ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 08, 2014, 07:57:38 pm »Bridge to Terabithia , Just close your eyes but keep your mind wide open
Bridge to Terabithia
...ไม่ได้เป็นหนังแฟนตาซีประเภทเจ้าชายเจ้าหญิง ที่จะพาคุณเข้าสู่โลกจินตนาการในวัยเด็กเหมือน นาร์เนีย เพราะ ความแฟนตาซีในหนังเรื่องนี้เป็นแค่ น้ำจิ้ม
...ไม่ได้เป็นหนังสงครามอลังการงานสร้างตื่นเต้นกับเหล่าตัวละครประหลาดๆอย่าง ลอร์ด ออฟ เดอะ ริง เพราะ ฉากแอคชั่นในหนังเรื่องนี้มีแค่ สิวๆ
ตัดภาพความคาดหวังเหล่านั้นออกไป แล้ว จะพบว่า นี่คือ หนังดราม่าน้ำดี+แนวการก้าวข้ามวัย(coming of age) ที่มีเด็กเป็นตัวดำเนินเรื่องโดยแฟนตาซี ทำหน้าที่เป็นเพียงตัวรองรับเนื้อความของหนัง สิ่งที่คนดูจำเป็นต้องเตรียมตัว คงต้องทำตามคำของตัวละครในหนังที่บอกไว้ว่า
Just close your eyes but keep your mind wide open.
...เจส พระเอกของเรื่องเป็นเด็กนักเรียนชั้นประถม ที่โรงเรียนใครๆหลายคนเรียกเขาว่า ไอ้ขี้แพ้ - Loser
ดูแล้วก็ชวนให้สงสัยว่า พระเอกเป็น Loser ตรงไหน เพราะ งานศิลปะก็แจ่ม กีฬาอย่างวิ่งก็ฉลุย เรื่องเรียนหนังก็ไม่ได้บอกว่าห่วย มีเพียงแค่ บ้านยากจนต้องใช้ของเก่าๆสืบทอดมาเช่นรองเท้าสีชมพูจากพี่สาว
Loser ในหนังและในหลายๆครั้ง ไม่ใช่ศัพท์ที่มีความหมายมาตรฐาน เพราะมันแปรเปลี่ยนตามสิ่งแวดล้อมและค่านิยม เจส อาจเป็นคนเด่นดังหากไปอยู่ในสังคมที่ให้ความสำคัญกับนักกีฬาวิ่งแข่ง บางรร.ที่เน้นการเรียนเก่ง เด็กเรียนอ่อนก็จะกลายเป็น loser สังคมที่เน้นวัตถุ คนที่ไม่มีข้าวของมาอวดเพื่อนๆก็กลายเป็น loser
ดังนั้นสถานภาพ Loser ไม่เคยมีอยู่จริง เพราะชีวิตรอบตัวไม่ใช่การแข่งขันวิ่งแข่งที่จะมี winner หรือ loser ความหมายผิดๆที่เกิดขึ้นนี้ เป็นแค่ภาพที่สังคมรอบตัววาดขึ้นมา เป็นการนิยามเพื่อเหยียดให้อีกคน เป็นชนชั้นที่ต่ำต้อยกว่า หากเราไม่ยอมรับก็ไม่มีใครทำอะไรได้
การแบ่งแยกเช่นนี้เอง เมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่มันก็จะพัฒนาแปรเปลี่ยนไปเป็น อคติทางสังคมเชื้อชาติ อย่างที่ คนผิวดำ ,คนเอเชีย ถูกกระทำใน Crash หรือ สาวใบ้ , ป้าแก่ชาวเม็กซิโก ต้องเผชิญใน Babel
และในสังคมของเด็กๆหรือในโรงเรียนนั้น การล้อเลียนไม่ได้เป็นการกระทำแค่อย่างเดียว หลายโรงเรียนที่ปัญหาลุกลามใหญ่โตไปสู่ การรีดไถ การทำร้าย หรือ การกลั่นแกล้งรังแก(Bullying)
ทางออกของเด็กที่โดนกระทำนั้น
-บางคนก็ยอมให้กระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า
-บางคนก็ยอมให้กระทำแล้วกลับมาจินตนาการไปว่า เราเป็นเจ้าชายจัดการกับพวกปีศาจร้ายในดินแดนมหัศจรรย์
-บางคนก็เลือกที่จะโต้ตอบกลับอย่างรุนแรง ใครแกล้งมาก็แกล้งกลับ ใครแรงมาก็แรงตอบ
วิธีใดดีที่สุด ?
