ตอบ

ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
ท่านจะปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อตกลงของเว็บใต้ร่มธรรมทุกประการหรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (It is never too late to mend):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: มิถุนายน 21, 2023, 08:38:04 pm »

.
.
.
ใบสั่งจราจร ส่งไปรษณีย์ถึงบ้าน เช็กได้ ของจริง-ของปลอม
.
ที่มา และ โพสโดย ศูนย์โซเชียลมีเดีย ศปก.ตร.
21 มิถุนายน 2566
.
.
????"ใบสั่งจราจร" ส่งไปรษณีย์ถึงบ้าน เช็กได้ ของจริง-ของปลอม
.
การออกใบสั่ง อิเล็กทรอนิกส์ที่ทำการส่งไปรษณีย์ไปยังเจ้าของรถ จะต้องมีการลงระบบ PTM ซึ่งเป็นระบบตรวจสอบใบสั่งอิเล็กทรอนิกส์สำหรับประชาชน โดยขั้นตอนการออกใบสั่งอิเล็กทรอนิกส์ มีรายละเอียดดังนี้
.
ใบสั่งอิเล็กทรอนิกส์ครั้งแรก จะมีรูปถ่ายรถ หมายเลขทะเบียนรถ และข้อหากระทำความผิดครบ หากไม่จ่ายค่าปรับใน 7 วัน จะมีใบเตือน
.
ครั้งที่สอง เป็นใบเตือนให้ชำระค่าปรับใบสั่ง ซึ่งในเอกสารครั้งที่สองนี้ จะไม่มีรูปถ่ายรถประกอบ แต่จะมีแค่ QR code บอกวิธีการชำระเงิน และ มีลายเซ็นนายตำรวจระดับสารวัตรขึ้นไป เซ็นประกอบ แต่ยืนยันว่า เป็นเอกสารทางราชการจริง
.
โดยผู้ได้รับใบสั่งจราจร สามารถตรวจสอบความถูกต้อง ว่าเป็นใบสั่งจริง ได้ดังนี้
.
1. สามารถนำเลขที่ใบสั่ง เข้าไปตรวจสอบได้ที่ https://ptm.police.go.th/eTicket/#/
.
2. จุดสังเกตที่สำคัญ คือ บัญชีธนาคารปลายทางที่จะรับเงิน ต้องเป็นบัญชีธนาคารกรุงไทย ชื่อ “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ-ค่าปรับจราจร” เท่านั้น (ถ้าเป็นบัญชีส่วนบุคคลให้สงสัยว่าเป็นใบสั่งปลอม)
.
ขอให้ประชาชนตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนทุกครั้งก่อนทำธุรกรรมทางการเงิน เพื่อจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ
.
.
#ใบสั่งปลอม
#ศูนย์บริหารงานจราจร โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
.
.
.
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: เมษายน 09, 2023, 11:39:25 am »

.
.
ช่วงงานสงกรานต์ในปีนี้ (ปี 2566)
การเดินทางของหลายๆท่าน มีการเดินทางกลับไปภูมิลำเนาของตนเอง
เดินทางกันด้วยความระมัดระวังกัน
เตรียมความพร้อมของร่างกาย ให้พร้อมกับการเดินทางไกล
พักผ่อนให้เพียงพอ ก่อนออกเดินทาง
.
หากท่านใดขับรถยนต์ส่วนตัวไปเอง #เมาไม่ขับ ครับ
แสดงความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม
.
หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ท่านที่เมาแล้วขับ ไม่มีปัญญาไปรับผิดชอบใครได้เลย
ย้ำว่า ท่านที่เมาแล้วขับ ไม่มีปัญญาไปรับผิดชอบใครได้เลย
.
ลองใช้สมองคิดดูครับ  ถ้าหัดใช้สมองคิด จะทราบถึงเหตุและผลที่จะเกิดขึ้นได้แน่นอน
หากเกิดเหตุมีคนเมาแล้วขับรถไปชนกับ ลูกหลาน พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ของท่าน
ลูกหลาน พ่อแม่ ญาติพี่น้องของท่าน เสียชีวิต หรือ พิการไปตลอดชีวิต ท่านจะรู้สึกอย่างไร
.
ย้ำอีกรอบ
หากเกิดเหตุมีคนเมาแล้วขับรถไปชนกับ ลูกหลาน พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ของท่าน
ลูกหลาน พ่อแม่ ญาติพี่น้องของท่าน เสียชีวิต หรือ พิการไปตลอดชีวิต ท่านจะรู้สึกอย่างไร
.
ฝากไว้ให้คิด ????????????????????????????????????????
.
.
.*******************************************.
.
.
ว่าด้วยเรื่อง เมาแล้วขับ
.
กฎหมายน่ารู้ ตอนที่ 415 : ระดับแอลกอฮอล์เท่าไรเจอโทษเมาแล้วขับ หากไม่ยอมเป่าแอลกอฮอล์จะผิดกฎหมายหรือไม่
.
.
ที่มา moj (เว็บไซด์กระทรวงยุติธรรม)
10 มี.ค. 2566 เวลา 15:24 น.
ที่มาของรูป moj
.
.
ชื่อตอน : ระดับแอลกอฮอล์เท่าไรเจอโทษเมาแล้วขับ หากไม่ยอมเป่าแอลกอฮอล์จะผิดกฎหมายหรือไม่
.
       เป่าแอลกอฮอล์เท่าไร ถึงมีโทษเมาแล้วขับ ตามกฎหมายว่าด้วยจราจรทางบก ถ้ามีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด เกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ใน 4 กรณี ดังต่อไปนี้ ถือว่าเมาแล้วขับ คือ
.
1) ผู้ขับขี่ซึ่งมีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์
2) ผู้ขับขี่ซึ่งได้รับใบอนุญาตขับรถชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ เช่น มือใหม่ใบอนุญาตขับขี่ยังไม่ถึง 2 ปี
3) ผู้ขับขี่ซึ่งมีใบอนุญาตขับขี่สำหรับรถประเภทอื่นที่ใช้แทนกันไม่ได้
4) ผู้ขับขี่ซึ่งไม่มีใบอนุญาตขับขี่ หรืออยู่ระหว่างถูกพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
ถ้ามีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ในกรณีที่บุคคลที่มีใบขับขี่ตลอดชีพหรือใบขับขี่ 5 ปี และมีอายุเกิน 20 ปี ถือว่าเมาแล้วขับ
.
       หากเป่าแอลกอฮอล์แล้วพบว่า ปริมาณเกินกำหนดทั้ง 2 กรณี จะถือว่าเมาแล้วขับ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 160 ตรี
.
       ในกรณีที่ไม่เป่าแอลกอฮอล์ในทางกฎหมายจะถือว่าเมาแล้วขับ ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ
.
       สำหรับโทษของการเมาแล้วขับ ไม่ว่าจะเป็นกรณีเป่าแอลกอฮอล์แล้วเกินกำหนดหรือเกิดอุบัติเหตุจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 160 ตรี กำหนดให้ผู้ขับขี่ที่ขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น ดังนี้
.
- เมาแล้วขับ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนด ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
.
- เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-100,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
.
- เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2-6 ปี และปรับตั้งแต่ 40,000-120,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
.
- เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-10 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000-200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
.
- ผู้ขับขี่ที่กระทำผิดซ้ำข้อหาเมาแล้วขับ กระทำผิดครั้งแรกจะมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากทำผิดซ้ำภายใน 2 ปี นับแต่วันที่กระทำความผิดครั้งแรก เพิ่มอัตราโทษเป็นจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับตั้งแต่ 50,000 – 100,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 160 ตรี/1 มาตรา 160ตรี/2 และมาตรา 160 ตรี/3
.
ข้อมูลจาก : พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 43 มาตรา 160 มาตรา 160 ตรีกฎกระทรวง ฉบับที่ 21 (พ.ศ. 2560) ข้อ 3 (1)
.
.
.
.
.
เมาแล้วขับเสียค่าปรับเท่าไหร่ตามกฎหมายจราจรใหม่ 2566
.
.
ที่มา tidlor (เว็บไซด์เงินติดล้อ)
.
.
มาแล้วขับถือเป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุรถชนบนท้องถนนซึ่งสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินเป็นอย่างมาก จะเห็นได้ว่ามีคดีความเมาแล้วขับเกิดขึ้นบ่อย ๆ ในเทศกาล เช่น วันขึ้นปีใหม่ วันสงกรานต์ หรือวันเฉลิมฉลองอื่น ๆ เพราะมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ทำให้ผู้ขับขี่ขาดสติ หลายคนจึงสงสัยว่า ในกรณีที่เมาแล้วขับประกันรถจะจ่ายไหม มีค่าปรับเท่าไหร่ตามกฎหมายจราจรใหม่ที่เพิ่งประกาศใช้งาน  ต้องเป่าปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเท่าไหร่ถึงจะเป็นคนขาดสติ ซึ่งในบทความนี้มีคำตอบมาให้คุณแล้วครับ
.
เมาแล้วขับเป่าปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเท่าไหร่ถือว่าขาดสติ
กฎกระทรวงฉบับเก่า ระบุว่า หากผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะถือว่าเมาสุราตาม กฎกระทรวงฉบับที่ 16 พ.ศ.2537 ออกความใน พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ข้อ 3 แต่กฎกระทรวงที่ว่านี้ได้เปลี่ยนเนื้อความเป็นกฎหมายฉบับใหม่พร้อมรายละเอียดอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วย
.
กฎกระทรวงฉบับที่  21 พ.ศ.2550 ออกความใน พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ระบุว่า ระบุว่า ถ้ามีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ถือว่าเมาสุรา ยกเว้นผู้ขับขี่ใน 4 กรณีต่อไปนี้ ถ้ามีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ถือว่าเมาสุรา คือ
.

