ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 11:30:24 pm »

 :13: อนุโมทนาครับพี่แป๋ม
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 08:22:00 am »

ถ้าเป็นคนที่รุนแรงหน่อย จับอ้ายนั่นอ้ายนี่ขว้างเปรี้ยงปร้างไปเลย แตกไปกี่ใบก็ไม่รู้ แตกไปเรื่อยๆ นี่คือความโกรธ ความโกรธนี้รุนแรง อันนี้ก็น่ากลัวเหมือนกันเรื่องนี้ เรื่องนี้ต้องระวังหน่อย โทสะนี้ต้องคอยควบคุมไว้
อย่าให้มันเกิดขึ้นมาปรากฏแก่คนอื่น ต้องหัดเหมือนกัน คือถ้าฝึกฝนแล้วมันดีขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกมันค่อยทันกัน พอตัวสติมันมาทันแล้ว มันก็หยุด แต่ถ้าสติมาไม่ทันแล้วก็เอาไม่อยู่ มันโกรธรุนแรงขึ้นทันที

เพราะฉะนั้นต้องมีสติควบคุมไว้ เราต้องเรียนรู้อาการของจิต ว่าที่โกรธนั้นเพราะอารมณ์ประเภทใด
ได้เห็นอะไรได้ยินอะไรจึงทำให้โกรธ คอยสำเหนียกเหตุที่จะทำให้โกรธไว้ รวบรวมเอามา คิดนึกตรึกตรองไว้บ่อยๆ ว่า เหตุอย่างนั้นจะเกิดความโกรธ เหตุอย่างนั้นจะเกิดอารมณ์อย่างนั้น เราคอยสังเกต เช่นว่าเราไปสถานที่ใด สถานที่นั้นมีอะไรเป็นเหตุให้เกิดความโกรธ พบคนใด ทำ พูด กิริยาท่าทางอันจะเป็นเหตุให้เกิดความโกรธมีไหม ต้องคอยสำเหนียก คอยคุมจิตของเราไว้ พอจะเข้าไปที่นั่น ต้องเตือนไว้ว่าระวังนะ อย่าไปแสดงอาการโกรธให้เขาเห็น มันไม่ดี คนขนาดเราโกรธแล้วมันไม่เหมาะ เสียมารยาท เสียกิริยา เขาจะดูหมิ่นได้ว่าเป็นคนอ่อนแอ ไม่รู้จักควบคุมตนเอง คอยเตือนอย่างนั้น กับคนกับใครก็เหมือนกัน ต้องควบคุมไว้คอยบังคับตนเองไว้บ่อยๆ

ถ้าเราคอยควบคุม คอยบังคับตัวเองอย่างนี้ นานๆ เข้ามันจะเปลี่ยนเป็นคนใจเย็นใจสงบขึ้นมา มีอะไรกระทบนิดกระทบหน่อยก็ยิ้ม มีอะไรก็รู้เท่ารู้ทันต่อสิ่งนั้น และถ้าหากว่ามันเผลอเกิดอารมณ์ โกรธขึ้นมา อย่าให้ไปเฉยๆ ต้องเอามาแยกแยะวิเคราะห์วิจัยในเรื่องนั้นว่าทำไมจึงได้โกรธ โกรธเรื่องอะไร เรื่องที่ทำให้โกรธมันเรื่องอะไร บุคคล เหตุการณ์ ดินฟ้า อากาศ หรืออะไรก็ตาม เอามา คิดมาวิเคราะห์ว่าทำไมจึงโกรธ ทำไมจึงร้อนใจ มันเกิดขึ้นเพราะอะไรในเรื่องนี้ เอามาพิจารณาแยกออกไป แยกออกไปแล้วก็พบว่าไม่มีอะไร ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร มันเป็นเรื่องแก้ได้ มันไม่ควรจะเกิดขึ้นกับเราอย่างนั้น แต่ว่าเราเผลอไปหน่อยจึงได้เกิดขึ้น แล้วก็กำชับตัวเองว่าอย่านะ วันหลังต้องระวังไว้ให้ดี อย่าให้เกิดขึ้นอย่างนี้ขึ้นอีกเป็นอันขาด

พรุ่งนี้เราแก่กว่าวันนี้ มะรืนนี้เราแก่กว่าวันพรุ่งนี้ อายุเรามากขึ้นต้องมีความหนักแน่นมากขึ้น ต้องมีเหตุผลมากขึ้น อย่าเป็นคนเจ้าอารมณ์ อย่าใจร้อน อย่าใจเร็ว เตือนตัวเองบ่อยๆ ก็เรียกว่า เสกตัวเอง ปลุกเสกตัวเองตัวเราเองบ่อยๆ คอยบอกคอยเตือนเอาไว้ นานๆเข้า.. ใจมันก็เย็น สงบเข้าต่อทุกเรื่อง เรื่องที่เข้ามากระทบ มีอะไรมากระทบพอจะทำให้เกิดได้ เราก็เฉยๆ ไม่โกรธ นั่นเรียกว่าเอาชนะมันได้ ฆ่าความโกรธได้อยู่เป็นสุข

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "โกธํ ฆตฺตวา สุขํ เสติ" "ฆ่าความโกรธได้ อยู่เป็นสุข" เป็นความสงบทางใจ เราฆ่าความโกรธไม่ได้อยู่ตลอดเวลา ถูกเผา ความโกรธมันฆ่า ถ้าเราไม่ฆ่ามันมันก็ฆ่าเรา เป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตเรา เราจึงฆ่ามันเสีย ทำลายมันเสีย อย่าให้มันมาแทรกแซงอยู่ในชีวิตของเราเป็นอันขาด ค่อยบรรเทาเบาบางไป แล้วจะรู้สึกว่าอะไรๆ เปลี่ยนไปมาก เมื่อก่อนเราเป็นคนมักโกรธ ต่อมาเราเป็นคนใจเย็น เรียกว่าเปลี่ยนแปลงไปมาก การเป็นการอยู่อะไรดีขึ้น ชีวิตสดชื่นแจ่มใสมีสภาพเป็นปกติ ก็ไม่ร้อนต่อไป ไฟตัวนั้นแหละ เรา ดับลงได้ด้วยสติด้วยปัญญา นี่เป็นตัวหนึ่งเหมือนกัน

อีกตัวหนึ่งคือตัวโมหะ คือความไม่รู้ไม่เข้าใจ ทำให้ร้อนเหมือนกัน ร้อนของโมหะนี้มันร้อน แบบอยู่ในที่ไม่มีแสงสว่าง คล้ายๆ กับอยู่ในห้องมืด ทั้งร้อนทั้งมืด อันตราย มันมืดแล้วก็มันร้อนด้วย น่ากลัว คิดดูมันมืดไปหมด ไม่เห็นช่องทาง อันตราย เพราะฉะนั้นเราต้องแก้ตัวนี้ไม่ให้เกิดขึ้น

โมหะนี้มันเป็นเจ้าตำรับใหญ่ ต้นฐานมันอยู่ที่โมหะ แล้วเกิดความอยาก เกิดความโกรธ มันต่อกันไปเพราะเราจะต้องคอยศึกษาแยกแยะอะไรต่างๆ ที่เราเรียกว่าเจริญวิปัสสนา ตามหลักพระพุทธศาสนา โดยเนื้อแท้ก็คือ หมั่นวิเคราะห์ แยกแยะเหตุการณ์สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวิถีชีวิตของเรา ให้มันเห็นว่า อะไรเป็นอะไรมากขึ้น ไปนั่งอยู่คนเดียว ไปยกอะไรมาพิจารณาแยกแยะออกไป ให้ชัดเจนแจ่มแจ้งในเรื่องนั้นๆ แล้วความหลงใหลความยึดมั่นถือมั่น จะผ่อนคลายหายไปโดยลำดับ เราก็จะมีชีวิตสดใส

