ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 28, 2016, 01:18:03 am »ชีวิตใต้ร่มใบบุญพุทธศาสนา ของอ๊อด - รณชัย ถมยาปริวัฒน์ (3)
ผม (อ๊อด - รณชัย ถมยาปริวัฒน์) ระลึกอยู่เสมอว่าตัวเองเป็นหนี้บุญคุณพระพุทธศาสนาเพราะความรู้ความเข้าใจที่ได้รับจากครูบาอาจารย์ทำให้ผมเปลี่ยนเป็นคนที่รู้จักคิด รู้จักเชื่ออย่างมีเหตุมีผล
สมัยยังเป็นเด็ก ผมไปช่วยงานสร้างเจดีย์ที่วัดธรรมสถิต จังหวัดระยอง ต้องนอนค้างอ้างแรมในป่า กลางคืนก็มืดแสนมืดและด้วยความเป็นเด็ก จินตนาการเกี่ยวกับผีสางนางไม้ก็ยิ่งหลอกหลอน แต่แล้ววันหนึ่ง คำสอนของครูบาอาจารย์ก็ทำให้ผมเลิกกลัวผี
ตัวเราคือป่าช้า
ค่ำวันหนึ่ง ผมไปช่วยงานที่วัด ครูบาอาจารย์ไหว้วานให้ผมเดินจากตีนเขาขึ้นไปหยิบของบนยอดเขา ระหว่างทางต้องเดินผ่านป่า แม้ว่าทางเดินจะโล่งเตียน แต่ด้วยความมืด มันก็ยังทำให้ผมกลัวอยู่ดี เมื่อความกลัวค่อย ๆ ก่อตัว จิตของผมก็ยิ่งสร้างภาพขึ้นมาเองว่ามีคนเดินตามอยู่ข้างหลังถ้าเราหันไปเจอแล้ววิ่งหนี เขาก็จะต้องวิ่งตามเราด้วย แล้วถ้าเขาเหาะมาเกาะบนหลังเรา เราจะทำอย่างไรดี…
แม้จะกลัวผีจนขนหัวลุก แต่ผมก็กลั้นใจเดินไปจนถึงจุดหมาย เมื่อกลับลงมาก็มาเล่าให้ครูบาอาจารย์ฟัง ท่านก็ถามว่า“ผีอยู่ที่ไหน” ผมก็ตอบว่า “ผีอยู่ในป่าช้าครับ” ท่านถามต่อว่า “แล้วตัวเรามีป่าช้าไหม” เมื่อเจอคำถามนี้เข้าไป เด็กอย่างผมก็นั่งงงเป็นไก่ตาแตก ไม่เข้าใจว่าตัวเราจะมีป่าช้าได้อย่างไร
ครูบาอาจารย์จึงสอนว่า “ตัวเรานี่แหละเป็นป่าช้า มีทั้งผีเป็ด ผีไก่ ผีวัวผีปลา แล้วจะไปกลัวผีอะไรอีกล่ะ” ผมคิดตามก็เห็นจริงอย่างที่ท่านว่า ท่านก็ชี้แนะต่อว่า “คนกับผีอะไรน่ากลัวกว่ากันคนถ้าไม่ถูกใจก็นำปืนมายิง นำมีดมาฟันแทงเราได้ ผีมันทำอะไรเราได้ เคยมีข่าวลงตามหน้าหนังสือพิมพ์ไหมว่าผีฆ่าคนจะมีก็แต่ในหนัง”
ผมเห็นจริงด้วยทุกประการ และเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่าพระพุทธศาสนาสอนให้เราคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ไม่เคยสอนให้เราเชื่ออะไรอย่างงมงาย และด้วยคำสอนของครูบาอาจารย์ ก็ทำให้หลังจากนั้นผมสามารถเผชิญกับปัญหาใหญ่ที่เข้ามาในชีวิตและผ่านพ้นไปได้ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับบททดสอบอยู่นานหลายปี
ครูบาอาจารย์สะกิดเตือน