    ผู้ขับขี่ที่มีอายุน้อยกว่า 20 ปีบริบูรณ์
    ผู้ขับขี่ที่มีใบขับขี่ชั่วคราว (ใบขับขี่อนุญาตแบบ 2 ปี)
    ผู้ขับขี่ที่มีใบขับขี่ประเภทอื่น ซึ่งใช้แทนกันไม่ได้
    ผู้ขับขี่ที่ถูกยกเลิกใบขับขี่ หรืออยู่ระหว่างการพักใช้งานใบขับขี่

.
ถึงแม้กฎหมายจราจรเมาแล้วขับฉบับใหม่จะระบุเอาไว้ว่าปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดไม่ควรเกิน 50 มิลลิกรัม แต่จริง ๆ แล้วการมีสติที่ครบถ้วน ไม่ดื่มเหล้าก่อนขับนั้นปลอดภัยที่สุด หากรถทุกคันปฏิบัติตามกฎหมายจราจรใหม่ 2566  แน่นอนว่าอุบัติเหตุเรื่องเมาแล้วขับจะลดน้อยลงมาก ๆ เลยครับ
.
ค่าปรับเมาแล้วขับเสียเงินกี่บาท มีโทษตามกฎหมายอะไรบ้าง?​
ถึงแม้ว่าวิจัยเรื่อง “ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขับรถโดยไม่ผิดกฎหมาย” ระบุเอาไว้ว่า  เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 5 ดีกรี มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดน้อยกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ (เทียบเท่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 1 กระป๋อง) ไม่ผิดกฎหมาย แต่ถ้าอยากขับขี่ให้ปลอดภัยที่สุดคือการเลือกเมาแล้วไม่ขับ
.
หากคุณไม่ทำตามกฎหมายจราจรจนสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนหรือคนอื่น ๆ ต้องมีโทษตามมา โดยเงินติดล้อจะแบ่งค่าปรับเมาแล้วขับแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ (1) เมาแล้วขับเสียค่าปรับเท่าไหร่ (2) เมาแล้วขับเสียค่าปรับเท่าไหร่หากทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
.
เมาแล้วขับเสียค่าปรับเท่าไหร่ตามกฎหมายจราจรใหม่ 2566

    เมาแล้วขับครั้งที่ 1 จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกสั่งพักใช้ใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือยกเลิกใบอนุญาตขับขี่
    เมาแล้วขับครั้งที่ 2 โดยเกิดขึ้นภายใน 2 ปี จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับตั้งแต่ ปรับ 50,000-100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกพักอนุญาตใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

.
เมาแล้วขับทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ มีอัตราโทษอะไร เสียค่าปรับเท่าไหร่

    เมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ จำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-100,000 บาท และถูกสั่งพักใช้ใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือยกเลิกใบอนุญาตขับขี่
    เมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บสาหัส จำคุกตั้งแต่ 2-6 ปี และปรับตั้งแต่ 40,000-120,000 บาท และถูกสั่งพักใช้ใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือยกเลิกใบอนุญาตขับขี่
    เมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต จำคุกตั้งแต่ 3-10 ปี ปรับตั้งแต่ 60,000-200,000 บาท และยกเลิกใบอนุญาตขับขี่ทันที

