ผู้เขียน หัวข้อ: ชีวิตใต้ร่มใบบุญพุทธศาสนา ของ อ๊อด คีรีบูน ( รณชัย ถมยาปริวัฒน์ )  (อ่าน 2042 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


ชีวิตใต้ร่มใบบุญพุทธศาสนาของอ๊อด - รณชัย ถมยาปริวัฒน์ (1)

เรามักจะได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม”อยู่เสมอ ซึ่งตามธรรมดา ชาวโลกแบบเรา ๆ ก็มักจะเชื่อว่าคนที่ทำความดี อย่างไรเสียก็ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้

เกือบ 40 ปีมาแล้วที่ “อ๊อด คีรีบูน” หรือที่มีชื่อจริงว่า รณชัย ถมยาปริวัฒน์ นักร้อง นักดนตรีที่มีผลงานเพลงที่มีชื่อเสียงอย่าง “รอวันฉันรักเธอ” ได้ปวารณาตัวรับใช้พระพุทธศาสนาด้วยการเป็นโยมอุปัฏฐากรับใช้ใกล้ชิดพระสงฆ์สาย พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

ชีวิตใต้ร่มใบบุญพระพุทธศาสนาและการหมั่นเพียรทำความดีของเขา ทำให้แม้ในช่วงที่มีชื่อเสียงโด่งดังถึงขีดสุด เขาก็ไม่ได้หลงระเริงไปกับคำสรรเสริญเยินยอส่วนในช่วงที่ต้องประสบปัญหา หรือแม้แต่บางครั้งที่ชีวิตเฉียดใกล้ความตาย เขาก็รอดปลอดภัยได้ราวปาฏิหาริย์

เพราะเหตุใดนักร้องผู้มีชื่อเสียงโด่งดังผู้นี้จึงอุทิศตัวเพื่อพระพุทธศาสนา เราไปย้อนวันวานของเขากันเลยดีกว่า
 

เริ่มต้นด้วยการ “คิดถูกทาง”

ผมเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะความเป็นอยู่ธรรมดา ๆ คุณพ่อเป็นชาวบางปะกงจังหวัดฉะเชิงเทรา ส่วนคุณแม่เป็นชาวชัยภูมิ  ผมเป็นลูกคนสุดท้องในบรรดาพี่น้อง4 คน  สมัยเด็ก ๆ ผมเรียนที่โรงเรียนวัดเซิงหวาย  ย่านบางซ่อน ด้วยสภาพแวดล้อมที่เป็นโรงเรียนวัด ทำให้ผมมีเรื่องตีต่อยไม่เว้นแต่ละวัน ตกเย็นก็จะมีเพื่อนมาบอกว่า  วันนี้เป็น “เวร” เราต้องไปต่อยกับใครที่หลังวัด ต่อยเสร็จก็เจ็บตัวทุกครั้ง แต่ก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดาของลูกผู้ชาย

จนเมื่อเริ่มโตขึ้น ญาติรุ่นพี่ที่ชอบสะสมเครื่องรางของขลัง ตะกรุด เขาก็มาเล่าเรื่องอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ หนังเหนียวฟันแทงไม่เข้าให้เราฟัง ผมฟังด้วยความสนุกและเริ่มชอบอ่านหนังสือโลกทิพย์ที่เขานำติดมือมาด้วย ตอนนั้นคิดตามประสาเด็กว่าถ้าเรามีเครื่องรางของขลัง เวลาชกต่อยกับใคร เราก็คงไม่เจ็บตัว

ความจริงแล้วผมเป็นเด็กที่มีเหตุผลมีสองบุคลิกในตัวเอง คือบู๊ก็ได้และบุ๋นก็ได้แต่ช่วงเด็ก ๆ จะหนักไปทางบู๊ แก่นกะโหลก ครั้งหนึ่งเพื่อนชวนไปสักยันต์ในบ้านหลังหนึ่งที่ทรงเจ้าเข้าทรง วันแรกเขาให้สักน้ำมันคือเป็นพิธีกรรมลงคาถาอาคมก่อน วันหลังถึงค่อยมาลงสี ใครจะสักเป็นรูปเสือหรือรูปสิงห์ก็แล้วแต่ความพอใจ

ตกดึก หลังจากไปสักน้ำมันมาวันนั้นผมก็ถามแม่ที่นอนอยู่ข้าง ๆ ว่า “แม่ ๆ  อ๊อดเหนียวแล้วนะ ยิงไม่เข้า ฟันไม่เข้า  แต่ถ้าอ๊อดถูกรถชน อ๊อดจะตายไหม”  ถึงจะง่วงแสนง่วง แต่แม่ก็ยังตอบผมว่า “มันจะเหลือเหรอลูก กระดูกกระเดี้ยวมันต้องหักหมดแน่ ๆ ” ได้ยินอย่างนั้น ผมก็ยังถามต่อว่า“แม่ แล้วถ้าอ๊อดตกลงมาจากตึกสูง ๆ แม่ว่าอ๊อดจะตายไหม” คราวนี้แม่ตอบกลับมาทันทีเลยว่า “โอ้โห มันจะเหลือเหรอลูกตกลงมาจากที่สูงอย่างนั้น กะโหลก กระดูกก็แตกแหลกเหลวหมดน่ะสิ”

เมื่อได้ยินแม่พูดอย่างนั้น ปัญญามันก็เกิดขึ้นมาทันที วันรุ่งขึ้นผมตัดสินใจไม่ไปสักยันต์กับเพื่อนต่อ ทั้งที่ทุกคนไปกันหมด
 

เอนเอียงไปทางธรรมด้วย “งานบุญ”

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ชีวิตในวัย 12 ปีของผมก็เริ่มเชื่อในสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผล และคิดหาเหตุผลมากขึ้นก่อนที่จะเชื่อเรื่องไหนประจวบกับมีอาจารย์สอนศิลปะท่านหนึ่งซึ่งเป็นลูกศิษย์ของพระสายวัดป่า ชักชวนให้ไปช่วยงานบุญ ชีวิตของผมจึงได้มาบรรจบกับพระสงฆ์สายวัดป่าโดยปริยาย