ปีที่สองของการเข้าสู่วงการเพลง ผมก็มีชื่อเสียงโด่งดังด้วยเพลง รอวันฉันรักเธอ ใคร ๆ ต่างคิดว่าวง “คีรีบูน” ของเราคงจะมีเงินทองไหลมาเทมา แต่ความจริงในยุคนั้นก็คือ ผลประโยชน์ที่เราได้รับจากบริษัทต้นสังกัดน้อยมาก เขามองเราว่าเป็นเด็กมหาวิทยาลัย ไม่ได้ใช้เงินมากมายเบิกทีก็ได้สี่พันห้าพัน เป็นเบี้ยหัวแตกอยู่อย่างนี้ ซึ่งไม่เพียงพอกับความเป็นศิลปินที่มีค่าโสหุ้ยมากมาย ทั้งผ้าป่า งานบวชงานแต่ง ถ้าใส่ซองน้อยคนก็จะคิดว่า “โหอ๊อด คีรีบูนใส่ซองแค่นี้เองหรือ” แต่เราก็ไม่เคยไปเรียกร้องจากบริษัทเพิ่ม เพราะผมถือว่ารับปากอะไรแล้วก็ให้เป็นไปตามนั้นนอกจากนั้นความดังก็ยังทำให้ชีวิตการเป็นศิลปินไม่ได้โสภามากนัก เพื่อนร่วมวงที่แต่ก่อนไม่เคยมีปัญหาก็เริ่มมีปัญหาแต่จุดที่ทำให้ผมตัดสินใจเดินเข้าไปบอกเจ้าของบริษัทว่าขอเลิกจากการเป็นนักร้องทั้งที่กำลังดังถึงขีดสุด คือคำพูดของพระอาจารย์กุหลาบ
ในช่วงที่กำลังมีชื่อเสียงอยู่นั้น ผมกับหมู เพื่อนสนิท ก็ตัดสินใจบวชกับพระสายกรรมฐาน โดยไปจำพรรษาอยู่กับชาวเขาเผ่ามูเซอที่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง ที่บ้านห้วยปลาหลด จังหวัดตาก เราไปเดินธุดงค์ในป่ากับพระกรรมฐานสาย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่แหวน สุจิณโณ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี และ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ธุดงค์อยู่เดือนกว่า ๆ หลังจากสึกแล้วก็ยังรับใช้ส่งเสบียงดูแลพระป่าอยู่ที่สำนักสงฆ์ทางไปน้ำตกป่าละอู จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ส่วนใหญ่ผมจะเดินทางไปกับ พระอาจารย์สุชิน ปริปุณโณ
เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันของวัดธรรมสถิต (เจ้าอาวาสองค์ก่อนคือ พระครูญาณวิศิษฏ์หรือที่ลูกศิษย์ลูกหาเรียกว่า ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก) กับเพื่อน ๆ รวมถึงภรรยาคู่ชีวิตที่ตอนนั้นยังคบหาดูใจกันอยู่
ครั้งนั้นผมได้มีโอกาสสนทนากับพระอาจารย์กุหลาบซึ่งเป็นพระสายวัดป่าท่านให้แง่คิดที่สำคัญมาก ซึ่งมีผลต่อชีวิตของผมในเวลาต่อมาว่า “การเป็นนักร้องของอ๊อดด้านหนึ่งก็ดีนะ ทำให้คนมีความสุขแต่อีกด้านหนึ่งก็ทำให้คนหลงนะ” ได้ยินแล้วผมร้อง “โอ้โห!” เหมือนมีดแทงหัวใจเลย เพราะตั้งแต่เด็กเราฟังคำสอนของครูบาอาจารย์มาตลอด จิตของเราจึงเป็นจิตที่ใฝ่ดี อะไรที่เป็นเรื่องดีผมทำหมด เหล้ายา การพนัน ผมไม่เคยข้องเกี่ยว แต่เมื่อครูบาอาจารย์สะกิดเตือนว่าการร้องเพลงของเราทำให้คนหลง ผมก็เห็นจริง เพราะบางครั้งมีวัยรุ่นผู้หญิงที่อยู่ต่างจังหวัดชื่นชอบเราแล้วนั่งรถมาหาที่บ้าน บางครั้งเขาก็ไม่ได้ประมาณตัว มาถึงที่บ้านก็ดึกดื่นแล้ว เมื่อกลับไม่ได้ก็ต้องนอนค้าง ผมก็ต้องสละที่นอนของตัวเองให้ ส่วนตัวผมก็ต้องไปนอนกับแม่หรือพี่ ๆ แทน