.
และนี่คือ พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ.2565 หรือกฎหมายจราจรฉบับใหม่ ที่เพิ่มเรื่องเมาแล้วขับทำผิดซ้ำ 2 ลงไปในกฎหมายจราจร เมื่ออ่านดูแล้วมีโทษและค่าปรับที่หนักหนาสาหัสมาก ทางที่ดีไม่เมาแล้วขับจะดีที่สุด ถึงแม้จะเสียเงินค่าปรับไหว แต่สิ่งที่เสียไปแล้วเอากลับคืนมาไม่ได้คือชีวิตเลยนะครับ
.
ถ้าเมาแล้วขับจนเกิดอุบัติเหตุ ขอเคลมประกันรถยนต์ได้ไหม
.
เรื่องนี้ต้องแบ่งคำตอบออกเป็น 2 ข้อ เพราะประกันรถยนต์มีทั้ง พ.ร.บ.รถยนต์ และ ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ (ประกันชั้น 1, ประกันชั้น 2+ และประกันชั้น 3+) แต่ละประเภทมีเงื่อนไขในการคุ้มครองที่แตกต่างกัน ซึ่งถ้าถามว่าเมาแล้วขับ ประกันรถยนต์จ่ายไหม ขอเคลมประกันรถยนต์ได้หรือเปล่า ซึ่งแจกแจงได้ดังนี้
.
เมาแล้วขับ พ.ร.บ.รถยนต์ คุ้มครองไหม จ่ายค่าเสียหายให้หรือเปล่า
.
ไม่ว่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไร หน้าที่ของ พ.ร.บ.รถยนต์ คือคุ้มครองผู้เอาประกันรถยนต์และคู่กรณี โดยไม่พิสูจน์ความถูกหรือผิด ซึ่งจ่ายเป็นค่าสินไหมทดแทนสำหรับค่ารักษาพยาบาลเพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที แต่ค่าเสียที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ของผู้เอาประกัน พ.ร.บ.รถยนต์ จะไม่คุ้มครองครับ
.
เมาแล้วขับ ประกันรถยนต์จ่ายไหม คุ้มครองใครบ้าง?
.
ถ้าแอลกอฮอล์ในเลือดไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ประกันรถยนต์จะคุ้มครองทั้งผู้เอาประกันและฝ่ายเสียหาย ถ้าแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ประกันรถยนต์จะไม่คุ้มครองผู้เอาประกัน แม้จะซื้อประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่มีเบี้ยสูงสุดก็ตาม แต่คุ้มครองฝ่ายเสียหายตามเงื่อนไขของประกันรถยนต์ที่ซื้อไว้ ซึ่งบริษัทประกันจะไล่ค่าเสียหายทั้งหมดจากผู้ประกันเพื่อนำไปชดใช้ให้ผู้เสียหายในลำดับถัดไปอีกด้วย
.
สรุป
.
และนี่คือสิ่งที่ต้องได้รับโทษและเสียค่าปรับหากเมาแล้วขับรถ ซึ่งการจะเรียกว่าเมาแล้วขับได้คือคุณได้เป่าปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดแล้วมีค่าสูงกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ ได้มีการประกาศใช้กฎหมายจราจรฉบับใหม่เรื่องเมาแล้วขับทำผิดซ้ำ 2 เพิ่มมา ต้องเสียค่าปรับมากขึ้นและมีโทษจำคุกที่นานขึ้น แถมประกันรถยนต์ภาคสมัครใจไม่คุ้มครองกรณีเมาแล้วขับอีกด้วย แต่ประกันรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.รถยนต์) จะคุ้มครองโดยจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นโดยไม่พิสูจน์ความถูกผิด แต่ถึงอย่างนั้นการเมาไม่ขับดีที่สุดครับ!
.
.
.*******************************************.
.
.
10 จุดสำคัญของรถที่ควรเช็กก่อนเดินทางไกลง่าย ๆ ด้วยตัวเอง
.
ที่มา bridgestone (เว็บไซด์ บริดจสโตน )
.
.
ผู้ขับขี่ควรเช็กสภาพรถยนต์ของตนเองก่อนออกเดินทางไกล เพื่อความปลอดภัยและความราบรื่นในการเดินทาง ไม่ต้องประสบกับปัญหารถเสียระหว่างทาง โดยเฉพาะหากต้องเดินทางไกลไปท่องเที่ยวต่างจังหวัดในช่วงฤดูฝนที่มักจะเจอกับเหตุการณ์ฝนตกหนัก ถนนลื่น เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เพื่อให้คุณสามารถเช็กรถยนต์ด้วยตัวเองเราจึงได้รวม 5 จุดสำคัญที่ควรเช็กภายในรถก่อนเดินทางไกลมาแนะนำ
.
1. แบตเตอรี่รถยนต์
.
ทำหน้าที่จ่ายกระแสไฟฟ้าไปยังส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนออกเดินทางทุกครั้งควรจะดูว่า ขั้วแบตและฉนวนสายไฟมีการเชื่อมต่อดีหรือไม่ หมั่นตรวจเช็กทำความสะอาดคราบขี้เกลือบริเวณขั้วแบตเตอรี่ และเช็กระดับน้ำกลั่นให้อยู่ในระดับที่กำหนดเสมอ
.
2. ยางรถยนต์ และช่วงล่างของรถ
.
เป็นอีกหนึ่งข้อที่ขาดไม่ได้ในการตรวจสภาพรถยนต์ คือ การตรวจสอบยางรถยนต์ หากไม่มีการเช็กยางรถยนต์ก่อนเดินทางไกล โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุก็จะยิ่งสูงขึ้น
.
โดยตรวจเช็กความลึกร่องดอกยางและตรวจดูว่ายางรถมีรอยเจาะ ยางแตกลายงา ยางบวม ดอกยางหมดหรือไม่ ซึ่งร่องดอกยางควรมีความลึกไม่น้อยกว่า 1.6  มิลลิเมตร หากเข้าข่ายข้อใดข้อหนึ่งก็ควรพิจารณาเปลี่ยนยางใหม่  นอกจากนี้ ควรตรวจสอบชิ้นส่วนต่าง ๆ ของช่วงล่างด้วย เช่น ลูกหมาก โช้ครถ เป็นต้น
.
3. น้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก และระบบเบรก
.
นับเป็นอีกสิ่งสำคัญที่ละเลยไม่ได้ ยิ่งเวลาขับรถตอนฝนตกหนัก ถนนลื่น การควบคุมรถจะยากกว่าปกติ ควรตรวจเช็กระดับน้ำมันเบรก และน้ำมันเครื่องให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ทางที่ดีควรมีน้ำมันเครื่องสำรองติดรถไว้อย่างน้อย 1 ลิตร เผื่อใช้ในยามฉุกเฉิน และอย่าลืมเช็กน้ำมันเบรก ผ้าเบรกรวมถึงระบบเบรกว่ามีความผิดปกติหรือไม่  หากน้ำมันเบรกลดลงต่ำกว่าระดับ Min หรือมีการลดลงอย่างรวดเร็วผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดการรั่วในระบบเบรก ควรนำรถเข้าตรวจเช็กโดยช่างผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งเพื่อความปลอดภัย
.
4. เช็กหม้อน้ำ ท่อยาง และระบบหล่อเย็น
.
การขับรถระยะไกล ทำให้เครื่องยนต์สะสมความร้อนปริมาณมาก หากระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์ไม่ดีหรือมีปัญหา อาจทำให้เครื่องยนต์น็อค
.
แนะนำว่าก่อนออกเดินทางควรเช็กระดับน้ำหล่อเย็นในหม้อพัก และหม้อน้ำ รวมไปถึงการทำงานของพัดลมหม้อน้ำ มอเตอร์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เรียบร้อย หากคุณพบว่ามีบางอย่างผิดปกติและไม่แน่ใจ แนะนำให้ไปที่ศูนย์บริการค็อกพิทใกล้บ้านท่านเพื่อให้ช่างผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจสอบ
.
5. ระบบไฟส่องสว่าง
.
ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว ไฟตัดหมอก ไฟฉุกเฉิน ควรใช้งานได้ตามปกติ ส่องสว่างได้ดี เพื่อจะได้ไม่เป็นอุปสรรคต่อการขับรถในเวลากลางคืนหรือ ตรวจสอบไฟรถแล้วก็อย่าลืมเช็กใบปัดน้ำฝนดูด้วยล่ะว่ายังใช้งานได้ปกติหรือไม่
.
6. ที่ปัดน้ำฝน
.
ที่ปัดน้ำฝนเป็นอุปกรณ์ที่ถูกมองข้ามเมื่อพูดถึงการเช็กรถก่อนเดินทางไกล ในความเป็นจริงแล้วทัศนวิสัยขณะขับรถ คือหัวใจสำคัญของความปลอดภัย ที่ปัดน้ำฝนจึงเป็นอุปกรณ์สำคัญ เพราะเราไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าในระหว่างการเดินทางฝนจะตกหรือไม่
.
ดังนั้น อย่าลืมเช็กว่าที่ปัดน้ำฝนรีดน้ำได้ดี มีอาการเปื่อย ยุ่ย หรือเสื่อมสภาพหรือไม่ หากมีอาการดังกล่าวควรเปลี่ยนใหม่ทันที หรือควรเปลี่ยนที่ปัดน้ำฝนทุก ๆ 6-12 เดือน
.
7. น้ำมันเกียร์และน้ำมันคลัตช์
.
สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ การจอดรถบนทางราบและใส่เบรกมือ จากนั้นสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วเปลี่ยนเกียร์ ไล่ไปตั้งแต่ P จนถึง L เมื่อเปลี่ยนเกียร์ควรค้างไว้ที่ตำแหน่งนั้น ๆ สักครู่ แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นเกียร์ถัดไป
.
เมื่อครบทุกเกียร์แล้วจึงเลื่อนมาเป็นเกียร์ P หรือ N และดึงก้านวัดระดับเกียร์ออกมาทำความสะอาด จากนั้นใส่ก้านวัดกลับเข้าไปแล้วดึงออกมาใหม่ ให้สังเกตดูว่าระดับน้ำมันที่ติดออกมาอยู่ตรงตำแหน่งไหน หากยังอยู่ตรง H แสดงว่าระดับน้ำมันเกียร์อัตโนมัติปกติ หรืออยู่ระหว่างกลาง Min กับ Max แสดงว่าระดับน้ำมันเกียร์ธรรมดาปกติ หากน้ำมันคลัตช์หายมากจนผิดปกติ แนะนำให้รีบหาสาเหตุ หรือนำรถไปเช็กและแก้ไขทันที
.
8. แผ่นกรองอากาศ
.
แผ่นกรองอากาศเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยปกป้องรถจากสิ่งไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ภายนอก โดยแผ่นกรองอากาศที่อุดตันจะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักกว่าปกติ ส่งผลให้ส่วนประกอบภายในเครื่องยนต์สึกหรอได้ การตรวจสอบแผ่นกรองอากาศใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที เพียงเปิดตู้แอร์แล้วนำตัวกรองอากาศออกมาตรวจดู ทำการดูดสิ่งสกปรกออก หรือจะเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศใหม่ในกรณีที่จำเป็น
.
9. ระบบแตรรถยนต์
.
เมื่อพูดถึงจุดสำคัญของรถที่ควรเช็กก่อนเดินทางไกล คนส่วนใหญ่มักไม่คิดว่าจะต้องตรวจระบบแตรด้วย ในความเป็นจริงแล้วแตรรถมีความสำคัญอย่างมาก เพราะในขณะขับขี่เราอาจจำเป็นต้องใช้แตรเพื่อสื่อสารและส่งสัญญาณกับรถคันอื่น ดังนั้น อย่าลืมเช็กระบบแตรว่ายังเสียงดังและลมแตรยังดีอยู่หรือไม่ด้วย
.
10. แผงควบคุมและหน้าปัด
.
เป็นอีกสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการเช็กรถก่อนเดินทางไกล ควรตรวจสอบแผงควบคุมและหน้าปัดภายในรถว่าทำงานปกติหรือไม่ แสงไฟ ตัวเลขบนหน้าปัดและปุ่มควบคุมต่าง ๆ สามารถใช้งานได้ตามปกติหรือเปล่า เพื่อจะได้ไม่เป็นอุปสรรคต่อการขับขี่ระยะไกล
.
.
นอกจาก 10 จุดสำคัญข้างต้นแล้ว อีกสิ่งหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรหลงลืมเป็นอย่างยิ่งเมื่อต้องเดินทางไกลในฤดูฝน นั่นคืออุปกรณ์และเครื่องมือต่างที่จำเป็นต้องใช้ยามฉุกเฉิน อาทิ ยางอะไหล่ สเปรย์ปะยาง แม่แรง ชุดเครื่องมือในการถอดล้อ ที่เติมลมฉุกเฉิน สายพ่วงแบตเตอรี่ พกติดรถเอาไว้ให้อุ่นใจ ปลอดภัยตลอดเส้นทาง
.
.
.*******************************************.
.
.
ที่มาของคลิปทั้งหมด
.
.
เริ่มใช้วันนี้! 'กฎหมายจราจรฉบับใหม่' มีผลบังคับใช้ 5 ก.ย. เพิ่มโทษ ปรับหนัก
.
https://www.youtube.com/watch?v=8FdLnc9nKPQ
.
ที่มา เรื่องเล่าเช้านี้
5 ก.ย. 2022
.
.
เริ่มแล้ว! กฎหมายจราจรใหม่ เมาแล้วขับซ้ำปรับโหด 1 แสน
.
https://www.youtube.com/watch?v=8mA8RxhOIzU
.
ที่มา CH7HD News
5 ก.ย. 2022
.
.
นักดื่ม ระวัง ! กฎหมาย "เมาแล้วขับ" เพิ่มโทษ ทำผิดซ้ำซากภายใน 2 ปีเจอโทษหนัก
.
.
https://www.youtube.com/watch?v=RHRps2SBoXE
.
ที่มา CH7HD News
25 ธ.ค. 2022
.
.
.
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: กรกฎาคม 24, 2022, 11:46:28 am »