“พรุ่งนี้ใครอยากไปเที่ยวจังหวัดระยองให้ไปขึ้นรถของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ งานนี้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรฟรีทุกอย่างเลยนะ” อาจารย์สอนศิลปะเอ่ยชวน โดยไม่ได้บอกรายละเอียดว่าการไปเที่ยวครั้งนี้เป็นแบบไหน อย่างไร

แต่เมื่อได้ยินคำว่า “ฟรี” ใจผมก็ตอบรับเรียบร้อยแล้ว โดยไม่ได้ชวนเพื่อนไปเลยสักคน ปรกติผมเป็นคนสันโดษ  ชอบลุยเดี่ยวอยู่แล้ว จึงตัดสินใจไป “เที่ยวระยอง”ครั้งนี้คนเดียว เมื่อขึ้นไปบนรถ  ปรากฏว่ามีเพื่อนวัยเดียวกับผมประมาณ 7 - 8 คนนั่งอยู่เรียบร้อยแล้ว  เป็นเด็กเรียนทั้งหมด  ในสายตาของผม เด็กพวกนี้เป็นพวกหน่อมแน้มหนอนหนังสือ คุยภาษาอะไรกันก็ไม่รู้ พูดอะไรนิดอะไรหน่อยก็หัวเราะคิกคักกันแล้วตอนนั้นผมจึงรู้สึกแปลกแยกจากพวกเขาเหมือนเป็นตัวประหลาดอยู่คนเดียว

จาก http://www.secret-thai.com/article/5647/ronnachai1/




ชีวิตใต้ร่มใบบุญพุทธศาสนาของอ๊อด - รณชัย  ถมยาปริวัฒน์ (2)

หลังจากเรียนจบ ม.ศ. 3 ในสมัยนั้นแล้วผม (อ๊อด - รณชัย  ถมยาปริวัฒน์) กับหมูซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่เรียนเก่งที่สุดในโรงเรียนก็สอบเข้าเรียนต่อได้ที่วิทยาลัยเกษตรกรรมเจ้าคุณทหาร(ปัจจุบันคือคณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง)ส่วนเพื่อนคนอื่นในโรงเรียนสอบไม่ติด

ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าตัวเองอยากเรียนอะไร  รู้แต่ว่าเมื่อสอบติดแล้วก็ไปเรียนวิชาที่เรียนต้องถือจอบขุดดิน  ทำแปลงเกษตรขนาด 1 × 6 เมตร  4 แปลง  แล้วต้องเลี้ยงหมูจับหมูฉีดยา  เวลาจะฉีดแต่ละทีผมก็ต้องใช้ขาล็อกคอหมู  แล้วให้เพื่อนอีกคนฉีดยา เชื่อไหมว่า  เวลาขึ้นรถเมล์ ผมต้องยืนตรงบันไดเพราะตัวเหม็นมาก  ขนาดเด็กนักเรียนผู้หญิงเดินผ่าน  ต้องเอามืออุดจมูกโดยอัตโนมัติ  ไม่กลัวว่าเราจะเสียหน้าเลย  เมื่อขึ้นปี 2  ผมกับเพื่อนก็เริ่มมานั่งคิดกันว่าสิ่งที่เราเรียนใช่สิ่งที่เราชอบหรือเปล่า  เมื่อไม่ใช่แน่แล้ว  เราสองคนก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์ใหม่ในปีนั้นหมูติดเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ส่วนผมติดเศรษฐศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ทั้งที่เลือกนิเทศศาสตร์เป็นอันดับหนึ่ง  แต่สอบไม่ติด

ชีวิตปี 1 ในมหาวิทยาลัยของผมตอนนั้นมาพร้อมกับชื่อเสียงในฐานะนักร้อง เพราะเริ่มเข้าห้องอัดทำอัลบั้มเรียบร้อยแล้ว  จากผู้ชายธรรมดา ๆ คนหนึ่งผมก็เพิ่งได้เห็นว่าความดังเป็นอย่างไร  และเป็นความดังที่เกือบทำให้ผมขาดใจตายเลยทีเดียว!

ก้าวแรกในวงการดนตรี  

ผมเริ่มดีดกีตาร์และฝึกแต่งเพลงมาตั้งแต่เรียน ป. 7  โดยเริ่มจากการเล่นเพลงของนักร้องวงดัง ๆ ในยุคนั้นที่เราชอบ  เช่นวงอิสซึ่น (Isn’t),  อัสนี - วสันต์,  ชัยรัตน์เทียบเทียม,  วงชาตรี,  วงดิ อิมพอสซิเบิ้ลเวลามีประกวดร้องเพลงที่ไหน วงของผมที่มีพี่ชายกับญาติข้างบ้านก็จะเข้าแข่งขันเหมือนวัยรุ่นยุคนี้ที่เข้าประกวดร้องเพลงเอเอฟ (อะคาเดมีแฟนเทเชีย) หรือเดอะวอยซ์นั่นแหละ

แล้ววันหนึ่ง  รายการเพลงทางวิทยุรายการหนึ่งก็ประกาศเฟ้นหานักร้องหน้าใหม่ด้วยการให้ส่งเดโมเทปเข้าไปในรายการ  ผมกับเพื่อนร่วมวงก็ทำไปส่ง  บังเอิญ คุณหนึ่งซึ่งตอนหลังคือคนที่ชักนำผมเข้าสู่ทางสายดนตรีได้ฟังเพลงของพวกเรา  เขาถูกใจเสียงร้องของผมและชอบเพลงที่แต่ง  เลยชวนให้ไปเข้าห้องอัด  ทั้งที่ไม่รู้แน่ชัดว่าจะได้อยู่ค่ายเพลงไหน  แต่ที่สุดเขาก็ดูแลจัดการจนเราได้ไปอยู่ค่ายอาร์เอส  ในยุคเดียวกับชมพู  ฟรุตตี้,  อ๊อด  บรั่นดี  ในขณะที่แกรมมี่ตอนนั้นมีสาว  สาว  สาว,  แมคอินทอช  และดิ  อินโนเซ้นต์

ผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีชื่อเสียงโด่งดังเพราะหน้าตาอย่างนี้ดังมาได้ก็บุญโขแล้วมิหนำซ้ำตอนที่รู้ว่าตัวเองดัง  ผมก็แทบขาดอากาศหายใจเลยทีเดียว