จากดังคับฟ้าก็ร่วงจมดิน
เมื่อเหตุการณ์หลายอย่างเริ่มแสดงให้เห็นว่าการเป็นศิลปินอาจไม่ใช่หนทางของชีวิต ผมก็ตัดสินใจเดินไปบอกกับเฮียเจ้าของค่ายเพลงว่าขอเลิกจากการเป็นนักร้อง ทั้งที่กำลังมีชื่อเสียงโด่งดัง คราวนี้เฮียเต้นผาง ทุกคนในบริษัทมะรุมมะตุ้มหาสาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้น ด้วยความเป็นเด็กผมไม่คิดว่าการปั้นนักร้องสักคนหนึ่งต้องลงทุนมากมายมหาศาล ก็เลยงงว่า “แค่บอกเลิก ทำไมมันถึงเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตขนาดนี้” เพราะด้วยนิสัยของผม เงินไม่ใช่พระเจ้า ตอนเด็ก ๆ เคยทำมาหมดแล้ว ทั้งวิ่งขายเรียงเบอร์ ขายเสื้อสกรีนหน้าโรงหนัง ผมรู้ว่ากว่าจะหาเงินได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ผมก็ปฏิเสธเงินได้ไม่ยากเช่นกัน
แต่เมื่อฟังเหตุผลของเจ้าของบริษัทในตอนนั้น ผมก็รู้สึกผิดถ้าจะลาออกทั้ง ๆ ที่เขาลงทุนกับเราไปมากมาย จึงตัดสินใจทำงานต่อไป แต่ในใจลึก ๆ ของผมเริ่มไม่สนุกกับการทำเพลงแนวเดิม จึงเริ่มแต่งเพลงที่มีเนื้อหาลึกซึ้งมากขึ้น หลังจากนั้นผมก็ได้ทำอัลบั้มเพลงคู่รวมดาวกับนักร้องสาวอีกท่านหนึ่ง ซึ่งขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ทำเงินให้บริษัทมหาศาล แต่ถึงที่สุด วันหนึ่งเมื่อผมตัดสินใจลาออก ก็กลับกลายเป็นว่าต้องมีคดีความกับบริษัท จะไปร้องเพลงที่ค่ายอื่น หรือแม้แต่จะไปเรียนต่อเมืองนอกอย่างที่ตั้งใจไว้แต่ต้นก็ทำไม่ได้ ชีวิตผมตอนนั้นเหมือนเจอทางตัน ลำบากที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ ต้องไปร้องเพลงในผับในบาร์ที่พัทยา ซึ่งเต็มไปด้วยควันบุหรี่และนักเที่ยว
ที่พยายามจะยัดเยียดให้ผมดื่มเหล้ากับเขาให้ได้
เมื่อคนรอบตัว ทั้งเพื่อนฝูง พ่อแม่พี่น้องเห็นชีวิตผมตกต่ำลำบาก ก็พยายามยื่นมือมาช่วยเหลือให้กำลังใจ หมูเพื่อนสนิทพาไปดูดวง เพื่อนอีกกลุ่มพาไปหาซินแสปรับฮวงจุ้ย พี่น้องพาไปไหว้ศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่ไปไหว้พระธาตุตามต่างจังหวัด ผมก็ไปกับพวกเขา แต่ในที่สุดปัญญามันก็เกิด เมื่อมานั่งคิดว่าสิ่งที่เราทำมันเห็นแก่ตัว เราไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอนั่นขอนี่ก็เฉพาะตอนที่มีความทุกข์ อยากเอาตัวรอด แต่ตอนที่มีความสุข เรากลับไม่สนใจ ยิ่งตอนที่พี่พาไปไหว้ศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่แล้วบอกว่า “น้องอ๊อดพูดตามนะ ขอให้ข้าพเจ้าพ้นทุกข์พ้นโศกขอให้ข้าพเจ้าร่ำรวยเป็นร้อยล้านพันล้าน…”ผมก็ยิ่งได้คำตอบที่ชัดเจนว่า นี่ไม่ใช่หนทางแก้ปัญหา เพราะความสุขในชีวิตไม่ได้อยู่ที่รวยร้อยล้านพันล้านแน่ ๆ และที่สำคัญ ครูบาอาจารย์สายวัดป่าก็ไม่เคยสอนให้เรามานั่งสะเดาะเคราะห์ มีแต่จะสอนว่า“ทำเหตุให้ดีก่อน แล้วผลก็จะดีตามมา”