แม้แดดจะร้อน เราก็ไม่ร้อน อากาศมันจะเปลี่ยนแปลงเราก็เฉยๆ เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ต้องมีอารมณ์หงุดหงิดเพราะดินฟ้าอากาศ เพราะสิ่งนั้นสิ่งนี้มากระทบจิตใจของเรา อันนี้จะช่วยให้เราเป็นสุขทางใจในหน้าร้อน เพราะไม่มีความร้อนในภายใน มาร่วมกับความร้อนในภายนอก ให้มันร้อนแต่เพียงผิวกายเถอะ แต่อย่าให้ใจของเราต้องร้อนไปด้วยเลย

หลักนี้สำคัญที่เราควรจะได้ปฏิบัติ แล้วก็รู้สึกว่ามีชีวิตเป็นสุข คนเราถ้าไม่ร้อนแล้วเป็นสุขที่สุด ทุกๆ หน ทุกๆ แห่ง ไม่ว่าอะไรมันจะเป็นอย่างไร แต่เรามีใจสดชื่นรื่นเริงตามธรรมชาติของชีวิตร่างกาย นี่ก็เป็นเรื่องที่น่าคิด นำมาเล่าให้ญาติโยมทั้งหลายฟังไว้ เพื่อเป็นเครื่องเป็นแนวทาง ดังที่ได้แสดงมา ก็สมควรแก่เวลา.


โดย พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)
วันอาทิตย์ที่ ๑๓ มีนาคม พ.ศ.๒๕๒๐
ที่มา : http://www.panya.iirt.net
: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=anotherside&month=12-2009&date=23&group=1&gblog=258
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ...
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 07:52:55 am »

สมมติว่าคนใช้ ถ้าเราเป็นนายเขาโกรธบ่อยๆ เขาแอบไปมุมห้องแล้วหัวเราะ
บางทีก็เจอเพื่อนเขาเอาอีกแล้ว เขาหัวเราะเรา เป็นนายกลายเป็นตัวตลกของคนใช้ มันเรื่องอะไร
มันเรื่องอะไรที่เรารับอาสาเป็นตัวตลกให้คนใช้หัวเราะ นี่แหละเขาเรียกว่าไม่เข้าเรื่อง
ไปแสดงเป็นตัวตลกให้คนใช้หัวเราะซุบซิบกัน ซุบซิบว่า แหมตื่นเช้าเอาอีก มันไม่ไหวอย่างนี้มันไม่ไหว
แสดงว่าเรานี้ยังไม่เป็นนายตัวเอง เป็นนายคนอื่นเขา จะบังคับคนอื่นแต่ไม่บังคับตัวเอง
คนเราจะเป็นนายคนอื่นนั้นต้องเป็นนายตัวเองก่อน จะบังคับคนอื่นก็ต้องบังคับตัวเองก่อน
อย่าให้มันไปลุกบ่อยๆ อย่า ให้มันร้อนบ่อยๆ แต่ให้สงบให้เย็นไว้ให้เป็นปกติ
คนที่มีความสงบเย็นนั้นเป็นคนน่าเกรงขาม แต่ถ้ามีอารมณ์รุนแรงอ่อนไหวง่าย ไม่น่าเกรงขามอะไร
เพราะแสดงออกมาปรากฏ โกรธก็แสดงออกมา เกลียดก็แสดงออกมา ไม่น่าเกรงขามอะไร
ให้เราสังเกตใครที่ใจหนักแน่น นิ่งๆ ไม่ค่อยพูดอะไรนี่น่า กลัว ไม่รู้ว่าข้างในเป็นอะไร น่ากลัวมาก
นี่เป็นเรื่องสำคัญอยู่ไม่ใช่น้อย

เคยลองถามบุคคลที่เคยเป็นผู้หลักผู้ใหญ่อยู่ใกล้พระเจ้าแผ่นดิน มีคนคนหนึ่งแกเป็นราชการในราชสำนัก
เดี๋ยวนี้ก็แก่มากแล้ว อยู่ใกล้ชิดในหลวงรัชกาลที่ ๖ อยู่ใกล้ชิดที่สุดคือในห้องพระบรรทม
ในหลวงรัชกาลที่ ๖ นี้ท่านดีอยู่อย่างหนึ่ง เวลาเข้าห้องพระบรรทมต้องมีคนคอยนวดอยู่ตลอดเวลา
นวดอยู่นั่นแหละหยุดนวดไม่ได้ พอหยุดนวดตื่นทันที คนนวดก็เลยเผลอไม่ได้ คนนวดคอยนวดอยู่อย่างนั้น
นวดเส้นนวดสายไปตามเรื่อง แม้เวลาเสวยพระกระยาหาร คนก็ไปนั่งใต้โต๊ะคนหนึ่ง แล้วท่านก็ไปนั่งใต้เท้า
นวดอยู่อย่างนั้น เสวยไปคุยไป โต๊ะใหญ่ไม่ใช่เสวยเร็วๆ เสวยไปคุยไป
ถามคนนั้นคนนี้ราชการงานเมือง ท่านก็ปรึกษากันที่โต๊ะกระยาหาร
คนนวด นวดไปเหงื่อไหลต้องมีผ้าซับเหงื่อ ทำอยู่อย่างนั้นด้วยความจงรักภักดี เวลากลางคืนก็ทำอย่างนั้น


เขาเล่าให้ฟังหลายเรื่องก็น่าฟังดีเหมือนกัน เพราะเป็นเรื่องในราชสำนัก เคยถามว่า ในหลวงนี้เขาว่า
มีทศพิศราชธรรมอยู่ข้อหนึ่ง อโกธัง คือไม่โกรธ อวิหิงสัญจะ คือไม่เบียดเบียนใคร
ในหลวงรัชกาลที่ ๖ นี้เคยโกรธบ้างไหม ไม่เคยเจอท่านกริ้วเลย ไม่ค่อยกริ้วแม้ใครทำให้โกรธท่านก็ไม่ค่อยกริ้ว
ท่านนั่งเฉยๆ ถ้ารู้ว่าทำอะไรไม่ดีถ้าสังเกตก็จะรู้สึกว่าท่านกดพระทนต์แน่น กดนิ่งเฉยอย่างนั้นแหละ นี่แสดงว่า
มีอาการแล้วแต่ไม่แสดงออก บังคับตัวเองมากเหลือเกิน ไม่ค่อยแสดงออกไป
บางทีมหาดเล็ก ทำอะไรไม่เหมาะไม่ควร ท่านเรียกมาดุไม่รุนแรงนัก ซุ่มซ่าม
นี่เรียกว่าขนาดดุแล้ว เท่านั้นแหละไม่มีอะไรมากกว่านั้น
เดี๋ยวเขาจะหาว่าพระเจ้าแผ่นดินเลี้ยงคนไม่เป็น พวกนั้นก็รู้ว่าท่านไม่พอใจ แล้วก็ชวนกันแก้ไขอะไรต่อไป

