยกว่าการถือศีล 10 ครั้งเดียว ( ถือศีล 10 คือบวชเป็นสามเณร) บวชเป็นสามเณร รักษาศีลไม่ด่างพร้อย 100 ปี บุญยังน้อยกว่าผู้อุปสมบทเป็นพระ แม้บวชเพียงวันเดียว พระพุทธเจ้าตรัสในเบื้องปลายว่า “แม้จะได้อุปสมบทเป็นภิกษุ รักษาศีลครบ 227 ข้อ ไม่เคยขาด ไม่ด่างพร้อย 100 ปี บุญกุศลยังน้อยกว่าผู้ที่ทำสมาธิให้จิตสงบ(ฌาน) แม้นานเพียงไก่กระพือปีก” “ผู้ใดเข้าฌาน นาน 100 ปีและไม่เสื่อม บุญยังน้อยกว่าผู้ที่มองเห็นความเป็นจริงว่า สรรพสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง มาจากการปรุงแต่ง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แม้จะเห็นเพียงชั่วขณะจิตก็ตาม" (1)
@24587 "อาจารย์กวิน วัดคณิการาม ? อาจารย์ลองตรวจสอบดูอีกครั้ง เพราะคิดว่าไม่ถูกต้อง และหลวงพี่ตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว คือ วัดคณิกาผล มิใช่ วัดคณิการาม เจริญพร" (2)

นมัสการพระคุณเจ้า  BM.chaiwut   @24621 กราบขอบพระคุณ พระคุณเจ้ามากๆ ขอรับ ที่พระคุณเจ้าเมตตานุเคราะห์ ชี้แนะชี้นำในสิ่งที่เกล้ากระผม ผิดพลาดอยู่เสมอๆ ทำให้นึกถึงสำนวน  คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล กระผมได้สืบค้นตามที่พระคุณเจ้าทักท้วงมา พบว่า สิริลักษณ์ จินตนะดิลกกุล ได้บันทึกบทความ ซึ่งมีข้อมูลที่อ้างอิงถึงประวัติของวัด คณิกาผล เป็นจริงดั่งที่พระคุณเจ้าทักท้วง ไว้ความว่า

" นับตั้งแต่ที่เมืองไทยของเรา รับเอาศาสนาพุทธนิกายเถรวาทเข้ามาเป็นประหนึ่งศาสนาประจำชาติของไทยนั้น มีวัดเป็นจำนวนมาก ที่สร้างจากพระราชดำริของพระมหากษัตริย์ และ เชื้อพระวงศ์ รองลงมาก็มักจะเป็นวัดในอุปถัมภ์ของขุนนางผู้ใหญ่ชั้นสูง และ ท้ายที่สุดก็คือสร้างจากแรงศรัทธาของชาวบ้าน แต่กระนั้นก็ตาม ยังมีวัดไทยบางวัดที่ผู้สร้างมีที่มาที่ออกจะขัดแย้งกันกับการนับถือพุทธศาสนาตามความเชื่อของชาวพุทธ และ หนึ่งในวัดที่เป็นข้อยกเว้นนั้นเห็นจะได้แก่ “วัดคณิกาผล” คำว่าคณิกานั้น เป็นคำโบราณที่เราใช้เรียกหญิงผู้ให้บริการทางเพศ และ เมื่อคำเรียกหญิงงามเมืองนี้กลายมาเป็นชื่อวัด ที่มาของการสร้างวัดจึงมีความน่าสนใจอยู่พอสมควร วัดคณิกาผลนี้ เป็นวัดที่ตั้งอยู่ท้ายตลาดแห่งหนึ่งในเยาวราช ตั้งอยู่บนหัวมุม ถนนยมราชสุขุม และ อยู่ตรงข้ามกับโรงพักพลับพลาไชย วัดนี้เป็นวัดสายมหานิกาย ที่เดิมนั้นสร้างขึ้นจากกลุ่มหญิงบริการกลุ่มหนึ่งที่มีหัวหน้ากลุ่มที่ชื่อ “ยายแฟง” เป็นผู้รวบรวม และ ออกทุนให้สร้างวัดพุทธศาสนานิกายเถรวาทขึ้นที่บริเวณตรอกโคก (ปัจจุบันคือ ถนนพลับพลาไชย) ซึ่งเป็นบริเวณที่มีศาลเจ้าจีน และ โรงเจตั้งขึ้นอยู่ก่อนแล้วมากมาย และ เมื่อสร้างวัดของหญิงงามเมืองนี้เสร็จ ชาวบ้านจึงเรียกกันง่ายๆ ตามชื่อตรอกว่า “วัดโคก” วัดนี้เปิดให้ชาวบ้าน และ สงฆ์ทำพิธีกรรมมานาน จนกระทั่งเข้าสู่สมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว บรรดาลูกหลานของย่าแฟงจึงขอพระกรุณาโปรดเกล้าจากรัชกาลที่ 4 ให้พระราชทานนามของวัดโคกเสียใหม่ พระองค์จึงได้พระราชทานนามว่า “วัดคณิกาผล” ตามประวัติที่มาเดิมนั่นเอง ปัจจุบันนี้ หากใครได้มีโอกาสแวะเวียนเข้ามาในบริเวณนี้ ก็จะสังเกตเห็นว่าทางเข้าหน้าวัดนั้น มีพระพุทธรูปสมเด็จพระอาจารย์โตแห่งวัดระฆังตั้งให้ผู้มีจิตรศรัทธาได้แวะเข้ามากราบไหว้กัน และเมื่อเดินลึกเข้าไปข้างในก็จะเห็นรูปปั้นครึ่งตัวของยายแฟงตั้งอยู่โดยมีคำจารึกที่ว่า “วัดคณิกาผลนี้ สร้างขึ้นโดยคุณยายแฟง บรรพบุรุษของตระกูลเปาโลหิตในปีพุทธศักราช 2346” (3)

จากการสืบค้น สามารถตั้งข้อสรุปในชั้นต้น ได้ว่า วัดคณิกาผล นี้ในมัยก่อน ชาวบ้านเรียกว่า วัดโคก และบ้างก็เรียก วัดใหม่ยายแฟง ดังข้อมูลที่ว่า

"ในสมัยเมื่อครั้งสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงได้ครองแผ่นดินสยามอยู่นั้น มีหญิงคนหนึ่งที่ชาวบ้านเรียกว่า ยายคุณท้าวแฟง หรือบางครั้งก็เรียกว่า ยายแฟง เฉย ๆ ยายคุณท้าวแฟงนี้มีอาชีพเก็บตลาดเอาผลกำไร รวมทั้งเป็น แม่เล้าเจ้าของซ่องนางโลม ด้วย ยายแฟงนั้นแกรู้ว่า ในหลวงทรงโปรดการทำบุญสร้างวัดแกจึงได้ทำการสร้างวัด ด้วยเงินรายได้ของแกขึ้นมา เพื่อต้องการให้สดุดสายพระเนตรของพระเจ้าแผ่นดินกับเ ขาด้วยเหมือนกัน ที่ตรอกแฟง ในแหล่งธุรกิจของพระนครสมัยนั้น พวกชาวบ้านจึงเรียกกันว่า " วัดใหม่ยายแฟง " เมื่อสร้างเสร็จแล้ว แกก็ได้ทูลขอพระราชทานนามของวัดนั้น ทรงโปรดพระราชทานนามของวัดนั้นว่า " วัดคณิกาผล " อันแปลตรงตัวได้ว่า วัดที่เป็นผลได้มาจากหญิงโลมเมือง เพราะรายได้หลักของยายแฟงนั้นก็คือได้จากการเป็นแม่เ ล้า เจ้าโสเภณี ในการสมโภชน์วัด ยายแฟงได้ไปนิมนต์ สมเด็จพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) ซึ่งสมัยนั้นสมเด็จฯ ท่านยังไม่มีสมณศักดิ์ คงเป็นเพียงแค่ มหาโต พระมหาบาเรียนธรรมดาเท่านั้นให้มาเทศน์ฉลอง โดยมีความปรารถนาจะให้ท่านได้สรรเสริญผลบุญของตนต่อ ห น้าชุมชน แต่ผลก็ไม่ได้เป็นดังใจของยายแฟง เพราะพระมหาโต ท่านกลับเทศน์บอกแก่เจ้าภาพว่า (4)

“ยายแฟง สร้างวัดครั้งนี้ ได้ผลอานิสงส์บกพร่อง ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะเงินที่สร้างวัดเป็นเงินที่เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของคนอื่นที่ไม่ชอบด้วยธรรมเนียม ถ้าเปรียบอานิสงส์นี้ด้วยเงินเหรียญบาท ยายแฟงก็ได้ไม่เต็มบาท จะได้สักสลึงเฟื้องเท่านั้น นี่ว่าอย่าเกรงใจกันนะ” (5)

"โดยพระมหาโตท่านได้ยก นิทานเรื่องตากะยาย ฝังเงินเฟื้องไว้ที่ศิลาหน้าบันไดขึ้นมาประกอบคำเทศน์ของท่านด้วยเมื่อยายคุณท้าวแฟงได้ฟังเช่นนั้นแล้ว ก็ให้รู้สึกขัดเคืองใจเป็นกำลัง มีอาการโกรธหน้าแดง จนแทบจะระเบิดวาจาออกมาต่อว่า บริภาษมหาโตอย่างรุนแรง แต่ก็ยังเกรงเป็นการหมิ่นประมาท แกจึงได้เพียงแต่ประเคนกัณฑ์เทศน์ด้วยอาการไม่พอใจ กระแทก ๆ ดังปึงปังใหญ่ แล้วหลังจากนั้นแกก็จึงได้ไปนิมนต์เสด็จทูลกระหม่อมพระ ซึ่งก็คือ สมเด็จพระจอมเกล้าฯ ในสมัยเมื่อครั้งที่พระองค์ยังได้ทรงผนวชอยู่ เพื่อจะได้ให้ทรงเสด็จมาประทานธรรมต่อให้อีกสักกัณฑ ์หนึ่ง โดยหวังว่า แกคงจะได้รับคำชมจากพระองค์ท่าน ซึ่งก็เท่ากับเป็นการแก้ลำพระมหาโตไปในคราวเดียวกัน ทูลกระหม่อมฯ ทรงรับนิมนต์ของยายแฟงแล้ว ได้ทรงประทานธรรม ในเรื่องจิตของบุคคลที่ประกอบการกุศลว่า ถ้าทำด้วยจิตที่ผ่องใส ไม่ขุ่นมัวก็จะได้อานิสงส์มาก แต่ถ้าบุคคลใดทำงานการบุญด้วยจิตที่ขุ่นมัว ก็ย่อมจะทำให้เกิดได้ผลน้อย และสำหรับในเรื่องของการสร้างวัดนี้ ก็ดูเหมือนจะเนื่องด้วยเรื่องของจิตที่ขุ่นมัวทั้งนั้น ดังนั้นอานิสงส์ผลบุญจึงมีเพียงเท่านั้น ตามที่ท่านมหาโต ท่านยกเรื่องตากะยาย ไปอ้อนวอนเทวดาที่ต้นไม้ใหญ่ มาประกอบนั้น เป็นเรื่องที่มีปรากฏในฎีกาพระอภิธรรมอยู่ เป็นฉากตัวอย่างที่ช่วยให้ท่านทำการตัดสินบุญของผู้สร้างวัดนี้ว่า ผลแห่งบุญนั้นจะอำนวยให้เกิดได้ไม่เต็มเม็ด เต็มหน่วย คงได้แค่เพียง 3 ใน 8 ส่วน เหมือนกับเงิน 5 บาท โค้งเว้าหายไปเสีย 5 เฟื้อง คงได้เพียง 3 เฟื้อง คือ เหลือเพียงสลึงเฟื้องเท่านั้น การที่ท่านตัดสินอย่างนี้ก็นับว่ายังดีนักเทียว ถ้าเป็นความเห็นของเรา (สมเด็จพระจอมเกล้าฯ) คงจะตัดสินให้ได้บุญเพียง 2 ไพเท่านั้น คือตัดสินตามเหตุที่ได้เห็น เพราะในการสร้างบุญนั้น วัดกันด้วยระดับของจิตใจ ผลที่เธอควรได้รับจึงควรมีเพียงเท่านี้ แล้วทูลกระหม่อมฯ ก็ลง เอวัง ไว้เท่านั้น เทศน์ 2 กัณฑ์ของ 2 ท่านนี้ นับเป็นเรื่องน่าคิด และในเรื่องนี้ผู้อ่านก็ควรจะคิดวินิจฉัยเองด้วยเหมื อนกัน ผู้เรียบเรียงคิดว่า ท่านทั้งสองต้องการให้ยายแฟงรู้จักการทำบุญด้วยการพิ จารณาลงไปถึงมูลเหตุต่างๆ ที่มีอยู่ในใจ และให้รู้จักคำนึงถึงที่มาของสิ่งที่ได้มาใช้ในการทำ บุญด้วยว่า เป็นมูลฐานสำคัญของบุญ สมเด็จพระจอมเกล้าฯ ท่านคงทรงพระประสงค์ที่จะตอกย้ำความรู้สึกของยายคุณท ้าวแฟง ให้รู้ตระหนักลงไปถึงในเรื่องกุศลจิต และอกุศลจิต มีอำนาจความสำคัญแตกต่างกันอย่างไร ผู้เรียบเรียงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เรื่องการสร้างวัดของยายแฟงนี้คงจะแสดงให้พวกเราได้เ ห็นอะไรๆ เกี่ยวกับการทำบุญกุศลได้ชัดขึ้นมาบ้าง ไม่มากก็น้อย อนึ่ง ในเรื่องนี้มีอยู่ตอนหนึ่งที่ทูลกระหม่อมพระ ท่านได้ตรัสว่า คุณท้าวแฟงควรจะได้บุญเพียง 2 ไพเท่านั้น ท่านผู้อ่านที่มีอายุน้อยนั้นอาจจะไม่ทราบมาตราเงินไ ทยในสมัยเก่า ดังนั้นจึงจะขอเรียนให้ทราบว่า 4 ไพนั้นมีค่าเท่ากับ 1 เฟื้อง และ 2 เฟื้องเป็น 1 สลึง ดังนั้น หนึ่งไพจึงมีค่าเพียงราว 1 สตางค์เท่านั้น พระองค์ทรงบอกว่าที่ทำบุญบาทหนึ่งนั้นได้ผลบุญจริงๆ เพียงแค่ 6 สตางค์ น้อยกว่าที่มหาโตท่านได้ตัดสินไว้เสียอีก คือ ใน 100 ส่วน เหลืออยู่เพียง 6 ส่วน เท่านั้นนั่นเอง และอีกประการหนึ่ง ควรทำความเข้าใจไว้ให้ชัดว่า คำว่า "จิตขุ่นมัว" ที่มีใช้อยู่ในเรื่องนี้นั้น ไม่ได้หมายถึงการขุ่นมัวด้วยความโกรธหรือการลุแก่โทสะเพียงอย่างเดียว ถ้าพิจารณากันให้ดีแล้วจะเห็นว่า ท่านหมายถึงความขุ่นมัวด้วยความ โลภและความหลง ด้วย คือ พร้อมกันทั้ง 3 ประการ ยายแฟงโลภอยากได้หน้า และหลงไปว่า ในหลวงท่านจะโปรดปราน จึงได้สร้างวัดขึ้นมา ส่วนจิตใจของยายแฟงนั้น ไม่มีใครรู้ได้ แต่เท่าที่ประมาณพอได้ก็คือ แกเป็นแม่เล้าคุมซ่องนางโลม ดังนั้นจิตใจแกจึงน่าจะมีส่วนที่ผ่องใสในการกุศลอยู่ น้อยมาก เมื่อเทียบกับส่วนที่เป็นอกุศลอันขุ่นมัว ซึ่งซ่อนลึกหลบอยู่ภายในใจของแก คนที่ทำบุญเอาหน้า ได้เงินทองมาโดยไม่บริสุทธิ์นั้น จึงอยู่ห่างไกลบุญมาก ทำให้ไม่สามารถไปสู้คนที่ทำบุญด้วยจิตที่บริสุทธิ์ และด้วยสิ่งของที่บริสุทธิ์สะอาดไม่ได้เลย อย่างไรก็ตามผู้เรียบเรียงคิดว่า แม้ได้น้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้เลย บุญนั้นไม่ว่ามากหรือน้อยเพียงใด ย่อมมีผลให้อุบัติเกิดเป็นความดีมาค้ำจุนผู้กระทำบุญ นั้นแต่เพียงฝ่ายเดียว จะมากหรือน้อยก็มีแต่ดี เรื่องของยายแฟงนี้ได้เขียนเล่าเก็บเอาไว้เพื่อเตือน ใจผู้ที่อาจจะตีความคิดเอาเองว่า จะหากำไรด้วยการทำชั่วทำบาปให้มาก แล้วก็จะเอาสิ่งของจำนวนมากที่ได้จากบาปกรรมของตัวนั้นมาสร้างความดี จะได้มีความดีมากๆ ความคิดเช่นนั้นเป็นความคิดที่ผิด เพราะความดีที่เกิดนั้นย่อมมีผลน้อย อย่าคิดว่าทำชั่วไว้มาก ๆ แล้ว ก็จึงค่อยหันกลับมาทำความดี แล้วก็จะทำให้ได้กำไร เกิดเป็นผลบุญขึ้นอีกมากมายได้ตามที่ใจตนเองคาดเดาเอ าไว้เลยเป็นอันขาด เรื่องของคุณท้าวแฟง ที่สร้างวัดคณิกาผลนี่นั้นนับว่าเป็นอุทาหรณ์ ที่น่าสังวรอยู่ไม่น้อยเลย จริง ๆ ทีเดียว" (4)