ด้วยเหตุนี้ ช่วงที่ตกงานผมจึงพยายามทำแต่สิ่งที่ดี ๆ ไปทำหนังสือกับกระทรวงศึกษาธิการ ไปแต่งเพลงประกอบการเรียนการสอน แบกตลับเทป 30,000 กว่าม้วนไปที่สำนักงานขนส่งด้วยตัวเอง การเป็นเด็กช่วยงานวัดมาตลอดทำให้ผมเป็นคนหนักเอาเบาสู้ ถึงลำบากก็ไม่ตีโพยตีพาย ผมเชื่อมั่นในความดีเสมอมา เชื่อว่าการทำความดีเปรียบเหมือนการปลูกมะม่วง เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็จะให้ดอกให้ผล แม้จะทำความดีมาโดยตลอด แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลาที่ผลดีจะตอบสนอง เราก็มีหน้าที่ทำความดีต่อไป
หลังจากล้มลุกคลุกคลานอยู่ 4 - 5 ปีชีวิตของผมก็เหมือนมีปาฏิหาริย์ เมื่อได้ไปทอดผ้าป่าช่วยชาติกับหลวงตามหาบัว จู่ ๆชีวิตที่เคยเป็นศูนย์ก็มีสิ่งดี ๆ เข้ามาชนิดที่ผมเองก็ยังไม่อยากเชื่อ!
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
Secret Box
ใครผิดถูกดีชั่วก็ตัวเขา ใจของเราเพียรระวังตั้งถนอม อย่าให้อกุศลวนมาตอม ควรถึงพร้อมบุญกุศลผลสบาย
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
จาก http://www.secret-thai.com/article/5657/ronnachai3/
ชีวิตใต้ร่มใบบุญพุทธศาสนา ของ อ๊อด - รณชัย ถมยาปริวัฒน์ (จบ)
ในชีวิตของผม (อ๊อด - รณชัย ถมยาปริวัฒน์) เคยผ่านการบวชมาแล้วสองครั้ง ครั้งแรกตอนอายุ 22 ปี ครั้งที่สองตอนอายุ 28 ปีเหตุที่บวชอีกครั้งเพราะได้บนบานไว้ ขอให้พี่ชายรอดชีวิตจากการผ่าตัดสมอง
ตอนนั้นผมลำบากมาก ต้องออกจากวงการไปเป็นนักร้องตามผับตามบาร์ เงินเก็บก็ไม่มี เมื่อพี่ชายประสบอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์ล้มหัวฟาด ต้องผ่าตัดสมอง มีค่าใช้จ่ายถึงสามแสนบาท โดยที่โอกาสรอดมีเพียงแค่ 40เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ผมก็ยินดีทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตพี่ชายไว้
ครูบาอาจารย์แนะนำให้ผมนั่งสมาธิแล้วอธิษฐานจิตถึง ท่านพ่อเฟื่อง โชติโกเจ้าอาวาสคนแรกของวัดธรรมสถิต จังหวัดระยอง ที่ผมนับถือ ปรากฏว่า หลังผ่าตัดพี่ชายผมรอดราวปาฏิหาริย์ แต่ด้วยความที่สมองบางส่วนของเขาได้รับความกระทบกระเทือน ทำให้พูดไม่เป็นภาษา ตอนนั้นผมรู้สึกทุกข์มาก เพราะปัญหาหลายอย่างเข้ามารุมเร้า แต่โชคยังดีที่การรับใช้ครูบาอาจารย์สายวัดป่าทำให้ผมได้รู้จักกับ หลวงปู่วัย ซึ่งเคยเป็นอาจารย์หมอสอนอยู่เมืองนอกแต่กลับมาบวชตลอดชีวิตที่เมืองไทย และสนใจศึกษายาแผนไทยอย่างจริงจัง ท่านบอกผมว่า ยาฝรั่งตามหลังยาไทยอยู่ไม่ต่ำกว่า 80 ปี