เหตุเกิดขึ้นในวันที่ผมไปเล่นฟรีคอนเสิร์ต  รายการ โลกดนตรี  ที่สถานีกองทัพบกช่อง 5  เมื่อขึ้นเวที เล่น ๆ ร้อง ๆไปเราก็ไม่รู้หรอกว่าผู้ฟังด้านล่างเวทีที่เป็นเด็กวัยรุ่นเขาชื่นชอบเรา  เราคิดแค่ว่าทำสิ่งที่รักที่ชอบเท่านั้น  เล่นเสร็จฝ่ายรักษาความปลอดภัยก็ไม่ได้ดูแลอะไรเรามากเพราะไม่รู้ว่าไอ้เด็กนี่วงอะไร  เขาก็เลยปล่อยสักพักก็มีแฟนเพลงผู้หญิงจับกลุ่มกันแล้วค่อย ๆ ขยับตัวเข้ามาหาผม  สมัยก่อนสื่อไม่ได้มีมากเท่าปัจจุบันนี้  ส่วนใหญ่แฟนเพลงจะรู้จักเราผ่านวิทยุ  แล้วค่อยมาเห็นตัวจริง พอเห็นตัวจริง  เขาก็เลยอยากพูดคุย  ขอลายเซ็น

เวลาผ่านไป  แฟนเพลงหลายกลุ่มเริ่มขยับเข้ามาหาผม  เมื่อกลุ่มนี้เข้ามาใกล้กลุ่มนั้นก็เข้ามาด้วย  ตามมาด้วยอีกหลาย ๆกลุ่ม  เมื่อส่งยิ้มให้แล้ว  สักพักหนึ่งพวกเขาก็เข้ามาขอลายเซ็น  แต่ด้วยความที่แสดงออกไม่เป็น  พวกเขาก็ดึงทึ้งผมไปมาเป็นที่สนุกสนาน  จังหวะนั้นเอง  ตัวผมเสียจังหวะล้มลง  ส่วนแฟนเพลงอีกนับสิบก็ล้มทับตามลงมาโดยไม่มีใครลุกเลย  ในวินาทีนั้นผมหายใจไม่ออก  สติเกือบจะดับวูบ  ได้แต่นึกถึงแม่ว่า  “แม่ ช่วยอ๊อดด้วย  อ๊อดไม่ไหวแล้ว  อ๊อดจะตายแล้ว”

วันนั้นโชคยังดีที่เด็กยกไฟเห็นเหตุการณ์  เลยแหวกเข้ามาช่วยได้ทัน  เพราะถ้าช้ากว่านั้นผมก็คงขาดอากาศหายใจไปแล้วนับตั้งแต่วันนั้น  ผมร้อง “อ๋อ” เลยว่าความดังมันเป็นอย่างนี้  เพิ่งได้รู้ว่าตัวเองดังก็ตอนที่ชีวิตเฉียดความตายไปแล้วนี่เอง

ดังก็ไม่ยึด  ยังรับใช้ครูบาอาจารย์

ตอนนั้นผมเรียนไปด้วย  ทำงานเพลงไปด้วย  ถือว่าใช้ชีวิตหนักมาก  ทุกสัปดาห์ต้องไปทัวร์คอนเสิร์ตตามต่างจังหวัด  ไปออกรายการตามสถานีวิทยุ  ให้สัมภาษณ์ตอนห้าทุ่ม เที่ยงคืน  กว่าจะกลับบ้านก็เช้าพอเช้าก็ยังต้องไปเรียนต่อ วนเวียนอยู่อย่างนี้

แต่ผมรู้ดีว่าเป้าหมายในชีวิตของตัวเองคืออะไร  จากประสบการณ์ที่ได้เห็นชีวิตญาติ ๆ น้า ๆ ที่เป็นนักร้อง นักดนตรี  ทำให้ผมรู้ว่าชีวิตแบบนี้ไม่แน่นอน  ด้วยเหตุนี้ต่อให้ทำงานหนักแค่ไหนผมก็ไม่ทิ้งเรื่องการเรียน  พยายามสอบให้ผ่านจนได้  และจบมาด้วยเกรดเฉลี่ยสองกว่า ๆ

ชีวิตช่วงนั้นของผมเรียกว่าดังถึงขีดสุดก็ว่าได้  เป็นตัวทำเงินให้บริษัท  แต่ผมกลับไม่รู้สึกยินดีกับความดังนี้เลย  อาจเป็นเพราะผมได้ใกล้ชิดพระวัดป่าสายกรรมฐาน  ได้ซึมซับคำสั่งสอนของท่านมา  จึงรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ควรยึด อย่างที่ท่านบอกว่า  “ดีก็บ่ยึดไม่ดีก็บ่ยึด  แต่เอาจิตตามรู้มันเท่านั้น”หมายความว่าสิ่งไหนไม่ดี  เราก็รู้ว่ามันไม่ดีอย่าเข้าไปเกี่ยวข้อง  เขาชมว่าเป็นนักร้องที่ดังเหลือเกิน เสียงเพราะ  เราก็ฟังไว้รู้แค่ว่านั่นคือคำชม  แต่ไม่เอาจิตไปรู้สึกขนลุกขนพองด้วยความดีใจกับสิ่งเหล่านั้น

อย่างไรก็ตาม  ขณะนั้นแม้ว่าจะมีชื่อเสียงแล้ว  ผมก็ยังไปดูแลรับใช้ครูบาอาจารย์สายวัดป่าเหมือนเดิม  ไปขนอิฐ  ขนปูนสร้างวัดในที่ไกล ๆ แห้งแล้ง  บางสัปดาห์ที่ไม่มีทัวร์คอนเสิร์ต ผมกับครูบาอาจารย์ก็จะขับรถไปส่งเสบียงให้กับพระที่ปฏิบัติอยู่ตามถ้ำ อย่างเช่นป่าละอู  แถวหัวหิน ท่านให้ช่วยงานอะไรผมก็ช่วยหมดทุกอย่างและส่วนใหญ่ก็เป็นงานหนักที่ต้องใช้แรงใช้การเสียสละ  ต้องฝืนตัวเองเพราะไม่ใช่งานที่สนุก  แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำ  ผมคิดว่าตัวเองเป็นหนี้บุญคุณพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาทำให้ผมเปลี่ยนจากคนในอดีตมาเป็นอีกคนหนึ่ง  จากคนที่คิดไม่เป็นให้คิดเป็น