เพราะหาก เจอกี่ครั้งก็ยอมให้แกล้งให้รังแก เราก็อาจกลายเป็นคนซึมเศร้าเหงาหงอ ในอีกด้านหนึ่งตามทฤษฎีทางจิตวิทยา ผู้ถูกกระทำเมื่อโดนซ้ำๆก็จะแปรเปลี่ยน (identifying with aggressor) กลายมาเป็นผู้กระทำเสียเองเหมือน เด็กสาวรุ่นพี่ในหนังที่มีปัญหากับพ่อ หรือ ตัวละครสำคัญใน All about Lily Chou-chou
เพราะหาก อยู่ในจินตนาการมากเกินไปจนกู่ไม่กลับมาสู่โลกของความเป็นจริง ก็มีสิทธิป่วยเป็นโรคจิตฟุ้งซ่านจมอยู่แต่ในจินตนาการและประสาทหลอน
เพราะหากเลือกโต้กลับรุนแรงทุกครั้งไป ผลลัพธ์ก็อาจยิ่งต่อสายชนวนจุดส่งความรุนแรงเป็นเป็นทอดๆ นำไปสู่ความรุนแรงที่เลวร้ายหนักกว่าเดิม และในหนัง ก็ทำให้เห็นว่า การแกล้งกลับจากที่นึกว่าจะมีความสุข กลับต้องมานั่งเสียใจ เมื่อเราเห็นว่าพี่เบิ้มนั้นก็ต้องเจ็บปวดจากกการกระทำของเรา
...ในโลกของความเป็นจริง ผู้อยู่รอดไม่ใช่ผู้ที่แข็งแรงหรืออดทนได้มากกว่า แต่ คือผู้ที่มีความสมดุลและรู้จักหาทางออกที่เหมาะสม
และ นี่คือ ตัวตนของหนัง ที่พยายามบอกเล่าผ่านตัวละครทั้งหลายในหนัง
ถ้าเราใช้ชีวิตอาศัยอยู่กับแต่จินตนาการ เราก็ไม่มีวันจะลุกขึ้นสู้หรือกล้ารับกับเรื่องเลวร้ายในชีวิต เราต้องหนีกลับโลกจินตนาการส่วนตัวเมื่อเจอกับอุปสรรคหรือเรื่องแย่ๆ และ คนที่จมอยู่กับมันมากไปก็อาจหาทางกลับโลกความเป็นจริงไม่เจอ
เด็กเล็กๆเราอาจใช้จินตนาการล่อหลอก อาจใช้เป็นทางหนีหรือทางออกของปัญหา แต่เมื่อเขาโตขึ้น เขาเองก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ในโลกของความเป็นจริง เช่น เมื่อพ่อแม่หรือสัตว์เลี้ยงตายไปก็ย่อมต้องรู้ว่า ความตาย คืออะไร ไม่ใช่แค่ ไปเที่ยวสวรรค์ หรือ เมื่อถูกแกล้งถูกรังแกก็ไม่ใช่ว่า จะกลับมานั่งใส่ชุดสไปเดอร์แมนกระโดดถีบผู้ร้ายในจินตนาการจนถึงม.1 ฯลฯ พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะรับมือและเผชิญกับเรื่องราวเลวร้ายในชีวิต
แต่ ในเวลาเดียวกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องทำลาย ‘จินตนาการ’ ที่เคยมีทิ้งไป เพียงแต่ จะทำอย่างไรให้เด็กได้เรียนรู้และเติบโตไปพร้อมๆกับ เลี้ยงดู จินตนาการในตัวให้เหมาะสมกับวัย จะทำอย่างไรจึงจะใช้จินตนาการให้เป็น