หลวงปู่วัยเขียนชื่อยาไทยให้ผมไปซื้อที่ร้านเจ้ากรมเป๋อ เมื่อให้พี่ชายกิน สมองของเขาก็ค่อย ๆ ฟื้นตัว จนทุกวันนี้ แม้ว่าเขาจะพูดจาสื่อสารกับเราได้ยาก แต่ก็สามารถดูแลตัวเองได้ทุกอย่าง เพียงแค่นี้ผมก็มีความสุขมากแล้ว หลังจากที่พี่หาย ผมก็ตัดสินใจบวช และการบวชครั้งนี้ทำให้ใจของผมได้สัมผัสกับธรรมะของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
ชีวิตดีขึ้น หลังทำผ้าป่าช่วยชาติ
ผมมีโอกาสได้ฟังเทศน์จากหลวงตามหาบัว ท่านพูดว่า พระอรหันต์มีจริงนิพพานมีจริง และสิ่งนี้ได้เกิดกับท่านตั้งแต่อายุ 30 กว่า ๆ แม้ว่าใจหนึ่งจะคิดว่าท่านพูดแบบนี้ได้อย่างไร เพราะมันเหมือนอวดอุตตริมนุสสธรรม แต่อีกใจหนึ่งก็เกิดความปีติยินดีจนน้ำตาไหล เพราะเราก็ศรัทธาในพระพุทธศาสนามานานแล้ว แต่มีพระรูปนี้ที่เอ่ยเรื่องนี้ให้เราได้ฟัง ท่านพูดเพื่อให้ทุกคนมาช่วยชาติ ไม่ได้พูดเพื่อประโยชน์ส่วนตนใด ๆ
เมื่อสึกแล้ว ผมก็เข้าไปช่วยงานหลวงตามหาบัว เช่น ช่วยทำสปอตโฆษณาเป็นโฆษกพูดตามงานต่าง ๆ ช่วยทำโรงทานจัดดอกไม้ในงานต่าง ๆ ยกเครื่องเสียงตั้งโต๊ะ เต็นท์ ฯลฯ ผมทำทุกอย่างด้วยใจแทบไม่น่าเชื่อ หลังจากนั้นชีวิตของผมก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี จากที่ไม่มีอะไรเลย ก็เริ่มเห็นแสงสว่างเป็นครั้งแรก
แม้ว่าผมจะเรียนจบเศรษฐศาสตร์มาก็จริง แต่เคยไปลงเรียนวิชาทางด้านครุศาสตร์ และสนใจพระพุทธศาสนาและจิตวิทยา ทำให้ผมอยากพัฒนาเรื่องการศึกษาของเด็กไทย และคิดว่าถ้าให้ดีที่สุดก็ต้องเริ่มตั้งแต่วัยอนุบาลและวัยประถม ผมและแม่ของภรรยาซึ่งเป็นครูมาตลอดชีวิตจึงได้ร่วมมือกับนักวิชาการทางการศึกษาคิดค้นหลักสูตรที่เรียกว่า “ดนตรีคีรีบูน พัฒนาอัจฉริยภาพ” ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมในวัยอนุบาลด้วยการใช้กระบวนการทางดนตรี
ช่วงแรก ๆ ที่ทำ ผมต้องไปทดลองสอนเด็กอนุบาลที่โรงเรียนต่าง ๆ ฟรี ทั้งที่ตอนนั้นตัวเองก็ลำบาก ต้องทิ้งอย่างอื่นเพื่อมาทำงานการศึกษาอย่างจริงจัง เงินทองก็ไม่มี ถึงขนาดที่ครั้งหนึ่งเคยมองทุ่งหญ้าข้างทางแถวรามอินทรา แล้วคิดว่า “นี่ถ้าเรากินหญ้าได้ ชีวิตคงจะไม่ยุ่งยาก” แต่ผมก็กัดฟันสู้ไม่ถอยมาเป็นสิบ ๆ ปี จนวันนี้เริ่มเห็นดอกผลของสิ่งที่บากบั่นมาด้วยสมองและสองมือของตัวเอง เมื่อโรงเรียนต่าง ๆเกิดความศรัทธาในวิธีการสอนของผม หลักสูตรที่คิดค้นก็เลยได้นำไปใช้ในโรงเรียนกว่า 40 แห่ง และปัจจุบันผมเปิดเป็นโรงเรียนคีรีบูน จีเนียสมิวสิค อีกด้วย