เมื่อก่อนผมกลัวผีมาก  ในค่ำคืนหนึ่งครูบาอาจารย์เลยทดสอบด้วยการให้ผมเดินผ่านป่าที่มืดสนิท  ผมกลัวจับจิต  กลัวว่าจะมีคนตามหลัง  กลัวว่าจะหันไปเจอผี…

ถ้าอยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วผมเจออะไรต้องติดตามต่อไปนะครับ

Secret Box

ไม่คบคนพาล  คบแต่บัณฑิต  และบูชาบุคคลที่ควรบูชานี้คือมงคลอันสูงสุด

(สุตตนิบาต  พระไตรปิฎก)


จาก http://www.secret-thai.com/article/5652/ronnachai2/
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


ชีวิตใต้ร่มใบบุญพุทธศาสนา ของอ๊อด - รณชัย ถมยาปริวัฒน์ (3)

ผม (อ๊อด - รณชัย ถมยาปริวัฒน์) ระลึกอยู่เสมอว่าตัวเองเป็นหนี้บุญคุณพระพุทธศาสนาเพราะความรู้ความเข้าใจที่ได้รับจากครูบาอาจารย์ทำให้ผมเปลี่ยนเป็นคนที่รู้จักคิด รู้จักเชื่ออย่างมีเหตุมีผล

สมัยยังเป็นเด็ก ผมไปช่วยงานสร้างเจดีย์ที่วัดธรรมสถิต จังหวัดระยอง ต้องนอนค้างอ้างแรมในป่า กลางคืนก็มืดแสนมืดและด้วยความเป็นเด็ก จินตนาการเกี่ยวกับผีสางนางไม้ก็ยิ่งหลอกหลอน แต่แล้ววันหนึ่ง คำสอนของครูบาอาจารย์ก็ทำให้ผมเลิกกลัวผี

ตัวเราคือป่าช้า

ค่ำวันหนึ่ง ผมไปช่วยงานที่วัด ครูบาอาจารย์ไหว้วานให้ผมเดินจากตีนเขาขึ้นไปหยิบของบนยอดเขา ระหว่างทางต้องเดินผ่านป่า แม้ว่าทางเดินจะโล่งเตียน แต่ด้วยความมืด มันก็ยังทำให้ผมกลัวอยู่ดี เมื่อความกลัวค่อย ๆ ก่อตัว จิตของผมก็ยิ่งสร้างภาพขึ้นมาเองว่ามีคนเดินตามอยู่ข้างหลังถ้าเราหันไปเจอแล้ววิ่งหนี เขาก็จะต้องวิ่งตามเราด้วย แล้วถ้าเขาเหาะมาเกาะบนหลังเรา เราจะทำอย่างไรดี…

แม้จะกลัวผีจนขนหัวลุก แต่ผมก็กลั้นใจเดินไปจนถึงจุดหมาย เมื่อกลับลงมาก็มาเล่าให้ครูบาอาจารย์ฟัง ท่านก็ถามว่า“ผีอยู่ที่ไหน” ผมก็ตอบว่า “ผีอยู่ในป่าช้าครับ” ท่านถามต่อว่า “แล้วตัวเรามีป่าช้าไหม” เมื่อเจอคำถามนี้เข้าไป เด็กอย่างผมก็นั่งงงเป็นไก่ตาแตก ไม่เข้าใจว่าตัวเราจะมีป่าช้าได้อย่างไร

ครูบาอาจารย์จึงสอนว่า  “ตัวเรานี่แหละเป็นป่าช้า มีทั้งผีเป็ด ผีไก่ ผีวัวผีปลา แล้วจะไปกลัวผีอะไรอีกล่ะ” ผมคิดตามก็เห็นจริงอย่างที่ท่านว่า ท่านก็ชี้แนะต่อว่า “คนกับผีอะไรน่ากลัวกว่ากันคนถ้าไม่ถูกใจก็นำปืนมายิง นำมีดมาฟันแทงเราได้ ผีมันทำอะไรเราได้ เคยมีข่าวลงตามหน้าหนังสือพิมพ์ไหมว่าผีฆ่าคนจะมีก็แต่ในหนัง”

ผมเห็นจริงด้วยทุกประการ และเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่าพระพุทธศาสนาสอนให้เราคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ไม่เคยสอนให้เราเชื่ออะไรอย่างงมงาย และด้วยคำสอนของครูบาอาจารย์ ก็ทำให้หลังจากนั้นผมสามารถเผชิญกับปัญหาใหญ่ที่เข้ามาในชีวิตและผ่านพ้นไปได้ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับบททดสอบอยู่นานหลายปี

ครูบาอาจารย์สะกิดเตือน

ปีที่สองของการเข้าสู่วงการเพลง ผมก็มีชื่อเสียงโด่งดังด้วยเพลง รอวันฉันรักเธอ ใคร ๆ ต่างคิดว่าวง “คีรีบูน” ของเราคงจะมีเงินทองไหลมาเทมา แต่ความจริงในยุคนั้นก็คือ ผลประโยชน์ที่เราได้รับจากบริษัทต้นสังกัดน้อยมาก เขามองเราว่าเป็นเด็กมหาวิทยาลัย ไม่ได้ใช้เงินมากมายเบิกทีก็ได้สี่พันห้าพัน เป็นเบี้ยหัวแตกอยู่อย่างนี้ ซึ่งไม่เพียงพอกับความเป็นศิลปินที่มีค่าโสหุ้ยมากมาย ทั้งผ้าป่า งานบวชงานแต่ง ถ้าใส่ซองน้อยคนก็จะคิดว่า “โหอ๊อด คีรีบูนใส่ซองแค่นี้เองหรือ” แต่เราก็ไม่เคยไปเรียกร้องจากบริษัทเพิ่ม เพราะผมถือว่ารับปากอะไรแล้วก็ให้เป็นไปตามนั้นนอกจากนั้นความดังก็ยังทำให้ชีวิตการเป็นศิลปินไม่ได้โสภามากนัก เพื่อนร่วมวงที่แต่ก่อนไม่เคยมีปัญหาก็เริ่มมีปัญหาแต่จุดที่ทำให้ผมตัดสินใจเดินเข้าไปบอกเจ้าของบริษัทว่าขอเลิกจากการเป็นนักร้องทั้งที่กำลังดังถึงขีดสุด คือคำพูดของพระอาจารย์กุหลาบ