สรุป
1. ผู้ที่สามารถมองเห็นความเป็นจริงว่า สรรพสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง มาจากการปรุงแต่ง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แม้จะเห็นเพียงชั่วขณะจิตก็ตาม พุทธองค์ตรัสสรรเสริญว่าย่อม ได้บุญมากที่สุด

2. วัดคณิกาผล แต่เดิมชาวบ้านเรียกว่า วัดโคก บ้าง วัดใหม่ยายแฟง บ้าง

3. เงินที่สร้างวัด/ทำบุญทำทาน หากเป็นเงินที่เกิดจาก น้ำพักน้ำแรงของคนอื่น ที่ไม่ชอบด้วยธรรมเนียม ถ้าเปรียบอานิสงส์นี้ด้วยเงิน1 เหรียญบาท ก็จะได้ไม่เต็มบาท จะได้สักสลึงเฟื้องเท่านั้น

4. คำว่า "จิตขุ่นมัว" นั้นหมายถึง ในยามทำบุญ ทำทานหากทำด้วย ความโลภ ความโกรธ และความหลง พร้อมกันทั้ง 3 ประการ หรือเพียงแค่ประการใดประการหนึ่งก็จะทำให้ได้ส่วนของบุญนั้นลดน้อยลงตามลำดับ ยกตัวอย่างเช่น การทำบุญ ทำทาน เพราะอยากได้หน้า จิตใจจึงน่าจะมีส่วนที่ผ่องใสในการกุศลอยู่น้อยมาก เมื่อเทียบกับส่วนที่เป็นอกุศลอันขุ่นมัว ซึ่งซ่อนลึกหลบอยู่ภายในใจ คนที่ทำบุญเอาหน้า ได้เงินทองมาโดยไม่บริสุทธิ์นั้น จึงอยู่ห่างไกลจากบุญอยู่มาก
5. อย่าคิดว่าทำชั่วไว้มาก ๆ แล้ว ก็จึงค่อยหันกลับมาทำความดี แล้วก็จะทำให้ได้กำไร เกิดเป็นผลบุญขึ้นอีกมากมายได้ตามที่ใจตนเองคาดเดาเอาไว้เลยเป็นอันขาด



อ้างอิง
(1) บุญที่มนุษย์สามารถทําให้ได้ผลสูงสุด. เวปไซต์ลานธรรมจักร. 2003 September  [cited 2008 October 26]. (10 screens).  Available from: URL; http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=7740&view=next&sid=4dac6528d5747f3fec96fb688864f48a

(2) BM.chaiwut (นามแฝง). อนุทินลำดับที่ 24621. เวปไซต์โกทูโนดอทคอม. [cited 2008 October 27]. (0 screens). Available from:  http://gotoknow.org/journals/bmchaiwut/entries/24621

(3) สิริลักษณ์ จินตนะดิลกกุล. วัดคณิกาผล, ท่องเที่ยว > เที่ยวกรุงเทพฯ > สองเท้าพาเดิน. เวปไซต์สนุกดอทคอม.  [cited 2008 October 27]. (0 screens). Available from: http://travel.sanook.com/Walking/walking_06550.php 

(4) goganut (นามแฝง).ประวัติของวัดคณิกาผล (วัดใหม่ยายแฟง). เวปไซต์ลานพุทํธศาสนา  [cited 2008 October 27]. (0 screens). Available from: http://www.larnbuddhism.com/webboard/showthread.php?t=88

(5) จะเอ๋ (นามแฝง). บทความธรรมะเวปไซต์ธรรมจักร อ้างใน  Vickies (นามแฝง). ปริศนาธรรม ของสมเด็จฯโต ตอน บุญสลึงเฟื้อง. เวปไซต์ ThAiWaRe CoMMuNiTY. [cited 2008 October 27]. (0 screens). Available from: http://community.thaiware.com/thai/lofiversion/index.php/t281970.html

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย กวิน



-----------------------------------------------------------------

ในสมัยเมื่อครั้งสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงได้ครองแผ่นดินสยามอยู่นั้น มีหญิงคนหนึ่งที่ชาวบ้านเรียกว่า ยายคุณท้าวแฟง หรือบางครั้งก็เรียกว่า ยายแฟง เฉย ๆ ยายแฟง เป็นเจ้าสำนักโสเภณีชื่อ "โรงยายแฟง" อยู่ที่ตรอกเต๊า ถนนเยาวราช มีศรัทธาในพุทธศาสนา จึงชวนหญิงโสเภณีในสำนักของนางเอารายได้จากการค้าประเวณีมาลงขันกันสร้างวัดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2376 ที่ตรอกแฟง ในแหล่งธุรกิจของพระนครสมัยนั้น พวกชาวบ้านจึงเรียกกันว่า " วัดใหม่ยายแฟง "

ยายแฟงนิมนต์ขรัวโต ซึ่งต่อมาได้สมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) มาเทศน์ฉลอง หวังจะให้เทศน์สรรเสริญคุณงามความดีของนางในครั้งนี้ต่อที่ชุมชน แต่ขรัวโตเทศน์สั่งสอนว่า ทำบุญเอาหน้า แม้จะเป็นบุญใหญ่ ก็ได้บุญน้อย นอกจากนี้ ขรัวโตยังว่า เงินของยายแฟงได้มาโดยไม่บริสุทธิ์ ยายแฟงจึงได้บุญไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยเปรียบเปรยว่า "ในการที่เจ้าภาพได้จัดการทำบุญเช่นนี้นั้น เป็นการทำบุญที่มีเบื้องหลังอยู่หลายประการ เป็นเหตุให้เหมือนกับว่า ในเงินทำบุญหนึ่งบาทนั้น ยายแฟงจะได้อานิสงส์เพียงแค่สลึงเฟื้องเท่านั้น

เมื่อยายคุณท้าวแฟงได้ฟังเช่นนั้นแล้ว ก็ให้รู้สึกขัดเคืองใจเป็นกำลัง มีอาการโกรธหน้าแดง จนแทบจะระเบิดวาจาออกมาต่อว่า บริภาษมหาโตอย่างรุนแรง แต่ก็ยังเกรงเป็นการหมิ่นประมาท แกจึงได้เพียงแต่ประเคนกัณฑ์เทศน์ด้วยอาการไม่พอใจ กระแทก ๆ ดังปึงปังใหญ่ แล้วหลังจากนั้นแกก็จึงได้ไปนิมนต์เสด็จทูลกระหม่อมพระ ซึ่งก็คือ สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในสมัยเมื่อครั้งที่พระองค์ยังได้ทรงผนวชอยู่ เพื่อจะได้ให้ทรงเสด็จมาประทานธรรมต่อให้อีกสักกกัณฑ์หนึ่ง โดยหวังว่า แกคงจะได้รับคำชมจากพระองค์ท่าน ซึ่งก็เท่ากับเป็นการแก้ลำพระมหาโตไปในคราวเดียวกัน

ทูลกระหม่อมฯ ทรงรับนิมนต์ของยายแฟงแล้ว ได้ทรงประทานธรรม ในเรื่องจิตของบุคคลที่ประกอบการกุศลว่า ถ้าทำด้วยจิตที่ผ่องใส ไม่ขุ่นมัวก็จะได้อานิสงส์มาก แต่ถ้าบุคคลใดทำงานการบุญด้วยจิตที่ขุ่นมัว ก็ย่อมจะทำให้เกิดได้ผลน้อย และสำหรับในเรื่องของการสร้างวัดนี้ ก็ดูเหมือนจะเนื่องด้วยเรื่องของจิตที่ขุ่นมัวทั้งนั้น ดังนั้นอานิสงส์ผลบุญจึงมีเพียงเท่านั้น ตามที่ท่านมหาโต ท่านยกเรื่องตากะยาย ไปอ้อนวอนเทวดาที่ต้นไม้ใหญ่มาประกอบนั้น เป็นเรื่องที่มีปรากฏในฎีกาพระอภิธรรมอยู่ เป็นฉากตัวอย่างที่ช่วยให้ท่านทำการตัดสินบุญของผู้สร้างวัดนี้ว่า ผลแห่งบุญนั้นจะอำนวยให้เกิดได้ไม่เต็มเม็ด เต็มหน่วย คงได้แค่เพียง 3ใน8ส่วน เหมือนกับเงิน 1 บาท โค้งเว้าหายไปเสีย 5 เฟื้อง คงได้เพียง 3 เฟื้อง คือ เหลือเพียงสลึงเฟื้องเท่านั้น การที่ท่านตัดสินอย่างนี้ก็นับว่ายังดีนักเทียว ถ้าเป็นความเห็นของเรา (สมเด็จพระจอมเกล้าฯ) คงจะตัดสินให้ได้บุญเพียง 2 ไพเท่านั้น คือตัดสินตามเหตุที่ได้เห็น เพราะในการสร้างบุญนั้น วัดกันด้วยระดับของจิตใจ ผลที่เธอควรได้รับจึงควรมีเพียงเท่านี้

ท่านทั้งสองต้องการให้ยายแฟงรู้จักการทำบุญด้วยการพิจารณาลงไปถึงมูลเหตุต่างๆ ที่มีอยู่ในใจ และให้รู้จักคำนึงถึงที่มาของสิ่งที่ได้มาใช้ในการทำบุญด้วยว่า เป็นมูลฐานสำคัญของบุญ สมเด็จพระจอมเกล้าฯ ท่านคงทรงพระประสงค์ที่จะตอกย้ำความรู้สึกของยายคุณท้าวแฟง ให้รู้ตระหนักลงไปถึงในเรื่องกุศลจิต และอกุศลจิต มีอำนาจความสำคัญแตกต่างกันอย่างไร