.
ตอนนี้ กฎหมายที่เกี่ยวกับการขับรถประเภทต่างๆ และ เมาแล้วขับ
.
กฎหมายแรงมาก ครับ
.
มีโทษปรับและจำคุก
.
ไม่มีรอลงอาญา หรือ บำเพ็ญสาธารณประโยชน์อีกแล้ว
.
คนขายร่ำรวย คนกินยากจน
.
.
.
​​
#กฎหมายจราจร

#เมาแล้วขับ

.

.

.

.

.

อ่านด่วน! เพิ่มโทษ'กฎหมายจราจร'ใหม่ ดัดนิสัยพวกชอบขับรถผิดกฎ

.

โพสโดย เว็บไซด์ naewna

.

วันพฤหัสบดี ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2565, 16.45 น.

.

.

"อัยการ"ชี้แก้บทลงโทษกฎหมายจราจรใหม่ ให้อำนาจตำรวจขอแพทย์ตรวจแอลกอฮอล์เมาแล้วขับ เสพยา ให้ศาลเพิ่มโทษพวกชนเเล้วหนี เพิ่มค่าปรับพวกโทรไปขับไป ขับเร็วหวาดเสียวไม่ชะลอทางม้าลาย พร้อมให้อำนาจศาลวางข้อกำหนดคดีแข่งรถ ให้พ่อแม่จ่ายเงินถ้าลูกทำผิดซ้ำ

.

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2565 ดร.ธนกฤต วรธนัชชากุล อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด ปฏิบัติราชการในหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักงานประสานงานกระบวนการยุติธรรม สถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้ให้ความเห็นข้อกฎหมายผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว ความว่า ตามที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ.2565 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2565

.

นอกจากจะมีการแก้ไขมาตรา 123 กำหนดให้คนโดยสารที่นั่งแถวที่นั่งตอนอื่นที่ไม่ใช่แถวหน้าต้องรัดเข็มขัดนิรภัย และเด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ต้องจัดให้นั่งในที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก หรือนั่งในที่นั่งพิเศษสำหรับเด็กเพื่อป้องกันอันตราย หรือมีวิธีการป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุแล้วยังได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.จราจรทางบก อีกมากในหลายๆ เรื่อง ซึ่งจะขอนำมากล่าวในที่นี้เฉพาะบางเรื่องที่เห็นว่าน่าสนใจ ดังนี้

.

.

- กรณีที่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นและมีเหตุอันเชื่อได้ว่า ผู้ขับขี่เสพยาเสพติดให้โทษหรือเสพวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท หรือขับขี่รถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น และผู้ขับขี่อยู่ในภาวะหมดสติหรือได้รับอันตรายแก่กายจนไม่อาจให้ความยินยอมในการตรวจสอบหรือทดสอบการมีสารอยู่ในร่างกาย พนักงานสอบสวนมีอำนาจขอให้แพทย์ทำการตรวจพิสูจน์บุคคลดังกล่าวได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกำหนด โดยแพทย์สามารถเก็บตัวอย่างเลือด ปัสสาวะ หรือของเสียอย่างอื่นจากร่างกายของบุคคลดังกล่าวได้ด้วยวิธีทางการแพทย์ (มาตรา 40 ทวิ/1 และมาตรา 142 วรรค 6) ซึ่งตามกฎหมายเดิม การตรวจสอบหรือทดสอบดังกล่าวจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับความยินยอมจากผู้ขับขี่เสียก่อนเท่านั้น

.

- ให้ศาลมีอำนาจเพิ่มโทษผู้ขับขี่ที่ชนแล้วหนี ซึ่งขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตายหรือได้รับอันตรายสาหัส แล้วไม่ให้การช่วยเหลือตามสมควรหรือไม่แสดงตัวต่อตำรวจ ณ สถานที่เกิดเหตุ ตามมาตรา 78 วรรคหนึ่ง โดยศาลมีอำนาจพิพากษาเพิ่มโทษที่จะลงแก่ผู้นั้นสำหรับความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตายหรือได้รับอันตรายสาหัสได้อีกกึ่งหนึ่งของโทษที่ศาลกำหนด (มาตรา 160)

.

- แก้ไขอัตราโทษฐานขับรถเร็วเกินกว่ากำหนดตามมาตรา 67 วรรคหนึ่ง จากเดิมปรับไม่เกิน 1 พันบาท เป็น ปรับไม่เกิน 4 พันบาท (มาตรา 152)

.

- แก้ไขอัตราโทษฐานไม่ลดความเร็วของรถ เมื่อเข้าใกล้ทางข้ามหรือทางม้าลายตามมาตรา 70 จากเดิมปรับไม่เกิน 5 ร้อยบาท เป็น ปรับไม่เกิน 2 พันบาท (มาตรา 148)

.

- แก้ไขอัตราโทษฐานฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานจราจรตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 154 จากเดิมปรับครั้งละไม่เกิน 1 พันบาท เป็น ปรับไม่เกิน 4 พันบาท

.

- แก้ไขอัตราโทษฐานขับขี่รถในลักษณะกีดขวางการจราจร ขับขี่รถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน ขับขี่รถคร่อมหรือทับเส้นหรือแนวแบ่งช่องเดินรถ ขับขี่รถบนทางเท้าโดยไม่มีเหตุอันสมควร และขับขี่รถในขณะใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ เว้นแต่การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่โดยผู้ขับขี่ไม่ต้องถือหรือจับโทรศัพท์เคลื่อนที่ ตามมาตรา 43 (3) (4) (6) (7) และ (9) ตามลำดับ จากเดิมปรับตั้งแต่ 4 ร้อยบาท ถึง 1 พันบาท เป็นปรับไม่เกิน 4 พันบาท (มาตรา 157)

.

- และในกรณีที่มีการกระทำความผิดฐานแข่งรถในทางตามมาตรา 134 และผู้กระทำผิดมีอายุต่ำกว่า 20 ปี ศาลมีอำนาจวางข้อกำหนดให้บิดา มารดา หรือผู้ปกครอง ต้องระวังผู้นั้นไม่ให้กระทำความผิดฐานแข่งรถในทางซ้ำอีก ตลอดเวลาที่ศาลกำหนด ซึ่งต้องไม่เกิน 3 ปีและกำหนดจำนวนเงินตามที่เห็นสมควรซึ่งบิดา มารดา หรือผู้ปกครอง จะต้องชำระต่อศาลไม่เกินครั้งละ 5 หมื่นบาท หากผู้นั้นกระทำความผิดฐานแข่งรถในทางซ้ำอีก (มาตรา 160 เบญจ)

.

.

.-------------------------------

.

.

รู้ก่อนเมา! เปิด "กฎหมายเมาแล้วขับ 2565" เมาแค่ไหน ถ้าขับ โดนปรับกี่บาท?

.

โพสโดย Ingonn

11 เมษายน 2565 ( 12:32 )

.

.

ตั้งแต่ภาครัฐ ได้มีการ “เปิดประเทศ” และผ่อนคลายมาตรการป้องกันโรคโควิดมากขึ้นในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอนุญาตให้ร้านอาหาร เริ่มเปิดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ ส่งผลให้หลายคนเริ่มออกมาปาร์ตี้สังสรรค์ จนบางครั้งอาจลืมไปว่า เมาแล้วขับ มีโทษปรับและติดคุก ซึ่งเทศกาลสงกรานต์ 2565 เป็นอีกวันหยุดยาวที่หลายคนเตรียมตัวสังสรรค์กัน ดังนั้นจึงควรรู้ข้อกฎหมายเมาแล้วขับไว้ด้วย

.