ในช่วงที่กำลังมีชื่อเสียงอยู่นั้น ผมกับหมู เพื่อนสนิท ก็ตัดสินใจบวชกับพระสายกรรมฐาน โดยไปจำพรรษาอยู่กับชาวเขาเผ่ามูเซอที่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง ที่บ้านห้วยปลาหลด จังหวัดตาก เราไปเดินธุดงค์ในป่ากับพระกรรมฐานสาย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่แหวน สุจิณโณ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี และ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ธุดงค์อยู่เดือนกว่า ๆ หลังจากสึกแล้วก็ยังรับใช้ส่งเสบียงดูแลพระป่าอยู่ที่สำนักสงฆ์ทางไปน้ำตกป่าละอู จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ส่วนใหญ่ผมจะเดินทางไปกับ พระอาจารย์สุชิน ปริปุณโณ
เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันของวัดธรรมสถิต (เจ้าอาวาสองค์ก่อนคือ  พระครูญาณวิศิษฏ์หรือที่ลูกศิษย์ลูกหาเรียกว่า ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก) กับเพื่อน ๆ  รวมถึงภรรยาคู่ชีวิตที่ตอนนั้นยังคบหาดูใจกันอยู่

ครั้งนั้นผมได้มีโอกาสสนทนากับพระอาจารย์กุหลาบซึ่งเป็นพระสายวัดป่าท่านให้แง่คิดที่สำคัญมาก ซึ่งมีผลต่อชีวิตของผมในเวลาต่อมาว่า “การเป็นนักร้องของอ๊อดด้านหนึ่งก็ดีนะ ทำให้คนมีความสุขแต่อีกด้านหนึ่งก็ทำให้คนหลงนะ” ได้ยินแล้วผมร้อง “โอ้โห!” เหมือนมีดแทงหัวใจเลย เพราะตั้งแต่เด็กเราฟังคำสอนของครูบาอาจารย์มาตลอด จิตของเราจึงเป็นจิตที่ใฝ่ดี อะไรที่เป็นเรื่องดีผมทำหมด เหล้ายา การพนัน ผมไม่เคยข้องเกี่ยว แต่เมื่อครูบาอาจารย์สะกิดเตือนว่าการร้องเพลงของเราทำให้คนหลง ผมก็เห็นจริง เพราะบางครั้งมีวัยรุ่นผู้หญิงที่อยู่ต่างจังหวัดชื่นชอบเราแล้วนั่งรถมาหาที่บ้าน บางครั้งเขาก็ไม่ได้ประมาณตัว มาถึงที่บ้านก็ดึกดื่นแล้ว เมื่อกลับไม่ได้ก็ต้องนอนค้าง ผมก็ต้องสละที่นอนของตัวเองให้ ส่วนตัวผมก็ต้องไปนอนกับแม่หรือพี่ ๆ แทน

จากดังคับฟ้าก็ร่วงจมดิน

เมื่อเหตุการณ์หลายอย่างเริ่มแสดงให้เห็นว่าการเป็นศิลปินอาจไม่ใช่หนทางของชีวิต ผมก็ตัดสินใจเดินไปบอกกับเฮียเจ้าของค่ายเพลงว่าขอเลิกจากการเป็นนักร้อง ทั้งที่กำลังมีชื่อเสียงโด่งดัง คราวนี้เฮียเต้นผาง ทุกคนในบริษัทมะรุมมะตุ้มหาสาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้น ด้วยความเป็นเด็กผมไม่คิดว่าการปั้นนักร้องสักคนหนึ่งต้องลงทุนมากมายมหาศาล ก็เลยงงว่า “แค่บอกเลิก ทำไมมันถึงเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตขนาดนี้” เพราะด้วยนิสัยของผม เงินไม่ใช่พระเจ้า ตอนเด็ก ๆ เคยทำมาหมดแล้ว ทั้งวิ่งขายเรียงเบอร์ ขายเสื้อสกรีนหน้าโรงหนัง ผมรู้ว่ากว่าจะหาเงินได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ผมก็ปฏิเสธเงินได้ไม่ยากเช่นกัน

แต่เมื่อฟังเหตุผลของเจ้าของบริษัทในตอนนั้น ผมก็รู้สึกผิดถ้าจะลาออกทั้ง ๆ ที่เขาลงทุนกับเราไปมากมาย จึงตัดสินใจทำงานต่อไป แต่ในใจลึก ๆ ของผมเริ่มไม่สนุกกับการทำเพลงแนวเดิม จึงเริ่มแต่งเพลงที่มีเนื้อหาลึกซึ้งมากขึ้น หลังจากนั้นผมก็ได้ทำอัลบั้มเพลงคู่รวมดาวกับนักร้องสาวอีกท่านหนึ่ง ซึ่งขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ทำเงินให้บริษัทมหาศาล แต่ถึงที่สุด วันหนึ่งเมื่อผมตัดสินใจลาออก ก็กลับกลายเป็นว่าต้องมีคดีความกับบริษัท จะไปร้องเพลงที่ค่ายอื่น หรือแม้แต่จะไปเรียนต่อเมืองนอกอย่างที่ตั้งใจไว้แต่ต้นก็ทำไม่ได้ ชีวิตผมตอนนั้นเหมือนเจอทางตัน ลำบากที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ ต้องไปร้องเพลงในผับในบาร์ที่พัทยา ซึ่งเต็มไปด้วยควันบุหรี่และนักเที่ยว
ที่พยายามจะยัดเยียดให้ผมดื่มเหล้ากับเขาให้ได้