Spoilers Alert : ข้อความถัดจากนี้ เฉลยจุดหักมุมสำคัญในเรื่อง ยกเว้น ช่วงสรุปตอนท้าย
เจส โชคร้าย ที่การเรียนรู้ของเขามาพร้อมกับการสูญเสีย
เจสเติบโตมากับครอบครัวขนาดใหญ่ เขาเป็นผู้ชายคนเดียวท่ามกลางพี่สาวสามน้องสาวอีกหนึ่ง เขาเป็นเด็กดีมีความรับผิดชอบ คอยช่วยงานครอบครัว มีสำนึกรู้ผิดชอบชั่วดี เขาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่มีกันครบ แม้จะมีทะเลาะมีความยากลำบากแต่ก็อยู่กันด้วยความรัก คนที่เขาขาดไปในชีวิตคือ ‘เพื่อน’
ใครได้ดูหนัง อาจรู้สึกว่า บางส่วนของเจสมีอยู่ในตัวเอง
...สมัยเด็กๆที่ไม่ได้เจ๋งไม่คูลไม่โก้ไม่เท่ เป็น แค่ คนๆหนึ่งที่เติมจำนวนให้ครบห้อง
เวลาไปโรงเรียนเล่นอะไร ก็ถูกจับเป็นตัวสำรอง หรือ ตัวแถมอยู่เรื่อยๆ
เวลาอยู่โรงเรียนก็โดนรีดโดนไถ หรือ โดนใช้งานโดยไอ้พวกตัวใหญ่ๆ
เวลานั่งเรียนแอบชอบครูคนสวยที่สอนอย่างใจดีและเขินเวลาครูมาคุยด้วย
เวลานั่งกินข้าวหาโต๊ะไม่ค่อยได้ เพราะโต๊ะนั้นโต๊ะโน้น ก็มีพวกมีกลุ่มประจำนั่งอยู่แล้ว
...ความโดดเดี่ยว ความเบื่อหน่าย ความเหงา ทั้งหลายทั้งมวลนั้นสามารถอันตรธานหายไปได้ในพริบตา เมื่อเราค้นพบใครสักคนที่ก้าวมาในชีวิตและหยิบยื่น ‘มิตรภาพ’ ให้
ยังจำกันได้หรือเปล่า เมื่อคราวแรกที่มีคนมาชวนคุย มาชวนเล่น มาชวนร่วมทำกิจกรรมตอนเข้าไปอยู่ในที่แปลกใหม่ ตอนที่เราเคว้งคว้าง มันทำให้เรารู้สึกดีเพียงใด
เพื่อนที่คบๆกันตอนนี้ ยังจำได้หรือไม่ ว่าจุดเริ่มต้นของการทำความรู้จักกันทำให้เรารู้สึกอย่างไร
และนั่นก็เกิดกับ เจส เช่นเดียวกันตอนรับหมากฝรั่งจากเลสลี่
....โลกใบใหม่ของเขาถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อพบเลสลี่
จากวันอันเหี่ยวเฉา เขาค้นพบความสุขสนุกสนาน
จากการต้องเผชิญปัญหาการโดนกลั่นแกล้ง เขาค้นพบเพื่อนที่เคียงข้างที่จะคอยปลอบใจและหาทางช่วยเหลือ
จากการต้องอยู่ในโลกศิลปะอย่างโดดเดี่ยวแต่เลสลี่ก็มาเปิดประตูให้เข้าอ้าแขนรับคนภายนอกเข้าไปเยี่ยมเยือน และ ได้รับของขวัญเป็นสีน้ำที่มาแต่งแต้มชีวิตและภาพวาดให้งดงามมีสีสัน
และ เขายังได้พบดินแดนใหม่ที่อยู่ใกล้เพียงถัดจากรั้วหลังบ้าน
เลสลี่พาเขาเข้าไปพบกับ ทิราบิเทีย
...ดินแดนแห่งความลับที่ไม่เคยมีใครค้นพบ มีเพียงเขาและเลสลี่ที่จะปลีกตัวมาอยู่ที่นี่