ถ้าจะกริ้วขนาดเรียกว่ารุนแรงนี้ไม่มี นี่แหละเขาเรียกว่าผู้ดีจริง ผู้ดีสืบต่อกันมานานหลายชั่วคน
กลายเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีในครอบครัว ไม่โกรธไม่กริ้ว ไม่แสดงอะไร
แม้จะโกรธก็ไม่ใช้คำหยาบคายขึ้นอ้ายขึ้น อันนี้เป็นตัวอย่าง นี่คือคนที่ไม่ถูกเผาใจ ใจสงบเย็นไม่ถูกไฟเผา
ร่างกายก็ปกติตามเรื่องตามราว เรื่องมันเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเรื่องดับไฟในร่างกายนี้ต้องระวัง

ไฟอยากนี้อย่างหนึ่ง อีกตัวหนึ่งเขาเรียกว่าไฟโทสะ โกรธนั่นแหละ โทสะก็คือโกรธ จิตมันคิดประทุษร้าย
ไม่ชอบใจก็เกิดความโกรธ อันนี้แรงมากไฟอันนี้ ทำไมจึงได้โกรธ มันเกิดจากไฟคือราคะ คือไฟอยากมันเกิดขึ้น
อยากแล้วไม่ได้สมใจ ไม่ได้ดังใจ ไม่ได้เหมือนใจก็โกรธ ตัวโกรธมาทีหลัง เกิดความโกรธขึ้นทันที
แสดงอาการออกมาด้วยการพูด หน้าตา กิริยาท่าทาง
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 07:11:58 am »

ร้อนหรือไม่ เราลองมาคิดดู เวลาเราอยากได้อะไรๆ ใจมันร้อนหรือไม่
อยากจะไปตลาด หรือว่าอยากจะไปดูนิทรรศการของกรมราชทัณฑ์เขาแสดง
นิทรรศการสินค้าของผู้ต้องขังในเรือนจำ เขาว่ามีตู้มีโต๊ะมีเครื่องมุก เครื่องอะไรๆ ต่างๆ ที่เป็นฝีมือผู้ต้องขัง
ราคามันก็พอสมควรแต่ว่าของมันดี ใจอยากดู ได้ยินข่าว ได้ยินข่าวว่าเขาแสดงนิทรรศการที่สวนสราญรมย์
ทีนี้ใจมันอยากจะไป สั่งคนรถว่า เตรียมรถไว้ให้พร้อมฉันจะไปซื้อของ ของผู้ต้องขังหน่อย เราแต่งตัวเสร็จก่อน
พอแต่งตัวเสร็จก่อนแล้ว ออกมาที่ประตู เรียกหาคนรถสมมติว่าคนรถชื่อ แก้ว "แก้ว" รถพร้อมแล้วหรือยัง
ยังครับใจเป็นอย่างไรตรงนั้น นึกเคืองๆ อ้ายแก้วนี้เหลือเกินทำไมมันช้า ไม่แต่งรถให้ได้ทันใจ
ใจมันร้อนจะไปไวๆ นี่เกิดไฟเผาลนจิตใจแล้ว

พอรถเสร็จเรียบร้อยก็ไปนั่งใน รถติดแอร์ เปิดแอร์เย็นหน่อย ขับรถไปถึงย่านสุขุมวิท รถมันติดเหลือเกิน
อ้ายถนนสายนี้ เอาแล้ว รถติดไม่สบายใจใจมันอยากจะไปไวๆ ความจริงมันนั่งอยู่ในที่มีแอร์มันก็เย็นเจี๊ยบอยู่แล้ว
แต่ใจมัน ร้อนจะให้ไปทะลุไปไวๆ ให้ถึงสวนสราญรมย์ไวๆ ขณะนั่งอยู่นั้นร้อนใจ ร้อนเพราะอะไร
ร้อนเพราะอยาก คืออยากที่จะไปให้เหมือนใจ ร้อนเพราะอะไร ร้อนเพราะราคะ คืออยากที่จะไปได้เหมือนใจ
แต่ก็ไปไม่ได้ เกิดเป็นปัญหาร้อนอกร้อนใจ พอเคลื่อนไปหน่อยหนึ่ง ดีใจ ไปติดอีกแล้ว
แหม! ถนนสายนี้มันติดจริงๆ จะทำอย่างไร อ้าย กทม. มันมัวแต่ทะเลาะกันอยู่ ถนนหนทางไม่ทำให้ดีขึ้นสักที
ไปว่า กทม. เข้าอีกแล้ว ว่ามัวแต่ทะเลาะกันอยู่ สัมภาษณ์ด่ากันอยู่ตลอดเวลา ถนนไม่ดีขึ้นเลย ทีนี้ก็กลุ้มใจ
คือราคะมันร้อน ร้อนอย่างนี้ร้อนเพราะอยากจะไปดูให้ได้ ไปดูของ เห็นของชอบอกชอบใจ แล้วก็อยากจะซื้อ
เตรียมเงินมาให้พร้อม วันนี้มาดูก่อน พอไปถึงจะซื้อ เพื่อนเอาเงินซื้อไปเสียแล้ว เสียดายอีก
แหม! หมายตาไว้แล้วเมื่อวานนี้ มันผิดที่ไม่ได้มัดจำไว้ คนอื่นเขาซื้อไปเสียก่อน
ใจมันร้อน ร้อนเรื่องอยากทั้งนั้นไม่มีเรื่องอะไร


เรื่องราคะก็คือความอยากนั่นเอง ให้เราสังเกตมันร้อนบ่อยๆ ในเรื่องอะไรๆ ต่างๆ ร้อนอยู่ตลอดเวลา
ในขณะที่ไฟมันเผาเราให้ร้อนนี้ เรารู้สึกอย่างไร กายมันก็พลอยร้อนไปด้วย ทำไมกายจึงพลอยร้อน
เพราะขณะที่ความรู้สึกรุนแรง หัวใจมันทำงานหนัก หัวใจทำงานเพิ่มขึ้นฉีดโลหิตแรงไปเลี้ยงร่างกาย
เมื่อโลหิตไปเลี้ยงร่างกายมาก เกิดความร้อนขึ้นในร่างกาย อุณภูมิในร่างกายมันสูงขึ้น เมื่ออุณภูมิสูงขึ้น
ก็รู้สึกว่าเหงื่อไหล ทั้งๆ ที่อยู่ในรถติดแอร์ เหงื่อมันยังออกมาจนได้ นี่แสดงว่าข้างในมันเผาเหลือเกินแล้ว มันร้อน
ไฟอย่างนี้แหละสำคัญ และถ้าคนใดมีความร้อนเผาจิตเผาใจอยู่บ่อยๆ จะมีความเป็นอยู่ที่เรียกว่ากระวนกระวาย
จิตใจไม่ปกติล่อแหลมต่อการเป็นโรคหลายอย่าง เช่น โรคอาหารไม่ย่อย โรคหัวใจพิการ คือมันเต้นไม่สม่ำเสมอ
คือ เต้นช้าบ้างเร็วบ้าง แล้วก็เป็นโรคทางประสาท โรคนอนไม่หลับโรควิตกกังวล มีความหวาดกลัวขึ้นในจิตใจ

นี่มันเป็นอย่างนี้ มันยุ่งทั้งนั้น อะไรๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา มันเกิดจากความคิดไม่ใช่น้อย คิดไม่ดี คิดไม่ถูก
แล้วมันก็สร้างปัญหาขึ้นในจิตใจ มีโรคหลายโรคที่เกิดจากความคิดที่วุ่นวาย