เมื่อคนรอบตัว ทั้งเพื่อนฝูง พ่อแม่พี่น้องเห็นชีวิตผมตกต่ำลำบาก ก็พยายามยื่นมือมาช่วยเหลือให้กำลังใจ หมูเพื่อนสนิทพาไปดูดวง เพื่อนอีกกลุ่มพาไปหาซินแสปรับฮวงจุ้ย  พี่น้องพาไปไหว้ศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่ไปไหว้พระธาตุตามต่างจังหวัด ผมก็ไปกับพวกเขา แต่ในที่สุดปัญญามันก็เกิด เมื่อมานั่งคิดว่าสิ่งที่เราทำมันเห็นแก่ตัว เราไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอนั่นขอนี่ก็เฉพาะตอนที่มีความทุกข์ อยากเอาตัวรอด แต่ตอนที่มีความสุข เรากลับไม่สนใจ ยิ่งตอนที่พี่พาไปไหว้ศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่แล้วบอกว่า “น้องอ๊อดพูดตามนะ ขอให้ข้าพเจ้าพ้นทุกข์พ้นโศกขอให้ข้าพเจ้าร่ำรวยเป็นร้อยล้านพันล้าน…”ผมก็ยิ่งได้คำตอบที่ชัดเจนว่า นี่ไม่ใช่หนทางแก้ปัญหา เพราะความสุขในชีวิตไม่ได้อยู่ที่รวยร้อยล้านพันล้านแน่ ๆ และที่สำคัญ ครูบาอาจารย์สายวัดป่าก็ไม่เคยสอนให้เรามานั่งสะเดาะเคราะห์ มีแต่จะสอนว่า“ทำเหตุให้ดีก่อน แล้วผลก็จะดีตามมา”

ด้วยเหตุนี้ ช่วงที่ตกงานผมจึงพยายามทำแต่สิ่งที่ดี ๆ ไปทำหนังสือกับกระทรวงศึกษาธิการ ไปแต่งเพลงประกอบการเรียนการสอน แบกตลับเทป 30,000 กว่าม้วนไปที่สำนักงานขนส่งด้วยตัวเอง การเป็นเด็กช่วยงานวัดมาตลอดทำให้ผมเป็นคนหนักเอาเบาสู้ ถึงลำบากก็ไม่ตีโพยตีพาย ผมเชื่อมั่นในความดีเสมอมา เชื่อว่าการทำความดีเปรียบเหมือนการปลูกมะม่วง เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็จะให้ดอกให้ผล แม้จะทำความดีมาโดยตลอด แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลาที่ผลดีจะตอบสนอง เราก็มีหน้าที่ทำความดีต่อไป

หลังจากล้มลุกคลุกคลานอยู่ 4 - 5 ปีชีวิตของผมก็เหมือนมีปาฏิหาริย์ เมื่อได้ไปทอดผ้าป่าช่วยชาติกับหลวงตามหาบัว จู่ ๆชีวิตที่เคยเป็นศูนย์ก็มีสิ่งดี ๆ เข้ามาชนิดที่ผมเองก็ยังไม่อยากเชื่อ!

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

Secret Box

ใครผิดถูกดีชั่วก็ตัวเขา ใจของเราเพียรระวังตั้งถนอม อย่าให้อกุศลวนมาตอม ควรถึงพร้อมบุญกุศลผลสบาย

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต


จาก http://www.secret-thai.com/article/5657/ronnachai3/




ชีวิตใต้ร่มใบบุญพุทธศาสนา ของ อ๊อด - รณชัย ถมยาปริวัฒน์ (จบ)

ในชีวิตของผม (อ๊อด - รณชัย ถมยาปริวัฒน์) เคยผ่านการบวชมาแล้วสองครั้ง ครั้งแรกตอนอายุ 22 ปี  ครั้งที่สองตอนอายุ 28 ปีเหตุที่บวชอีกครั้งเพราะได้บนบานไว้ ขอให้พี่ชายรอดชีวิตจากการผ่าตัดสมอง

ตอนนั้นผมลำบากมาก  ต้องออกจากวงการไปเป็นนักร้องตามผับตามบาร์  เงินเก็บก็ไม่มี  เมื่อพี่ชายประสบอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์ล้มหัวฟาด ต้องผ่าตัดสมอง  มีค่าใช้จ่ายถึงสามแสนบาท  โดยที่โอกาสรอดมีเพียงแค่ 40เปอร์เซ็นต์เท่านั้น  แต่ผมก็ยินดีทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตพี่ชายไว้

ครูบาอาจารย์แนะนำให้ผมนั่งสมาธิแล้วอธิษฐานจิตถึง ท่านพ่อเฟื่อง  โชติโกเจ้าอาวาสคนแรกของวัดธรรมสถิต  จังหวัดระยอง ที่ผมนับถือ  ปรากฏว่า หลังผ่าตัดพี่ชายผมรอดราวปาฏิหาริย์  แต่ด้วยความที่สมองบางส่วนของเขาได้รับความกระทบกระเทือน ทำให้พูดไม่เป็นภาษา  ตอนนั้นผมรู้สึกทุกข์มาก เพราะปัญหาหลายอย่างเข้ามารุมเร้า  แต่โชคยังดีที่การรับใช้ครูบาอาจารย์สายวัดป่าทำให้ผมได้รู้จักกับ หลวงปู่วัย  ซึ่งเคยเป็นอาจารย์หมอสอนอยู่เมืองนอกแต่กลับมาบวชตลอดชีวิตที่เมืองไทย  และสนใจศึกษายาแผนไทยอย่างจริงจัง  ท่านบอกผมว่า  ยาฝรั่งตามหลังยาไทยอยู่ไม่ต่ำกว่า 80 ปี

หลวงปู่วัยเขียนชื่อยาไทยให้ผมไปซื้อที่ร้านเจ้ากรมเป๋อ  เมื่อให้พี่ชายกิน  สมองของเขาก็ค่อย ๆ ฟื้นตัว  จนทุกวันนี้ แม้ว่าเขาจะพูดจาสื่อสารกับเราได้ยาก  แต่ก็สามารถดูแลตัวเองได้ทุกอย่าง  เพียงแค่นี้ผมก็มีความสุขมากแล้ว  หลังจากที่พี่หาย ผมก็ตัดสินใจบวช  และการบวชครั้งนี้ทำให้ใจของผมได้สัมผัสกับธรรมะของหลวงตามหาบัว  ญาณสัมปันโน