...ดินแดนที่เขาและเลสลี่จะกล้าหาญลุกขึ้นต่อสู้ เอาชนะ สัตว์ประหลาดทั้งหลายแหล่ที่เข้ามารังแกก่อกวน
...ดินแดนที่เขาและเลสลี่ได้เติบโตที่นั่น และ นำความเติบโตนั้นมาสู่โลกภายนอก เมื่อเขาเริ่มกล้าที่จะยืนหยัดต่อสู้กับปัญหาที่วิ่งเข้ามาเผชิญ
...เลสลี่ เป็น เด็กเก่งและดูมีความสุขตลอดเวลา ก่อนที่หนังจะมาเฉลยว่า ไม่ใช่แค่ เจส หรอกที่ดีใจกับการได้มีเพื่อน แต่สำหรับ เลสลี่ การได้รับ มิตรภาพ ตอบกลับมาเป็นของขวัญที่ล้ำค่าสำหรับเธอจนอาจจะมากกว่าเจสเสียด้วยซ้ำ
เพราะ เจส อาจเบื่อหน่ายความรำคาญความวุ่นวายภายในครอบครัว แต่ มันก็ทำให้เขาไม่เปลี่ยวเหงา เขายังมีทีวี มีน้องสาว มีพ่อแม่ มีงานให้ทำ ตรงข้ามกับ เลสลี่ ที่เป็นลูกคนเดียว พ่อแม่อยู่บ้านบ้างไม่อยู่บ้าง แถม ยังไม่มีทีวีดูอีกต่างหาก ไม่ใช่แค่นั้น สำหรับ เลสลี่ แล้ว เจสคือเพื่อนคนแรกและคนเดียวที่เธอเคยมี
ชีวิตที่โดดเดี่ยวของเธอ ทำให้คนที่น่าจะเหงายิ่งกว่า คือ เลสลี่ เพียงแต่ เธออยู่รอดด้วยการหลบลี้เข้าไปในโลกจินตนาการ จนบางครั้งดูเหมือนกับว่า เลสลี่จะใช้ชีวิตอยู่ในจินตนาการมากจนเกินไป
และ โลกจินตนาการนี้เองก็คร่าชีวิตเธอไป ในวันหนึ่งที่เธอคิดจะเดินทางกลับไปหามัน
...ความตายของเลสลี่
ทำให้เจส จมกับ ความรู้สึกผิด กับความคิดที่เราสามารถเดาได้ว่า “วันนั้นผมน่าจะชวนเธอไปพิพิธภัณฑ์ด้วยกัน” แต่เป็นเพราะ เขานั้นอยากไปกับครูในฝันเพียงสองต่อสอง
ความผิดที่กัดกินใจ พาเขากลับไปทิราบิเทีย แต่ที่นั่นกลับเป็น ป่าร้างที่ว่างเปล่า เขาตามหาเหล่าสัตว์ประหลาดแต่ไม่มีใครขานรับเขาแม้แต่คนเดียว
ความตายของเลสลี่ คือ ความเป็นจริงที่จินตนาการก็ไม่อาจพาเธอกลับมา และ วันนั้น ทีราบิเทีย ก็จากเจสไป
แล้วเราก็จะได้เห็นว่า โลกจินตนาการไม่ใช่สีขาวบริสุทธิ์ไม่ใช่นางฟ้าที่จะทำให้เรามีความสุขไปชั่วนิรันดร์ และ โลกแห่งความจริงน้นก็ไม่ใช่สีดำไม่ใช่ปีศาจที่จะมีแต่ความทุกข์ตลอดเวลา
เพราะ ในวันที่มืดหม่นที่สุดในชีวิตของเขา โลกจินตนาการ ไม่อาจพาเขาให้หลุดพ้นจากความเลวร้าย แต่ สิ่งที่ช่วยเขาคือ โลกความจริง อันได้แก่ ครูที่มาปลอบใจให้ข้อคิด , คำพูดของพ่อที่บอกเขาว่าความตายของเลสลี่ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย เธอตายเพราะอุบัติเหตุ และ ท่าทีเข้าใจลูกของพ่อในเช้าวันถัดมา ทำให้เราได้เห็นภาพของพ่อและครู ตัวแทนของโลกแห่งความจริง ที่ไม่ได้มีแต่ความใจร้ายใจดำ และ พยายามจะช่วยให้ เจส ผ่านพ้นวันเวลาที่เลวร้าย