วัดนี้ เดิมไม่ได้ตั้งชื่ออย่างเป็นทางการ ชาวบ้านจึงเรียกกันว่า "วัดใหม่ยายแฟง" และนับตั้งแต่สร้าง ก็ได้เปิดทำสังฆกรรมต่อมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสู่ราชสมบัติแล้ว ลูกหลานของยายแฟงจึงบูรณะ และขอพระราชทานนามวัดจากพระมหากษัตริย์ ก็โปรดให้ว่า "วัดคณิกาผล" แปลว่า วัดที่สร้างขึ้นจากผลประโยชน์ของนางคณิกา คือ นางโสเภณี เพราะรายได้หลักของยายแฟงนั้นก็คือได้จากการเป็นแม่เล้า เจ้าโสเภณี

ในวัดยังมีรูปปั้นสมเด็จพระพุฒาจารย์ประดิษฐานไว้หน้าวัด และรูปปั้นยายแฟงครึ่งตัว ปิดทอง ตั้งไว้ในซุ้มบริเวณกำแพงหลังพระอุโบสถ ที่ฐานรูปมีจารึกว่า "วัดคณิกาผลนี้สร้างเมื่อพุทธศักราช 2376 โดยคุณยายแฟง บรรพบุรุษของตระกูลเปาโรหิตย์"
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: มิถุนายน 15, 2014, 10:50:13 am »

กรวดน้ำตามสไตล์sithiphong

-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,964.0.html-

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,964.0.html
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: มิถุนายน 15, 2014, 10:47:11 am »

ผมจะมาแนะนำ "การทำบุญ"  เป็นวิธีที่ผมทำมาไม่น้อยกว่า 3 ปีแล้ว


ผมตั้งจิตและเจตนาโดยจะทำบุญ 2 ประเภทหลัก ( 1.ทำบุญทุกอย่างที่เกี่ยวกับพระสงฆ์ 2.ทำบุญทุกอย่างที่เกี่ยวกับมูลนิธิที่องค์ในหลวงหรือพระเทพฯเป็นประธาน) อธิษฐานในการทำบุญว่า ในทุกวันที่ผมออกไปทำงาน หรือ ออกไปนอกบ้าน  ผมจะทำบุญครั้งละไม่น้อยกว่า 5 บาท  และบุญอีก 2 ประเภทรอง ( 1.ชำระหนี้สงฆ์ 2.ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และสัตว์) ที่จะทำในบางโอกาส 

ผมจะมีคำอธิษฐาน (สำหรับท่านใดมีคำอธิษฐานอย่างไร ให้ใช้ได้)  ก่อนออกไปทำงาน  ผมได้สวดมนต์บูชาพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า , พระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วผมทำบุญโดยนำเงินใส่ในกล่องที่เตรียมไว้  เมื่อทำบุญแล้วผมจะอธิษฐาน , ขอพระเมตตาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า , พระปัจเจกพุทธเจ้า , องค์หลวงปู่ที่ผมเคารพ , องค์พยามัจจุราช , นายนิริยบาล(ท่านที่มีหน้าที่ดูเรื่องความดี ความชั่วของคนหรือมนุษย์ เป็นเหมือนเลขาท่านองค์มัจจุราช) , ท่านยมทูตทุกๆท่าน , พระแม่ธรณี , พระแม่คงคม , พระแม่โพสพ , ท้าวเวสสุวรรณ และเทพเทวาทั้ง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน  (ผมมีพระบูชาองค์เทพฯหลายองค์ที่ท่านได้มาอธิษฐานจิตเอง)  มาเป็นสักขีพยานในการที่ผมทำบุญและขอพระเมตตาร่วมโมทนาบุญกับผม  หลังจากนั้นผมจะสวดการไหว้ 5 ครั้ง( ไหว้ 5 ครั้ง ของ...สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร))  หลังจากนั้นก็สวดบูชาองค์หลวงปู่ฯที่ผมสวดบูชามานาน  (ซึ่งท่านสามารถสวดบูชาองค์หลวงปู่ฯที่ท่านผู้อ่านเคารพนับถือได้ หรือสวดตามที่ท่านได้สวดมนต์มาก็ได้)


.
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: มิถุนายน 08, 2014, 06:53:38 pm »

จบสำหรับวิธีการทำบุญ ที่ได้ผลบุญมากกว่าที่ท่านเคยได้ทำบุญมา

โมทนา สาธุครับ
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: มิถุนายน 08, 2014, 06:53:19 pm »

ทำบุญง่าย ๆ สไตล์หลวงปู่ดู่

-http://www.pisit.in.th/thrrm-ma/thabuy-ngay-stil-hlwng-pu-du-

1. การเพิ่มพลังบุญแบบไม่เสียเงินแม้แต่บาทเดียว

เคล็ดวิชานี้ เป็นของท่านหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านสอนไว้ว่า
-เวลาตื่นเช้ามาขณะล้างหน้าหรือดื่มน้ำให้ท่องว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ เพื่อความเป็นสิริมงคลต่อชีวิตในวันใหม่
-ก่อนกินข้าว ก็ให้นึกถวายข้าวแด่พระพุทธเจ้า
-ออกจากบ้าน เห็นคนอื่นเค้ากระทำความดี เป็นต้นว่าเห็นเค้าใส่บาตรพระ จูงคนแก่ข้ามถนน ก็ให้นึกอนุโมทนากับเขาด้วย
-เดินผ่านเห็นดอกไม้บูชาพระวางขายอยู่ ก็ให้เอาจิตนึกอธิษฐานขอถวายดอกไม้เหล่านั้นเป็นเครื่องบูชาพระรัตนตรัย โดยระลึกว่า พุทธัสสะ ธัมมัสสะ สังฆัสสะ ปูเชมิ แล้วอย่าลืมอุทิศบุญให้พ่อค้า แม่ค้าดอกไม้นั้นด้วย
-เวลาไปไหนมาไหน เห็นไฟข้างทางก็ให้นึกน้อมถวายไฟเหล่านั้นบูชาพระรัตนตรัย โดยระลึกว่า โอม อัคคีไฟฟ้า พุทธบูชา ธัมมะบูชา สังฆบูชา

2. การเพิ่มพลังบุญด้วยเงินน้อย แต่ได้อานิสงส์ยิ่งใหญ่
การสร้างบุญที่เป็นมหากุศล อาทิเช่น การสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ พระมหาเจดีย์ สร้างยอดฉัตรหรือสร้างศาสนสถานอื่นใดก็ตาม รวมถึงธรรมทานด้วย เพื่อลดวิบากกรรมหนักๆ สามารถทำได้ แม้แต่ผู้ที่มีเงินน้อย การทำบุญนี้ ไม่จำเป็นจะต้องใช้เงินมาก เหมือนที่หลายๆคนในปัจจุบันเข้าใจและติดเป็นค่านิยมกัน การทำบุญทุกอย่าง ไม่ว่าจะบุญเล็ก บุญใหญ่ ให้ทำตามแต่กำลังของเราที่สามารถจะทำได้ และต้องไม่เดือดร้อนตัวเอง แม้แต่เงินสลึงเดียวก็สามารถสร้างมหากุศลได้ ขอให้เพียงเงินนั้นบริสุทธิ์ ไม่ได้ไปเบียดเบียนของใครมาก็พอ และที่สำคัญเจตนาตอนที่ทำ ต้องบริสุทธิ์ มีความยินดีในบุญที่ทำ เกิดความสุขและความอิ่มเอมใจ นั่นแหละมหากุศลทั้งสิ้น

แต่ถ้าไม่มีเงินจริงๆ ก็ยังสร้างมหากุศลได้ โดยการใช้แรงกายแรงใจในการช่วยก่อสร้าง หรือแม้แต่การไปชักชวน ป่าวประกาศให้คนมาร่วมสร้างบุญ และขออนุโมทนาบุญกับคนเหล่านั้นด้วยทุกครั้ง ก็จะได้บุญมากเช่นเดียวกัน อยู่ที่เจตนาและความตั้งใจเป็นที่ตั้ง สรุปสั้นๆ ว่า การทำบุญนั้น ไม่ว่าจะเป็นเงินเท่าใดก็ได้บุญเช่นกัน ยิ่งการทำบุญใดๆที่เป็นประโยชน์ต่อคนจำนวนมากมากหรือสังคม บุญนั้นก็จะมากขึ้นทวีคูณ ไม่มีวันหมด อาทิเช่น สังฆทาน สร้าง โรงทาน วิหาร อุโบสถ ถนน เป็นต้น จนกว่าสิ่งก่อสร้างหรือศาสนสถานนั้นๆที่ร่วมสร้างจะพังทลายไป

3. การสวดภาวนา ให้ได้บุญมากขึ้น
การสวดภาวนา คาถาศักดิ์สิทธิ์ หรือมนตราอันศักดิ์สิทธิ์นั้น ถ้าได้ทำอย่างถูกวิธีนั้น จะเป็นการเพิ่มบุญให้กับตัวเอง เพราะพลังบุญ พลังอำนาจของพระคาถาและมนตรานั้น จะถูกดึงเข้าสู่ตัวผู้สวดด้วย

เคล็ดวิธีมีอยู่ว่า โดยก่อนสวดนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิที่พร้อมจะสวดแล้ว ขอให้ตั้งจิตให้มั่นแล้วอุทิศบุญทั้งหมดที่ตนเคยทำมานั้น ส่งให้แด่ครูบาอาจารย์ ผู้เป็นเจ้าของคาถาหรือมนตรานั้นๆด้วย ซึ่งเป็นการเชื่อมบุญรูปแบบหนึ่ง และหลังจากนั้น ก็อธิษฐานขอมีส่วนร่วมในบุญของท่าน และขอมีส่วนร่วมในบุญของผู้อื่นที่ได้สวดคาถาและมนตราศักดิ์สิทธิ์นั้นด้วย เมื่อใดตามที่มีคนอื่นสวดและกระทำเหมือนกับเรา เราก็ได้บุญเพิ่มทุกครั้ง

4.การทำบุญด้วยการต่อชีวิตสัตว์ ให้ได้บุญมากขึ้น
การทำบุญปล่อยชีวิตสัตว์หรือต่อชีวิตสัตว์นั้น หลายคนเรียกว่า เป็นการสะเดาะเคราะห์ ซึ่งก็แล้วแต่จิตจะพาไป แต่ในความเป็นจริงก็คือ เป็นการทำบุญใหญ่ เป็นการช่วยต่อชีวิต ต่อโชคชะตา ให้เวลากับสัตว์ที่กำลังจะถึงตายให้ได้มีชีวิตอีกครั้ง และเคล็ดลับสำคัญก็คือ ก่อนที่จะปล่อยสัตว์นั้นๆ เมื่อได้ซื้อมาหรือเจอ ณ ที่ใดก็ตาม ให้นำไปถวายกับพระสงฆ์เสียก่อน เพื่อเพิ่มบุญให้มากขึ้น เหตุเพราะว่าพระสงฆ์ที่รับนั้นท่านบริสุทธิ์ และมีศีลมากกว่าเรา ท่านย่อมมีบุญมากกว่าเรา ยิ่งเป็นพระสงฆ์ที่มีเนื้อนาบุญมากแล้ว บุญนั้นจะเพิ่มเป็นหลายเท่า จากนั้นก็ขอผาติกรรมชำระหนี้สงฆ์ซื้อคืนมาจากท่าน ด้วยเงินเท่ากับจำนวนที่เราซื้อสัตว์นั้นๆมา วิธีนี้เป็นการเพิ่มบุญอีกเท่าตัว ได้ทั้งทำบุญต่อชีวิตสัตว์ และชำระหนี้สงฆ์ด้วย หลังจากนั้นก็นำไปปล่อยในที่อันสมควร

อานิสงส์ของการทำบุญด้วยวิธีนี้ ถ้าใครที่ทำได้ตามนี้ บุญที่ได้จะเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่า จากการที่ไปซื้อมาแล้วก็ไปปล่อยตามยถากรรม วิธีนี้นอกจากได้บุญน้อยแล้ว แถมยังได้บาปกลับมาด้วย ดังนั้นจะทำบุญทั้งที ควรฉลาดในการทำบุญด้วย

5. การทำสังฆทานให้ได้อานิสงส์บุญมากขึ้น
การทำสังฆทานควรทำให้ครบทั้งปัจจัยสี่ มีอาหาร( คาว-หวาน-ผลไม้-น้ำ ) ,เครื่องนุ่งห่ม ( ผ้าไตรจีวร หรือ ผ้าขนหนูสีสุภาพ ) , ยารักษาโรค , ที่อยู่อาศัย ( บ้านหลังเล็กๆ ซื้อได้ตามร้านสังฆภัณฑ์ เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยทิพย์ให้กับเจ้ากรรมนายเวร เค้าจะได้มีที่พักพิง ไม่มารบกวนเราอีก ) และควรเพิ่มหนังสือธรรมะเข้าไปด้วยเพื่อให้จิตใจของเจ้ากรรมนายเวรซึ้งในรสพระธรรม มีจิตใจที่เย็นสบายพ้นทุกข์

เคล็ดลับสำคัญ เครื่องสังฆทานและอาหารเหล่านี้ เราควรที่จะต้องไปถวายแด่พระสงฆ์ที่มีเนื้อนาบุญสูง แต่ถ้าหาไม่ได้หรือไม่ทราบ ให้เรานั้นตั้งจิตอธิฐานถวายแด่พระพุทธเจ้าโดยตรงและ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ หรือครูบาอาจารย์ที่เรานับถือ เพื่อให้อานิสงส์ของบุญจะได้มากขึ้นทบทวี และหลังจากนั้นก็ให้อุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งหมด และควรกรวดน้ำหลังทำบุญทุกครั้งเพื่อให้พระแม่ธรณีและเทพเทวาทั้งปวงท่านเป็นพยานในการทำบุญครั้งนี้