ทางกรมการขนส่งทางบก จึงได้รวบรวม "กฎหมายเมาแล้วขับ” มีโทษอย่างไร และต้องปรับเป็นเงินเท่าไหร่บ้าง มาฝาก แต่แนวทางที่ดีที่สุดคือต้อง “ดื่มไม่ขับ” เพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัยต่อตนเอง และเพื่อนร่วมทางบนท้องถนน

.

เช็ค "กฎหมายเมาแล้วขับ" มีอะไรบ้าง

กฎหมายเมาแล้วขับ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 5,000 - 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมทั้งพักใช้ใบอนุญาตขับรถไม่ต่ำกว่า 6 เดือน สำหรับผู้ที่มี

.

ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ สำหรับผู้ขับขี่มีอายุน้อยกว่า 20 ปีบริบูรณ์ หรือ ผู้ขับขี่ที่มีใบอนุญาตขับรถชั่วคราว (ใบอนุญาตแบบ 2 ปี) ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 21 พ.ศ. 2550 ออกความในพ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 ถือเป็น “ผู้เมาสุรา”

.



ปริมาณเแอลกอฮอล์ในเลือด 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกพักใช้ใบอนุญาตขับรถไม่น้อยกว่า 6 เดือน

.

.

บทลงโทษ "เมาแล้วขับ" ตามกฎหมาย

.

เมาแล้วขับ หรือ การปฏิเสธเป่า มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 10,000 - 20,000 บาท ระงับใบอนุญาตขับรถไม่น้อยกว่า 6 เดือน และศาลสามารถสั่งพักใบอนุญาตขับรถ หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ และสามารถยึดรถไว้ไม่เกิน 7 วัน

.

เมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่น “บาดเจ็บ”

.



    จำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี ปรับ 20,000-100,000 บาท และถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับรถไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ



.



เมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่น “บาดเจ็บสาหัส”

.



    จำคุก 2-6 ปี ปรับ 40,000-120,000 บาท ระงับใบอนุญาตขับรถไม่น้อยกว่า 2 ปี



.



เมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่น “ถึงแก่ความตาย”

.



    จำคุก 3-10 ปี ปรับตั้งแต่ 60,000-200,000 บาท และเพิกถอนใบอนุญาตขับรถทันที



.



เมาแล้วขับ ประกันรถยนต์จ่ายไหม

.

แบ่งออกเป็น 2 แนวทางเนื่องจาก ประกันรถยนต์มีทั้ง พ.ร.บ.รถยนต์ หรือ ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ (ประกันชั้น 1, ประกันชั้น 2+ และประกันชั้น 3+) แต่ละประเภทมีเงื่อนไขในการคุ้มครองที่แตกต่างกัน



.

กรณีที่ 1 พ.ร.บ.รถยนต์ คือคุ้มครองผู้เอาประกันรถยนต์และคู่กรณี โดยไม่พิสูจน์ความถูกหรือผิด ซึ่งจ่ายเป็นค่าสินไหมทดแทนสำหรับค่ารักษาพยาบาลเพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที แต่ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ของผู้เอาประกัน พ.ร.บ.รถยนต์ จะไม่คุ้มครอง

.

กรณีที่ 2 ถ้าแอลกอฮอล์ในเลือดไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ประกันรถยนต์จะคุ้มครองทั้งผู้เอาประกันและฝ่ายเสียหาย แต่ถ้าแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ประกันรถยนต์จะไม่คุ้มครองผู้เอาประกัน แม้จะซื้อประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่มีเบี้ยสูงสุดก็ตาม

.

แม้บางคนคิดอาจว่า มีเงินจ่ายค่าปรับตามกฎหมายในกรณีที่เมาแล้วขับ แต่อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ไม่คุ้มค่ากับการจ่ายเงินเลยสักนิด และร้ายแรงที่สุดอาจทำให้ผู้อื่นพิการหรือเสียชีวิตได้ ทางที่ดีที่สุดคือ ดื่มไม่ขับ ช่วยลดอุบัติเหตุและความปลอดภัยบนท้องถนน

.

ข้อมูลจาก สำนักสวัสดิภาพการขนส่งทางบก กรมการขนส่งทางบก , Tidlor

.
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: เมษายน 10, 2016, 09:30:01 am »

ขับรถทางไกลไม่ให้ปวดหลัง รู้ยังต้องนั่งยังไง
-http://health.kapook.com/view145732.html-

ภาพจาก The Chartered Society of Physiotherapy โดย Lee Sullivan
ขอขอบคุณข้อมูลจาก หมอชาวบ้าน
-https://www.doctor.or.th/article/detail/1723-

The Chartered Society of Physiotherapy
Daily Mail

ขับรถทางไกลนาน ๆ ต้องแก้เมื่อย เพื่อเลี่ยงอาการปวดหลัง แต่นอกจากวิธีคลายเมื่อยแล้วยังมีวิธีนั่งขับรถที่ถูกท่า พาห่างไกลจากทุกอาการปวดด้วยนะ

          แค่ขับรถไปทำงานหลายคนก็บ่นอุบแล้วว่าปวดหลังบ้าง เมื่อยตรงนั้นตรงนี้บ้าง แล้วลองคิดดูว่าหากต้องนั่งขับรถทางไกลยาว ๆ สุขภาพหลังและร่างกายจะโดนผลกระทบมากน้อยแค่ไหน แต่ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เพราะวันนี้เรามีท่านั่งช่วยลดอาการปวดหลังเมื่อต้องขับรถทางไกลมาบอกต่อ

ขับรถทางไกลอย่างไรให้ปลอดภัยและไม่ปวดหลัง ?

          เบื้องต้นต้องปรับเบาะนั่งให้พอเหมาะกับตัวของผู้ขับขี่ โดยต้องคำนึงถึงการมองเห็นของผู้ขับขี่ในขณะขับรถด้วย โดยควรจัดที่นั่งดังนี้

          * ปรับพวงมาลัย ยกขึ้นให้สุด และดันไปด้านหน้าให้สุด
         
          * ปรับที่นั่งให้ต่ำที่สุด

          * ปรับที่นั่งให้ด้านหน้าเทลงไปให้สุด

          * ปรับพนักพิงให้เอียงไปทางด้านหลังประมาณ 30 องศาจากแนวดิ่ง

          * ปรับส่วนรองรับหลัง (Lumbar Support) ไปทางด้านหลังให้มากที่สุด

          * ดันที่นั่งให้ไปด้านหลังให้สุด

เมื่อจัดที่นั่งและพวงมาลัยรถแล้ว ให้มาปรับที่นั่งให้เข้ากับตัวผู้ขับขี่ดังต่อไปนี้

          1. ยกที่นั่งขึ้นจนมองเห็นได้รอบ โดยที่นั่งไม่ควรสูงเกินไปจนศีรษะชิดกับหลังคารถด้านใน และต้องแน่ใจว่ามองเห็นได้อย่างเต็มที่

          2. เลื่อนเก้าอี้มาทางด้านหน้าจนเท้าสามารถควบคุมคันเร่ง เบรก และคลัทช์ ได้สะดวก อาจปรับความสูงที่นั่งได้อีกเล็กน้อยเพื่อให้ใช้เท้าบังคับ คันเร่ง เบรก และคลัทช์ ได้ดีขึ้น

          3. ปรับความลาดเอียงของที่นั่งจนต้นขาสัมผัสกับที่นั่งทั้งหมด โดยต้องระวังไม่ให้มีแรงกดที่ด้านหลังของเข่ามากไป

          4. ปรับพนักพิงให้พิงได้จนถึงระดับไหล่ ไม่ควรเอนเก้าอี้ไปทางด้านหลังมากเกินไป เพราะทำให้ไม่ได้พิงหลังเพราะการมองเห็นจะมีปัญหาถ้าเอนหลังไปพิงพนัก ผู้ขับขี่มักจะอยู่ในท่าก้มคอเพื่อให้มองเห็นได้ดีขึ้น

          5. ปรับส่วนรองรับโค้งของหลังให้รู้สึกว่ามีแรงกดเท่ากันตลอดของหลังส่วนล่าง แต่ถ้าไม่มีส่วนนี้อาจใช้หมอนเล็กหนุนหลังส่วนล่างแทนได้