จนกระทั่ง เจสเริ่มเข้าใจ
ทีราบิเทีย ไม่มีวันหายไปไหน ทีราบีเทีย เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
เพราะมีเพื่อนในวัยเดียวกัน เพราะมีครูในฝันที่เฝ้าชื่นชม ทำให้เขาหลงลืมคนใกล้ตัวที่สำคัญที่สุด เมื่อเขาหันกลับมามองเขาก็จะเห็นน้องสาว ที่มองหาพี่มาตลอด น้องที่มองหาพี่ น้องที่ชื่นชมและมีพี่เป็นฮีโร่ในดวงใจ แต่พี่เองก็วุ่นวายเกินไปกว่าจะสนใจน้องสาวซนๆคนนี้
เมื่อเขาชักชวนเธอมาสู่ดินแดนแห่งความลับ เมื่อเขาหยิบยื่นความรักและเห็นคุณค่าของเธอ เหมือนที่ เขากับเลสลี่ต่างมองมอบมิตรภาพและเห็นคุณค่าของกันและกัน เมื่อนั้น พวกเขาก็ควรค่ากับการมีชีวิตอยู่ในทิราบิเทีย
และเมื่อนั้น ทิราบีเทีย ก็จะมีตัวตน
เช่นเดียวกัน เลสลี่ เธออาจจะจากไป แต่หากเขายังคิดคำนึงถึง เธอก็จะยังมีชีวิตอยู่ในความทรงจำ
สะพานที่เขาสร้างขึ้นมา สะพานนี้จะพาเขาเข้าข้ามไปทิราบิเทีย
สะพานนี้จะพาพวกเขาเดินผ่านโลกอันโหดร้าย ไปสู่ โลกในจินตนาการอีกซีกหนึ่ง
และ
สะพานนี้จะพาเจสก้าวไปพบกับเลสลี่
Bridge to Terabithia ไม่ใช่แค่ พาเขาข้ามผ่านไปมาระหว่างโลกสองใบ แต่ยังมีความนัยหมายถึง คนสำคัญที่สุดอีกคนในชีวิตที่อาจจะตายไปในโลกความเป็นจริง แต่มีชีวิตอยู่ตลอดกาลในทีราบิเทีย
เมื่อหนังจบทำให้เราเชื่อมั่นว่า เจสเองจะเข้าใจโลกมากขึ้น เขาเรียนรู้การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับจินตนาการและได้รับรู้ว่า ความจริงก็ไม่โหดร้ายเกินกว่าจะรับมือ
....ใน Bridge to Terabithia นักแสดงเด็กๆในเรื่องแสดงกันได้ดีอย่างร้ายกาจ เจสเด็กที่เก็บกดอารมณ์ คือ เด็กคนเดียวกับที่ขึ้นรถไฟไปกับทอมแฮ้งค์ใน Polar express ได้เล่นเกมส์ออกนอกโลกใน Zathura ส่วน เลสลี่เด็กสาวจอมมั่นที่เปี่ยมไปด้วยจินตนาการ ก็มาจาก โรงงานช็อกโกเลตของจอห์นนี่เดปป์ ในตอนนั้นที่เธอเป็นยัยหนูผู้รักการแข่งขัน เมื่อบวกกับ เมย์เบลล์ น้องสาวจอมแก่น ก็จะได้เป็น ทีมนักแสดงเด็กที่เล่นกันได้เข้าขาและเล่นได้ดีที่สุดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว
ฝั่งนักแสดงผู้ใหญ่ พ่อที่รับบทโดย โรเบิร์ต แพทริค เล่นได้เข้มข้น และ ครูที่ผมคุ้นหน้าเหลือเกินแล้วก็ไปค้นจนเจอว่า เธอคือเพื่อนสาวสุดต๊องของนางเอก โซอี้ เดสชาแนล จากเรื่อง Failure to launch
...หนังดัดแปลงมาจากวรรณกรรม ผมซึ่งไม่เคยอ่านต้นฉบับไม่รู้ว่าดีแค่ไหน แต่จากตัวหนังบอกได้ว่าดีมาก หนังแสดงให้เห็นพัฒนาการของตัวละครทีละนิด และ สร้างความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครได้อย่างน่าจดจำ ไม่ว่าจะเป็น คู่ เจสและเลสลี่ ที่ทำให้เราได้กลับไปสัมผัสความรู้สึกดีๆเมื่อมีเพื่อน คู่ เจสและพ่อ หรือจะเป็น คู่เจสและน้องสาว คนมีน้องดูแล้วอาจรักน้องมากขึ้น น้องมันอาจน่ารำคาญคอยกวนใจแต่ในสายตาน้องพี่คือฮีโร่ตลอดมา
...ไดอะล็อกของหนังมีที่เขียนน่าประทับใจอยู่หลายตอน เช่น ตอนสีน้ำที่เลสลี่ซื้อให้เจสแล้วเจสเกรงใจเนื่องจากราคาที่น่าจะแพง แล้ว เลสลี่เสนอทางเลือกว่าตัวเองจะไปซื้ออันที่ถูกกว่ามาให้ดีหรือไม่ ถูกหรือแพงไม่สำคัญ สำคัญคือน้ำใจที่เพื่อนยินดีที่จะให้ เช่นเดียวกับตอนที่ เจส สรุปว่าเลสลี่น่าจะเก่งเหมือนพ่อกับแม่ที่เป็นนักเขียน เลสลี่ตอบกลับว่า แล้วเจสเก่งเหมือนพ่อหรือเปล่า เธอกำลังจะบอกว่า ไม่จำเป็นเลยที่ลูกจะต้องถูกครอบด้วยพ่อแม่ เราทุกคนต่างก็เป็นตัวของตัวเอง
ยังมีไดอะล็อกดีๆอีกมาก ที่หนังสอดแทรกคอยให้ข้อคิดสอนใจ
และทำให้ ไม่ใช่แค่หนังแฟนตาซีที่จะเข้ามาดูแล้วรู้สึกสนุกสนาน แต่พอกลับออกจากโรงไปก็ตัวว่างเปล่าเหมือนก่อนเข้ามา
แฟนตาซีในหนังเป็นแค่เครื่องมือที่พาเราสำรวจและเข้าใจความรู้สึกนึกคิดตัวละคร
เราจะไม่ได้เข้าไปดู โลกสีลูกกวาดหวานแหวว หรือ โลกแห่งจินตนาการ แต่ เรากำลังเข้าไปสัมผัส โลก ที่ จินตนาการ ความฝัน อาศัยอยู่ร่วมกับ ความจริง และ ความโหดร้ายในสัจธรรมของชีวิต
สิ่งที่ชอบ
1.บทหนัง ...ขอปรบมือให้ บทหนังเรื่องนี้ ซึ่งเขียนได้ดีมาก ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง และ คอยเตือนคนดูตลอดเวลาไม่ให้หลุดเข้าไปสู่โลกเหนือจริงแบบเต็มตัว แต่ก็ไม่ขึงขังจริงจังเกินไป บทของหนังสร้างเรื่องราวที่สมเหตุสมผลตามช่วงวัยของเด็กได้ดี หลายตอนมีหักมุมแบบคาดไม่ถึง แต่หักแล้วก็ตามมาด้วยข้อคิดดีๆ