สรุป
เมื่อท่านได้ทราบว่า ทำบุญอะไร แล้วได้รับอานิสงส์ของการทำบุญเป็นอย่างไร สมควรช่วยประชาสัมพันธ์ให้ผู้อื่นได้ทราบด้วย เพราะเป็นการให้คนได้รู้ถึงอานิสงส์ของทำบุญในแต่ละอย่าง จะได้จำสืบต่อกันไปอย่างถูกต้อง

ดังนั้น จึงสรุปว่า การทำบุญอะไรก็ตาม เมื่อได้ทำบุญแล้ว ก็ได้รับผลบุญในทันที กล่าวคือ ขณะที่ทำบุญนั้น สภาพจิตของเราตรงนั้นเป็นอย่างไร สุขใจไหม สบายใจไหม ภูมิใจไหม ตรงนี้ไม่ต้องถาม หวังว่า ท่านที่เคยทำบุญมาแล้วก็จะตอบตนเองได้อย่างแจ่มแจ้งทีเดียว

เมื่อเราได้ทำบุญ ผลของการทำบุญ จะให้อานิสงส์ไม่เหมือนกัน บุญบางอย่าง ก็ให้ผลโดยตรง แต่บุญบางอย่าง ก็ให้ผลโดยอ้อมไม่ตรงทีเดียว ในเรื่องนี้ แสดงให้เห็นว่า อานิสงส์แห่งการทำบุญนั้นไม่เหมือนกัน และผลบุญที่เราได้ทำนั้น รอให้ผลอยู่ตลอดเวลาแก่ผู้ที่ได้ทำบุญไว้ ตราบเท่าที่ยังมีผลบุญอยู่ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ทำบุญไว้ ถ้าไม่ประมาท ถึงแม้ไม่มีอะไรจะทำบุญ เพียงแต่เห็นคนอื่นเขาทำบุญ แล้วทำใจให้เลื่อมใส ก็เป็นอันได้ทำบุญเหมือนกัน บุญชนิดนี้ เรียกว่า บุญด้านปัตตานุโมทนามัย ( บุญจากการอนุโมทนาบุญ )

ขอบคุณข้อมูลจาก :

-http://www.fungdham.com/-
-http://www.d.igetweb.com/-
-www.morgangaiyasit.com/forum/viewtopic.phpid=160-
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: มิถุนายน 08, 2014, 06:52:55 pm »

สารพันปัญหาว่าด้วยเรื่องทาน
โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

-http://www.jetovimut.com/forum/index.php?topic=954.0-

ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ ถวายสังฆทานให้พระองค์เดียวได้ไหมคะ ?"

หลวงพ่อ : "ได้ แต่พระไปฉันองค์เดียว พระองค์นั้นลงนรก นี้เรื่องจริงนะ อย่างฉันรับนี่ ฉันรับองค์เดียว แต่ว่าองค์เดียวนี่ ถือว่าเป็นผู้แทนคณะสงฆ์นะ อย่าไปกินไปใช้แต่ผู้เดียว นี่ไม่ได้ ของเขาย่อมมีอานิสงส์สมบูรณ์แบบพระองค์เดียว หรือพระ ๓ องค์ ถือว่าเป็นผู้แทนสงฆ์ พระ ๓ องค์ ก็แบ่งไปใช้แค่ ๓ องค์ไม่ได้ จะต้องไปรวมทั้งคณะ คำว่า สังฆทาน สังฆะ เขาแปลว่า หมู่ "

ผู้ถาม : "ลูกเป็นคนยากจน มีเงินน้อย อยากจะได้อานิสงส์มากๆ จะทำบุญอย่างไรดีคะ?"

หลวงพ่อ : "คืออานิสงส์จริงๆ ต้องทำบุญให้มากที่สุด เท่าที่จะพึงทำได้ สมมติว่าเรามีเงินอยู่ ๑๐ บาท จะไปมาที่นี่ เสียค่ารถ ๖ บาท กินก๋วยเตี๋ยว ได้ครึ่งชามแล้ว หมดไป ๙ บาท เหลือ ๑ บาท เขียนที่หน้าซองเลยว่าเงินนี้ถวายสังฆทาน วิหารทานและธรรมทาน คนนี้อานิสงส์มากเหลือเกิน จำนวนเงินเขาไม่จำกัด เขาจำกัดกำลังใจ ถ้ากำลังใจมุ่งด้านดีนะ การทำบุญมากๆ คำว่า "ทำมาก" หมายความว่า ทำบ่อยๆ แต่คำว่า "บ่อย" ไม่ต้องทุกวันก็ได้นะ คำว่า "มาก" หมายความว่า ทำเต็มกำลังที่พึงทำ ไม่ใช่ขนเงินมามากเวลาทำบุญ ต้องดูก่อนว่า ค่าใช้จ่าย เรามีความจำเป็นเพียงไร เงินที่มีความจำเป็น อย่านำมาทำบุญ มันจะเดือดร้อนภายหลัง และให้เหลือส่วนนั้นไว้บ้าง แล้วแบ่งทำบุญพอสมควรและประการที่ ๒ การทำบุญ ถ้าใช้วัตถุมาก แต่กำลังใจน้อย ก็มีอานิสงส์น้อยถ้าหากใช้วัตถุน้อย กำลังใจมีมาก ก็มีอานิสงส์มาก อย่างถวายสังฆทาน ที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทนำมานี่ ลงทุนไม่มาก แต่อานิสงส์มหาศาล ความจริง ถ้าจะพูดถึงอานิสงส์กันจริงๆล่ะก็รู้สึกว่าจะมากกว่าจัดงานที่บ้าน หรือที่วัดตั้ง เยอะแยะทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าถวายสังฆทาน เราทำกันแบบเงียบๆ ไม่มีกังวล

การบำเพ็ญกุศลแต่ละคราว ถ้ามีกังวลมาก อานิสงส์มันก็น้อย เพราะว่าจิตที่เราเข้าสู่กุศลมันห่วงงานอื่นมากกว่าไม่ตั้งจิตโดยเฉพาะ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การถวายสังฆทานในหมู่สงฆ์ ตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ตามพระวินัย ท่านเรียกกันว่า คณะสงฆ์ ถ้าต่ำกว่านั้น เป็น คณะบุคคล ถ้าบุคคลเดียว เป็น ปาฏิปุคคลิกทาน โดยเฉพาะ ทีนี้การถวายสังฆทานแก่พระสงฆ์เป็นหมู่นี้มีอานิสงส์มาก เรื่องนี้ก็มีตัวอย่าง คนที่มีทรัพย์น้อย ทรัพย์มาก อย่างท่านอินทกะเทพบุตรกับ ท่านอังกุระ - เทพบุตร ไงล่ะ ท่านอังกุระเทพบุตร ทำบุญนอกเขตพระพุทธศาสนา เวลานั้นพระพุทธศาสนาไม่มี ตั้งโรงทาน ๘๐ โรง ให้ทานถึง ๒ หมื่นปี เลี้ยงคนกำพร้า คนตกยาก คนเดินทาง พอตายจากความเป็นคน ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเทวดาที่มีบุญน้อยที่สุดเพราะเขตของบุญเล็กไป คนไร้ศีลไร้ธรรม ใช่ไหม ตรงกันข้ามท่านอินทกะเทพบุตร เกิดเป็นคนจน พ่อตาย ตัดฟืนเลี้ยงแม่ ก็ไม่ได้ตัดขายมากมาย เอาแค่วันๆ พอกินพอใช้ไปวันๆวันหนึ่ง พระสงฆ์เดินผ่านไปที่นั้น ท่านมีโอกาสได้ถวายทาน ในฐานะที่ไม่ได้เตรียมตัวไว้ก่อนคนจนจะมีอะไรมากนักใช่ไหมล่ะ เพียงแค่ครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้นอาศัยคุณ คือความกตัญญูรู้คุณอย่างหนึ่งแล้ว ก็ถวายสังฆทานหนึ่ง สองอย่างด้วยกัน ตายแล้ว ไปเป็นเทวดาที่มีบุญมากที่สุดในดาวดึงส์ นอกจากพระอินทร์แล้ว ไม่มีใครโตกว่า"


ผู้ถาม : "การที่เราทำบุญใส่บาตรตามหน้าบ้านกับพระที่เรารู้จักตามวัดกับการไปทำที่วัด อันไหนจะมีอานิสงส์มากกว่ากันเจ้าคะ ?"

หลวงพ่อ : "คือว่าการใส่บาตรตามหน้าบ้าน ไม่เฉพาะเจาะจง พระอะไรมาก็ใส่อย่างนี้ก็เป็นสังฆทาน ทีนี้ไปใส่บาตรตามพระที่ชอบใช่ไหม ?"

ผู้ถาม : "ไม่ใช่ชอบค่ะ คือว่าศรัทธาค่ะ"

หลวงพ่อ : "ชอบกับศรัทธาก็ครือกันล่ะ ถ้าศรัทธาฉันตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป เป็นสังฆทาน มีอานิสงส์เหมือนกัน แต่ถ้าหากท่านฉันตั้งแต่ ๑ รูป ถึง ๓ รูป อย่างนี้เป็นปาฏิปุคคลิกทาน"

ผู้ถาม : "มีอานิสงส์มากไหมคะ ?"

หลวงพ่อ : "มีโยม ถ้าเป็นปาฏิปุคคลิกทาน ถ้าจัดกันตามลำดับแย่นะ ไล่เบี้ยตั้งแต่ให้ทานกับคน ไม่มีศีล จนถึงพระอรหันต์ มีอานิสงส์ไม่เท่ากัน แต่จะพูดสรุปโดยย่อว่าถวายทานกับพระอรหันต์ ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายทานกับพระพุทธเจ้า ๑ ครั้งถวายทานกับพระพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทาน ๑ ครั้งและถ้าถวายสังฆทาน ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่าถวายวิหารทาน ๑ ครั้ง คือสร้างวิหาร มีการก่อสร้าง เช่นสร้างส้วม ศาลาการเปรียญ กุฏิ โบสถ์ วิหาร เป็นต้นการถวายสังฆทาน ๑ ครั้งในชีวิต และถวายด้วยจิตที่บริสุทธิ์ มีศรัทธาแท้ พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า ผลของสังฆทานนี้ จะดลบันดาลให้แก่บุคคลผู้ถวาย เกิดไปทุกชาติ ขึ้นชื่อว่าความยากจนเข็ญใจไม่มีในแดนใดที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากขัดสน

คนที่ถวายสังฆทานแล้วจะไม่เกิดในที่นั้น ผลที่ให้ไปไกลมาก ท่านกล่าวว่าแม้แต่พระพุทธญาณเอง ก็ยังไม่เห็นผลที่สุดของการถวายสังฆทานคำว่า"ไม่เห็นที่สุดของการถวายสังฆทาน" หมายความว่า แม้แต่บุคคลผู้เป็นเจ้าของสังฆทานบำเพ็ญบารมีแล้ว แล้วเกิดไปอีกกี่แสนชาติก็ตาม จนกระทั่งเข้าพระนิพพาน อานิสงส์นั้นก็ยังไม่หมดนี่เป็นอำนาจของการถวายสังฆทาน

ฉะนั้น การถวายทานเป็นส่วนบุคคล กับถวายเป็นสังฆทาน อานิสงส์มันต่างกันลายแสนเท่าแล้วก็ยังมีอีกเวลาหนึ่ง ถ้าพระออกจากสมาบัติ นี่คูณหนักเข้าไปอีกไม่รู้เท่าไรทีนี้การถวายสังฆทานแก่พระ มีผลไม่เสมอกันอยู่อย่างหนึ่ง คือหมายความว่า ถวายทานแก่พระที่มีจิตกำลังฟุ้งซ่านไปด้วยอำนาจของนิวรณ์ ๕ ประการอย่างนี้เราถวายกี่หมื่น กี่แสน อานิสงส์มันก็ไม่มาก ถ้าหากว่า ถวายแก่ท่านผู้ปฏิบัติกรรมฐาน ถ้าหากเข้าถึงจิตบริสุทธิ์ เรื่องบริสุทธิ์แค่ไหนก็ช่าง อย่างน้อยที่สุดก็มีขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ บางท่านก็เข้าถึงฌานสมาบัติ บางท่านที่เป็นพระอริยเจ้าก็เข้าถึงผลสมาบัติ ถ้าถวายทานกับท่านที่ออกจากนิโรธสมาบัติ หมายความว่า ให้คนเดียวนะ ก็ให้ผลปัจจุบันทันด่วน ให้ผลวันนั้นเลย"


ผู้ถาม : "แล้วอย่างการใส่บาตร โดยเราลงมือใส่เอง กับให้ลูกจ้าง คือเด็กของเราใส่แทนอย่างไหนจะได้บุญมากกว่ากันคะ ?"

หลวงพ่อ : "เราไปไม่ได้ แต่ให้คนอื่นไป ได้บุญเท่ากัน แต่เราใส่เอง เราเกิดความปลื้มใจอันนี้ได้กำไรอีกนิด แต่ผลของทานมันเสมอกัน"

ผู้ถาม : "เวลาเราใส่บาตรไปแล้ว ถ้าหากว่าพระไม่ได้ฉันอาหารของเรา เราจะได้บุญไหมคะ ?"