ชีวิตดีขึ้น  หลังทำผ้าป่าช่วยชาติ

ผมมีโอกาสได้ฟังเทศน์จากหลวงตามหาบัว  ท่านพูดว่า พระอรหันต์มีจริงนิพพานมีจริง  และสิ่งนี้ได้เกิดกับท่านตั้งแต่อายุ 30 กว่า ๆ  แม้ว่าใจหนึ่งจะคิดว่าท่านพูดแบบนี้ได้อย่างไร  เพราะมันเหมือนอวดอุตตริมนุสสธรรม  แต่อีกใจหนึ่งก็เกิดความปีติยินดีจนน้ำตาไหล  เพราะเราก็ศรัทธาในพระพุทธศาสนามานานแล้ว  แต่มีพระรูปนี้ที่เอ่ยเรื่องนี้ให้เราได้ฟัง  ท่านพูดเพื่อให้ทุกคนมาช่วยชาติ  ไม่ได้พูดเพื่อประโยชน์ส่วนตนใด ๆ

เมื่อสึกแล้ว ผมก็เข้าไปช่วยงานหลวงตามหาบัว  เช่น  ช่วยทำสปอตโฆษณาเป็นโฆษกพูดตามงานต่าง ๆ  ช่วยทำโรงทานจัดดอกไม้ในงานต่าง ๆ  ยกเครื่องเสียงตั้งโต๊ะ  เต็นท์  ฯลฯ  ผมทำทุกอย่างด้วยใจแทบไม่น่าเชื่อ หลังจากนั้นชีวิตของผมก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี  จากที่ไม่มีอะไรเลย  ก็เริ่มเห็นแสงสว่างเป็นครั้งแรก

แม้ว่าผมจะเรียนจบเศรษฐศาสตร์มาก็จริง  แต่เคยไปลงเรียนวิชาทางด้านครุศาสตร์  และสนใจพระพุทธศาสนาและจิตวิทยา  ทำให้ผมอยากพัฒนาเรื่องการศึกษาของเด็กไทย  และคิดว่าถ้าให้ดีที่สุดก็ต้องเริ่มตั้งแต่วัยอนุบาลและวัยประถม  ผมและแม่ของภรรยาซึ่งเป็นครูมาตลอดชีวิตจึงได้ร่วมมือกับนักวิชาการทางการศึกษาคิดค้นหลักสูตรที่เรียกว่า  “ดนตรีคีรีบูน  พัฒนาอัจฉริยภาพ”  ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมในวัยอนุบาลด้วยการใช้กระบวนการทางดนตรี

ช่วงแรก ๆ ที่ทำ  ผมต้องไปทดลองสอนเด็กอนุบาลที่โรงเรียนต่าง ๆ ฟรี  ทั้งที่ตอนนั้นตัวเองก็ลำบาก  ต้องทิ้งอย่างอื่นเพื่อมาทำงานการศึกษาอย่างจริงจัง  เงินทองก็ไม่มี ถึงขนาดที่ครั้งหนึ่งเคยมองทุ่งหญ้าข้างทางแถวรามอินทรา  แล้วคิดว่า  “นี่ถ้าเรากินหญ้าได้  ชีวิตคงจะไม่ยุ่งยาก”  แต่ผมก็กัดฟันสู้ไม่ถอยมาเป็นสิบ ๆ ปี  จนวันนี้เริ่มเห็นดอกผลของสิ่งที่บากบั่นมาด้วยสมองและสองมือของตัวเอง  เมื่อโรงเรียนต่าง ๆเกิดความศรัทธาในวิธีการสอนของผม หลักสูตรที่คิดค้นก็เลยได้นำไปใช้ในโรงเรียนกว่า 40 แห่ง  และปัจจุบันผมเปิดเป็นโรงเรียนคีรีบูน จีเนียสมิวสิค อีกด้วย

ดนตรีพัฒนาอัจฉริยภาพที่ผมคิดค้นเป็นการปลูกฝังนิสัยที่ดีให้กับเด็ก  โดยจัดการเรียนการสอนที่เป็นกระบวนการกระบวนการที่ว่านี้ใช้ทั้งเพลง  นิทาน  เกมและสื่อการสอนต่าง ๆ  อย่างเช่น ผมจะสอนการฝึกคิดวิเคราะห์ให้กับเด็ก  ก็สอนผ่านเพลง พายเรือ ที่ผมจะให้ไม้พายกับเด็กทุกคน  แล้วให้พายเรือไปตามจังหวะของเพลงเช่น  ร้องเพลงว่า  “ลงเรือ  พายไป  ตามคลอง”  เด็กก็จะยกไม้พายขึ้นลงตามเพลงตามมาด้วยเนื้อร้องท่อนต่อไปว่า  “ตาจ้องมองสองฝั่งข้างทาง  หูฟังเสียงอะไรกันบ้าง”แล้วดนตรีก็หยุด  มีเสียงดังออกมาเป็นเสียงนกหวีดและเสียงเด็ก ๆ เต็มไปหมด  ผมก็จะถามเด็ก ๆ ว่า  “ช่วยครูอ๊อดคิดหน่อยสิลูก  เราพายเรือมาถึงที่ไหนนะ  ที่มีเสียงนกหวีดกับเด็กเจี๊ยวจ๊าว  คิดว่าเป็นที่ไหน…”

นี่คือตัวอย่างการสอนของผม  ซึ่งทำให้เด็กมีความสุขในการเรียน  ผมอยากปลูกฝังสิ่งนี้ให้กับเด็กทุกคน  และที่สำคัญทำให้เด็ก ๆ เห็นว่าการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด  เราเรียนรู้ได้ไปตลอดชีวิตของเรา  และหลังจากนี้ผมก็จะทำเรื่องคณิตศาสตร์ด้วย  เพราะทั้งดนตรีและคณิตศาสตร์ก็มีธรรมชาติคล้ายกัน

ทุกวันนี้  เด็กที่ผ่านกระบวนการสอนของผม  นอกจากจะเรียนเก่งแล้ว ก็ยังมีพัฒนาการด้านดนตรีดีมาก  สามารถทำวงดนตรีไปแข่งขันกับพี่ ๆ ในระดับมหาวิทยาลัยจนได้รับรางวัลกลับมา