          6. ปรับพวงมาลัยให้เข้ามาใกล้ตัวและดันลงให้อยู่ในระยะที่จับได้สะดวก โดยต้องมีช่องว่างให้ยกขาท่อนบนได้บ้างขณะใช้เท้าบังคับรถ และขณะลุกออกจากที่นั่ง พร้อมทั้งควรตรวจดูว่าพวงมาลัยไม่บังหน้าปัดด้วยนะคะ

          7. ปรับพนักพิงศีรษะให้สูงเท่าระดับศีรษะ ในส่วนของพนักพิงศีรษะมีจุดประสงค์หลักเพื่อไม่ให้คอสะบัดอย่างรุนแรง (Whiplash Injury) ขณะเกิดอุบัติเหตุ ดังนั้นตำแหน่งของพนักพิงศีรษะจึงควรอยู่ในจุดที่รองรับศีรษะได้พอดี

          นอกจากนี้ Sammy Margo นักกายภาพบำบัดจากลอนดอน ได้แนะนำท่านั่งขับรถที่จะช่วยลดอาการปวดหลังเมื่อต้องขับรถระยะไกลมาให้ดูง่าย ๆ ตามภาพอินโฟกราฟิกจาก The Chartered Society of Physiotherapy

รูปที่ 1 (รูปแรก)




ภาพจาก The Chartered Society of Physiotherapy โดย Lee Sullivan

 - นั่งให้เต็มสะโพก เอนหลังให้พิงเบาะนั่งเต็มที่ ให้ลักษณะการนั่งเหมือนนั่งทับกระเป๋าหลังกางเกงยีนส์เต็มใบ

          - ศีรษะอยู่ห่างจากพนักพิงศีรษะประมาณ 1-2 นิ้ว

          - ปรับเบาะเอนไปด้านหลังโดยกะระยะให้ข้อศอกขณะจับพวงมาลัยทำมุมประมาณ 30-40 องศาจากแนวดิ่ง

          - เข่าทั้งสองข้างอยู่ในลักษณะเอียงเล็กน้อย แต่สำหรับรถเกียร์กระปุก ขาซ้ายอาจเอียงมากกว่าเข่าขวาเพื่อให้เหยียบคลัชท์ได้สะดวกขึ้น

          - หลังและไหล่พิงเบาะนั่งอย่างเต็มที่

          และในขณะที่ติดไฟแดง พักรถ หรือจอดรถ ให้บริหารร่างกายส่วนต่าง ๆ ตามท่าดังต่อไปนี้

* ไหล่

          ยกไหล่ขึ้นและลง จากนั้นหมุนไหล่วนจากข้างหน้าไปข้างหลัง คล้ายท่าบริหารหัวไหล่ปกติเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียด

* ต้นแขนและหน้าอก

          ประสานมือเข้าด้วยกัน จากนั้นหมุนให้ฝ่ามือหันออกด้านหน้า เหยียดแขนให้สุด ค้างไว้สักพัก แล้วค่อย ๆ เคลื่อนมือที่ประสานกันไว้เหยียดไปด้านบน ค้างท่าไว้สักระยะ พอให้หายเมื่อยแล้วจึงค่อยคลายมือออก

* ขาและเท้า

          เมื่อไม่ได้ขับรถอยู่ ให้นั่งเอาเท้าวางราบไปกับพื้นรถ จากนั้นค่อย ๆ ยกส้นเท้าขึ้น (เขย่งเท้า) ค้างท่าไว้สักพัก

* คอ

          ค่อย ๆ เอียงคอไปทางไหล่ขวา ค้างไว้สักพัก จากนั้นเปลี่ยนไปเอียงคอเข้าหาไหล่ซ้าย ค้างท่าไว้สักพัก คราวนี้ลองก้มหน้าให้คางเกือบแตะหน้าอก ค้างท่าไว้สักพักแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมามองตรง ๆ จากนั้นหันศีรษะไปทางขวาและทางซ้าย บริหารคอให้ครบทุกด้าน

          อย่างไรก็ตาม ณ ขณะขับรถก็ไม่ควรเกร็งอยู่ในท่านั่งที่ถูกต้องไปตลอด โดยเฉพาะหากรู้สึกเมื่อยก็ควรปรับเปลี่ยนท่านั่งขับรถให้รู้สึกสะดวกสบาย สลับกันได้ไม่มีปัญหา ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยในการเดินทางนะคะ

          และโดยปกติแล้ว นักกายภาพบำบัดจะแนะนำผู้ขับขี่ทางไกลให้หยุดพักรถและพักคนทุก ๆ 20-30 นาที ซึ่งแม้จะดูเป็นไปได้ยาก แต่อย่างน้อยก็ควรจอดพักทั้งรถและคนทุก ๆ 2 ชั่วโมงก็ยังดี ที่สำคัญเมื่อพักรถแล้วลองยืดเหยียดร่างกายด้วยท่าบริหารด้านล่างนี้ดู

รูปที่ 2




ภาพจาก The Chartered Society of Physiotherapy โดย Lee Sullivan

* บริหารไหล่

          หมุนแขนวนไปด้านหน้าและด้านหลังพร้อม ๆ กันทั้งสองแขน เมื่อแขนหมุนไปอยู่ด้านหลัง ให้เกร็งไหล่ให้อยู่ในแนวราบกับลำตัวให้มากที่สุด พร้อมกับยืดอกขึ้น

* บริหารข้างลำตัว

          ยกแขนขวาขึ้นไปเหนือศีรษะ จากนั้นค่อย ๆ โค้งแขนขวาไปทางด้านซ้าย ส่วนแขนซ้ายให้ปล่อยแนบลำตัวไว้ ค้างท่าไว้สักพัก แล้วสลับทำบริหารมือซ้ายต่อไป

* บริหารเอ็นร้อยหวาย

          ยืนตรง เหยียดขาข้างหนึ่งไปด้านหน้า ส้นเท้าแตะพื้น ปลายเท้าหงายขึ้นเล็กน้อย ค่อย ๆ ขยับเหยียดขาไปข้างหน้าอีกนิด ให้พอรู้สึกตึงบริเวณต้นขาด้านหลัง จากนั้นสลับทำอีกข้าง

* บริหารหลังส่วนล่าง

          ยืนตรง มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาแตะด้านหลังสะโพกไว้ จากนั้นใช้มือดันสะโพกไปด้านหน้า ไหล่และหลังเอนมาด้านหลัง (ยืนแอ่นหลัง) เป็นการยืดเหยียดความเมื่อยล้าบริเวณหลังส่วนล่างได้เป็นอย่างดี

          นอกจากเคล็ดลับเหล่านี้ก็ควรนั่งแอ่นหลังเป็นระยะ หรือเมื่อรู้สึกเมื่อยขณะขับรถด้วยนะคะ ที่สำคัญหากรู้สึกง่วงควรจอดพักรถทันที และพยายามงดโทรศัพท์ขณะขับขี่ รวมทั้งขับรถก็ต้องไม่ดื่มแอลกอฮอล์ด้วยนะจ๊ะ
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: มิถุนายน 14, 2015, 12:23:49 pm »

จ่ายหลักร้อย คุ้มครองหลักแสน พ.ร.บ. ช่วยได้

-http://auto.sanook.com/16171/-



ผู้ใช้รถบางคนไม่เห็นความสำคัญของการทำประกันหรือต่อ พ.ร.บ. แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นมาความเสียหายที่คุณต้องชดใช้นั้นเทียบไม่ได้เลยกับค่าทำ พ.ร.บ. เพียง 646 บาท ซึ่งช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายกรณีบาดเจ็บ – เสียชีวิตสูงสุดถึง 200,000 บาท ส่วนความคุ้มครองอื่นๆ มีอะไรบ้างนั้น SILKSPAN มีคำตอบ


     ทำ พ.ร.บ. ดีอย่างไร

    คุ้มครองความเสียหายเบื้องต้นทั้งตนเองและคู่กรณี
    เมื่อคู่กรณีเกิดชนแล้วหนี ยังมีค่ารักษาพยาบาล
    มีสิทธิ์ต่อทะเบียนรถประจำปี
    จ่ายเบี้ยถูกคุ้มครองหลักแสน

 
ความคุ้มครองการทำประกันภัยภาคบังคับ พ.ร.บ.
1. ความคุ้มครองเบื้องต้น
(ไม่ต้องรอพิสูจน์ความผิด)    วงเงินคุ้มครอง
1.1 กรณีบาดเจ็บเบื้องต้น (ตามจริง)    15,000 บาท/คน
1.2 เสียชีวิต / สูญเสียอวัยวะ / ทุพพลภาพถาวร    35,000 บาท/คน
2. ค่าเสียหายส่วนเกินกว่าค่าเสียหายเบื้องต้น
(หลังตรวจสอบว่าเป็นฝ่ายถูก)    วงเงินคุ้มครอง
2.1 ค่ารักษาพยาบาล    50,000 บาท/คน
2.2 เสียชีวิต / สูญเสียอวัยวะ / ทุพพลภาพถาวร    200,000 บาท/คน
2.3 ค่าชดเชยรายวัน 200 บาท รวมกันไม่เกิน 20 วัน (กรณีเป็นผู้ป่วยใน)    สูงสุดไม่เกิน 4,000 บาท/คน