หลวงพ่อ : "บุญมันเริ่มได้ ตั้งแต่คิดว่าจะให้แล้วนะ พระจะฉันหรือไม่ฉัน ไม่ใช่ของแปลก คือการให้ทาน ตัวให้นี่มันตัดความโลภ และตัวให้นี่กันความจน ในชาติหน้า อันดับรองลงมา "ทานัง สัคคโส ทานัง" ทานเป็นบันไดให้เกิดในสวรรค์ ทีนี้ พอเราเริ่มให้ปั๊บ มันเริ่มได้ตั้งแต่เราตั้งใจ การตั้งใจนะ มันตัดสินใจเด็ดขาดแล้วนะ เช่นคิดว่าพรุ่งนี้จะใส่บาตร ข้าวขันนี้ เราไม่กินแน่นอน คิดว่าเราจะไม่กินเองตั้งแต่วันนี้คิดว่า จะใส่บาตร นี่บุญมันเกิดตั้งแต่เวลานี้ แต่พอถึงพรุ่งนี้ ต้องใส่จริงๆนะอย่านึกโกหกพระ ไม่ได้นะ ไม่ใช่แกล้งนึกทุกวันๆ คิดว่านึกได้บุญ เลยไม่ได้ใส่บาตรสักทีนี่ดีไม่ดี ฉันพูดไปพูดมา เสียท่าเขานะแต่คิดว่าจะทำจริงๆนะ คือพรุ่งนี้จะใส่บาตรแน่ๆ แต่ว่าวันนี้เกิดตายก่อน นี่ได้รับ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ก็อย่างที่พระพุทธเจ้าบอกนั่นแหละ"เจตนาหัง ภิกขเว ปุญญัง วทามิ" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าตัวตั้งใจเป็นตัวบุญพระพุทธเจ้าบอกว่ามันมีผลตั้งแต่การตั้งใจเริ่มสละออก พอคิดว่าเริ่มจะทำอารมณ์มันตัด ตั้งแต่ตรงนั้นแล้ว ถือว่าไม่ได้เป็นของเราแล้ว มันได้ตั้งแต่ตอนนั้น"

ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ การใส่บาตร วิระทะโย มีอานิสงส์อย่างไรคะ ?"

หลวงพ่อ : "อานิสงส์เท่ากับ ถวายสังฆทานธรรมดา ไม่ต่างกัน อานิสงส์เหมือนกันหมด แต่ว่าใช้วิระทะโย ( คาถาภาวนากันจน ) มันมีผลปัจจุบัน ชาตินี้ทำให้เงินไม่ขาดตัว ถ้าใส่ บาตรทุกวัน สวดมนต์ทุกวัน ถ้าจะหมด ก็มีมาต่อจนได้ ถ้าแบ่งเวลาทำสมาธิล่ะก็ ขลังมากรวยมากหน่อย"

ผู้ถาม : "เห็นพระบางองค์ดูลักษณะไม่สำรวม ท่านวนเวียนคอยรับบาตร บ้านคนโน้นคนนี้แล้วก็ถ่ายใส่ถัง ถ้าเราไม่ใส่บาตรพระแบบนี้ เราจะบาปไหมคะ ?"

หลวงพ่อ : "บาป เขาแปลว่า ชั่ว บุญ เขาแปลว่า ดี ถ้าเราไม่ใส่ก็ไม่ชั่วตรงไหนนี่เพราะ ว่ามันเป็นทรัพย์สินของเรา ถ้าเราให้เขา เขาแสดงอาการไม่เป็นที่ เลื่อมใสเราไม่ให้ก็ไม่เห็นจะแปลก เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า การให้ทานก็จะต้องเลือกให้เหมือนกัน เพราะผู้รับถือว่าเป็น "เนื้อนาบุญ" ถ้าหว่านพืชลงในนาลุ่ม น้ำก็ท่วมตาย ถ้าดอนเกินไป น้ำไม่ถึงก็ตาย ต้องหว่านในเนื้อนาที่เหมาะ ถ้าเราเห็นนามันไม่ควร เราก็ไม่ให้ ทำไม่เหมาะไม่สม ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ถ้าให้ก็เป็นการเลี้ยงโจร แต่ว่าถ้าพูดถึงทานการให้ เจตนาเราจะตั้งอย่างไรก็ตาม ตัวนี้มันเป็นผลตัดโลภะอยู่ตลอดเวลาส่วนใหญ่จริงๆ ที่มีอานิสงส์สูงสุด คือ ตัดโลภะความโลภ เพราะคนที่มีความโลภนี้ให้ทานไม่ได้ เงินที่จะให้ทานได้นี่ มันตัดความสุขของเจ้าของหากว่าเจ้าของเขาไม่ให้ เขากินเขาใช้ก็มีความสุข เขาอุตส่าห์ตัดความสุขของเขาส่วนนี้ออกไป เป็นการตัดโลภะความโลภ เป็นก้าวหนึ่งที่จะถึงพระนิพพาน อันนี้เขาไม่ต่ำมันเป็น "จาคานุสติกรรมฐาน" จาคานุสติกรรมฐานนี้ไม่ต้องไปภาวนา จิตคิดว่าจะให้ทานทุกวันๆนี่นะจิตคิดว่าถึงเวลานั้นเราจะใส่บาตร มากหรือน้อยก็ตาม อันนี้เป็น "จาคานุสติกรรมฐาน" และการใส่บาตรหน้าบ้าน เขาถือว่าเป็นสังฆทานมันก็มีผลสำหรับพระผู้รับ ถ้าผู้รับไม่ดี ก็ลงอเวจีไปเอง

ผู้ถาม : "กระผมอยากจะทำบุญใส่บาตรเหมือนกันครับ แต่คิดว่าของที่จะใส่ บาตรทำบุญมันไม่ดี ก็เลยอาย ไม่อยากใส่ กะไว้ว่าถ้ามีอาหารดีเมื่อไหร่ ก็จะใส่บาตร ผมคิดอย่างนี้ถูกไหมครับ ?"

หลวงพ่อ : "การทำบุญ ทำไมจะต้องอาย เคยมีนักเทศน์เขาถามกันว่า "มียายกับตา ๒ คน เขาหุงข้าวแฉะแล้วแฉะอีก ไอ้แกงก็เปรี้ยวแล้วเปรี้ยวอีก แกกินไม่ลง ของมันกินไม่ได้ เวลาพระมาบิณฑบาตแกก็บอกว่า ใส่บาตรดีกว่า" พระนักเทศน์ เขาก็ถามกันว่า "อย่างนี้จะได้อานิสงส์ไหม ?" ก็ต้องตอบว่า "ได้อานิสงส์ แต่ผลที่เขาจะได้รับ ก็เป็น "ทาสทาน"

ผู้ถาม : ทาสทาน เป็นยังไงครับ ?

หลวงพ่อ : "คำว่า "ทาสทาน" หมายความว่า ให้ของเลวกว่าที่เรากิน เราใช้...เวลาที่เราได้ของใช้สอยมันก็ต้องเลวกว่าที่เขากินเขาใช้กัน ได้ก็ได้ของเลวถ้าให้ของเสมอที่เรากินอยู่ หรือที่เราใช้อยู่ เขาเรียกว่า สหายทาน ผลที่เราจะได้รับ ก็เสมอกับที่เรากินเราใช้ถ้าให้ของที่ดีกว่าที่เรากินเราใช้ เขาเรียกว่า สามีทาน สามีทาน เขาไม่ได้แปลว่า ผัวทานนะ สามีเขา แปลว่า นาย เวลาที่จะได้รับผล เราก็จะได้ของเลิศ ถ้าจะถามว่า ทาสทานมีอานิสงส์ไหม ก็ต้องดูตัวอย่าง ท่านอาฬวีเศรษฐี เป็นมหาเศรษฐีมีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ พระราชาตั้งเป็นมหาเศรษฐี แต่ว่าผ้าที่แกนุ่งนี้ ผ้าใหม่แกนุ่งไม่ได้ นุ่งผ้าช้ำแล้วใกล้จะขาด แกจึงนุ่งได้ ข้าวที่จะกิน เม็ดสวยๆก็กินไม่ได้ ต้องเป็นข้าวหัก หรือเป็นปลายข้าวแกจึงจะกินได้ ของทุกอย่างที่แกใช้ ต้องเป็นของเลว แต่อย่าลืมว่า เขาก็เป็นมหาเศรษฐีได้นะ

อนึ่ง การตั้งใจว่าจะใส่บาตรด้วยของดีๆ น่ะดี แต่ว่าวันไหนมีอาหารที่เราคิดว่าไม่ดีก็ใส่บาตรได้การให้ทาน พระพุทธเจ้าบอกว่า อย่าให้เบียดเบียนตัวเองถ้าเบียดเบียนตัวเอง เป็น "อัตตกิลมถานุโยค" เป็นการทรมานตัว และการให้ทาน พระพุทธเจ้าให้ดูอีกว่า ควรให้หรือไม่ควรให้ถ้าให้ในเขตของคนเลว อานิสงส์ก็น้อย อาจจะไม่มีเลยรู้ว่าคนนี้ควรจะให้ เราก็ให้ ถ้าไม่ควรให้ เราก็ไม่ให้ ให้แล้ว ไปกินเหล้าเมายา ไปสร้างอันตรายกับคนอื่น เราไม่ให้ดีกว่าเป็นการต่อเท้าโจร ให้พลังแก่โจรเวลาจะให้ ท่านวางกฎไว้ดังนี้


๑.ผู้ให้บริสุทธิ์ บริสุทธิ์หรือไม่ เขาจึงให้สมาทานศีลก่อน ถ้าสักแต่ว่าสมาทาน นี่ซวยเวลานั้นต้องตั้งใจรักษาศีลจริงๆ จิตตอนนั้นมันจึงจะบริสุทธิ์ คืออยู่ในช่วงว่างจากกิเลสถ้าตั้งใจสมาทานศีลด้วยดี จิตตอนนั้นบริสุทธิ์

๒.ผู้รับบริสุทธิ์ หมายความว่า ถ้าผู้รับเป็นพระ ก็พยายามให้เป็นพระจริงๆนะ

๓.วัตถุทานบริสุทธิ์ ถ้าไม่ได้ฆ่าสัตว์เอามาทำบุญ ไม่ได้ขโมยสตางค์เขามาทำบุญเป็นของ ๓ อย่าง ถ้าลดไปอย่างใดอย่างหนึ่ง อานิสงส์ก็ลดตัวลงมาถ้าลดเสียหมดเลย ก็ไม่มีอานิสงส์ แต่ว่าการให้ทานพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อีกประการหนึ่งต้องให้ครบ ๓ กาล จึงจะมี

อานิสงส์สูง คือ
๑. ก่อนจะให้ก็ตั้งใจว่าจะให้
๒. ขณะที่ให้ก็ดีใจ
๓. เมื่อให้แล้วก็เกิดความเลื่อมใส


มีเรื่องเล่าว่า ในสมัยหนึ่ง เมื่อท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีจนลง ขนาดข้าวเป็นแทบไม่มีกินต้องกินปลายข้าว แต่ศรัทธาท่านยังไม่ถอย ท่านนิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมไปด้วยพระสงฆ์ ไปฉันภัตตาหารที่บ้าน ท่านก็เอาปลายข้าวละเอียด เรียกว่าข้าวปลายเกวียนต้ม แล้วก็เอาน้ำผักดอง เปรี้ยวๆ เค็มๆ ทำเป็นกับ มาถวายพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า

"เวลานี้ ทานของข้าพระพุทธเจ้าเศร้าหมอง พระพุทธเจ้าข้า"

พระพุทธเจ้าถามว่า "เธอมีเจตนาในการถวายทานอย่างไรล่ะ ?"

ท่านบอกว่า

"ก่อนจะให้ เต็มใจพร้อมเสมอ ในขณะที่ให้ก็ปลื้มใจ เมื่อให้แล้วก็เกิดความเลื่อมใสดีใจว่าให้แล้ว พระพุทธเจ้าข้า"

พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า "ดูก่อนมหาเศรษฐี "ลูขัง วา ปณีตัง วา"

หมายความว่า ถ้าคนให้ทานมีเจตนาพร้อมเพรียงทั้ง ๓ กาลอย่างนี้ ของดีก็ตาม ของเลวก็ตาม ย่อมมีอานิสงส์เลิศมีอานิสงส์สูง แต่ที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีท่านทำนั้น ท่านถวายพระพุทธเจ้า และพระที่ฉันก็เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด นับเป็นยอดของทาน ถ้าหากว่า เราไม่รู้จะเลือกยังไง องค์นี้จะเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์หรือเปล่า หรือเป็นพระโปเก พระเชียงกง ถ้าเราไม่รู้ ก็ถวายเป็นสังฆทานเลย เพราะสังฆทานมีอานิสงส์สูงมากรองจากวิหารทาน"


ผู้ถาม : "หลวงพ่อครับ ใส่บาตรตอนเช้า บังเอิญหากับข้าวไม่ทัน เอาปลาเค็มที่กินค้างเมื่อวานนี้ใส่ไปเพราะความจำเป็น อย่างนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าครับ ?"

หลวงพ่อ : "มีแน่ เป็นผลร้ายแรงมาก"


ผู้ถาม : "ขนาดไหนครับหลวงพ่อ ?"

หลวงพ่อ : "ตายแล้วเป็นธรรมดา นี่เป็นจริงๆนะ"

ผู้ถาม : "ก็นี่เขากินเหลือนี่ครับ?"

หลวงพ่อ : "เดี๋ยวก่อน... เคยอ่านในพระไตรปิฎกไหม ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จไปในที่แห่งหนึ่ง เวลานั้นสายเกินไป เลยเวลาอาหารตอนเช้า ใช่ไหม ก็มีพรหมณ์คนหนึ่งบอกว่า

"อาหารของข้าพเจ้ามี แต่เวลานี้มันเป็นเดนเสียแล้ว การถวายพระพุทธเจ้า พร้อมไปด้วยพระสงฆ์ เกรงจะเป็นบาป"

พระพุทธเจ้าถามว่า "เธอคิดว่าเป็นเดนน่ะ เธอตักกินในหม้อหรือเปล่า ?"