ดนตรีพัฒนาอัจฉริยภาพที่ผมคิดค้นเป็นการปลูกฝังนิสัยที่ดีให้กับเด็ก โดยจัดการเรียนการสอนที่เป็นกระบวนการกระบวนการที่ว่านี้ใช้ทั้งเพลง นิทาน เกมและสื่อการสอนต่าง ๆ อย่างเช่น ผมจะสอนการฝึกคิดวิเคราะห์ให้กับเด็ก ก็สอนผ่านเพลง พายเรือ ที่ผมจะให้ไม้พายกับเด็กทุกคน แล้วให้พายเรือไปตามจังหวะของเพลงเช่น ร้องเพลงว่า “ลงเรือ พายไป ตามคลอง” เด็กก็จะยกไม้พายขึ้นลงตามเพลงตามมาด้วยเนื้อร้องท่อนต่อไปว่า “ตาจ้องมองสองฝั่งข้างทาง หูฟังเสียงอะไรกันบ้าง”แล้วดนตรีก็หยุด มีเสียงดังออกมาเป็นเสียงนกหวีดและเสียงเด็ก ๆ เต็มไปหมด ผมก็จะถามเด็ก ๆ ว่า “ช่วยครูอ๊อดคิดหน่อยสิลูก เราพายเรือมาถึงที่ไหนนะ ที่มีเสียงนกหวีดกับเด็กเจี๊ยวจ๊าว คิดว่าเป็นที่ไหน…”
นี่คือตัวอย่างการสอนของผม ซึ่งทำให้เด็กมีความสุขในการเรียน ผมอยากปลูกฝังสิ่งนี้ให้กับเด็กทุกคน และที่สำคัญทำให้เด็ก ๆ เห็นว่าการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด เราเรียนรู้ได้ไปตลอดชีวิตของเรา และหลังจากนี้ผมก็จะทำเรื่องคณิตศาสตร์ด้วย เพราะทั้งดนตรีและคณิตศาสตร์ก็มีธรรมชาติคล้ายกัน
ทุกวันนี้ เด็กที่ผ่านกระบวนการสอนของผม นอกจากจะเรียนเก่งแล้ว ก็ยังมีพัฒนาการด้านดนตรีดีมาก สามารถทำวงดนตรีไปแข่งขันกับพี่ ๆ ในระดับมหาวิทยาลัยจนได้รับรางวัลกลับมา
ผมยังจำคำที่หลวงตามหาบัวพูดได้ดีว่า “ใครที่มาช่วยกันในงานผ้าป่าช่วยชาติไม่ใช่บุญธรรมดาเลยนะ แต่เป็นมหาบุญมหากุศลจริง ๆ เพราะถ้าเราช่วยประเทศชาติรอด พระพุทธศาสนาซึ่งเจริญที่สุดในโลกที่ประเทศไทยก็จะอยู่รอดไปด้วยเพราะถ้าตอนนั้นต่างชาติเข้ามา พุทธศาสนาก็อาจจะอ่อนแอ อาจไม่มีกฎหมายให้เราลาบวชได้ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าชาติอยู่รอดพระพุทธศาสนาอยู่รอด สถาบันพระมหากษัตริย์ของเราก็จะอยู่รอดด้วย เท่ากับเป็นการช่วยยกทั้ง 3 สถาบัน”
และด้วยผลบุญกุศลในครั้งนั้นก็ทำให้ทุกวันนี้ชีวิตของผมดีขึ้นเรื่อย ๆ แม้ไม่ร่ำรวย แต่ก็อยู่ในจุดที่สามารถดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องหันไปมองหญ้าข้างทางเหมือนสมัยก่อนอีกแล้ว
ชาติหน้าฉันใด ขอให้ได้เกิดเป็นชาวพุทธ