ผมยังจำคำที่หลวงตามหาบัวพูดได้ดีว่า  “ใครที่มาช่วยกันในงานผ้าป่าช่วยชาติไม่ใช่บุญธรรมดาเลยนะ  แต่เป็นมหาบุญมหากุศลจริง ๆ  เพราะถ้าเราช่วยประเทศชาติรอด  พระพุทธศาสนาซึ่งเจริญที่สุดในโลกที่ประเทศไทยก็จะอยู่รอดไปด้วยเพราะถ้าตอนนั้นต่างชาติเข้ามา  พุทธศาสนาก็อาจจะอ่อนแอ  อาจไม่มีกฎหมายให้เราลาบวชได้  ยิ่งไปกว่านั้น  ถ้าชาติอยู่รอดพระพุทธศาสนาอยู่รอด  สถาบันพระมหากษัตริย์ของเราก็จะอยู่รอดด้วย  เท่ากับเป็นการช่วยยกทั้ง 3 สถาบัน”

และด้วยผลบุญกุศลในครั้งนั้นก็ทำให้ทุกวันนี้ชีวิตของผมดีขึ้นเรื่อย ๆ  แม้ไม่ร่ำรวย  แต่ก็อยู่ในจุดที่สามารถดูแลตัวเองได้  ไม่ต้องหันไปมองหญ้าข้างทางเหมือนสมัยก่อนอีกแล้ว

ชาติหน้าฉันใด ขอให้ได้เกิดเป็นชาวพุทธ

นอกจากบุญกุศลที่ทำจะช่วยให้ชีวิตของผมดีขึ้นแล้ว  ครั้งหนึ่งผมเคยรอดชีวิตจากอุบัติเหตุราวปาฏิหาริย์  ครั้งนั้นผมหลับในขณะขับรถขึ้นทางด่วนตอนตีสาม  รถวิ่งมาด้วยความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพียงแค่คืบเท่านั้น รถของผมก็จะชนกำแพงข้างทางแล้ว  แต่ด้วยเดชะบุญทำให้ผมตื่นทันและแฉลบรถออกมาได้  จึงไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ  ครั้งนั้นผมนึกถึงครูบาอาจารย์  นึกถึงพระพุทธรูปที่ท่านพ่อเฟื่องมอบให้ พร้อมคำพูดที่ว่า  “เก็บไว้ดี ๆ นะสิ่งนี้จะรักษากายได้  แต่ไม่สามารถรักษาใจ”เมื่อมั่นใจว่าความดีเท่านั้นที่จะรักษาเราได้ผมก็เดินหน้าทำความดีต่อไป  โดยตอนนี้ผมได้รับมอบหมายให้ดูแลการสร้างเจดีย์ที่ดอยธรรมสถิต  จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นโครงการใหญ่ที่ผมต้องทำให้สำเร็จให้ได้

อย่างไรก็ตาม  สำหรับผม  ศาสนาไม่ได้อยู่ที่วัตถุสิ่งของต่าง ๆ  แต่ศาสนาอยู่ในหัวใจของเราทุกคน  ทุกวันนี้หลายคนเสื่อมศรัทธาในพุทธศาสนา เพราะสื่อนำเสนอแต่แง่ไม่ดี  ข่าวไม่ดีของพุทธศาสนาได้ลงหน้าหนึ่ง  แต่ข่าวดี ๆ มีพื้นที่หลบอยู่ด้านในนิดเดียว  ผมอยากให้หลาย ๆ คนรู้จักบริโภคสื่อให้เป็นให้เท่าทันด้วย  ไม่อย่างนั้นวันหนึ่งพุทธศาสนาของเราก็จะไม่สามารถอยู่รอดได้

ที่สำคัญ การที่เราจะดูแลพุทธศาสนาก็ไม่ควรหลงไปตามกระแสบุญนิยมหรือไปยึดติดตัวบุคคลแล้วลืมคำสอนที่แท้จริงพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราจัดพิธีที่สวยงามนั่งเรียงเป็นแถว  แต่สอนให้เรามีดวงจิตที่สะอาดบริสุทธิ์  และไม่ไปยึดติดแบบแผนอะไรที่เป็นแค่เพียงกระพี้  เพราะฉะนั้นเราอย่าหลง  แต่ควรศึกษาพุทธศาสนาให้ถึงแก่นศาสนาพุทธมีความเป็นวิทยาศาสตร์  สอนเราให้เข้าถึงเหตุและผล  เช่น  ถ้าชีวิตคุณอยากได้อะไร  คุณต้องทำในสิ่งนั้น  เมื่อทำเหตุดีแล้ว  ผลย่อมดีตามมา

สำหรับผม วิชาความรู้ทางโลกต่าง ๆที่เราเรียนนั้นยังเป็นอวิชชา  เพราะเราเรียนรู้ได้ไม่จบไม่สิ้น  เป็นการเรียนเพื่อตอบสนองกิเลสตัณหาของมนุษย์  แต่พระพุทธศาสนาเป็นวิชาที่เรียนรู้แล้วจบแล้วสิ้น  จบเพื่อดับกิเลสของเรา  ไม่ให้ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก

ดังนั้น  ชาติหน้าฉันใด  ผมไม่ได้อยากเกิดเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดังกว่าที่เคยเป็นแต่ผมขอตั้งจิตว่า

“ถ้าข้าพเจ้ายังต้องเวียนว่ายตายเกิดก็ขอให้เป็นคนที่มีสัมมาทิฏฐิประจำดวงจิตเป็นคนมีเหตุมีผล  แล้วก็ขอให้เกิดอยู่ในบวรพุทธศาสนา  และถ้าเป็นไปได้  ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้บวช”

ผมขอเพียงแค่นี้ครับ

Secret Box

มีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องรู้สึกว่าเราอยากดี-เด่น-ดังอะไรเลย เพียงแต่ขอให้รู้สึกว่าเป็นผู้มีประโยชน์ที่สุดคนหนึ่ง นั่นแหละถูกต้องและเป็นสุขแท้

พุทธทาสภิกขุ


จาก http://www.secret-thai.com/article/5661/ronnachai4/
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...