เขาบอกว่า "เปล่า" เขาตักออกมาใส่ถ้วยแล้วกิน

พระพุทธเจ้าบอกว่า "อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นเดน ถวายพระสงฆ์หรือพระพุทธเจ้าก็ดี จะมีอานิสงส์สมบูรณ์แบบ"
แล้วท่านก็ตรัสต่อไปว่า

"ถึงแม้ว่า อาหารจะเป็นเดน คือกินในถ้วยนั้นแล้ว แต่ว่าถ้าพระท่านหิว ถ้าเอาไปถวาย ก็มีอานิสงส์สมบูรณ์แบบเหมือนกัน ไม่มีโทษมีแต่คุณ "อีกประการหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า สมัยพระพุทธกัสสป ท่านเทศนาไว้อย่างนี้คือ"บุคคลใดทำบุญด้วยตนเองไม่ชักชวนคนอื่น ถ้าเกิดในชาติต่อไป จะร่ำรวยโภคสมบัติ แต่ขาดเพื่อน ขาดบริวาร สมบัติถ้าดีแต่ชักชวนเขา ไม่ทำเอง ชาติต่อไป มีเพื่อนมาก แต่ตัวเองจนถ้าทำบุญด้วยตนเองด้วย ชักชวนผู้อื่นด้วย รวยด้วย มีพรรคพวกมากด้วย"

นี่ท่านเทศน์แบบนี้นะ ถ้าเราทำคนเดียวได้ก็ทำ ทีนี้ถ้าเราชวนเขาด้วย แต่ว่าการชวนนี่ก็ลำบากนะ ถ้าชวนเขาทำบุญด้วย ก็อย่าหวังว่า เขาจะให้เรานะ คิดว่าเขาให้หรือไม่ให้ ก็เป็นเรื่องของเขา คือแนะนำเขา ว่าเวลานี้ เราทำโน่นทำนี่จะทำบุญร่วมด้วยไหม ? ถ้าบังเอิญเขาไม่ทำร่วมด้วยอย่าโกรธ เราถือว่า เราชวนเขาทำความดี ถ้าเราโกรธเขาเข้า บุญเราจะด้อยลงไป เพราะตัวโกรธเข้ามาตัด

ผู้ถาม : "ดิฉันเคยอ่านเจอในหนังสือที่หลวงพ่อเขียน บอกว่าการถวายสังฆทาน ควรมีพระพุทธรูป ผ้าไตรจีวร และอาหาร อันนี้จำเป็นจะต้องมีครบตามนี้ไหมคะ ?"

หลวงพ่อ : "ความจริง เราไม่ทำถึงขนาดนี้ก็ได้ การถวายสังฆทานในที่บางแห่งใช้เครื่อง ๕ เครื่อง ๘ นี่เป็นการสร้างขึ้น เรามีข้าวเพียงช้อนหนึ่ง แกงเพียงช้อนหนึ่งน้ำเพียงช้อนหนึ่ง แล้วถวายไป บอกว่าเป็นสังฆทาน เพียงเท่านี้ก็ใช้ได้ แต่ว่าที่เขียนไว้ในหนังสือ ว่าควรทำแบบนี้เพราะว่าผีกี่ร้อยกี่พันรายก็ตาม มาขอกันแบบนี้เรื่อยคือขอเหมือนกัน ที่ฉันแนะนำเขา ก็ทำตามที่ผีเขาขอนะ เลยถามเขาว่า "ผลจะได้แก่พวกเอ็งเป็นยังไง ?"
เขาบอกว่า

๑. ถวายพระพุทธรูปเป็นของสงฆ์ อานิสงส์ก็คือ ถ้าเป็นเทวดาจะมีรัศมีกายสว่างไสวมาก เพราะว่าเทวดาหรือพรหม เขาไม่ดูกันที่เครื่องแต่งตัว เขาดูแสงสว่างจากกาย
๒. ผ้าไตรจีวร หรือผ้าสักผืนหนึ่ง เขาจะได้เครื่องประดับอันเป็นทิพย์ เครื่องแต่งตัวทิพย์
๓. อาหารหรือของกิน จะทำให้มีร่างกายเป็นทิพย์"

ผู้ถาม : "ทีนี้ถ้าหากว่า ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจุติจากเทวโลกกก็ดี พรหมโลกก็ดี มาเกิดเป็นมนุษย์ อานิสงส์เหล่านี้จะติดตามมาอีกไหมครับ ?"

หลวงพ่อ : "อานิสงส์ตามมาคือ
๑. จะมีรูปร่างหน้าตาสวย เพราะอานิสงส์ถวายพระพุทธรูป แล้วก็มีปัญญาทรงตัวนี่อำนาจ พุทธานุภาพนะ
๒. เครื่องประดับเครื่องแต่งตัวดี และไม่อดอยาก เพราะอาศัยทาน ตัวอย่าง นางวิสาขาเป็น คนสวยงามมาก เพราะในชาติก่อน ได้เคยซ่อมแซมพระพุทธรูปและปลูกโรงทำหลังคาคลุมพระพุทธรูป จึงเป็นปัจจัยทำให้ได้เบญจกัลยาณี คือมีความงาม ๕ ประการ และ นางวิสาขาก็เป็นคนรวยมาก มีเครื่องลดามหาปสาธน์ราคา ๑๖ โกฏิ เป็นเครื่องประดับ เพราะอานิสงส์เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนาทั้งนี้ ด้วยอำนาจบุญบารมีที่ท่านได้บำเพ็ญแล้วด้วยดี จึงเป็นปัจจัยให้นางวิสาขา เป็นทั้งคนสวย คนรวย และเป็นคนมีปัญญามาก ได้เป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ"


ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ การทำบุญวันเกิด เราจะทำหลังวันเกิด หรือก่อนวันเกิดดีคะ ?"

หลวงพ่อ : "ตอนไหนก็ได้ การทำบุญวันเกิด เราถือว่าปีหนึ่ง เรามีโอกาสทำบุญครั้งหนึ่ง ที่เราทำบุญวันเกิดนี่เป็นนโยบายของพระ ท่านให้เรามีจิตเป็นกุศลไว้ถ้าถึงวันเกิดเราตั้งใจจะทำบุญ เราจะทำอะไรบ้าง มีการเตรียมการไว้ในใจถ้าจิตมันนึกอย่างนี้ เวลาจะตาย อานิสงส์ ได้ทันที อย่างสาตกีเทพธิดา เธอจะเอาดอกบวบขมไปบูชาเจดีย์ ที่เขาบรรจุกระดูกของพระ อรหันต์ แต่พอจัดดอกไม้ยังไม่ทันพ้นบ้าน ถูกวัวขวิดตาย อาศัยที่เธอจะตั้งใจบูชาพระด้วยดอกไม้ดอกนั้น ยังไปไม่ถึง พอตายแล้วก็เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่มีนางฟ้า ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร อย่างนี้เขาถือว่าเป็นอนุสติ ถ้าเรานึกจะถวายเป็นสิ่งของก็เป็น จาคานุสติคิดว่าเราจะทำบุญกับพระองค์นั้นองค์นี้ นึกถึงพระสงฆ์ก็เป็นสังฆานุสติถ้าเราคิดจะทำบุญกับพระสงฆ์ แต่ให้มีพระพุทธรูปตั้งอยู่ด้วย นึกถึงพระพุทธ ก็เป็นพุทธานุสติ ถือว่าเป็นการเจริญพระกรรมฐานไปในตัว แต่พระท่านไม่ได้บอกตรงๆเท่านั้น เอง"

ผู้ถาม : "รู้สึกว่า สมบัติที่เราทำไปมันน้อย ก็คิดว่าบุญคงได้น้อยค่ะ ?"

หลวงพ่อ : "สมบัติมันเล็กน้อยก็จริง แต่ว่าอานิสงส์มันไม่เล็กน้อย ก็แบบซื้อล็อตเตอรี่ใบเดียว แต่ถูก รางวัลที่ ๑ อย่างทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างอาคาร สร้างส้วม เขาเรียกว่าวิหารทานอันนี้จัดเป็นบุญสูงสุดตัวอย่างตอนที่พระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็น มฆมานพ ท่านกับเพื่อนอีก ๓๒ คน ช่วยกันทำ ศาลาหลังหนึ่งไว้เป็นที่พักของคนเดินทาง มีช้างสำหรับลากไม้ ๑ เชื่อก มีนายช่าง ๑ คน เวลาตายไปแล้ว ท่านมฆมานพก็ไปเกิดเป็นพระอินทร์ เพื่อนอีก ๓๒ คน ก็ไปเป็นเทวดา มีวิมานคนละหลัง นายช่างไปเป็นวิษณุกรรมเทพบุตร ช้างที่ลากไม้เป็น เอราวัณเทพบุตร มีวิมานคนละหลังเหมือนกัน นี่เป็นเรื่องของอานิสงส์นะ"

ผู้ถาม : "หลวงพ่อครับ กุศลชนิดใดที่มีอานิสงส์มากกว่าวิหารทานบ้างครับ ?"

หลวงพ่อ : "สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ......การให้ธรรมะเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง ให้ธรรมทานซีคุณ หนังสือเรียนของเด็ก หนังสือเรียนของผู้ใหญ่หนังสือเรียนของพระหนังสือธรรมะต่างๆ ดูตัวอย่างพระสารีบุตร ให้ปัญญากับประชาชนทั้งหลาย เพราะอานิสงส์ได้เคยสร้างพระธรรม ซึ่งเป็นถ้อยคำที่มีประโยชน์ถวายพระพุทธเจ้า เกิดมาชาติหลังสุด จึงทำให้เป็นพระที่มีปัญญามาก อย่างเงินที่เขาถวายฉันไว้นี่ พอกลับไปถึงวัดก็เรียบร้อย เลี้ยงอาหารพระบ้าง ค่ากระแสไฟฟ้าบ้าง ค่าก่อสร้างบ้าง รวมความว่า ที่ท่านตั้งใจนี่มีผล ๔ อย่าง
๑. สร้างพระพุทธรูป
๒. วิหารทาน
๓. สังฆทาน
๔. ธรรมทาน

ทั้งหมดนี้ ใช้ทุนไม่ต้องมากก็ได้ เอาสัก ๕๐ สตางค์ เป็นอันว่า การทำบุญเอาแค่พอสมควร แต่ให้มันเป็นบุญใหญ่ เขามุ่งแบบนั้นนะ คือเราเอาไปผสมกับเขาก็แล้วกันไม่ต้องสร้างทั้งหลัง"


ผู้ถาม : "กระผมสงสัยเรื่องการทำบุญ บางคนก็ทำช้า บางคนก็ทำไว อยากเรียนถามหลวงพ่อว่า การทำบุญช้าบ้าง เร็วบ้าง ยืดยาดบ้าง อานิสงส์ จะต่างกันหรือไม่ขอรับ ?"

หลวงพ่อ : "ต่างกัน คือได้ช้า ได้เร็ว ต่างกันก็เหมือนท่าน จูเฬกสาฎก ท่านฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า ตั้งใจถวายทานตั้งแต่ยามต้น และยามที่ ๒ จิตเป็นห่วงยายที่บ้าน ไม่มีโอกาสจะฟังเทศน์ เพราะไม่มีผ้าห่ม พอยามที่ ๓ ใกล้สว่าง จึงตัดสินใจถวาย แล้วประกาศว่า
"ชิตัง เม ชิตัง เม" พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ยิน ก็ทราบว่า ชนะความตระหนี่ จึงนำผ้าสาฎก และทรัพย์สินต่างๆมาให้ มีฐานะเป็นคหบดีคนหนึ่งต่อมาพระพุทธเจ้าตรัสว่า "ถ้าพราหมณ์นี้ถวายในยามต้น จะได้เป็นมหาเศรษฐีถ้าถวายยามที่ ๒ จะได้เป็นอนุเศรษฐี ยามที่ ๓ จะได้เป็นคหบดีใหญ่ที่ได้น้อย เพราะถวายช้าเกินไป พระองค์จึงตรัสว่า การบำเพ็ญกุศลผล ความดีในศาสนาของเรานี้ จงอย่าให้เนิ่นช้า ต้อง ตุลิตะ ตุลิตัง สีฆะ สีฆัง คือเร็วๆ ไวๆ"

ที่มา :-http://www.mfuzone.com/nboard/index.php?showtopic=11864-
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: มิถุนายน 08, 2014, 06:52:32 pm »

 บุญกุศลแบบไหนได้อานิสงส์สูงสุด

-http://thammawairun.blogspot.com/p/blog-page_28.html-


มีหลายท่านถามกระผมกันมากทีเดียว เกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ว่าทำบุญ หรือทำทาน แบบไหนได้บุญเยอะที่สุด หรือ ทำแบบไหนได้ผลบุญมากที่สุด จริงๆแล้ว เราควรทำบุญ ทำทานทุกครั้งที่มีโอกาสนะครับ ไม่ควรเลือกว่าทำอะไร ทำกับใคร ทำกับพระ-เณร รูปไหน องค์ไหน เพราะจิตจะเกิดกิเลส( ความอยาก ) กลายเป็นความโลภไป ทำให้ได้อานิสงส์ ผลบุญไม่เต็มที่นะครับ

กระผมจะอธิบายในเรื่องของอานิสงส์ในการทำบุญ

ทำทานแบบไหนที่ได้ผลบุญ น้อยที่สุดไปจนถึงสูงที่สุดนะครับ

โดยแบ่งเป็น 3 รูปแบบดังนี้

" ทาน ศีล ภาวนา "