นอกจากบุญกุศลที่ทำจะช่วยให้ชีวิตของผมดีขึ้นแล้ว ครั้งหนึ่งผมเคยรอดชีวิตจากอุบัติเหตุราวปาฏิหาริย์ ครั้งนั้นผมหลับในขณะขับรถขึ้นทางด่วนตอนตีสาม รถวิ่งมาด้วยความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพียงแค่คืบเท่านั้น รถของผมก็จะชนกำแพงข้างทางแล้ว แต่ด้วยเดชะบุญทำให้ผมตื่นทันและแฉลบรถออกมาได้ จึงไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ ครั้งนั้นผมนึกถึงครูบาอาจารย์ นึกถึงพระพุทธรูปที่ท่านพ่อเฟื่องมอบให้ พร้อมคำพูดที่ว่า “เก็บไว้ดี ๆ นะสิ่งนี้จะรักษากายได้ แต่ไม่สามารถรักษาใจ”เมื่อมั่นใจว่าความดีเท่านั้นที่จะรักษาเราได้ผมก็เดินหน้าทำความดีต่อไป โดยตอนนี้ผมได้รับมอบหมายให้ดูแลการสร้างเจดีย์ที่ดอยธรรมสถิต จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นโครงการใหญ่ที่ผมต้องทำให้สำเร็จให้ได้
อย่างไรก็ตาม สำหรับผม ศาสนาไม่ได้อยู่ที่วัตถุสิ่งของต่าง ๆ แต่ศาสนาอยู่ในหัวใจของเราทุกคน ทุกวันนี้หลายคนเสื่อมศรัทธาในพุทธศาสนา เพราะสื่อนำเสนอแต่แง่ไม่ดี ข่าวไม่ดีของพุทธศาสนาได้ลงหน้าหนึ่ง แต่ข่าวดี ๆ มีพื้นที่หลบอยู่ด้านในนิดเดียว ผมอยากให้หลาย ๆ คนรู้จักบริโภคสื่อให้เป็นให้เท่าทันด้วย ไม่อย่างนั้นวันหนึ่งพุทธศาสนาของเราก็จะไม่สามารถอยู่รอดได้
ที่สำคัญ การที่เราจะดูแลพุทธศาสนาก็ไม่ควรหลงไปตามกระแสบุญนิยมหรือไปยึดติดตัวบุคคลแล้วลืมคำสอนที่แท้จริงพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราจัดพิธีที่สวยงามนั่งเรียงเป็นแถว แต่สอนให้เรามีดวงจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ และไม่ไปยึดติดแบบแผนอะไรที่เป็นแค่เพียงกระพี้ เพราะฉะนั้นเราอย่าหลง แต่ควรศึกษาพุทธศาสนาให้ถึงแก่นศาสนาพุทธมีความเป็นวิทยาศาสตร์ สอนเราให้เข้าถึงเหตุและผล เช่น ถ้าชีวิตคุณอยากได้อะไร คุณต้องทำในสิ่งนั้น เมื่อทำเหตุดีแล้ว ผลย่อมดีตามมา
สำหรับผม วิชาความรู้ทางโลกต่าง ๆที่เราเรียนนั้นยังเป็นอวิชชา เพราะเราเรียนรู้ได้ไม่จบไม่สิ้น เป็นการเรียนเพื่อตอบสนองกิเลสตัณหาของมนุษย์ แต่พระพุทธศาสนาเป็นวิชาที่เรียนรู้แล้วจบแล้วสิ้น จบเพื่อดับกิเลสของเรา ไม่ให้ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก
ดังนั้น ชาติหน้าฉันใด ผมไม่ได้อยากเกิดเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดังกว่าที่เคยเป็นแต่ผมขอตั้งจิตว่า
“ถ้าข้าพเจ้ายังต้องเวียนว่ายตายเกิดก็ขอให้เป็นคนที่มีสัมมาทิฏฐิประจำดวงจิตเป็นคนมีเหตุมีผล แล้วก็ขอให้เกิดอยู่ในบวรพุทธศาสนา และถ้าเป็นไปได้ ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้บวช”
ผมขอเพียงแค่นี้ครับ
Secret Box
มีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องรู้สึกว่าเราอยากดี-เด่น-ดังอะไรเลย เพียงแต่ขอให้รู้สึกว่าเป็นผู้มีประโยชน์ที่สุดคนหนึ่ง นั่นแหละถูกต้องและเป็นสุขแท้
พุทธทาสภิกขุ
จาก http://www.secret-thai.com/article/5661/ronnachai4/