เพราะฉะนั้น การบังคับตัวเองให้มีความคิดเป็นระเบียบนี่สำคัญ
ให้รู้จักดับร้อนที่เกิดขึ้นในจิตใจได้ทันท่วงทีก็สำคัญเหมือนกัน ไม่ให้มันร้อนนาน คือพอเผาขึ้นมาก็ระงับได้ทันที
แล้วใจสบาย อายุมันยืน อาหารดี นอนหลับดีเป็นปกติ เพราะไม่มีอะไรทำให้ร้อน
เรื่องของความอยากคือราคะร้อนนักหนา ร้อนวุ่นวายกันบ่อยๆ เป็นปัญหาบ่อยๆ
จนบางคนเป็นคนที่เรียกว่า หงุดหงิดอารมณ์หงุดหงิด คนอารมณ์ หงุดหงิดร้อนบ่อยๆ ประเดี๋ยวร้อนๆ
เราจึงเห็นว่าเป็นคนดินประสิวล่อแหลมต่อไฟไม่ได้ เขาเรียกว่า ไวไฟ ใจมันไวประเดี๋ยวโกรธ อะไรกระทบไม่ได้
คนที่โกรธบ่อยๆ นั้นรู้ไหมว่ามันเป็นตัวตลกของผู้อื่น
เด็กในบ้านเห็นแล้วน่าขำไป

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 06:45:03 am »

อะไรมันเกิดขึ้นในความคิดของเรา ความคิดนั้นเป็นกุศลหรืออกุศล เป็นอะไร
และเมื่อเกิดขึ้นแล้วมันเย็นหรือมันร้อน มันสงบหรือมันวุ่นวาย มันมืดหรือมันสว่าง ให้สังเกตเพียงเท่านั้น
ก็เรียกว่าเป็นการปฎิบัติตามหลักของพระพุทธศาสนา ถ้าจะค้นให้มันหนักไปกว่ามันก็จะเลยเถิดไป
ไม่เป็นทางที่จะพ้นทุกข์ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงไม่ให้ค้นจนเลยเถิด
ให้ค้นแต่เพียงจุดที่เราต้องการ จุดที่เราต้องการนั้นก็คือ การดับทุกข์ดับร้อนได้ในชีวิตประจำวัน

ไม่ใช่เรื่องอะไรมากมาย ก็ต้องการแต่เพียงว่าทำอย่างไรจะดับทุกข์ได้ แล้วทุกข์มันอยู่ที่ไหน
ก็ทุกข์อยู่ที่ความคิดของเรา
ถ้าเราคิดในเรื่องที่เป็นทุกข์ เราก็นั่งเป็นทุกข์ ถ้าคิดในเรื่องที่เป็นสุข เราก็นั่งสบายใจ
ถ้าคิดในเรื่องร้อน เราก็นั่งร้อนอกร้อนใจ ถ้าคิดในเรื่องเศร้า เราก็นั่งเศร้าใจ มันอยู่ที่ความคิดของเราทั้งนั้น

เพราะฉะนั้นจึงมีคำพูดว่า ความคิดของท่านสร้างความเป็นอยู่ของท่าน
ชีวิตก็คือความคิด ความคิดก็คือชีวิตของเรานั่นเอง มันสร้างกันในรูปอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นเราควรจะรู้ลักษณะอันนี้ได้ ว่ามันไม่มีอะไรที่เป็นเนื้อแท้ มันเป็นของผสม เกิดขึ้นจากการกระทบกัน
เมื่อของสองอย่างไม่กระทบกันมัน ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอกระทบกันมันก็เกิดขึ้น เหมือนกับดนตรีเช่นพิณพาทย์
ไม้ตีกับระนาดมันอยู่คนละที่ ไม่มีเสียง เสียงมันไม่มี แต่พอเอาไม้มาตีลงไปบนระนาดมันก็เกิดเสียงขึ้นมา
เสียงนั้นเกิดขึ้นเมื่อไม้กระทบกัน ถ้าไม่มีไม้กระทบกันแล้วเสียงไม่มี เสียงนั้นจึงไม่มีอยู่ก่อน
แต่มันเกิดขึ้นเพราะการปรุงแต่ง ระหว่างไม้อันหนึ่ง มากระทบกับอีกอันหนึ่ง มากระทบกันเข้าอย่างนั้น
เมื่อกระทบแล้วก็หายไป เสียงนั้นไม่ปรากฎ มันกระทบแล้วก็หายไปเท่านั้น มันเกิดขึ้นอย่างนั้น


อะไรๆ ที่เกิดขึ้นในใจของเราก็เหมือนกัน มันก็เกิดจากการกระทบกันของสิ่งเหล่านั้น
ตามากระทบรูป ก็เกิดความรู้ทางตา เสียงกระทบหู เกิดความรู้ทางหู กลิ่นมากระทบจมูก ก็มารู้ทางจมูก
รสกระทบลิ้น ก็เกิดความรู้ทางลิ้น โผฏฐัพพะมากระทบกาย ก็เกิดความรู้ทางกาย
รู้ทางกายประสาท แล้วใจก็ปรุงแต่ง คือเกิดความคิดต่อไป ตามสิ่งที่มากระทบนั้น
ถ้าจะขีดเป็นเส้นก็มีเส้นมาโดยลำดับ มารวมกันที่จุดหนึ่ง จุดนั้นสมมติว่าเป็นจุดรวมของสิ่งที่เรียกว่าความคิด
รวมกันเข้าแล้วเกิดปรุงแต่งกันขึ้นในรูปต่างๆ อันนี้คือวิถีทางของมัน สิ่งที่มากระทบนั้นจะทำให้เกิดอะไรขึ้นก็ได้
เช่นรูปมากระทบตา เมื่อเกิดความรู้ทางตาแล้ว ตารู้ ความรู้ทางตา สามอย่าง มารวมตัวกันเข้าก็เกิดเป็นผัสสะ
ผัสสะแปลว่าการรวมของสิ่งสามอย่าง

ต่อจากผัสสะก็เกิดความรู้สึกเรียกว่าเวทนาที่เราพูดกันอยู่บ่อยๆ เราสวดมนต์ก็ว่า เวทนาอนิจจา สัญญา อนิจจา
เวทนาไม่เที่ยง เวทนาเป็นอนัตตาด้วย เกิดเวทนาคือเกิดความรู้สึก รู้สึกอย่างไร รู้สึกชอบใจ เรียกว่า สุขเวทนา
รู้สึกไม่พอใจเรียกว่า ทุกขเวทนา
ถ้าเฉยๆ ก็เป็น อทุกขมสุขเวทนา คือความรู้สึกที่ไม่สุขแล้วก็ไม่ทุกข์ มันก็เกิดขึ้นอย่างนี้

ทีนี้มันไม่หยุดเพียงเท่านั้น เมื่อเกิดความรู้สึกว่าเป็นสุขแล้ว ก็เกิดตัณหา คือ อยากจะให้สิ่งนั้นอยู่กับเราต่อไป
เช่น เราได้เห็นรูปเกิดความรู้ทางตา แล้วความรู้ทางตาก็เกิดผัสสะ ผัสสะแล้วก็เกิดชอบใจ คือเวทนา
พอเกิดเวทนาก็เกิดตัณหาคืออยากจะให้รูปนั้นอยู่ในสายตาเราต่อไป ไม่อยากให้รูปนั้นลับหายไปจากตา
อันนี้เรียกว่าเกิดตัณหาในรูปนั้น แล้วความอยากนั้น อยากให้มันอยู่นานๆ
มันก็เรียกว่า อุปาทาน คือเข้าไปยึดไปติดอยู่ในรูปนั้นเอาไปนั่งคิดนั่งฝัน
และเมื่อไม่ได้เห็นรูปนั้นเป็นอย่างไร ก็มีความทุกข์ความเดือดร้อนใจ นี่มันเกิดขึ้นอย่างนี้
สภาพของสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเรามันเป็นอย่างนี้ เกิดกิเลสขึ้นมาได้ถ้าหากว่าพอใจเขาเรียกว่าเกิดราคะ
ถ้าไม่พอใจก็เกิดโทสะ ถ้าไม่ชอบใจเรียกว่า อทุกขมสุข คือชอบก็ไม่ใช่ ชังก็ไม่ใช่