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า แม้วัตถุทานจะบริสุทธิ์ดี เจตนาในการทำทานจะบริสุทธิ์ดี จะทำให้ทานนั้นมีผลมากหรือน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับเนื้อนาบุญเป็นลำดับต่อไปนี้นะครับ

ทาน

๑ . ทำทานแก่สัตว์เดรัจฉาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่มนุษย์ แม้จะเป็นมนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมเลยก็ตาม ทั้งนี้เพราะสัตว์ย่อมมีวาสนาบารมีน้อยกว่ามนุษย์และสัตว์ไม่ใช่เนื้อนาบุญที่ดี

๒ . ให้ทานแก่มนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมวินัย แม้จะให้มากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้ที่มีศีล ๕ แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

๓ . ให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล ๕ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้มีศีล ๘ แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

๔ . ให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล ๘ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานแก่ผู้มีศีล ๑๐ คือสามเณรในพุทธศาสนา แม้จะได้ถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๕ . ถวายทานแก่สามเณรซึ่งมีศีล ๑๐ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานดังกล่าวแก่พระสมมุติสงฆ์ ซึ่งมีศีลปาฏิโมกข์สังวร ๒๒๗ ข้อ

๖ . ถวายทานแก่พระสมมุติสงฆ์ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานแก่ - พระโสดาบัน แม้จะได้ถวายทานดังกล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม ( ความจริงยังมีการแยกเป็นพระโสดาปัตติมรรคและพระโสดาปัตติผล ฯลฯ เป็นลำดับไปจนถึงพระอรหัตผล แต่ในที่นี้จะกล่าวแต่เพียงย่นย่อพอให้ได้ความเท่านั้น )

๗ . ถวายทานแก่พระโสดาบัน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระสกิทาคามี แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๘ . ถวายทานแก่พระสกิทาคามี แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระอนาคามี แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๙ . ถวายทานแก่พระอนาคามี แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระอรหันต์ แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๑๐ . ถวายทานแก่พระอรหันต์ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๑๑ . ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแด่พระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๑๒ . ถวายทานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายสังฆทานที่มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะถวายสังฆทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๑๓ . การถวายสังฆทานที่มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่า " การถวายวิหารทาน " แม้จะได้กระทำแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม " วิหารทาน ได้แก่การสร้างหรือร่วมสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ศาลาโรงธรรม ศาลาท่าน้ำ ศาลาที่พักอาศัยคนเดินทางอันเป็นสาธารณะประโยชน์ที่ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน


๑๔ . การถวายวิหารทาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ( ๑๐๐ หลัง ) ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ " ธรรมทาน " แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม " การให้ธรรมทานก็คือการเทศน์ การสอนธรรมะแก่ผู้อื่นที่ยังไม่รู้ให้รู้ได้ ที่รู้อยู่แล้วให้รู้ยิ่งๆขึ้น ให้ได้เข้าใจมรรค ผล นิพพาน ให้ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฐิได้กลับใจเป็นสัมมาทิฐิ ชักจูงผู้คนให้เข้าปฏิบัติธรรม รวมตลอดถึงการพิมพ์การแจกหนังสือธรรมะ "

๑๕ . การให้ธรรมทาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ " อภัยทาน " แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม การให้อภัยทานก็คือ " การไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาตจองเวร ไม่พยาบาทคิดร้ายผู้อื่นแม้แต่ศัตรู " ซึ่งได้บุญกุศลแรงและสูงมากในฝ่ายทาน เพราะเป็นการบำเพ็ญเพียรเพื่อ " ละโทสะกิเลส " และเป็นการเจริญ " เมตตาพรหมวิหารธรรม "



ศีล


การรักษาศีลเป็นการเพียรพยายามเพื่อระงับโทษทางกายและวาจา อันเป็นเพียงกิเลสหยาบมิให้กำเริบขึ้น และเป็นการบำเพ็ญบุญบารมีที่สูงขึ้นกว่าการให้ทาน

ทั้งในการถือศีลด้วยกันเองก็ยังได้บุญมากและน้อยต่างกันไปตามลำดับต่อไปนี้ คือ

๑ . การให้อภัยทาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถือศีล ๕ แม้จะถือเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๒ . การถือศีล ๕ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถือศีล ๘ แม้จะถือเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๓ . การถือศีล ๘ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถือศีล ๑๐ คือการบวชเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา แม้จะบวชมาได้เพียงวันเดียวก็ตาม

๔ . การที่ได้บวชเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา แล้ว รักษาศีล ๑๐ ไม่ให้ขาด ไม่ด่างพร้อย แม้จะนานถึง ๑๐๐ ปี ก็ยังได้บุญน้อยกว่าผู้ที่ได้อุปสมบทเป็นพระในพระพุทธศาสนาที่มี ศีลปาฏิโมกข์สังวร ๒๒๗ ข้อ แม้จะบวชมาได้เพียงวันเดียวก็ตาม

ฉะนั้นในฝ่ายศีลแล้ว การที่ได้อุปสมบทเป็นพระในพระพุทธศาสนาได้บุญบารมีมากที่สุด เพราะเป็นเนกขัมบารมีในบารมี ๑๐ ทัศ ซึ่งเป็นการออกจากกามเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติธรรมขั้นสูง ๆ คือการภาวนาเพื่อมรรค ผล นิพพาน ต่อ ๆ ไป ผลของการรักษาศีลนั้นมีมาก ซึ่งจะยังประโยชน์สุขให้แก่ผู้นั้นทั้งในชาตินี้และชาติหน้า เมื่อได้ละอัตภาพนี้ไปแล้วย่อมส่งผลให้ได้บังเกิดในเทวโลก ๖ ชั้น ซึ่งล้วนแต่ความละเอียดประณีตของศีลที่รักษาและที่บำเพ็ญมา ครั้นเมื่อสิ้นบุญในเทวโลกแล้ว ด้วยเศษของบุญที่ยังคงหลงเหลืออยู่แต่เพียงเล็กๆน้อยๆหากไม่มีอกุลกรรมอื่นมาให้ผล ก็อาจจะน้อมนำให้ได้มาบังเกิดเป็นมนุษย์ที่ถึงพร้อมด้วยสมบัติ ๔ ประการ



ภาวนา


อานิสงส์ของศีล ๕ มีดังกล่าวข้างต้น สำหรับศีล ๘ ศีล ๑๐ และศีล ๒๒๗ ก็ย่อมมีอานิสงส์เพิ่มพูนมากยิ่ง ๆ ขึ้นตามระดับและประเภทของศีลที่รักษา แต่ศีลนั้นแม้นจะมีอานิสงส์เพียงไรก็ยังเป็นแต่เพียงการบำเพ็ญบุญบารมีในชั้นกลาง ๆ ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น เพราะเป็นแต่เพียงระเบียบหรือกติกาที่จะรักษากายและวาจาให้สงบ ไม่ให้ก่อให้เกิดทุกข์โทษขึ้นทางกายและวาจาเท่านั้น ส่วนทางจิตใจนั้นศีลยังไม่สามารถที่จะควบคุมหรือทำให้สะอาดบริสุทธิ์ได้

ฉะนั้น การรักษาศีลจึงยังได้บุญน้อยกว่า การภาวนา เพราะการภาวนานั้น เป็นการรักษาใจ รักษาจิต และซักฟอกจิตให้เบาบางหรือจนหมดกิเลสคือ ความโลภ ความโกรธ และความหลง อันเป็นเครื่องร้อยรัดให้บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสงสารวัฏ การภาวนา จึง เป็นการบำเพ็ญบุญบารมีที่สูงสุด ประเสริฐที่สุด ได้บุญมากที่สุดเป็นกรรมดีอันยิ่งใหญ่เรียกว่า " มหัคคตกรรม " อันเป็นมหัคคตกุศล

การเจริญภาวนานั้น เป็นการสร้างบุญบารมีที่สูงที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดในพระพุทธศาสนาจัดว่าเป็นแก่นแท้และสูงกว่าฝ่ายศีลมากนัก การเจริญภาวนานั้น
มี ๒ อย่างคือ " สมถภาวนา ( การทำสมาธิ )" และ " วิปัสสนาภาวนา ( การเจริญปัญญา )

อย่างไรก็ดีการเจริญสมถภาวนา หรือสมาธินั้น แม้จะได้บุญอานิสงส์มากมายมหาศาลอย่างไร ก็ยังไม่ใช่บุญกุศลที่สูงสุดยอดในพระพุทธศาสนา หากจะเปรียบกับต้นไม้ก็เป็นเพียงเนื้อไม้เท่านั้น
การเจริญวิปัสสนา ( การเจริญปัญญา ) จึงจะ เป็นการสร้างบุญกุศลที่สูงสุดยอดในพระพุทธศาสนา หากจะเปรียบก็เป็นแก่นไม้โดยแท้...

ทั้งนี้ เราก็ไม่ควรที่จะเลือกทำแต่บุญที่ได้อานิสงส์สูงๆเพียงอย่างเดียวนะครับ ควรทำทุกๆครั้งเมื่อมีโอกาส ไม่ว่าจะเป็น ทาน ศีล ภาวนา เป็นการสะสมบุญ กุศล หลายๆด้าน

เพราะถ้าสมมุติว่าทำแต่ภาวนา กับ รักษาศีลอย่างเดียว แต่ไม่เคยให้ทานเลย เพราะเห็นว่า ได้ผลบุญน้อยกว่า เมื่อเกิดชาติหน้า อาจจะยากจนไม่มีอะไรกิน(อดตาย)ก็ได้นะครับ เพราะไม่เคยทำทานเลย อิอิ (*_*)

..................................


By. kunawut
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: มิถุนายน 08, 2014, 06:52:13 pm »

การทำบุญให้ได้ผลมาก

-http://www.dhammajak.net/ruendham/book/p6-06.php-


ในการทำบุญ เราจะได้ยินบ่อย ๆ ว่าไม่มีเงินจะทำบุญ แต่พระพุทธเจ้าสอนว่า “ เมื่อจิตเลื่อมใสแล้ว การทำบุญชื่อว่าน้อยไม่มี “ ท่านเปรียบว่า คนจนทำบุญ 1 บาท มีผลบุญเท่ากับทำบุญ 1000 บาท ดังนั้น จำนวนเงินจึงไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ แต่การทำบุญเราทำให้ได้ผลมากได้ ท่านเรียกว่า ทำด้วยมหากุศลจิต ประกอบด้วยเหตุดังนี้ คือ

1. มีเจตนาในกาลทั้ง 3 ดี ไม่ปล่อยให้อกุศลแทรกเข้ามาเจตนาทั้ง 3 กาล คือ ก่อนทำ กำลังทำ และหลังทำ เช่น

สวดมนต์ เริ่มตั้งต้นสวด ใจไม่ไปอยู่ที่อื่น จดจ่ออยู่ที่ธูปเทียน การกราบ การกล่าวบูชา ไปจนเสร็จกระบวนการ

จะตักบาตร ก่อนทำก็คือช่วงเริ่มปรุงอาหาร อย่าปรุงอาหารไป หงุดหงิดไป ร้อนใจไป ให้ปรุงอาหารอย่างสงบ ไม่คิดฟุ้งซ่าน รู้ว่ากำลังทำอาหารเพื่อไปตักบาตรทำบุญ เสร็จแล้วจบอธิษฐานเรียบร้อย ไปยืนรอพระ ถ้าคิดว่าอธิษฐานไม่ยาวนัก จะจบตอนพระมาก็ได้ แต่ถ้าให้พระคอยนาน จบไม่เสร็จเสียที จะไม่งาม

กำลังทำคือ กำลังใส่บาตร ก็สงบจิตใจ หูตาไม่ต้องไปแคะว่า คนอื่นเขาใส่อะไรมาแล้วในบาตรมั่ง ให้วุ่นไป สงบเข้าไว้โยม

หลังทำ คือ ตักบาตรเสร็จก็ให้นึกถึงบุญว่าได้ทำบุญมา แต่จิตคนเรามักคอยไปคิดเรื่องอื่น ๆ ต่อทันที ทำให้กิจหลังทำนี่ไม่ค่อยได้ทำ เราจึงดึงไว้โดยการกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ผู้อื่นจะได้มี “ เจตนาหลังทำ “ ทำให้จิตมีเจตนาครบ 3 กาลได้สำเร็จ

นอกจากนี้ ท่านสอนว่า “ เจตนาหลังทำ “ ยังมีอีกแบบหนึ่ง คือ หลังจากทำไปแล้วนาน ๆ เช่น อาทิตย์หนึ่ง เดือนหนึ่ง เป็นต้น เอามาระลึกขึ้นอีกก็เป็นบุญอีก คือ ทำให้จิตใจผ่องใส บริสุทธิ์ มีความอิ่มในบุญเหมือนได้ทำบุญนั้นอีกครั้ง จึงมีอุบายบางอย่างสำหรับในเรื่องนี้ เช่น อาจจะมีภาพถ่ายงานบุญเก็บไว้ ต่อ ๆ มาก็เอามาเปิดดู อิ่มใจ เหมือนได้ไปทำบุญอย่างในภาพนั้นอีก ทำให้ใจเราได้ใกล้ชิดอยู่กับบุญ ทำให้เป็นสุข

2. มีปัญญา ข้อนี้คือ มีปัญญารู้ว่ากรรมนี้มีผล ที่เรากระทำการตักบาตรนี้เป็นสิ่งดีและมีผล รู้ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าไม่มีปัญญา ก็คือ เขาบอกให้ตักบาตรก็ตักไปตามประเพณี ไม่รู้ว่าเพื่ออะไร เรียกว่าไม่มีปัญญา