 

     ตัวอย่าง

     ถ้าคุณขับรถกระบะไปเฉี่ยวชนมอเตอร์ไซค์ล้ม คนขับหัวฟาดพื้นได้รับบาดเจ็บจนต้องนำส่งโรงพยาบาล ซึ่งถ้าคุณทำพ.ร.บ. ไว้จะช่วยแบ่งเบาภาระค่ารักษาพยาบาลของผู้บาดเจ็บ และถ้าคู่กรณีเสียชีวิต พ.ร.บ. ก็จะช่วยจ่ายค่าทำศพและจ่ายเงินชดเชยให้สูงสุดถึง 200,000 บาท แต่ถ้าโชคร้ายรถไม่มี พ.ร.บ. หรือขาดต่อค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะตกเป็นภาระของคุณเพียงคนเดียว

 

     สรุปง่ายๆ คือรถทุกคันต้องทำ พ.ร.บ. เพราะไม่เพียงแค่ทำตามกฎหมายกำหนด แต่ยังเพิ่มความปลอดภัยในชีวิตให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร เพียงจ่ายเงินไม่กี่ร้อยเท่านั้น คุ้ม!


      ขอบคุณบทความจาก SILKSPAN.COM
      สนใจสอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 2392-1006




ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: มิถุนายน 14, 2015, 11:10:06 am »

เจ้าตูบแสนซื่อ คาบชามข้าวเข้าแถวเป็นระเบียบ มนุษย์เห็นแล้วอายไปเลย

-http://pet.kapook.com/view121335.html-








******************

 เผยภาพน่ารักน่าเอ็นดู สุนัขตำรวจคาบชามเข้าไว้ในปาก ยืนเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ ยอดเยี่ยมจริง ๆ

           เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2558 เว็บไซต์ en.rocketnews24.com  เผยภาพน่ารักน่าเอ็นดู สุนัขตำรวจคาบชามเข้าไว้ในปาก ยืนเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ ยอดเยี่ยมจริง ๆ  รายงานว่า ในโลกออนไลน์ของจีน ได้มีการแชร์ภาพน่ารักของสุนัขตำรวจ โดยเราจะเห็นได้ว่า ชายที่สวมเสื้อกาวน์สีขาวนั้น กำลังเตรียมที่จะตักอาหารให้กับสุนัขที่เข้าแถว คาบชามข้าวของตัวเองไว้ในปาก นอกจากนี้ สุนัขเหล่านี้ยังเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบสุด ๆ แสดงให้เห็นถึงวินัยและความอดทน

           อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ภาพแรกที่แสดงให้เห็นว่า สุนัขมีระเบียบแค่ไหน เพราะก่อนหน้านี้เคยปรากฏภาพของสุนัขในฟินแลนด์ ที่คาบชามข้าวไว้ในปาก และเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบเพื่อรออาหารมาแล้ว และดูเหมือนสุนัขเหล่านี้จะเป็นสุนัขทหาร

โดยปกติแล้วกองกำลังของตำรวจและทหารทั่วโลกมักจะมีการฝึกสุนัข ไม่ใช่แค่เฉพาะการค้นหายาเสพติด ระเบิด หรือวัตถุต้องสงสัย แต่ยังรวมไปถึงภารกิจค้นหาและช่วยเหลือ หรือแม้กระทั่งการกู้ระเบิด ซึ่งงานแบบนี้มักจะใช้สุนัขที่มีทักษะสูง และผ่านการฝึกมามาก และสุนัขตำรวจมักจะถูกฝึกมาอย่างเข้มงวดมากกว่าแค่การฝึกให้สุนัขฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชา


ภาพจาก en.rocketnews24.com

ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2015, 09:56:27 am »

ร่างใหม่ พ.ร.บ.จราจร “ไม่โชว์ใบขับขี่“ ระวังโดนปรับอ่วม

-http://auto.sanook.com/15641/-

เกิดกระแสข่าวในโลกออนไลน์อีกครั้ง เกี่ยวการปรับเพิ่มมาตรการใน พ.ร.บ.จราจรทางบก ซึ่งเตรียมเพิ่มบทลงโทษปรับ จำคุก และควบคุมตัว ข้อหาไม่มีใบอนุญาตขับขี่ หรือ ไม่ยอมแสดงใบอนุญาตขับขี่แก่เจ้าพนักงาน เมื่อมีการขอตรวจสอบ

กรณีดังกล่าวนั้น พล.ต.ต.อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ รอง ผบช.น. ได้เปิดเผยเอาไว้ ในการประชุมพิจารณาแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 ว่า ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้หารือถึงข้อหาจราจรที่จำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขให้เด็ดขาดมากขึ้น

     ซึ่งในส่วนของ บช.น. จะมีการเสนอให้เพิ่มอัตราโทษ ในข้อหาไม่มีใบอนุญาตขับขี่ขณะขับรถ ให้จำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือ ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งจากเดิมมีโทษเพียงลหุโทษ ตาม พ.ร.บ.รถยนต์ คือ จำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาทเท่านั้น

     ทั้งนี้ ยังจะมีการขอเพิ่มโทษในข้อหา มีและไม่แสดงใบอนุญาตขับขี่ เมื่อเจ้าพนักงานเรียกตรวจสอบได้ โดยเสนอให้เพิ่มอัตราปรับ 5,000 ถึง 10,000 บาท และจากทั้งสองกรณีนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถควบคุมตัวผู้ขับขี่ได้

     นอกจากนี้ ทาง บช.น. ยังได้เสนอมาตรการเพิ่มโทษ กรณีขับรถโดยประมาทและหวาดเสียว เช่น ขับรถย้อนศร มีโทษปรับ 1,000 ถึง 5,000 บาท รวมทั้งจะเพิ่มโทษผู้ขับขี่ที่กีดขวางการจราจร อัตราปรับขั้นต่ำ 400 ถึง 1,000 บาท ด้วย

     อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวทั้งหมดอยู่ระหว่างหารือกับทีมกฎหมาย เพื่อสรุปและเสนอร่างดังกล่าวต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อพิจารณาให้การบังคับใช้เป็นข้อกฎหมายต่อไป

 

     ที่มา VoiceTV



ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: มีนาคม 15, 2015, 10:31:12 am »

ออกมาแล้ว!!!
23 พ.ร.บ. จราจรใหม่ ปรับหนักมากขึ้น โปรดระวัง ฿฿฿
ค่าปรับ ตาม พ.ร.บ.จราจร มาแล้วนะ ฝากแจ้งเตือนกันด้วยโดนเข้าไปอาจมีโอกาสกินมาม่ายาวถึงสิ้นเดือนกันเลยทีเดียว........

1.ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน / วางไว้ที่กระจก = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.11,ม.60)

2.แผ่นป้ายทะเบียนตัดต่ออัดกรอบใหม่เป็นป้ายขาว = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.14,ม.60)

3.ติดป้ายเอียง มีวัสดุปิดทับ = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.14,ม.60)

4.แผ่นป้ายทะเบียนปลอม = ป.อาญา ฟ้องศาล

5.โหลดเตี้ย (วัดจากกึ่งกลางไฟหน้ากับระดับพื้นถนนต้องไม่ต่ำกว่า 40cm) = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.14,ม.60)

6.ยกสูง (วัดจากกึ่งกลางไฟหน้ากับระดับพื้นถนนต้องไม่สูงกว่า 135cm) = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.14,ม.60)

7.ล้อยางเกินออกมานอกบังโคนข้างละหลายนิ้ว = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.14,ม.60)

8.ใส่ล้อใหญ่จนแบะล้อเพื่อหลบซุ้ม = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.14,ม.60)

9.ตีโปร่งขยายซุ้มล้อติดสปอยเลอร์ต้องมีการยึดติดอย่างแน่นหนา = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.14,ม.60)

10.ฝาประโปรง หน้า-หลัง ดำ เกิน50%ของสีหลัก = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.13,ม.60)

11.เปลี่ยนท่อไอเสียใหญ่เสียงดัง = ปรับไม่เกิน 1,000 บาท (ม.5(2),ม.58)

12.ไฟหน้าหลายสี เช่น เขียว แดง ฟ้า เหลือง = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.12,ม.60)

13.ไฟหยุดต้องสีแดง(ไฟเบรค)เท่านั้น = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.12,ม.60)

14.ไฟเลี้ยวต้องเป้นสีเหลืองอำพัน = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.12,ม.60)

15.ไฟส่องป้ายต้องเป็นสีขาวเห็นไม่ต่ำกว่า 20 เมตร = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.12,ม.60)

16.ไฟสปอร์ตไลน์ และโคมไฟตัดหมอกแสงพุ่งไกล = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.12,ม.60)

17.เปิดไฟตัดหมอกโดยไม่มีเหตุ = ปรับไม่เกิน 500 บาท กฏกระทรวง ข้อนี้เจอบ่อย..สุดรำคาญมั่ยรุสอบใบขับขี่ได้งัย

18.ติดไฟนีออนใต้ท้องรถ ติดไว้กับป้ายทะเบียน = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.12,ม.60)

19.ดัดแปลงเป็นขับเคลื่อน 4 ล้อ = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.14,ม.60)

20.เปลี่ยนดีสเบรคหลัง = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.14,ม.60)

21.ใส่หลังคาซันลูป = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.14,ม.60)

22.ถอดเบาะหลังออกแล้วติดโรลบาร์ = ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.14,ม.60)

23.ดัดแปลงเครื่องยนต์ วัดควันดำ = ปรับไม่เกิน 1,000 บาท (พรบ.ขนส่ง)

รู้แล้วแชร์ให้เพื่อนดูด้วยนะคะ
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: ธันวาคม 14, 2014, 09:08:23 am »

โดนใบสั่ง ไม่ไปจ่ายค่าปรับ จะเป็นอย่างไร!?!

-http://auto.sanook.com/11325/%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87-%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A31/-


มีข้อถกเถียงสงสัยกันมานานแล้วว่าเมื่อได้รับใบสั่งให้ไปชำระค่าปรับ เวลาทำผิดกฎจราจร เช่น ขับรถฝ่าสัญญาณไฟ จอดในที่ห้ามจอด ตรวจจับความเร็ว ฯลฯ โดนใบสั่งแบบนี้ถ้าไม่ไปจ่ายจะเป็นไรไหม? ขยำใบสั่งทิ้งได้หรือเปล่า? วันนี้ OLX หาคำตอบมาให้

     ถ้าไม่ไปชำระค่าปรับตามที่ระบุไว้ในใบสั่ง โดยไม่มีเหตุอันควร ถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนไม่ไปชำระค่าปรับตามใบสั่ง มีความผิดอีกข้อหาหนึ่ง ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท (มาตรา 155 พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ) นอกจากนี้พนักงานสอบสวนมีอำนาจจัดการกับผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถตามมาตรา 141 ทวิ ดังนี้

     1. พนักงานสอบสวนมีอำนาจออกหมายเรียกผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานสอบสวนตามสถานที่ วัน และเวลาที่ระบุในหมายเรียกนั้น แล้วพนักงานสอบสวนจะเปรียบเทียบปรับตามกฎหมาย

     2. ถ้าพนักงานสอบสวนใช้อำนาจออกหมายเรียกผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานสอบสวนแล้วส่งหมายเรียกไม่ได้ พนักงานสอบสวนจะแจ้งไปยังนายทะเบียนรถหรือนายทะเบียนขนส่งทางบกให้งดรับชำระภาษีประจำปีสำหรับรถคันนั้นไว้เป็นการชั่วคราว จนกว่าผู้ได้รับใบสั่งจะมาพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกและชำระค่าปรับให้เรียบร้อยเสียก่อน พนักงานสอบสวนจึงจะแจ้งไปยังนายทะเบียนให้ทราบเพื่อให้ผู้นั้นชำระภาษีประจำปีสำหรับรถนั้นต่อไป

 

     ดังนั้น เมื่อคุณทำผิดกฎจราจร หรือได้รับใบสั่ง คุณก็มีหน้าที่ต้องไปชำระค่าปรับที่สถานีตำรวจในเขตท้องที่และภายในกำหนดเวลาที่ระบุไว้ ซึ่งปกติแล้วก็มักจะไม่เกิน 7 วัน หรือถ้าใครไม่สะดวกไปจ่ายเองก็อาจจะชำระทางไปรษณีย์ก็ได้ ส่วนกรณีโดนยึดใบขับขี่ไว้ ก็ให้ใช้ใบรับแทนใบขับขี่ไปพลางก่อน เมื่อไปชำระค่าปรับแล้วตำรวจก็จะคืนใบขับขี่ให้

     หลายคนคิดว่าไม่ต้องไปจ่ายหรอก ข้อมูลคงไม่ถึง อันนี้ขอแนะนำว่าอย่าเสี่ยงเลยจะดีกว่า นอกจากจะไม่สามารถต่อทะเบียนรถยนต์ได้แล้ว ยังต้องอาจต้องโทษปรับเพิ่มขึ้นด้วย สรุปให้สั้นๆ นั่นคือ ทำให้ถูกต้องดีกว่าจะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง…

 

     ที่มา OLX.co.th












.
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: ธันวาคม 14, 2014, 08:53:34 am »

โดนใบสั่ง ไม่ไปจ่ายค่าปรับ จะเป็นอย่างไร!?!

-http://auto.sanook.com/11325/%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87-%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A31/-


มีข้อถกเถียงสงสัยกันมานานแล้วว่าเมื่อได้รับใบสั่งให้ไปชำระค่าปรับ เวลาทำผิดกฎจราจร เช่น ขับรถฝ่าสัญญาณไฟ จอดในที่ห้ามจอด ตรวจจับความเร็ว ฯลฯ โดนใบสั่งแบบนี้ถ้าไม่ไปจ่ายจะเป็นไรไหม? ขยำใบสั่งทิ้งได้หรือเปล่า? วันนี้ OLX หาคำตอบมาให้

     ถ้าไม่ไปชำระค่าปรับตามที่ระบุไว้ในใบสั่ง โดยไม่มีเหตุอันควร ถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนไม่ไปชำระค่าปรับตามใบสั่ง มีความผิดอีกข้อหาหนึ่ง ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท (มาตรา 155 พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ) นอกจากนี้พนักงานสอบสวนมีอำนาจจัดการกับผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถตามมาตรา 141 ทวิ ดังนี้

     1. พนักงานสอบสวนมีอำนาจออกหมายเรียกผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานสอบสวนตามสถานที่ วัน และเวลาที่ระบุในหมายเรียกนั้น แล้วพนักงานสอบสวนจะเปรียบเทียบปรับตามกฎหมาย

     2. ถ้าพนักงานสอบสวนใช้อำนาจออกหมายเรียกผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานสอบสวนแล้วส่งหมายเรียกไม่ได้ พนักงานสอบสวนจะแจ้งไปยังนายทะเบียนรถหรือนายทะเบียนขนส่งทางบกให้งดรับชำระภาษีประจำปีสำหรับรถคันนั้นไว้เป็นการชั่วคราว จนกว่าผู้ได้รับใบสั่งจะมาพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกและชำระค่าปรับให้เรียบร้อยเสียก่อน พนักงานสอบสวนจึงจะแจ้งไปยังนายทะเบียนให้ทราบเพื่อให้ผู้นั้นชำระภาษีประจำปีสำหรับรถนั้นต่อไป

 

     ดังนั้น เมื่อคุณทำผิดกฎจราจร หรือได้รับใบสั่ง คุณก็มีหน้าที่ต้องไปชำระค่าปรับที่สถานีตำรวจในเขตท้องที่และภายในกำหนดเวลาที่ระบุไว้ ซึ่งปกติแล้วก็มักจะไม่เกิน 7 วัน หรือถ้าใครไม่สะดวกไปจ่ายเองก็อาจจะชำระทางไปรษณีย์ก็ได้ ส่วนกรณีโดนยึดใบขับขี่ไว้ ก็ให้ใช้ใบรับแทนใบขับขี่ไปพลางก่อน เมื่อไปชำระค่าปรับแล้วตำรวจก็จะคืนใบขับขี่ให้

     หลายคนคิดว่าไม่ต้องไปจ่ายหรอก ข้อมูลคงไม่ถึง อันนี้ขอแนะนำว่าอย่าเสี่ยงเลยจะดีกว่า นอกจากจะไม่สามารถต่อทะเบียนรถยนต์ได้แล้ว ยังต้องอาจต้องโทษปรับเพิ่มขึ้นด้วย สรุปให้สั้นๆ นั่นคือ ทำให้ถูกต้องดีกว่าจะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง…

 

     ที่มา OLX.co.th