มันก็เกิดโมหะขึ้นมาอีกเหมือนกัน มันเป็นอย่างนี้ สามอย่างนี้ ถ้าเกิดราคะก็ร้อน เกิดโทสะก็ร้อน เกิดโมหะก็ร้อน
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 05:51:20 am »


ถ้าเราศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง วิญญาณมันไม่ใช่รูปนั้น ไม่ใช่รูปเชิญเข้ามาทรงได้ไม่ใช่รูปที่ว่าออกจากร่างโน้นมาสู่ร่างนี้ได้ แต่วิญญาณในแง่ธรรมะของพระพุทธศาสนาแท้ๆ จริงๆ นั้น มันอยู่ที่การกระทบของอายตนะภายในกับภายนอกคือตากับรูปกระทบกันเกิด ความรู้ทางตานี้เรียกว่า จักขุวิญญาณ อันนี้เรามันต้องจำศัพท์แสงไว้หน่อย เรียกว่าเป็นศัพท์เทคนิค เวลาพูดแล้วมันสั้นดี จักขุวิญญาณคือความรู้ทางตา เสียงมากระทบหูก็เกิดโสตวิญญาณ คือความรู้ทางหู กลิ่นมากระทบจมูกก็เกิดฆานวิญญาณ คือความรู้ทางประสาทของจมูก รสมากระทบลิ้นก็เกิดชิวหาวิญญาณ ความรู้ทางลิ้น สิ่งอันใดมากระทบร่างกาย เราก็รู้เรียกว่าโผฏฐัพพะ แล้วก็เกิดกายวิญญาณ เกิดความรู้ทางกายขึ้นแล้วความรู้เหล่านั้นมันไปถึงใจ ก็เกิดมโนวิญญาณขึ้นมารู้ทางใจ

เราอย่าตั้งปัญหาถามว่าจิตคืออะไร ใจคืออะไร เพราะโดยเนื้อแท้มันไม่มีตัวตน เรื่องจิต เรื่องมโนนี่มันเกิดดับๆ อยู่ ตลอดเวลา อธิบายไม่ได้ว่ามันคืออะไร ไม่มีใครสามารถอธิบายได้

เพราะฉะนั้น ในหนังสือของพวกเซ็น พุทธศาสนาฝ่ายเซ็นในจีน ในญี่ปุ่นสมัยก่อน เดี๋ยวนี้ในจีนไม่มีแล้ว แต่ไปอยู่ในญี่ปุ่น ศาสนาเซ็นในเมืองจีนหายไป ไปอยู่ในญี่ปุ่น


ทีนี้ในสมัยโน้นในเมืองจีนมีลูกศิษย์คนหนึ่ง เข้าไปหาอาจารย์โพธิธรรม
โพธิธรรมนี่เป็นพระอินเดีย ที่นำพุทธศาสนาฝ่ายเซ็น คือฝ่ายปฎิบัติแบบเซ็นไปเมืองจีน เมื่อไปถึงเมืองจีนพระเจ้าแผ่นดินที่เมืองจีนก็มาหา แล้วก็มาบอกว่า ท่านได้ทำอะไรก็มาก ได้บวชคนก็เยอะ ได้สร้างวัดอะไรต่ออะไรก็มาก แล้วก็ถามว่า ที่ทำไปทั้งหมดจะได้กงเต๊กหรือไม่ คือหมายความว่าจะได้กุศลหรือไม่

เราได้ยินคำในเมืองไทยว่า ทำกงเต๊กอยู่บ่อยๆ เช่นว่ามีศพนี่ก็ทำกงเต๊ก แล้วพระเจ้าแผ่นดินท่านก็ถามท่านโพธิธรรม ว่าที่ทำทั้งหมดได้กงเต๊กหรือไม่ ท่านโพธิธรรมท่านตอบอย่างโผงผางตรงไปตรงมาบอกว่า ไม่ได้ความเลย เป็นการทำฉาบฉวยเอาหน้าเอาตาไปเท่านั้นเอง ไม่ได้กุศล กงเต๊กเขาหมายเอากุศล ไม่ฉลาด ไม่ได้ปัญญา เป็นแต่เรื่องทำทานวัตถุภายนอก ไม่ได้ปัญญาอะไรพระเจ้าแผ่นฟังแล้วก็งงเหมือนกัน แต่ทีหลังได้คำอธิบายก็เกิดความรู้ความเข้าใจ

ทีนี้คราวหนึ่งมีคนคนหนึ่ง เป็นนักบวชอยู่เหมือนกันแต่ว่าบวชแบบอื่น ในพุทธศาสนาเมืองจีนมันมีหลายนิกาย นิกายสุขาวดี นิกายอะไรมีอยู่ สวดมนต์ชักลูกประคำ โอม นโม โยมเมธาหุต พระอมิตาภะพุทธ สวดเรื่อยๆ ไป ก็มาหาท่านโพธิธรรม มาถึงก็มายืนอยู่ที่นอกห้อง ท่านก็ไม่เปิดประตูรับ ท่านแกล้งดูว่าจิตใจขนาดไหน มีความอดทนขนาดไหน แล้วฤดูนั้นเป็นฤดูหนาวเสียด้วย อากาศหนาวมากหิมะตกลงบนพื้นดิน

องค์นั้นไปยืนหิมะตกลงมาเรื่อยๆ จนท่วมฝ่าเท้าแล้ว ถึงหน้าแข้งแล้วถึงเข่าแล้วท่านก็ไม่เปิดประตูรับ องค์นั้นก็ไม่ถอยเหมือนกัน เรียกว่าลูกศิษย์ก็สำคัญเหมือนกัน รู้ว่าอาจารย์ลองใจแข็งสู้เอา ยืนอยู่นั่นแหละ ยืนๆ ไปอาจารย์เห็นว่ามันพอได้แล้วเจ้านี่ ทนดีอยู่ ก็เลยเปิดหน้าต่างไม่ได้เปิดประตู เปิดหน้าต่างโผล่หัวออกมาถามว่ามีธุรอะไร ท่านก็บอกว่า อยากจะมาขอร้องให้ท่านอาจารย์ช่วยขูดเกลาจิตให้สักหน่อย


อาจารย์บอกว่าจิตมันอยู่ตรงไหนหยิบออกมาซีจะเกลาให้ ว่าอย่างนั้น พออาจารย์ว่าอย่างนั้น คนที่มาก็เกิดปัญญาขึ้นมา เกิดความรู้โพล่งขึ้นมาทันที บอกว่าจิตมันไม่มี หยิบไม่ได้ ก็อาจารย์บอกว่า หยิบมาซีฉันจะขูดให้ ทีนี้จะหยิบไปให้อย่างไร เมื่อหยิบไปให้ไม่ได้ก็ได้ปัญญา คือได้ปัญญา ว่าจิตไม่มี ได้ความรู้ว่าเป็นอนัตตา เกิดปัญญาขึ้นมาในใจ ว่าอะไรๆ มันไม่มี จะไปจับมันมาขูดได้อย่างไร

ก็เลยบอกกับท่านอาจารย์ว่า ผมรู้แล้ว อาจารย์บอกว่าเข้ามาคุยกันก่อน เปิดประตูให้เข้าทีนี้
แต่ว่ามันพอคุยกันได้อย่างนั้น ก็เลยได้มาคุยกันได้ความรู้ต่อไป เพราะฉะนั้นเรื่องจิตนี่เราอย่าไปเที่ยวค้นให้มันวุ่นวาย เราเพียงแต่บังคับความคิดของเราก็พอแล้ว อย่าไปค้นว่า
อะไรต่ออะไรให้มันวุ่นวายไป ถ้าจะศึกษาเรื่องของจิต ก็หมายความว่าศึกษาถึง เรื่องของอาการที่มันเป็นอยู่
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 05:43:09 am »

พระองค์เห็นว่าท่านเหล่านี้ได้บวชได้เรียนแล้ว
ก็ควรจะได้มีการอบรมบ่มนิสัย ให้เข้าถึงธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ลึกซึ้งต่อไป จึงได้นำเดินลงมาทางไต้
เดินมาตามกระแสน้ำ มาถึงที่เนินบริเวณหนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้เมืองคยา มันเป็นเนินสูงกว้างเรียบ
ธรรมชาติมันแต่งไว้อย่างนั้น แล้วก็อยู่ติดฝั่งน้ำ นั่งตรงนั้น แล้วเห็นกระแสน้ำไหลไป น่าดู
แต่ว่าในสมัยนี้ถ้าไปนั่งตรงนั้นก็ไม่น่าดู เพราะว่าน้ำมันไม่มี แม่น้ำมันตื้นเขินเพราะถูกทำลายต้นน้ำ
เห็นแต่ทรายแล้วก็มีกระแสน้ำน้อยๆ ไม่น่าดูเท่าใด
สมัยพระพุทธเจ้าสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว น้ำมันล้นฝั่งไหลตลอดเวลาก็คงจะน่าดูไม่ใช่น้อย
เพราะพระองค์เลือกชัยภูมิที่เหมาะ เพื่อให้เป็นสัปปายะ หมายความว่า ให้สบายแก่คนที่จะฟังคนที่จะพูด
แล้วก็เป็นที่สงบเงียบ ไม่พลุกพล่านด้วยผู้คน จึงนำภิกษุทั้งพันรูปไปสู่สถานที่นั้น แล้วก็ตรัสอาทิตตปริยายสูตร

ใจความในอาทิตตปริยายสูตรนี้ก็พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับความร้อน ขึ้นต้นว่า จกฺขุ ภิกฺขเว อาทิตฺตํ บอกว่า
ตาเป็นของร้อน รูปเป็นของร้อน ความรู้ทางตาคือจักษุวิญญาณเป็นของร้อน สัมผัสที่เกิดจากตา รูป วิญญาณ
เป็นของร้อน เวทนาที่เกิดจากตา รูป ความรู้ทางตา และผัสสะก็เป็นของร้อน
ร้อนเพราะอะไร ร้อนเพราะ
ไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ
ในภาษาบาลีเรียกว่า ราคัคคิ ไฟคือราคะ โทสัคคิ ไฟคือโทสะ โมหัคคิ ไฟคือโมหะ


อาทิตตปริยายสูตรนี้ ฟังแล้วมันเพราะเหมือนกัน ถ้าเรารู้ภาษาบาลีนิดหน่อย
นิมนต์พระท่านสวดสูตรนี้แล้วมันฟังเพราะ ภาษาที่ใช้สั้นๆ น่าฟังอยู่เหมือนกัน มีความเคลิบเคลิ้ม เสียงมันเพราะ
เขาจึงเอาสูตรนี้มาใช้สวดอยู่บ้างในเวลาเกี่ยวกับงานต่างๆ เช่น งานศพงานเศร้าโศก ทำบุญห้าสิบวัน อะไรเหล่านี้
ใช้สวดสูตรนี้เรียกว่า อาทิตตปริยายสูตร พูดถึง เรื่องความร้อนอันเกิดจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรียกว่า อายตนะ

อายตนะแปลว่าที่ต่อ เครื่องต่อ มันไปต่อกับสิ่งภายนอก
อายตนะนั้นมีสองอย่าง เรียกว่า อายตนะภายใน อายตนะภายนอก อายตนะภายในก็อยู่ที่ตัวเรา
อายตนะภายนอกก็สิ่งที่อยู่ข้างนอก ซึ่งมันจะมาต่อกับของข้างในได้ เช่นรูปที่เป็นอายตนะภายนอก รูป เสียง
กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันนี้เป็นของภายนอก มาต่อกับภายในคือต่อกับของที่อยู่กับตัว รูปมาต่อเข้าที่ตา
เสียงมาต่อเข้าที่หู กลิ่นมาต่อเข้ากับประสาทจมูก รสมาต่อกับประสาทลิ้น โผฏฐัพพะมาต่อกับประสาททางกาย
ธัมมารมณ์มาต่อเข้ากับใจ เมื่อสิ่งเหล่านี้มาสัมผัสกันเข้า คือมาต่อกันเข้า
มันก็เกิดอะไรขึ้นอย่างหนึ่งในจิตใจของเรา เขา เรียกว่าเกิดวิญญาณ ความรู้ วิญญาณก็คือความรู้นั่นเอง

มีคนชอบถามว่าในทางพระพุทธศาสนา วิญญาณมีหรือไม่ ก็ตอบได้ตรงไปตรงมา ว่าวิญญาณมี
แต่เราต้องเข้าใจว่าวิญญาณนั้นคืออะไร ที่คนถามโดยมากมักจะสงสัยว่า วิญญาณที่ออกจากร่าง
หมายความ ตายแล้ววิญญาณออกไป ไปนั่นไปนี่ต่อไป หรือว่าเชิญวิญญาณมาพูดกันได้ อะไรอย่างนั้น
เขาก็สงสัยว่ามันจะเหมือนรูปนั้นหรือไม่
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 05:28:07 am »

ครั้งแรกที่ชฎิลพบพระองค์นั้น ก็นึกชอบเหมือนกัน ชอบกิริยาท่าทาง ชอบความสง่าผ่าเผยสงบเสงี่ยม
แต่ว่ามีความหยิ่งอยู่ในตัว คือนึกว่าสมณองค์นี้ดูเข้าทีเหมือนกัน แต่ว่าคงจะไม่เป็นพระอรหันต์ เหมือนอย่างเรา
ว่าเสียอย่างนั้น เพราะว่าคนในสมัยนั้น ก็ฝันกันเรื่องพระอรหันต์นี้มาก อยากจะเห็นพระอรหันต์ คำว่าอรหัตต์
อรหันต์ ไม่ใช่เป็นคำใหม่ แต่ว่าเป็นสิ่งที่คนในอินเดีย ในสมัยนั้นอยากจะถึงอยู่เหมือนกัน จึงออกป่าปฏิบัติ
เพื่อจะให้ถึงธรรมะส่วนนี้ แล้วก็คงจะได้บ้างนิดหน่อย เช่นใจมันสงบขึ้น ก็นึกว่านี้แหละอรหันต์แล้ว
นี่แหละคุณธรรมของพระอรหันต์ แต่ว่ายังไม่ถึงจุดสุดยอด ก็นึกว่าตัวนี่เป็น สำคัญผิดไป
เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นพระพุทธเจ้า ก็สำคัญผิดไปว่าพระพุทธเจ้านี่เก่งแต่ไม่เหมือนเรา มันมีอัตตาอยู่ไม่รู้ตัว
เพราะนึกว่าตัวเก่งกว่าเขา ตัวไม่เก่งเหมือนเขา นี่มันเป็นอัตตา ยังทำลายตัวตนไม่ได้ มันเลยคิดอย่างนั้น

พระพุทธเจ้าท่านก็เข้าไปอย่างสุภาพเรียบร้อย ไปถึงก็ไปขอพักอาศัย แล้วก็ชี้ไปที่โรงบูชาไฟเสียด้วย
พวกนั้นก็บอกว่าไม่ได้ ไปพักที่นั้นไม่ได้ เพราะนั่นมีงูพิษร้าย มีพญานาค ถ้าเข้าไปอยู่มันพ่นพิษใส่ก็ตายเท่านั้นเอง
พระองค์บอกว่าไม่เป็นไร เราอยู่ได้ ก็เลยเข้าไปอยู่ที่นั่น พวกนั้นก็นึกว่า ตายแล้ว ตื่นเช้าก็รีบมาดู
นึกว่าสมณะโคดมนี้ตายแล้วถูกพิษนาค แต่มาถึงเห็นสมณะนั่งหลับตาสงบอยู่
พวกนั้นก็นึกว่า เอะเก่งแฮะไม่เสียหายอะไร แต่ก็นึกว่ายังไม่เหมือนเรา ยังมีอยู่ ทิฏฐิมานะมันยังไม่คลาย
ยังนึกว่าตัวเองเก่งกว่าอยู่นั่นเอง มีวิธีหลายอย่าง

ที่นี้คราวหนึ่งเกิดน้ำท่วมใหญ่ฝนตกหนัก ต้นน้ำไหลมาท่วมเจิ่งไปหมด พวกนั้นก็ตกใจ
นึกว่าสมณะโคดมคงจะสิ้นอายุแล้วเพราะน้ำท่วม หาเรือไปเที่ยวค้นคว้า
ผลที่สุดก็ไปเห็นพระองค์เดินจงกรมอยู่ในที่น้ำมันว่าง เดินจงกรมอยู่ พวกนั้นก็เลื่อมใสบอกว่า เก่งจริง
น้ำท่วมก็ยังไม่ตายนับว่าเก่ง เลยก็ยกนิ้วให้ ยอมเป็นศิษย์ เลยลอยเครื่องบูชาไฟ ลอยบริขารอะไรลอยหมด
โกนผมแบบชฎิลออก แล้วก็นุ่งผ้ากาสายะแบบพระพุทธเจ้า เป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา ชนะไปด่านหนึ่งแล้ว

น้องชายกลางอยู่คุ้งน้ำที่สอง นั่งอยู่บนกุฏิ มองไปเห็นอะไรลอยอยู่เยอะแยะ นั่นมันเครื่องสังขารของพี่ชาย
ถ้าจะเกิดโจรปล้นแล้ว เลยพาบริวารมา มาถึงเห็นพี่ชายนั่งอ่อนน้อมหมอบราบอยู่แทบเท้าพระพุทธเจ้า
ก็ไม่ถามอะะไรแล้ว เพราะไว้ใจพี่ชายมีปัญญามีความคิดมีความอ่าน เมื่อไปยอมตนเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้าแล้ว
ก็นับว่าเก่ง เลยลอยบริขารอีกเหมือนกัน โกนผมโกนเคราเข้าบวชในพระพุทธศาสนา
น้องชายคนที่สามก็ทำอาการเช่นกัน ผลที่สุดก็เลยบวชหมด ทั้งหัวหน้าทั้งบริวารก็เป็นพันหนึ่งพอดี
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 05:22:57 am »

ทีนี้คนในสมัยนั้น มีความเคารพผู้ใหญ่ เคารพนักบวชที่มีชื่อเสียง
เคารพพระราชามหากษัตริย์ผู้ทรงอำนาจในราชอาณาเขต เคารพเศรษฐีผู้มั่งคั่งมีทรัพย์สมบัติ
คนสามพวกนี้เป็นที่เคารพของมหาชน เมื่อจะไปสอนมหาชน ก็ต้องไปสอนคนที่เขาเคารพเสียก่อน
คนที่เขาเคารพมากที่สุดก็คือนักบวช เพราะพวกนักบวชนี้ไม่กระทบกระเทือนอะไรกัน ไม่มีปัญหา
ไม่มีเรื่องขัดแยังกันในทางผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นการเมือง การเศรษฐกิจอะไรๆ ทั้งนั้น เพราะนักบวช
เป็นพวกที่ปลีกตัวออกจากความวุ่นวาย เพื่อดูความวุ่นวายทั้งหลาย แล้วคิดว่าจะแก้ไขเขาอย่างไรต่อไป

เพราะฉะนั้นในคนที่ชาวบ้านนับถือสามคนก็ต้องเอานักบวชก่อน เพราะว่าเป็นที่เคารพของมหาชนทั่วๆ ไป
พระองค์จึงได้ไปเริ่มที่จะสั่งสอนในแคว้นมคธ ก็เห็นว่ามีสามคนนี้เป็นหัวโจกใหญ่
แล้วก็สามคนนั้นเป็นพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน ก็ต้องไปสอนพี่ชายเสียก่อน เพราะว่าพี่ชายนั้นเป็นที่เคารพของน้อง
ถ้าสอนพี่ชายได้แล้ว น้องทั้งสองก็ไม่ต้องพูดมากให้เสียเวลา คงจะยกธงขาวได้ง่ายๆ
อันนี้เรียกว่า วิธีการของพระผู้มีพระภาคเจ้า ในเรื่องการที่จะไปสอนธรรมะ เพราะฉะนั้นก็ระลึกถึงว่า
อุรุเวลกัสสปก็เป็นคนสำคัญ ก็เป็นที่นับถือของมหาชน เรียกว่าเป็นชฎิลนักบวชชฎิลประเภทไม่โกนผม
แต่ไว้ผมยาวแบบฮิปปี้ แล้วก็เกล้าเป็นเชิงไว้บนหัว
พวกฮิปปี๊คงจะเอาอย่างชฎิลนั้นเอง เพราะว่ามันชอบพวกนี้เหมือนกัน

ในอเมริกามีนักบวชอินเดียไปเที่ยวตีกลองร้อนเพลง อะเรลามๆ พวกฮิปปี๊เดิมตามหลังเป็นแถวไปเลย
มันเห็นว่าแปลกดี พวกฮิปปี๊มันชอบอย่างนั้น แล้วก็แต่งเนื้อแต่งตัวมันพอเข้ากันได้ ฮิปปี๊ก็รุ่มร่าม
นักบวชพวกนั้นก็รุ่มร่ามเหมือนกัน ได้กล่องซักใบก็เที่ยวตีร้อง อะเรลามๆ พวกฮิปปี๊ก็ร้องลั่นเป็นแถวไป
กลายเป็นก๊กใหญ่ขึ้นมามันเป็นอย่างนั้น เรียกว่ามันพอเข้ากันได้ฝากับตัวคล้ายๆ กัน เท่าเทียมกัน
พระองค์ก็เสด็จไปสู่สำนักแรกของชฎิลคนหัวปี ซึ่งตั้งอาศรมอยู่ที่คุ้งแม่น้ำเนรัญชรา
แม่น้ำเนรัญชรามันก็ไหลผ่านเมืองคยา ไหลผ่านบริเวณต้นโพธิ์ แต่ว่าสูงขึ้นไปมันเป็นคุ้งๆ คือมันคดเข้าไป
ตั้งอยู่ที่เป็นแหลมน้ำมันเซาะ สร้างบ้านสร้างเมืองริมแม่น้ำ มันต้องเลือกชัยภูมิที่มันเป็นแหลมออกมา
ถ้าเว้าเข้ามาน้ำมันเซาะทุกปี ที่นั่นเป็นกาลกิณี อยู่ไม่ได้บ้านเมืองมันพัง แต่ถ้าโค้งอย่างนี้มันมีแต่จะยื่นออก
น้ำมันไม่เซาะ ชฎิลก็ตั้งหลักแหล่งที่นั่น ทำการบูชาไฟ

คือถือว่าไฟนี้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นของชำระชะล้างสิ่งสกปรกให้หายไป เช่นขยะมูลฝอยนี้ชำระด้วยไฟ
ศพตายก็เผาด้วยไฟ ไฟจึงเป็นเหมือนกับสิ่งชำระ เขาเลยจุดไฟแล้วนั่งกราบไหว้ ท่องคาถาอาคมเช่นว่า
ต้องว่าโอมอัคคี โอมอัคคนี ว่าไปตามเรื่องใจมันก็เป็นสมาธิเหมือนกัน เพราะตาเพ่งไปที่กองไฟ ใจก็สวดไป
ใจก็มีสมาธิมีความสงบ แต่ว่าไม่ก้าวหน้าในด้านปัญญา เพราะไปติดอยู่แต่เพียงความศักดิ์สิทธิ์
มีฤทธิ์มีเดชของสิ่งนั้น ไม่ได้ก้าวไปสู่ขั้นปัญญาต่อไป จิตมันอยู่เพียงเท่านั้นเอง เขาก็มีชื่อเสียงเป็นที่เคารพ
และปรากฏว่าพวกนี้นับถืองูด้วย เอางูตัวใหญ่ๆ มาเลี้ยงไว้ในโรงบูชาไฟ แล้วมันอุ่นในโรงนั้น
งูชอบนอนสบาย อาหารก็มีกิน พระพุทธเจ้าก็ไปพบกับชฎิลนั้น
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 05:21:08 am »

ในพระสูตรทางพระพุทธศาสนามีพระสูตรหนึ่งเรียกว่า อาทิตตปริยายสูตร ถ้าจะพูดกันไปแล้ว เรียกว่า
สูตรที่สามที่พระพุทธเจ้าท่านแสดง คือพระสูตรแรกที่ทรงแสดงก็คือ ธัมมจักกัปปวัตนสูตร
ตรัสกับพวกปัญจวัคคีย์ทั้งห้า ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี เป็นการสอนทดสอบ ว่า
คนเหล่านั้นได้เข้าใจในเรื่องที่พระองค์เข้าใจหรือไม่ จะรู้ในเรื่องที่พระองค์ได้รู้มาหรือไม่
เป็นการสอนแบบทดสอบก่อน แต่ว่าได้ผล คือท่านทั้งห้าที่นั่งฟังอยู่นั้น ได้ความรู้ความเข้าใจชัดเจนถูกต้อง
องค์หนึ่ง คือท่านพระโกณทัญญะ พระพุทธเจ้าจึงแถมชื่อให้ข้างหน้า ว่า "อัญญาโกณทัญญะ"
ก็เนื่องมาจากความรู้นี่แหละ คือเมื่อเห็นว่ารู้ พระองค์ก็บอกว่า อัญญาสิ วต โภ โกณทัญโญ
แปลว่า โกณทัญญะรู้แล้ว โกณทัญญะรู้แล้ว เข้าใจแล้ว ก็เลยเติมชื่อให้ข้างหน้าว่าอัญญาโกณทัญญะ นั่นคือ
ผลของการเทศน์ครั้งแรก ท่านทั้งห้าเข้าใจความหมายธรรมะที่พระองค์ทรงแสดงเพียงรูปเดียว

ทีนี้ต่อมาก็แสดงพระสูตรที่สองเรียกว่า อนัตตลักขณสูตร
พระสูตรนี้พูดถึงเรื่องอนัตตา อันเป็นธรรมะสูงสุดทางพระพุทธศาสนา
เป็นการอบรม วิปัสสนาญาณให้แก่ท่านทั้งห้านั่นแหละ คือปัญจวัคคีย์ แต่ว่าองค์แรกได้รู้เพราะธัมมจักร
อีกสี่องค์ก็สอนไป หลายวันสอนอบรมบ่มนิสัยอีกสี่วัน แล้วก็ได้บวชเช่นเดียวกันมีความรู้ความเข้าใจเหมือนกัน
แล้วก็ควรจะอบรมบ่มวิปัสสนาญาณให้แก่กล้า เพื่อพ้นทุกข์ พระองค์จึงได้เทศน์อนัตตลักขณสูตร
เรื่องเกี่ยวกับอนัตตา คือ สิ่งหลายไม่มีตัวตน รูปเป็นอนัตตา สัญญาเป็นอนัตตา สังขารเป็นอนัตตา
วิญญาณเป็นอนัตตา เรื่องอนัตตาที่เราสวดเมื่อตะกี้นี้แหละเราสวดว่า รูปัง อนัตตา
นั่นคือข้อความจากพระสูตรอันที่สอง ที่พระผู้มีพระภาคแสดงในคราวนั้น


ครั้นต่อมาก็ได้ตรัสสูตรที่สาม พระสูตรที่สามนี้เกี่ยวกับความร้อน เรียกว่าอาทิตตปริยายสูตร
สูตรที่เปรียบด้วยความร้อน ทำไมจึงได้ตรัสเรื่องนี้ เรื่องร้อนๆ ก็เพราะว่า ผู้ฟังนั้นเป็นคนชอบของร้อน มาก่อน
พวกที่ชอบของร้อนมาก่อนนี่ก็คือ ชฎิลสามพี่น้องที่เป็นหัวหน้าพร้อมด้วยบริวารอีกจำนวนหนึ่ง
มีรวมกันทั้งหมดตั้งพันรูป ชฎิลสามพี่น้องนี้ เป็นคนมีเกียรติมีชื่อเสียงในด้านวิชาการ
ถ้าในสมัยนี้ก็ เรียกว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ เป็นคนเคารพนับถือของมหาชนในเมืองราชคฤห์
หรือในแคว้นมคธก็ว่าได้ พระองค์จะไปสอนประชาชนในแคว้นนั้น
ถ้าปราบหัวโจกลงไม่ได้ การสอนก็จะมีปัญหา ยังมีคนขัดคอกันเรื่อยไปไม่จบสิ้น

เพราะฉะนั้นจะต้องไปปราบหัวโจกเสียก่อน เหมือนกับเราปราบโจรต้องปราบโจรใหญ่ก่อน โจรเล็กๆ ไม่ยาก
เมื่อโจรใหญ่ถูกปราบโจรเล็กก็หมอบราบคาบแก้วไปเอง วิธีการของพระพุทธเจ้านี้ ก็เหมือนกัน
อันนี้ขอแทรกนิดหน่อยว่า พระพุทธเจ้าของเรานั้น ทรงกระทำกิจการงานด้วยปัญญา ไม่ใช่ทำเฉยๆ แต่ว่าใช้ปัญญา
มีแผนการมีวิธี ว่าจะทำอย่างไรให้งานมันสะดวก
ทำอย่างไรไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่ง ในระหว่างคนทั้งหลาย ที่พระองค์จะสั่งสอนต่อไป