ตัวละครผู้ใหญ่ในเรื่องก็ดูสมจริง หนังไม่ได้วาดภาพ พ่อที่โหดร้ายไม่ฟังเหตุผลชนิดเป็นสีดำสนิท หรือ ครูที่ใจโหดไม่ฟังใคร แต่ ทุกตัวละครล้วนเป็น คน ที่มีตัวตน มีชีวิตมีจิตใจ และ มีที่มาที่ไป ไม่เว้นแม้แต่ตัวละครจอมอันธพาล
2.ตัวละครเลสลี่ ... เธอคือองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้หนังกระแทกใจคนดูช่วงท้าย และ ทำให้ผมต้องนั่งปาดน้ำตาป้อยๆแบบไม่อายใคร ตัวละครเลสลี่ถูกสร้างขึ้นมาดูน่ารักทั้งภาพภายนอก จากการแสดงที่เนียนตา ดูฉลาดจากความรู้สึกนึกคิด และ ก็น่าสงสารทั้งก่อนและหลังเสียชีวิต เธอคือตัวละครที่เปลี่ยวเหงาตลอดเวลาแม้ว่าใบหน้าจะฉาบด้วยรอยยิ้ม ดังนั้นการที่คาแรกเตอร์เธอแจ่มชัดส่งมาถึงคนดูขนาดนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่เราสัมผัสความรู้สึกสูญเสียของเจสได้มากมายเมื่อเธอจากไป
3.ซาบซึ้งกินใจ ... ขอเพียง Just close your eyes but keep your mind wide open.
4.ข้อคิดมากมายและเข้าใจเด็กได้ดี ... ขอเพียง Just close your eyes but keep your mind wide open.
สรุป ... ผมชอบและเชียร์หนังเรื่องนี้เต็มตัว ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้เหมือนเฉิ่ม คือ โฆษณาหน้าหนัง คนละเรื่อง กับตัวหนังจริง เป็น การหลอกคนดูแต่ก็เป็นการหลอกที่คุ้มค่า มันเหมือนกับเข้าไปซูเปอร์มาเก็ตอยากจะซื้อขนมอบกรอบกินเล่นซักหนึ่งถุง พนักงานดันหยิบผิดซองมาให้ พอถึงบ้านเราหงุดหงิดที่มันไม่ใช่อย่างที่อยากซื้อ แต่พอกินหมดเรากลับชอบใจในรสชาติและได้คุณค่าสารอาหารมากกว่า ขนมที่วางแผนซื้อในตอนแรก
หนังอาจไม่เหมาะกับเด็กเล็กๆแต่เหมาะมากกับเด็กที่โตแล้วประมาณประถมปลายๆขึ้นไป หรือ ผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลเด็ก เพราะนี่คือหนังที่ดูแล้วจะเข้าใจเด็กๆได้มากขึ้น แล้วจะไม่แปลกใจ ว่าทำไม หนังที่ดูเหมือนจะเป็นหนังแฟนตาซีบ้านๆ เอฟเฟคต์ก็งั้นๆ มาก็แบบเงียบๆ เรื่องนี้ ถึงกวาดกระแสคำวิจารณ์ไปในเชิงบวกแทบจะทุกสารทิศ (ที่รับได้ว่ามันไม่ใช่หนังแฟนตาซี)
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=03-2007&date=22&group=1&gblog=226