3. ไม่ต้องมีคนมาชวน การทำบุญใด ๆ ถ้าลุกขึ้นมาทำเองโดยไม่ต้องมีใครชวน หรือมีคนชวนก็ได้ แต่ไม่ใช่ชวนยาก ท่านว่าบุญแรง แม้แต่การชวนตัวเองคือ นึกอยากทำบุญปั๊บก็ทำเลย บุญแรง แต่ถ้าเรียกตัวเอง เฮ้ย ตื่น ๆ อีกครึ่งชั่วโมง เรียกใหม่ เฮ้ย ตื่น ๆ จนพระกลับวัดหมดแล้ว วิ่งตามชายผ้าเหลืองไปใส่บาตรในวัด อันนี้ปริมาณบุญก็คงลดตาม เหมือนน้ำลดยามเดือนแรม แต่ก็เอาเถอะ ดีกว่าไม่เคยใส่บาตรเลยตั้งเยอะ

เมื่อครบ 3 อย่าง คือ เจตนาดีทั้ง 3 กาล มีปํญญา ไม่ต้องมีใครชวนแล้ว ก็จะมีผลมาก ท่านเรียกว่า อานิสงส์คือ ผลที่น่าสรรเสริญ การให้ที่มีอานิสงส์มาก คือ การให้ที่คิดว่าทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิตให้ดี เป็นเครื่องขัดเกลากิเลส
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: มิถุนายน 08, 2014, 06:51:55 pm »

บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ คือ สิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ หรือกล่าวอย่างง่ายๆว่า การกระทำที่เกิดเป็นบุญ เป็นกุศล แก่ผู้กระทำดังต่อไปนี้

-http://www.dhammakaya.org/dhamma/boon01.php-

๑. บุญสำเร็จได้ด้วยการบริจาคทาน (ทานมัย) คือการเสียสละนับแต่ทรัพย์ สิ่งของ เงินทอง ตลอดจนกำลังกาย สติปัญญา ความรู้ความสามารถ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยส่วนรวม รวมถึงการละกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ ออกจากจิตใจ จนถึงการสละชีวิตอันเป็นสิ่งมีค่าที่สุดเพื่อการปฏิบัติธรรม

๒. บุญสำเร็จได้ด้วยการรักษาศีล (สีลมัย) คือการตั้งใจรักษาศีล และการปฏิบัติตนไม่ให้ละเมิดศีล ไม่ว่าจะเป็นศีล ๕ หรือศีล ๘ ของอุบาสกอุบาสิกา ศีล ๑๐ ของสามเณร หรือ ๒๒๗ ข้อของพระภิกษุ เพื่อรักษากาย วาจา และใจ ให้บริสุทธิ์สะอาด พ้นจากกายทุจริต ๔ ประการ คือ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ ละเว้นจากการลักทรัพย์ ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม และเสพสิ่งเสพติดมึนเมา อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท วจีทุจริต ๔ ประการ คือไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดปด ไม่พูดเพ้อเจ้อ และไม่พูดคำหยาบ มโนทุจริต ๓ ประการ คือ ไม่หลงงมงาย ไม่พยาบาท ไม่หลงผิดจากทำนองคลองธรรม

๓. บุญสำเร็จได้ด้วยการภาวนา (ภาวนามัย ) คือการอบรมจิตใจในการละกิเลส ตั้งแต่ขั้นหยาบไป จนถึงกิเลสอย่างละเอียด ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นโดยใช้สมาธิปัญญา รู้ทางเจริญและทางเสื่อม จนเข้าใจอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค เป็นทางไปสู่ความพ้นทุกข์ บรรลุมรรค ผล นิพพานได้ในที่สุด

๔. บุญสำเร็จได้ด้วยการประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ (อปจายนมัย) คือการให้ความเคารพ ผู้ใหญ่และผู้มีพระคุณ ๓ ประเภท คือ ผู้มี วัยวุฒิ ได้แก่พ่อแม่ ญาติพี่น้องและผู้สูงอายุ ผู้มี คุณวุฒิ หรือคุณสมบัติ ได้แก่ ครูบาอาจารย์ พระภิกษุสงฆ์ และผู้มี ชาติวุฒิ ได้แก่พระมหากษัตริย์ และเชื้อพระวงศ์

๕. บุญสำเร็จได้ด้วยการขวนขวายในกิจการที่ชอบ (เวยยาวัจจมัย) คือ การกระทำสิ่งที่เป็นคุณงามความดี ที่เกิดประโยชน์ต่อคนส่วนรวม โดยเฉพาะทางพระพุทธศาสนา เช่น การชักนำบุคคลให้มาประพฤติปฏิบัติธรรม มีทาน ศีล ภาวนา เป็นต้น ในฝ่ายสัมมาทิฎฐิ

๖. บุญสำเร็จได้ด้วยการให้ส่วนบุญ (ปัตติทานมัย) คือ การอุทิศส่วนบุญกุศลที่ได้กระทำไว้ ให้แก่สรรพสัตว์ทั้งปวง การบอกให้ผู้อื่นได้ร่วมอนุโมทนาด้วย ทั้งมนุษย์และอมนุษย์ ได้ทราบข่าวการบุญการกุศลที่เราได้กระทำไป

๗. บุญสำเร็จได้ด้วยการอนุโมทนา (ปัตตานุโมทนามัย) คือ การได้ร่วมอนุโมทนา เช่น กล่าวว่า “สาธุ” เพื่อเป็นการยินดี ยอมรับความดี และขอมีส่วนร่วมในความดีของบุคคลอื่น ถึงแม้ว่าเราไม่มีโอกาสได้กระทำ ก็ขอให้ได้มีโอกาสได้แสดงการรับรู้ด้วยใจปีติยินดีในบุญกุศลนั้น ผลบุญก็จะเกิดแก่บุคคลที่ได้อนุโมทนาบุญนั้นเองด้วย

๘. บุญสำเร็จได้ด้วยการฟังธรรม (ธัมมัสสวนมัย) คือ การตั้งใจฟังธรรมที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน หรือที่เคยฟังแล้วก็รับฟังเพื่อได้รับความกระจ่างมากขึ้น บรรเทาความสงสัยและทำความเห็นให้ถูกต้องยิ่งขึ้น จนเกิดปัญญาหรือความรู้ก็พยายามนำเอาความรู้และธรรมะนั้นนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ สู่หนทางเจริญต่อไป

๙. บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม (ธัมมเทสนามัย) คือ การแสดงธรรมไม่ว่าจะเป็นรูปของการกระทำ หรือการประพฤติปฏิบัติด้วยกาย วาจา ใจ ในทางที่ชอบ ตามรอยบาทองค์พระศาสดา ให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่บุคคลอื่น หรือการนำธรรมไปขัดเกลากิเลสอุปนิสัยเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้อื่น ให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธา มาประพฤติปฏิบัติธรรมต่อไป

๑๐. บุญสำเร็จได้ด้วยการทำความเห็นให้ตรง (ทิฏฐชุกัมม์) คือ ความเข้าใจในเรื่อง บาป บุญ คุณ โทษ สิ่งที่เป็นแก่นสารสาระหรือที่ไม่ใช่แก่นสารสาระ ทางเจริญทางเสื่อม สิ่งอันควรประพฤติสิ่งอันควรละเว้น ตลอดจนการกระทำความคิดความเห็นให้เป็นสัมมาทิฏฐิอยู่เสมอ

บุญกิริยาวัตถุทั้ง ๑๐ ประการนี้ ผู้ใดได้ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งหรือยิ่งมากจนครบ ๑๐ ประการแล้ว ผลบุญย่อมเกิดแก่ผู้ได้กระทำมากตามบุญที่ได้กระทำ ยิ่งได้มีการเตรียมกาย วาจา ใจ ให้สะอาดบริสุทธิ์ ตั้งใจจรดเข้าสู่ศูนย์กลางกาย หยุดในหยุด เข้าไปแล้วก็ยิ่งได้รับบุญมหาศาลตามความละเอียดประณีตที่เข้าถึงยิ่งๆ ขึ้นไป

ที่มา -http://www.dhammakaya.org/dhamma/boon01.php-
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: มิถุนายน 08, 2014, 06:51:29 pm »

อานิสงส์ของการรักษาศีล 5 ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ

-http://www.onab.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=1489:-5---&catid=61:2009-06-12-17-56-15&Itemid=246-

คำว่า ศีล ได้แก่สภาพเช่นไร ศีลอย่างแท้จริงเป็นไปด้วยความมีสติ รู้สิ่งที่ควรหรือไม่ควร ระวังการระบายออกทางทวารทั้งสาม คอยบังคับกาย วาจา ใจ ให้เป็นไปในขอบเขตของศีลที่เป็นสภาพปกติ ศีลที่เกิดจากการรักษามีสภาพปกติไม่คะนองทางกาย วาจา ใจ ให้เป็นที่เกลียด นอกจากความปกติงดงามทางกาย วาจา ใจ ของผู้มีศีลว่าเป็นศีล เป็นธรรม

เราควรรักษาศีล 5

1. สิ่งที่มีชีวิต เป็นสิ่งที่มีคุณค่า จึงไม่ควรเบียดเบียน ข่มเหง และทำลายคุณค่าแห่งความเป็นอยู่ของเขาให้ตกไป
2. สิ่งของของใคร ๆ ก็รักและสงวน ไม่ควรทำลาย ฉกลัก ปล้น จี้ เป็นต้นอันเป็นการทำลายสมบัติและทำลายจิตใจกัน
3. ลูก หลาน สามี ภรรยา ใคร ๆ ก็รักสงวนอย่างยิ่ง ไม่ปรารถนาให้ใครมาอาจเอื้อม ล่วงเกิน เป็นการทำลายจิตใจของผู้อื่นอย่างหนัก และเป็นบาปไม่มีประมาณ
4. มุสา การโกหกพกลม เป็นสิ่งทำลายความเชื่อถือของผู้อื่นให้ขาดสะบั้นลงอย่างไม่มีดี แม้เดรัจฉานก็ไม่พอใจคำหลอกลวง จึงไม่ควรโกหกหลอกลวงให้ผู้อื่นเสียหาย
5. สุรา ยาเสพติด เป็นของมึนเมาและให้โทษ ดื่มเข้าไปย่อมทำให้คนดี ๆ กลายเป็นคนบ้าได้ ลดคุณค่าลงโดยลำดับ ผู้ต้องการเป็นคนดีมีสติปกครองตัว อย่างมนุษย์จึงไม่ควรดื่มสุรา เครื่องทำลายสุขภาพทางร่างกายและใจอย่างยิ่ง เป็นการทำลายตัวเอง และผู้อื่นไปด้วยในขณะเดียวกัน

อานิสงส์ของการรักษาศีล 5

1. ทำให้อายุยืน ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน
2. ทรัพย์สมบัติที่อยู่ในความปกครอง มีความปลอดภัยจากโจรผู้ร้ายมาราวี เบียดเบียนทำลาย
3. ระหว่างลูก หลาน สามี ภริยา อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก ไม่มีผู้คอยล่วงล้ำกล้ำกรายต่างครองกันอยู่ด้วยความเป็นสุข
4. พูดอะไร มีผู้เคารพเชื่อถือ คำพูดมีเสน่ห์เป็นที่จับใจไพเราะ ด้วยสัตย์ด้วยศีล
5. เป็นผู้มีสติปัญญาดีและเฉลียวฉลาด ไม่หลงหน้าหลงหลัง จับโน่นชนนี่เหมือนคนบ้าคนบอหาสติไม่ได้ ผู้มีศีล เป็นผู้ปลูกและส่งเสริมสุขบนหัวใจคนและสัตว์ทั่วโลกให้ มีแต่ความอบอุ่นไม่เป็นระแวงสงสัย ผู้ไม่มีศีลเป็นผู้ทำลายหัวใจคนและสัตว์ ให้ได้รับความทุกข์เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า

ศีล นั้นอยู่ที่ไหน มีตัวตนเป็นอย่างไร ใครเป็นผู้รักษาแล้วก็รู้ว่า ผู้นั้นเป็นตัวศีล ศีลก็อยู่ที่ตนนี้ เจตนาเป็นตัวศีล เจตนา คือ จิตใจ คนเราถ้าจิตไม่มี ก็ไม่เรียกว่าตน มีแต่กายจะทำอะไรได้ ร่างกายกับจิตต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อจิตไม่เป็นศีล กายก็ประพฤติไปต่าง ๆ ผู้มีศีลแล้วไม่มีโทษ จะเป็นปกติแนบเนียนไม่หวั่นไหว ไม่มีเรื่องหลงหาหลงขอคนที่หา คนที่ขอ ต้องเป็นทุกข์ ขอเท่าไรยิ่งไม่มี ยิ่งอดอยาก ยากเข็ญยิ่งไม่มี

กายกับจิต เราได้มาแล้ว มีอยู่แล้ว ได้จากบิดามารดาพร้อมบริบูรณ์แล้ว จะทำให้เป็นศีลก็รีบทำ ศีลมีอยู่ที่เรานี้แล้ว รักษาได้ไม่มีกาล ได้ผลไม่มีกาล

ผู้มีศีล ย่อมเป็นผู้องอาจกล้าหาญ ผู้มีศีล ย่อมมีความสุข ผู้จักมั่งคั่งบริบูรณ์ สมบูรณ์ ไม่อด ไม่อยาก ไม่จน ก็เพราะรักษาศีลได้สมบูรณ์ จิตดวงเดียว เป็นศีลเป็นสมาธิ เป็นปัญญา

ผู้มีศีลแท้ เป็นผู้หมดเวรหมดภัย

ที่มา : คติธรรม คำสอน ของ องค์ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถร