แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ฐิตา

หน้า: [1] 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 ... 724
2
เข้าใจว่า _ไปกดอะไรผิด เลยเข้าเว็บไม่ได้ค่ะ
ขอบคุณน้องบอล

3
ทำไม...จึงไม่รู้จัก"ต้นสาละ"
ทำไม...จึงเข้าใจสับสน
ทำไม...จึงเข้าใจกันผิด

     คนไทยมักรู้จักแต่ชื่อ"ต้นสาละ"ในพุทธประวัติกันมานาน แต่มาเข้าใจสับสนเข้าใจต้นสาละกันผิดๆ เพราะในช่วงแรกไปได้ข้อมูลผิดๆมาจากชาวศรีลังกาที่เขาก็เข้าใจมาผิดเช่นกัน

     ในปี พ.ศ.๒๔๙๘ ท่านพุทธทาสภิกขุได้ไปเยือนอินเดีย และกลับมาในปี พ.ศ.๒๔๙๙  โดยได้นำต้นสาละมาปลูก ณ สวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานีเป็นต้นแรกในประเทศไทย  และหลังจากนั้นก็มีท่านอื่นๆได้ไปนำต้นสาละจากอินเดียมาปลูกอีกหลายต้น  จนกระทั่งต้นสาละที่ปลูกไว้ในประเศไทยได้ออกดอกออกผล  จึงได้เพาะขยายพันธุ์นำไปปลูกต่อๆกันมา
     นับเวลาที่มีการปลูกต้นสาละในประเทศไทยถึงปัจจุบัน ปี๒๔๙๙ - ๒๕๖๓ ได้ ๖๔ ปี แต่ทำไมคนไทยยังไม่รู้จักต้นสาละที่แท้จริง ก็เพราะด้วยสาเหตุต่างๆ
     ๑.ต้นสาละเป็นไม้วงศ์ยาง ต้องใช้เวลานานถึง ๑๕ ปีถึงจะออกดอกออกผล
     ๒.ต้นสาละเป็นไม้ในถิ่นอินเดีย  เมื่อนำมาปลูกในไทยทำให้ปลูกให้รอดยาก ต้องมีเหตุปัจจัยต่างๆช่วยให้เหมาะสม
     ๓.ต้นสาละจะออกดอกออกผลได้ต้องมีอากาศและสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมเท่านั้น  และอาจจะไม่ได้ออกดอกทุกปี
     ๔.การเพาะเมล็ดสาละให้โตเป็นต้นกล้าที่แข็งแรงพร้อมจะนำไปปลูกต้องใช้เวลาประมาณ ๓ ปี
     ๕.การปลูกต้นสาละต้องเลือกพื้นที่น้ำไม่ขัง  ไม่แฉะ  ไม่ท่วม  และเป็นดินระบายนำ้ได้ดี
     ๖.การปลูกต้นสาละต้องดูแล บำรุง รักษา ต่อเนื่อง และยาวนานถึง ๕ ปี จึงจะปล่อยให้เติบโตตามธรรมชาติต่อไป
     ๗.การดูแลต้นสาละต้องให้นำ้เป็นประจำ หากนำ้น้อยอาจจะไม่รอด  ไม่โต นำ้น้อยได้แค่ประทังกันตายเท่านั้น  หากให้นำ้มากพอเปียกถึงรากจะทำให้ต้นสาละโตไว
     ๘.ด้วยสาเหตุที่ปลูกต้นสาละแล้วไม่ได้รับการดูแลต่อเนื่อง จึงทำให้มีต้นสาละที่โตเป็นไม้ใหญ่ให้เห็นกันน้อยมาก  จากการสำรวจของชมรมรักษ์สาละ  ทั่วประเทศไทยมีต้นสาละที่โตเป็นไม้ใหญ่จำนวนไม่ถึง  ๒๐  ต้น เป็นสาเหตุที่คนไทยไม่รู้จักต้นสาละที่แท้จริง
     ๙.ด้วยต้นสาละต้องมีสิ่งแวดล้อมและอากาศที่เหมาะสมจึจะออกดอกออกผล  คนไทยส่วนใหญ่จึงไม่เคยเห็นดอกสาละที่แท้จริง  และไปหลงเข้าใจผิดว่าดอกลูกปืนใหญ่เป็นดอกสาละแทน  และทางชมรมรักษ์สาละได้มีการสำรวจต้นสาละที่เคยออกดอกทั่วทั้งประเทศไทย มีจำนวนเพียง  ๘  ต้น ใน  ๘  จังหวัดเท่านั้น คือ
   ๑.เชียงใหม่
   ๒.ลำปาง
   ๓.สระบุรี
   ๔.อ่างทอง
   ๕.ชลบุรี
   ๖.กรุงเทพมหานคร
   ๗.เพชรบุรี
   ๘.ปัตตานี
     ซึ่งมีอากาศและสิ่งแวดล้อมเหมาะสม จึงทำให้ต้นสาละสามารถออกดอก

     ๑๐.ในปี พ.ศ.๒๕๐๐ ได้มีคณะคนไทยไปยังประเทศศรีลังกา  ได้ไปพบเห็นต้นไม้ชนิดหนึ่งเป็นไม้ยืนต้นเป็นไม้เนื้ออ่อน มีงวงออกจากลำต้นมากมาย และในงวงก็จะมีช่อดอกมีสีชมพูส้มสวยมาก  มีลูกกลมใหญ่คล้ายลูกปืนใหญ่โบราณ โดยชาวศรีลังกาได้บอกว่าเป็นต้นซาล(Sal)  ซึ่งปกติต้นซาล(Sal) คือ ช่ือทางพฤกษศาสตร์ของต้นสาละ(สาละอินเดีย) แต่ลักษณะของต้นดังกล่าวมันไม่ใช่ต้นสาละในพุทธประวัติ  แต่คณะคนไทยก็ได้นำต้นดังกล่าวมาปลูกในประเทศไทย  ด้วยความคิดที่ว่าน่าจะไม่ใช่ต้นสาละในพุทธประวัติ  จึงเรียกต้นนั้นว่าสาละลังกา(คือ ต้นสาละตามที่ชาวศรีลังกาบอกและนำมาจากศรีลังกา)   คิดว่าหากเป็นต้นซาล(Sal) หรือ สาละจริงๆคงจะเรียกว่า ต้นซาล(sal) หรือ ต้นสาละแล้วตั้งแต่นั้น  ด้วยต้นสาละลังกา เป็นพืชที่เติบโตง่าย จึงมีการขยายพันธุ์ปลูกกันไปทั่วประเทศด้วยความหลงเข้าใจผิดกัน  เพราะคนที่เอาไปปลูกก็ไม่ได้รู้จริงโดยรู้ตามที่เขาบอกต่อๆกันมาผิดๆ  และอีกสาเหตุเนื่องจากคนไทยมักชอบเรียกอะไรง่ายๆสั้นๆ เขียนกันสั้นๆว่า ต้นสาละ  และเมื่อต้นสาละไปอยู่ในวัดของพุทธศาสนา  จึงเป็นการตอกย้ำให้ชาวพุทธเข้าใจว่าเป็นต้นสาละในพุทธประวัติโดยไม่ได้ศึกษาข้อเท็จจริงให้เข้าใจกันให้ถูกต้อง
     ต่อมาภายหลังชาวศรีลังกาได้ทราบข้อมูลทางพฤกษศาสตร์ที่ถูกต้องของต้นไม้ที่ให้คนไทยมาปลูก ว่าที่เคยบอกไปนั้นมันผิดพลาด จึงได้ทำหนังสือถึงประเทศไทย พร้อมชี้แจงข้อเท็จจริงว่าเป็น #ต้นลูกปืนใหญ่(Cannon ball Tree)โดยชื่อนี้เป็นชื่อสามัญทางพฤกษศาสตร์ที่ถูกต้องโดยมีที่มาจากลักษณะของผล ลูกปืนใหญ่  แต่ด้วยมีการเรียกผิดๆว่าต้นสาละ และฝังในหัวคนไทยมานาน  อีกทั้งก่อนนั้นการสื่อสารประชาสัมพันธ์ก็ไม่ทันสมัยเหมือนเช่นปัจจุบันที่มีโซเชียลมีเดีย ทำให้คนไทยเข้าใจกันได้น้อยมาก

     คนไทยทั้งหลายเมื่อทราบแล้วว่าต้นไหนคือ ต้นสาละ(Sal)ที่แท้จริง  และ ต้นไหนคือ ต้นลูกปืนใหญ่(Cannon ball Tree) ได้โปรดศึกษาทำความเข้าใจให้ถูกต้อง และเผยแพร่บอกต่อข้อเท็จจริงนี้  อย่าได้ฝืนกระแสความจริงนี้เลย...สาธุ  สาธุ  สาธุ
               หลวงสิน ชมรมรักษ์สาละ
                    ๑๔  ตุลาคม  ๒๕๖๓

https://www.facebook.com/groups/630313774119219/permalink/954228358394424/

4
ธรรมะเสวนา / Re: เล่าให้ฟัง :PULING的主頁 [2]
« เมื่อ: มกราคม 20, 2020, 06:03:19 am »
มนุษย์ เป็น

ผลงานมหัศจรรย์ของธรรมชาติ

เป็น จักรกล คอมพิวเตอร์ชีวภาพ

.

สิ่งมีชีวิต เกิดจากกฎข้อเดียวคือ

"กิน หลีกเลี่ยง การถูกกิน"

.

พฤติกรรม 3600ล้านปี

จากเซลล์ชีวิตแรก กลายมาเป็น ซับซ้อน

จนมีมนุษย์

เราก็ยังทำตามกฎนั้น โดยไม่รู้ตัว

.

สิ่งมีชีวิต

มีจิต

เป็นส่วนหนึ่งของสังคม
.
และที่สำคัญคือ
"ต้องปรับตัว อยู่กับสิ่งแวดล้อม"
.
"ต้องปรับสิ่งแวดล้อมเข้าหาตัว"
.
การปรับตัว เป็นหนึ่งในกลไก วิวัฒนาการธรรมชาติ
ที่คัดเลือก ชีวิตที่เหมาะสม ให้อยู่รอด และมีโอกาส กระจายพันธุ์
.
การคัดเลือกของธรรมชาติ

มีกฎที่ค้นพบ ไม่กี่ข้อ
.
1.วิวัฒนาการ จะสร้างสิ่งที่เรียบง่าย ให้ซับซ้อนขึ้น
.
2.สิ่งไหนไม่ได้ใช้ จะถูกทำลายทิ้ง
.
3.การเปลี่ยนแปลง รูปร่าง พฤติกรรม

จะมีการคัดเลือกโดย
....อาหาร ชนิดอาหาร
....ศัตรู ตามธรรมชาติ
...จากสายพันธุ์เดียวกัน ล่า ทำลายกันเอง
...สิ่งแวดล้อม ที่แปรปรวน
...ความต้องการของ วัฒนธรรมในสังคม
.
การปรับตัวมีจุดประสงค์ เพื่อให้ชีวิตนั้น
อยู่รอด-อยู่ร่วม
แข่งขัน-แบ่งปัน
มีโอกาส สืบทอด แพร่พันธ์ตนเอง
.
เมื่อ กระทบกับสิ่งแวดล้อม
จะมีการปรับตัวแบบต่างๆ คือ
.
เป็นปฏิกริยาอัตโนมัติ

เช่นซ๊อค เป็นลม

.
หยุดนิ่ง ซ่อนตัว

.
หนี

.
สู้

.
เปลี่ยนแปลง ตนเอง โดยวิธีการต่างๆ
.
1.พัฒนาตนเอง
หาตัวอย่างที่ชอบเชื่อ

และพัฒนา ยกระดับตนเองตามนั้น
.
2.กร้าวร้าว มากขึ้น
โจมตีผู้อื่น ตนเอง หาเหตุผลเข้าข้างตนเอง
หรือ โจมตีเป้าหมายอื่นทดแทน
เช่นมาทะเลาะกับคนใกล้ตัว เมื่ออารมณ์เสียจากการทำงาน
.
3.เรียกร้องความสนใจ มากขึ้น
ทำร้ายตนเอง ให้อ่อนแอ
หยุดพฤติกรรม อยู่ที่วัยใดวัยหนึ่ง

.
ทำตัวน่ารัก หรือ ทำตัวให้อ่อนแอลง
หรือป่วยโดยหาสาเหตุทาง แพทย์ไม่เจอ

.
เช่นประชดชีวิต ด้วยการทำลายสุขภาพตนเอง
เช่นการกิน ดื่ม เสพ ติดพนัน เกมส์ เปนต้น
.
3.หลบออกจาก ความเป็นจริง
เช่นฝันกลางวัน จมกับอดีตที่ชื่นชอม
สะกดจิตตนเอง จน ลืมความเป็นจริงของโลก
.
4.ออกจากสนามแข่งขันนั้น
ตั้งเป้าหมายไล่ล่าใหม่
ในสนามที่ตนสามารถ

ใช้พรสวรรค์ พรแสวงที่ตนได้เปรียบ
.
การเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อปรับตัว
ไม่ควรใช้วิธีใดซ้ำซาก
เพราะจะกลายเป็นบุคลิกภาพ ใหม่
.
นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระดับพันธุกรรม
กระตุ้นยีน กลายพันธุ ทำให้เป็น มนุษย์มะเร็ง
.
หรือกลายเป็น อภิมนุษย์ จน กลายเป็น
"คนลืมตัว วัวลืมตีน"
"กบในกะลา"
เล่าให้ทราบ ไม่ได้บอกให้เชื่อเด้อ

.

ขอบคุณเจ้าของภาพ ข้อมูล

แก้ไข 20/1/20 ...

.

แข็งแรงทุกด้าน ดีด้วยกันทุกคน ทุกวัน 
..
..


//-พาหิยทารุจีริยะ กุลบุตร
คือแรงบันดาลใจให้เกิด นวนิยาย กามนิต วาสิฏฐี
.
พาหิยะ ! พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล ท่านพึงศึกษา
อย่างนี้ว่า เมื่อเห็น จักเป็นสักว่าเห็น
เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง
เมื่อทราบจักเป็น สักว่าทราบ
เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง
ดูกรพาหิยะ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล
.
ดูกร พาหิยะ ในกาลใดแล
เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น
เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง
เมื่อ ทราบจักเป็นสักว่าทราบ
เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง
.
ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มี
(ว่างจากอุปทานในอัตตา)
.
ในกาลใด ท่านไม่มี ในกาลนั้น
ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้
ย่อมไม่มีในโลกหน้า
ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง
นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ
.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พาหิยทารุจีริยะเป็นบัณฑิต
ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
ทั้งไม่ทำเราให้ลำบาก
 เพราะเหตุแห่งการแสดงธรรม
.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พาหิยทารุจีริยะปรินิพพานแล้ว ฯ
ครั้งนั้นแล
พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว
ได้ทรงเปล่งอุทาน
นี้ในเวลานั้นว่า
                         
ดิน น้ำ ไฟ และลม
ย่อมไม่หยั่งลงในนิพพานธาตุใด
.
ในนิพพานธาตุนั้น
ดาวทั้งหลายย่อมไม่สว่าง
พระอาทิตย์ ย่อมไม่ปรากฏ
พระจันทร์ย่อมไม่สว่าง
ความมืดย่อมไม่มี
.
ก็เมื่อใดพราหมณ์ชื่อว่า
เป็นมุนีเพราะรู้ (สัจจะ ๔)
รู้แล้ว ด้วยตน
เมื่อนั้น พราหมณ์ย่อมหลุดพ้นจาก
รูปและอรูป
จากสุขและทุกข์ ฯ
จบสูตรที่ ๑๐
จบโพธิวรรคที่ ๑
อุ. ขุ. ๒๕ / ๘๓ / ๔๙.
...........................................................................
1.จิตปรุงแต่งมี..แต่ไม่เที่ยง
ทนในสภาพเดิมไม่ได้
เป็นไปตาม กฎ เหตุ ปัจจัยปรุงแต่ง ไม่ตามใจใคร
.
2.จิตแท้จิตเดิม มาจากความว่าง กลับสู่ความว่าง
ใครทำให้ว่าง(จากอุปาทาน)ทุกปัจจุบัน
.
จะพบ มหัศจรรย์ของ
การตื่น
ของสัมมาสติ รู้ตัว
โพธิปัญญา รู้คิด
ปรีชาญาณรู้แจ้ง ฉลาดเลือก รู้แจ้ง
.
ไม่มีคือ
"ไม่มีอุปาทานในอัตตา"
.
อุปาทานที่ยึดว่า
"จิตปรุงแต่ง อุปาทานในตัณหา
และขันธ์ห้าเป็นตนเพราะทำอาสวะสิ้นแล้ว " สาธุ
.
................................................
พุทธศาสนา มีสามมิติ
.
1.เพื่อสืบพระศาสนา
เป็นไปตามกระแสวัฒนธรรม
 อัตโนมติ ของอาจารย์ และตัวเราเอง
จะเชื่อ ชอบ อย่างไร
ตกผลึกความคิดอย่างไร ตามกาล
.
2.เพื่อ เป็น ธรรมะคุ้มครองสังคม
(ธรรมบาล)
ต้องช่วยกันสร้าง บุคคล
ที่มีคุณค่า และรักษ์ คนที่มีคุณค่า คือ
-บุพการี และกตัญญูชน
-หิริ โอตตัปปะ
-ผู้ทำหน้าที่ แล้วโชคดี ตามหลัก มงคลชีวิต
-ผู้ มีความสุข จากจิตอาสา และแบ่งปัน หมุนเวียนสิ่งดีๆ
ให้ สามโลก
โลกที่ประกอบเป็นตน (สังขารโลก)
เป็นโลกของสังคม (สัตว์โลก)
เป็นระบบชีวาลัย สิ่งแวดล้อม (โอกาสโลก)
 ดีด้วยกัน
.
3.ทำนิพานให้แจ้ง
พบความสงบ เย็น เบิกบาน มั่นคง ในอารมณ์
เลิกปรุงแต่งอารมณ์ทุกข์ อย่างสิ้นเชื้อ ไม่เหลือ
อาสวะ สาสวะ ให้ยึดมั่น ถือมั่นอีก
.
3.1-เห็นถูกต้องตามคัลลองธรรมว่า
การกระทำของ
ผู้ให้กำเนิด
กรรมพันธุ์
สิ่งแวดล้อม
การปรุงแต่งเจตนาของเรา
ทำอย่างใดได้อย่างนั้น....
.
สิ่งที่อยู่ใกล้ คือ
 "เจตนาของเรา"
ต้องจัดการก่อน
.
3.2-พุทธศาสนา มี สักายทิฎฐิ
 (เชื่อว่าตายแล้วเกิด)
 เป็นฐานศรัทธาชน
เพื่อให้ ละชั่ว เจริญกุศลให้ยิ่ง
.
3.3-พุทธศาสนา เพื่อความหลุดพ้น อุปทาน
ต้อง ข้ามความเชื่อ ของทิฎฐิทั้งสอง
.
คือ สักกายทิฎฐิ(เชื่อว่าตายแล้วเกิด)
และ อุจเฉทฎฐิ(เชื่อว่าตายแล้วสูญ)
.
ทางสองสายที่ไม่ควรเข้าไปถึงส่วนสุด(สัมมาทิฎฐิ)
.
3.4-พุทธศาสนา ให้ความสำคัญ ของ
การฝึก ปลุก
สติรู้ตัว
ปัญญารู้คิด
ปรีชาญาณฉลาดเลือก รู้ตื่น
 กุมสภาพจิตปรุงแต่ง
.
จน ไม่ชงอารมณ์ทุกข์ มาซ้ำเติมชีวิตตนเอง
.
ฝึกมีความอดทนต่อเวทนาทุกข์ กว่ามนุษย์ธรรมดา พันเท่า
.
ฝึกมีจิต ยอมรับ สภาวะทุกข์ ที่มีไตรลักษ์ กำกับ
.
และฝึก ท่องไปในอดีต
แยก ความคิด ความรู้สึก ออกจากกัน
.
จน จิต ว่าง จาก
อุปาทาน ในตัณหา
อุปาทานในขันธุ์ห้า
.
ความตื่นของ สติ ปัญญา ปรีชาญาณฉลาดเลือก
.
 สงบ สะอาด สว่าง เย็น
พบ สันติ อหิสา ด้วยตนเอง
ทุกลมหายใจเข้าออก
.
ทุกข์.......................คือ นรก
สุข..........................คือสวรรค์
เย็น.........................คือนิพพาน(พุทธทาส)
..............................................................
ชนะ อารมณ์ทุกข์.......ด้วยการเลิกชงอารมณ์ทุกข์ซ้ำเติมตนเอง
ชนะเวทนาทุกข์..........ด้วยการฝึก ให้อดทนกว่ามนุษย์ธรรมดาพันเท่า
ชนะ สภาวะทุกข์.........ด้วยทำใจรับสภาพ เห็นกระแสไตรลักษ์ ที่กำกับสังขารธรรม
...............................................................
แข็งแรงทุกด้าน ดีด้วยกันทุกคน สาธุ
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=1607&Z=1698

https://www.facebook.com/100001723003298/posts/2799284293472310/?d=n

..
..
//-หนึ่งใน บทสวดที่ถือว่า เป็นมงคล ของชาวพุทธ คือ บทสวดพาหุง
 แปลว่า"ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ของพระพุทธเจ้า"
มีชัยชนะสำคัญ แปดครั้ง ที่ได้รับการสรรเสริญ
จะขอถอด ความหมาย เป็นแนวทาง ครับผม
1.ชนะมาร
มาร หมายถึง ผู้ขัดขวาง การ เข้าถึง ธรรมะที่ทำให้หลุดพ้นจาก
เพลิงทุกข์ เพลิงกิเลส โดยการเรียนรู้แบบล้างเงื่อนไข(ทำอาสวะสิ้น)
มีอยู่ห้า ประการคือ
-ขันธุ์มาร
คือระบบคอมพิวเตอร์ที่มีชีวิต ประกอบเป็นเรา
เป็นสิ่งที่ปรุงแต่ง ขบวนการธรรมชาติ ธรรมดา หากไปยึดว่า เป็นตัวเรา ของเราจริงๆ
ก็เป็นเหตุแห่ง การสร้างอารมณ์ทุกข์
องค์ประกอบคือ
..รูป(ข้อมูลที่เป็นพลังงานวัตถุ)
..เวทนา(ประสาทการรับรู้)
..สัญญา(ความทรงจำ ทั้งสัญชาติญาณ การเรียนรู้)
..สังขาร(การปรุงแต่ง เป็นคำสั่ง เป็นเจตนา เป็นบุคลิกภาพ)
..วิญญาณ(ความรู้ทีประสาทรับรู้นำเข้า จาก หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดการเรียนรู้ใหม่ๆ)
-อภิสังขารมาร
การคิด โดยขาดแสงสว่างแห่ง สติปัญญากำกับ(ขาดวิชชา)
ทำให้เกิด ขบวนการสร้าง ความรู้สึก ความอยาก ความยึด อารมณ์ จนเกิดบุคลิกภาพใหม่
ของอารมณ์ทุกข์ เวทนาทุกข์ สภาวะทุกข์
-กิเลสมาร
ความ ต้องการ ความจำเป็น ความอยาก ที่ขาดการควบคุม ฝึกฝนสู่ทางกุศล
-เทวบุตรมาร
คือ ความสมใจ สะใจ ในการได้รางวัลของชีวาในชีวิต
หรือไม่ได้ดั่งใจ ทำให้เกิบุคลิกภาพต่างๆ
ทั้งที่ต่ำกว่ามาตราฐาน มนุษย์(อบายภูมิ มี นรก อสุรกาย เดียรัจฉาน เปรต)
ทั้งที่เป็นมนุษย์(ยอมรับ กฎ กติกา มารยาท กฎหมาย ของวัฒนธรรม สังคม)
ทั้งที่สูงกว่ามนุษย์(เทวดา ผู้มีแสงแห่งความสุขจาก หรรษา ภาคภูมิใจ สมใจ สะใจ)
ทั้งที่ สงบ สันโดษ สมถะ มีเมตตา กรุณา
(รูปพรหม ยินดีในอารมณ์มั่นคง จากการฝึกกสิญ
...อรูปพรหมพรหม..ยินดีในอารมณ์มั่นคง เพราะ ยอมรับ ความรู้ที่ยิ่งใหญ่ของจักรวาล)
-มัจจุราชมาร
คือเวลา ที่กลืนกิน ทุกสรรพสิ่ง รวมทั้งตัวเวลาเอง
....มารที่พระพุทธเจ้า คือ ความสมใจ สะใจ ในความดีที่เคยบำเพ็ญมา(ติดดี)
ชนะโดย อุทิศให้ ไม่หลงยึดว่าเป็นของพระองค์เอง
2.ชนะ ความอยากโอ้อวดตน(ยักษ์)
โดยการ อดทน ฝึกฝน จำแนก แจกแจง ธรรมชาติ ตามความเป็นจริง
3.ชนะสัญชาติญาณ อารมณ์แห่งการการทำลายล้าง(ช้างดุร้าย)
ด้วยมหาเมตตา มหากรุณา
4.ชนะ วัตถุนิยม
(อุเฉท ทิฎฐิ อเหตุกะทิฐิ อกริยาทิฎฐิ)
ความเชื่อว่า ตายแล้วสูญ ด้วย โลกุตระฤทธิ์
ตำนาน กล่าวถึงอุงคุลีมาร ผู้ฆ่าคน เอานิ้วมือร้อยเป็นพวงมาลัย
เพราะเชื่อว่า ตายแล้วสูญ.. บาป บุญไม่มี ...คุณของบุพการีไม่มี
ชาตินี้ไม่มี(ทุกอย่างเป็นปฏิกริยาทางวัตถุ)
ชาติหน้าไม่มี(การเวียนว่ายตายเกิดไม่มี)
ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นอริยะบุคคลไม่มี
การเกิดแบบ ผุดขึ้นเป็นตัวเต็มวัยทันทีไม่มี(โอปาปาติกะ)
ทรงชนะโดย จำแนกแจกแจงให้ เห็น อิทฤทธิ์ บุญฤทธิ์ โลกกุตระฤทธิ์
5.ชนะความอิจฉา ของชนชั้นฉกามาวจรภูมิ
ด้วยความสงบ สงัด จากอุปธิทั้งปวง
ตำนาน นางจิญจา อ้างว่าท้องกับพระองค์
แต่ท้องเป็นปีไม่คลอด เพราะนางแกล้ง เอาหมอนผูกไว้หน้าท้อง
6.ชนะ สัสสตทิฎฐิ
สัจจกนิครณ์ ต้องการโต้วาที ชนะพุทธเจ้า ว่าสัสสตทิฐิ คือ ปรัชญาสูงสุด
ทรงชี้ให้เห็น กฎไตรลักษ์ สูงสุด ของธรรมชาติ
กฎอนัตตา ทุกสิ่งกำลังเป็นไปตาม กฎเหตุปัจจัย ปรุงแต่ง ไม่เป็นดั่งใจบังคับได้
7.ชนะ กฎป่า
สัญชาติญาณ ดิบ ที่ อยากชนะ ยิ่งใหญ่ อมตะ ของมนุษย์
โดยการ ให้ ผู้นำธรรมชาติ ชี้แจงแทน(พระโมคคัลลานะ)
8.ชนะ ความเชื่อ วิสุทธิ์สูงสุด
ปฎิบัติธรรม ไม่เป็นไปเพื่อ ชื่อเสียง ลาภสักการะ ความบริสุทธิ์แห่งอาหาร
อนิสงค์แห่ง ศีล สมาธิ ปัญญา
แต่เพื่อหลุดพ้น เพลิงอารมณ์ทุกข์ เพลิงกิเลสความอยาก อย่างสิ้นเชิง
ตำนาน เทศน์โปรด ผกาพรหม
.............................................
เอา เล่าให้ฟัง เผื่อ ฟังแล้ว จับใจความ คิดตาม
อาจมีประโยชน์คือ
-ไพเราะเบื้องตน
-ไพเราะเบื้องกลาง(รู้ความหมาย)
-ไพเราะในที่สุด (เอาไปปรับใช้ ในชีวิตประจำวันได้จริงๆ)
สาธุ

http://www.cdthamma.com/forums/index.php?topic=50.0

5


“สันโดษ”สุขง่าย
“ไม่สันโดษ”ไม่สุขสักที
“สันโดษ” และ “ไม่สันโดษ” อย่างไร ต้องเข้าใจและปฏิบัติให้ถูก

“ขอยกเรื่องสันโดษเป็นตัวอย่าง เพราะสันโดษเป็นตัวหนุนการเจริญสมาธิอย่างสำคัญ ที่จริงไม่ใช่หนุนเฉพาะสมาธิเท่านั้น แต่หนุนการปฏิบัติธรรมทุกอย่าง รวมทั้งการปฏิบัติหน้าที่การงานในชีวิตประจําวัน

สันโดษนี้เราจะปฏิบัติไปทำไม? คนที่สันโดษจะมีลักษณะที่สุขง่ายด้วยวัตถุน้อย มีวัตถุแค่ไหนก็สุขได้หมด

ตรงข้ามกับคนที่ไม่สันโดษ ซึ่งไม่รู้จักมีความสุข เพราะสุขไม่ได้ด้วยวัตถุที่มี หมายความว่า ความสุขอยู่ที่สิ่งที่ยังไม่ได้ คนไม่สันโดษ คือจะสุขด้วยสิ่งที่ยังไม่มี เพราะฉะนั้นก็ยังไม่สุขสักที เพราะสุขด้วยสิ่งที่ยังไม่ถึง ยังไม่ได้ ส่วนคนที่สันโดษ ก็คือสุขง่ายด้วยวัตถุน้อย แล้วสุขด้วยสิ่งที่มี อะไรมีแล้ว ก็สุขได้ทั้งนั้น

แต่ความสุขก็ไม่ใช่ผลที่ต้องการของสันโดษ ถ้าใครไปเข้าใจว่า สันโดษเพื่อความสุข หรือสันโดษแล้วจะได้มีความสุข ก็ผิดอีก กลายเป็นสันโดษนอน คือจะเป็นสันโดษแบบสมาธิ ที่ไม่ส่งผลต่อในกระบวนการของไตรสิกขา ที่ทำให้นั่งนิ่งเสวยความสุข

สันโดษก็เหมือนกัน สันโดษแบบที่ว่าสุขง่ายด้วยวัตถุน้อยแล้วจบที่ความสุข ก็นอนสบาย ทีนี้ก็ไม่ต้องทำอะไร ฉันสุขแล้วพอ ก็หยุด ไม่ส่งผลต่อไปในกระบวนการของไตรสิกขา ใช้ไม่ได้ ไตรสิกขาต้องเดินหน้า

สันโดษจะส่งผลอย่างไรในกระบวนการของไตรสิกขา โยมต้องมีคำตอบว่า มันส่งผลต่อไปอย่างไร

ความสุขเป็นเพียงผลพลอยได้ของสันโดษ มันเป็นผลที่พ่วงมาในตัวเอง พอเราสันโดษ เราก็มีสุข เพราะสันโดษก็คือพอใจและช่วยทำให้จิตสงบ ไม่กระวนกระวาย ไม่เร่าร้อน

ตอนนี้ถ้าใช้เป็น มันก็มากลับเป็นตัวเสริมอีก พอเราสุขง่ายด้วยวัตถุน้อย ใจเราสบายสงบแล้ว ไม่ทุรนทุราย เราก็พร้อมที่จะเอาใจมาอยู่ในกระบวนการปฏิบัติ

สันโดษที่ส่งผลในกระบวนการปฏิบัติคืออย่างไร ตอนนี้ก็นอกเรื่องไปนิดหนึ่ง คือ ออกจากเรื่องสมาธิมาพูดเรื่องสันโดษ

มาดูคนไม่สันโดษก่อน คนไม่สันโดษจะมีความสุขด้วยวัตถุที่ยังไม่ได้ เขาก็ต้องตะลอนวิ่งหาสิ่งที่ยังไม่มี เมื่อเขาวิ่งหาวัตถุที่ยังไม่มีเพื่อจะมีความสุข เขาก็ไม่สุขสักที

๑. ความสุขจากวัตถุ เขาก็ยังไม่มี
๒. เขาต้องวิ่งพล่านหาความสุข
ก. ใช้เวลาหมดไปกับการที่จะหาวัตถุมาเสพ
ข. ใช้แรงงานหมดเปลืองไปกับการหาสิ่งเสพ
ค. ครุ่นคิดอยู่แค่ว่าจะหาอะไรมาเสพ พรุ่งนี้จะไปเสพอะไรที่ไหน จะบริโภคอะไรให้มีความสุข

เป็นอันว่า สำหรับคนที่ไม่สันโดษ เขาจะใช้เวลา ใช้แรงงาน และใช้ความคิดหมดเปลืองไปกับการพยายามหาวัตถุมาเสพ แล้วเวลา แรงงาน และความคิด ก็ไม่พอที่จะหาสิ่งเสพมาบำรุงความสุข

เมื่อเวลาไม่พอ ก็เบียดบังเวลาทำการทำงานทำหน้าที่ของตัว เพื่อเอาเวลานั้นไปหาสิ่งเสพบำรุงสุข

การจะได้สิ่งเสพ ก็ต้องใช้เงินทอง เงินทองไม่พอ ก็จะต้องไปเบียดบังทำทุจริตเพื่อเอาเงินไปหาซื้อสิ่งเสพ

ยิ่งกว่านั้น ที่สำคัญคือ เวลาทำงานใจก็ไม่อยู่กับงาน ใจก็คิดแต่จะไปหาสิ่งเสพ เพราะยังไม่ได้ความสุขที่ต้องการ ก็ทำงานด้วยความฝืนใจ ทุกข์ทรมานใจในการทำงาน และไม่มีสมาธิ

ตกลงว่า ความสุขจากวัตถุ ก็ยังไม่ได้ แล้วเวลาทำงาน ก็ทำด้วยความทุกข์ทรมานใจ เวลา แรงงานและความคิดก็หมดเปลืองไปกับการพยายามหาสิ่งเสพ แล้วยังล่อให้ทำทุจริตอีกด้วย หมดเลย คนไม่สันโดษมีแต่เสีย

คนสันโดษเป็นอย่างไร? คนสันโดษสุขง่ายด้วยวัตถุน้อย มีอะไร แกก็สุขได้ทันที ความสุขจากวัตถุก็ได้แล้ว ที่สำคัญก็คือ แกไม่ต้องเอาเวลา แรงงานและความคิดไปใช้ในการพยายามวิ่งแร่หาความสุขจากการเสพ เวลาแรงงานและความคิดจึงมีอยู่เหลือเฟือ

เมื่อเวลา แรงงาน และความคิดที่ออมไว้ได้ มีอยู่มากมาย ก็เอาเวลาแรงงานและความคิดนั้นมาทุ่มเทให้กับการทำสิ่งที่ดีงาม ที่ทางพระท่านเรียกว่ากุศลธรรม

ถ้าเป็นชาวบ้านญาติโยม ก็เอามาใช้ทำงานทำการ ทำหน้าที่ ทำประโยชน์
ถ้าเป็นพระสงฆ์ก็เอาเวลาแรงงานและความคิดนั้นมาใช้ในการเล่าเรียนศึกษาปฏิบัติค้นคว้าสั่งสอนเผยแผ่ธรรม
ถ้าเป็นนักปฏิบัติก็อุทิศตัวอุทิศใจให้แก่ธรรมได้เต็มที่

รวมแล้ว เราก็บำเพ็ญกิจหน้าที่ของเราได้เต็มที่ แล้วยังมีความสุขจากการทำงานหรือการปฏิบัติหน้าที่นั้นอีก เพราะเรารักงาน ชอบงาน มีความพอใจในกุศลธรรม ในการทำสิ่งที่ดีงาม เราทำงานปฏิบัติหน้าที่ไป เราก็มีความสุข

สุขจากวัตถุเสพ เราก็ได้ สุขจากการทำงานทำการ เราก็ได้ แล้วเรายังมีเวลาแรงงานและความคิดเหลือเฟือที่จะมาทำงาน ทำสิ่งที่ดีงามสร้างสรรค์อีก ดีทุกอย่าง

จุดที่ต้องย้ำก็คือ สันโดษจะพลาดตอนที่ไม่มีจุดหมาย กลายเป็นสันโดษด้วนลอย มันด้วนและลอยตอนที่ว่า สันโดษแล้วจะได้ความสุข ก็เลยนอนสบาย ถ้าอย่างนั้นก็เป็นสันโดษขี้เกียจ ใช้ไม่ได้

สันโดษที่ว่าส่งผลในกระบวนการไตรสิกขา โยมจะเห็นว่า พอเราสันโดษถูกต้อง ก็จะส่งผลทำให้เรายิ่งพร้อมที่จะบำเพ็ญกุศลธรรม เพราะเรามีเวลาแรงงานและความคิดเหลือเฟือ เราก็เอาเวลาแรงงานและความคิดนั้นมาทุ่มเทให้กับการทำกิจหน้าที่ ทำความดีงามสร้างสรรค์ บำเพ็ญกุศลธรรม ก้าวหน้าไปในไตรสิกขา

นี่แหละสันโดษที่ถูกต้อง ส่งผลต่อไปอย่างนี้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าตรัสสันโดษที่ไหน พระองค์จะไม่ตรัสไว้ด้วนๆ พระองค์จะตรัสต่อ เช่นในหลักธรรมชุดหนึ่งเรียกว่า อริยวงศ์ ๔ พระพุทธเจ้าตรัสว่า (ที.ปา.๑๑/๒๓๗/๒๓๖)

๑. ภิกษุสันโดษในจีวร
๒. ภิกษุสันโดษในอาหารบิณฑบาต
๓. ภิกษุสันโดษในที่อยู่อาศัย
๔. ภิกษุยินดีในการละอกุศลธรรมและบำเพ็ญกุศลธรรม

นี่คือ ๓ ข้อต้น มาหนุนข้อสุดท้าย พอสันโดษแล้ว ภิกษุก็มีเวลา แรงงาน และความคิด ที่จะมาบำเพ็ญข้อที่ ๔ เช่น จะเจริญสมาธิและวิปัสสนา หรือจะเล่าเรียนปริยัติ จะเผยแผ่ธรรม ก็อุทิศตัวได้เต็มที่

สันโดษนี้ ถ้าไม่ตรัสไว้กับการบำเพ็ญกุศลธรรมและละอกุศลธรรม พระพุทธเจ้าก็จะตรัสไว้คู่กับความเพียร ในหลักธรรมชุดไหนมีสันโดษ หลักธรรมชุดนั้นจะมีความเพียรด้วย อันนี้เป็นหลักทั่วไป เพราะมันจะมาหนุนกัน คนที่สันโดษ ก็พร้อมที่จะเพียร

ยิ่งกว่านั้น พระพุทธเจ้ายังตรัสสำทับไว้อีกอย่างหนึ่งว่า ให้ไม่สันโดษในกุศลธรรม

โยมต้องจำไว้ว่า พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนแต่สันโดษ ถ้าถามว่า พระพุทธเจ้าสอนให้เราสันโดษใช่ไหม? โยมต้องตอบว่า ต้องแยกแยะก่อน ยังไม่ใช่อย่างนั้น

ถ้าไปตอบว่า พระพุทธเจ้าสอนให้เราสันโดษ ก็ยังไม่ถูก เพราะพระพุทธเจ้าสอนทั้งสันโดษและไม่สันโดษ การตอบให้ถูกในกรณีอย่างนี้ ท่านเรียกว่า วิภัชชวาท คือ ต้องจำแนกแยกแยะออกไป คือ ถ้าเขาถามว่า “พระพุทธเจ้าสอนให้สันโดษใช่ไหม?” เราก็ตอบว่า “ใช่ก็มี ไม่ใช่ก็มี
ที่ว่า “ใช่” คืออย่างไร? คือ พระพุทธเจ้าสอนให้เราสันโดษในวัตถุเสพ หรือในวัตถุบำรุงบำเรอ

ที่ว่า “ไม่ใช่” คืออย่างไร? ท่านไม่ให้สันโดษในกุศลธรรม


พระพุทธเจ้าตรัสว่า เพราะพระองค์ไม่สันโดษในกุศลธรรม พระองค์จึงตรัสรู้ ดังที่ตรัสไว้ว่า (องฺ.ทุก.๒๐/๒๕๑/๖๔)

“ภิกษุทั้งหลาย เรารู้เข้าถึงคุณของธรรม ๒ อย่าง คือ
๑. ความไม่สันโดษในกุศลธรรมทั้งหลาย
๒. ความไม่ระย่อในการบำเพ็ญเพียร
…ดังนี้แล โพธิญาณอันเรานั้นได้บรรลุแล้วด้วยความไม่ประมาท.”

พระพุทธเจ้าทรงบรรยายถึงการที่พระองค์ทรงไม่สันโดษและมีความเพียร ถ้าพระพุทธเจ้าสันโดษ พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสรู้

พระองค์เสด็จไปยังสำนักของอาฬารดาบส กาลามโคตร ที่เล่าไปแล้ว ได้อากิญจัญญายตนสมาบัติ แล้วไปสำนักอุททกดาบส รามบุตร ได้เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ จบสมาบัติ ๘ ถ้าพระองค์สันโดษ พอใจ ก็จบเท่านั้น อยู่แค่สมาธิ ก็ไม่ตรัสรู้

แต่พระพุทธเจ้าทรงไม่สันโดษ ไม่อิ่ม ไม่พอในกุศลธรรม ถ้าไม่บรรลุจุดหมาย ก็ไม่หยุด เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงออกจากสำนักของพระอาจารย์เหล่านั้น แล้วไปบำเพ็ญเพียรต่อ ทรงก้าวสู่ปัญญา จนถึงโพธิ จึงตรัสรู้ พระองค์จึงตรัสไว้ว่า ที่พระองค์ได้ตรัสรู้นี้ ได้เห็นคุณค่าของความไม่สันโดษในกุศลธรรมทั้งหลาย

ถ้าเราสันโดษในวัตถุเสพ มันก็จะมาหนุนให้เราไม่สันโดษในกุศลธรรมได้เต็มที่ เราก็จะเอาเวลา แรงงานและความคิดมาทุ่มเทในการเพียรพยายามบำเพ็ญกุศลธรรม ทำการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามยิ่งขึ้นไป

จึงเห็นได้ชัดว่า สันโดษในวัตถุเสพ ก็เพื่อให้พร้อมที่จะเพียร และให้ไม่สันโดษในกุศลธรรม ก็เพื่อให้มุ่งหน้าไปในความเพียร เป็นอันว่า ทั้งสันโดษ และไม่สันโดษ ก็เพื่อหนุนความเพียร”

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต)
ที่มา : ปาฐกถาธรรม แสดงที่ วัดธัมมาราม นครชิคาโก สหรัฐอเมริกา
เมื่อ ๕ พฤษภาคม ๒๕๓๙ จากหนังสือ “สมาธิแบบพุทธ”
เพจคู่มือมนุษย์

6
https://youtu.be/jc-Sv2quSkg
อ่อนเพลียเรื้อรัง ง่วงนอน เกิดจากพลังชีวิตลดลง-หมอนัท FB Live

nutthearokaya
Published on Aug 2, 2016
อาการ
อ่อนเพลียเรื้อรัง หมดแรง ไม่มีแรงตื่นนอน ความดันขึ้นๆลงๆ ไม่มีแรงออกกำลังกาย ปัสสาวะบ่อย ผมร่วง  หางตาตก นอนหลับไม่สนิท

เพราะพฤติกรรมที่สวนทางกับเวลาธรรมชาติของมนุษย์เป็นเวลานาน  นอนดึก , ทำงานเลิกดึก , ไม่มีวันหยุด , เคร่งเครียดเกินไป ทำให้พลังชีวิต(ปราณ) ลดลงไปมาก

การแก้ไข
ควรนอนให้มากขึ้น ลดวันทำงานลง เน้นการพักผ่อน ไม่ควรออกกำลังกายหนักๆ ทานอาหารที่ได้สารอาหารมากๆ เช่นธัญพืช น้ำข้าว โสมเกาหลี สาหร่ายเกลียวทอง กล้วยน้ำว้า ไข่ ลดการทานกาแฟ อาหารที่มีคาเฟอีน ให้มาก ออกกลังกายเพิ่มพลังชีวิตเช่น ชี่กง โยคะ ฤาษีดัดตน หายใจเข้าออกสม่ำเสมอไม่เร่งเกินไปจะทำให้หายได้ไวขึ้น

รับชมแบบสดได้ที่เพจ facebook "ใครไม่ปวยยกมือขึ้น"

https://www.facebook.com/thearokayacl...

-----------------------------------------------
การรักษาด้วยธรรมชาติบำบัด
http://www.thearokaya.co.th

..
..

https://youtu.be/3G-9qwBT-dY
รักษาโรคไทรอยด์ด้วยธรรมชาติบำบัด-หมอนัท


nutthearokaya
Streamed live on Aug 18, 2017
วิธีบำบัดโรคไทรอยด์เป็นพิษ ไฮเปอร์ไทรอยด์ ไฮโปไทรอยด์ ด้วยธรรมชาติบำบัด

อ่านข้อมูลเพิ่มเติม
ไฮเปอร์ไทรอยด์ ไทรอยด์เป็นพิษ
https://www.thearokayashop.com/conten...

ไฮโปไทรอยด์ อ่อนเพลีย
https://www.thearokayashop.com/conten...

7
   http://youtu.be/vZX6KOmFRqQ
แอโรบิคแดนซ์ เมดเล่ย์ กรุแตก
>> Icez Z Anupong

Philosophy and healthy ปรัชญา และสุขภาพดี
G+ communities คนรัก รักษ์ ปัญญา สุขภาพ กีฬา และจักรยาน
สุขภาพดี คือลาภอันประเสริฐ ที่เราทำได้เอง

Suraphol KruasuwanOWNER
https://plus.google.com/u/0/+SurapholKruasuwan

8
ธรรมะเสวนา / Re: เล่าให้ฟัง :PULING的主頁 [2]
« เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2018, 08:34:16 am »


มุมกาแฟ คิดแบบ"เซ็น" 4/1/18
ความว่าง ในแนวปรัชญาธรรมะ มีสอง คือ
1.ว่างจากการปรุงแต่ง
ความคิด อารมณ์อย่างขาดสติปัญญากำกับ
ทำให้ชีวิตสงบร่มเย็น
ไม่เป็นทาสอารมณ์ทุกข์ไล่ สุขมาล่อให้วิ่ง

2.ว่างแบบอันธพาล
คือยึดติดในลัทธิวัตถุนิยมโบราญ
คือ มีมีบาป มีบุญทำ กรรมแต่ง
ทุกสิ่งเป็นเรื่องบังเอิญ
เป็นแค่ปฏิกริยาของธาตุ
อำนาจคือของจริง
ว่างแบบนี้ถ้าผิดกฎหมาย
ก็มี ห้องกง รออยู่ ....
หรือใช้ชีวิต เป็น กระสือ กระหัง ไปจนตาย
55555+
ขอบคุณเจ้าของภาพ
และธรรมสนาทนา กับ หลวงพ่ออ.พุทธทาสภิกขุ
..
..
มุมกาแฟ วันใหม่ 4/1/18
ชีวิตมนุษย์เป็น"สังขารธรรม"
คือขบวนการปรุงแต่งของธรรมชาติ
แต่มนุษย์พิเศษ คือ บางเรื่อง
สามารถ เลือก กฎ เหตุ ปัจจัย ที่ให้คุณ มาปรุงแต่งชีวิต
เว้นสิ่งให้โทษ
และ ฝึกฝน ยับยั้งชั่งใจ
เคารพกฎ กติกา มารยาท ของสังคมที่เราอยู่ร่วม
เพราะ ไม่มีชีวิตไหน อยู่ได้ด้วย
โดย ไม่ มีปฏิสัมพันธ์ กับ ธรรมชาติอื่นๆ
การเคารพ ความแตกต่างระหว่างบุคคล
จึงเป็นมารยาทสากล ที่วิญญูชนเห็นว่าดี
ยกเว้นพาลชน
ขอบคุณเจ้าของภาพ และผู้จุดประกาย ผู้อ่าน
..
..
มุมกาแฟเช้า 3......4/1/18
กรรม กฎแห่งกรรม
คือ ชีวิตเป็นไปตามเจตนาสี่
1.เจตนาจากการเลี้ยงดูจาก บุพการี
2.เจตนาของกรรมพันธุ์
3.เจตนาของสิ่งแวดล้อม
4.เจตนาจากความคิด
และสร้างตัวตนเทียมในตนเอง.....
เจตนาที่สี่สำคัญ
เพราะ เจตนาทั้งสามอาจไม่ส่งเสรีมให้ดี
แต่เจตนาที่เราคิด ตัดสินใจ
ให้เราเลือกวิถีชีวิตเราได้ ตามอัตภาพ
เพราะเราไม่ใช่ผู้สร้างกฎ และธรรมชาติ
แต่เราเลือกบทที่เราเล่นได้
โดย เคารพการมีอยู่อยู่ของชีวิตอื่น
ที่เราต้องอยู่ร่วม อยู่รอดด้วย
ขอบคุณเจ้าของภาพ ข้อธรรมที่ถอดระหัส ผู้อ่าน
สาธุ
..
..
มุมกาแฟ เช้าต่อ.....4/1/18
ความคิด
เป็นจุดเริ่มต้นของการ สร้างบุคลิกภาพ
เพื่อปรับตัว เข้ากับสิ่งแวดล้อม
แต่เหนือ ความคิด คือ
สติปัญญา ที่
"เห็น"
กฎ เหตุปัจจัยที่มาปรุงแต่ง
ว่า ถ้าปรุงอย่างนี้ เกิด อารมณ์ทุกข์ สุข สงบ เย็น...
"เว้น"
ไม่ทำในสิ่งที่ให้ทุกข์ โทษแก่ ตน ท่าน สาธุ
"เจริญ"
เจริญในสิ่งที่ควรเจริญ คือ กุศลด้วย วาจา ใจ
"วาง"
วางในสิ่งที่ควรวาง
คือ วางอุปาทาน ที่ยึดติด ทำให้เกิดทุกข์โทษ
"ว่าง"
ว่างจากการปรุงแต่ง แบบหดหู่ ฟังซ่าน และอกุศล
"เย็น"
ไม่เป็นทาส ทุกข์ สุข
แต่ สงบ ร่มเย็น เบิกบาน มั่นคงในทางสว่าง
..
..
มุมกาแฟ เช้า 2.....4/1/18
สมองคน เป็นศูนย์บัญชาการ ชีวิต
ที่มีการวิวัฒนาการ มีตั้งแต่
1.ส่วนที่เป็นปฏิกริยา
รักษาสมดุลย์ชีวิต
ที่อยู่ที่ไขสันหลัง
2.สมองแบบปลา ที่มีสติ ตื่น
รับมือกับภัย อาหารภายนอก
3.สมองเป็นชีวิตเลื้อยคลาน
ที่ต้องการจุดยืน พื้นที่ แย่งชิง อำนาจ
4.สมองชีวิตเลี้ยงลูกด้วยนม
จะมีความผูกพัน แบบครอบครัว
5.สมองแบบลิง ทั้งมีหางไม่มีหาง
คือ ความสามารถแยกแยะ
เรียนรู้ปรับตัว และจัดลำดับในสังคม
6.สมองใหม่ในมนุษย์
ที่มีความสามารถ คิดค้น
สร้างสรร สร้างนวัตกรรม
และเรียนรู้ เข้าใจ มีมโนสำนึก

//- เราใช้สมองส่วนไหนมาก
ก็จะทำให้สมองส่วนนั้นแข็งแรง
และมีอำนาจเหนือส่วนอื่น
บุคลิกภาพ ก็แปรไปตามนั้น
จึงมี

1.มนุษย์แบบอบายภูมิ
-เปรต เป็นทาส ความโลภ อิจฉา บ้าอำนาจฉลาดโกง
-เดียรัจฉาน เอาอารมณ์สัญชาติญาณดิบ นำทางชีวิต
-อสุรกาย ขลาด กลัว ชอบทำร้ายผู้อ่อนแอกว่า
-สัตว์นรก เป็นทาง ความหดหู่ ฟุ้งซ่าน ร้อน ทุกข์ โศก
ย้ำคิด ย้ำทำย้ำแค้น

2.มนุษย์ที่ดีจนไหว้ตนเองได้
หรรษา ภาคภูมิใจ สมใจ สะใจ เย็นใจ
ในสิ่งที่ วาจา ใจกาย ตนทำสิ่งดีๆ
ต่อตน ครอบครัว สังคม สิ่งแวดล้อม

3.มนุษย์ที่เป็นอิสระ จาก อุปาทาน
เลิกเอาตนเอง ปรัชญาที่ตนชอบเชื่อ วิถีชีวิตตตนเอง
ของรักของชอบ มาเป็นนายตนเอง
ให้ สติรู้ตัว ปัญญารู้คิด ปรีชาญาณฉลาดเลือกที่ตื่น
มาปรุงแต่งชีวิต ให้ สงบ เย็น อยู่กับ
ความจริง ดี งาม สุข สงบ แบบวิญญูชนสากล
สาธุ
ขอบคุณเจ้าของภาพ และความรู้ที่เก็บมาฝาก ผู้อ่าน
..
..
https://www.dailymotion.com/video/xvi14x
ในมิติแห่งชีวิต มนุษย์คือ
มนุษย์สนใจอภิปรัชญา
คือปัญญา ที่มาจากเหตุผล และจินตนาการ
ที่ดิ่งความคิดไปที่ อดีต อนาคต และ ชีวิต
แต่มักละเลย....ทาสอารมณ์ทุกข์ในปัจจุบัน
อันเกิดจากจิตปรุงแต่งของเรา

ปรุงแต่ง ความคิด อารมณ์บุคลิกภาพชั่วคราว
และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลง สรีระกาย กายสังขาร
แต่เราขาด สติรู้ตัว ปัญญารู้คิด
ปรีชาญาณรู้แจ้ง.....สังเกตุ
เห็นเหตุปัจจัยปรุงแต่ง
แลก และคัดสิ่งที่ ปลอดทุกข์ เย็น มีจิตเอื้อเฟื้อ
มาปกครองชีวิตตนเอง

ใครฝึกปลุก ปรีชาญาณฉลาดเลือกตื่นมาล้างขยะปรุงแต่งจิต
ทั้งติดชั่วติดดีชีวิตก็อิสระจาก
อารมณ์ ทุกข์ สุข ความสมใจ สะใจ
จะได้ โบนัสคือ ปัญญารู้แจ้ง...
จะตื่น รู้ เบิกบาน และเย็น ยั่งยืน
พ้นจากความร้อนจากไฟ ในใจ

-ไฟราคะ
-ไฟโทสะ
-ไฟโมหะ
-ไฟทิฐิ
-ไฟมานะ
-ไฟ อภิสังขาร การคิดปรุงแต่ง แบบหดหู่ ฟุ่งซ่าน
เพราะขาด สติ ปัญญา ปรีชาญาณฉลาดเลือกกำกับ
.............................................

มนุษย์ต้องมีความรู้สี่
1.รู้แบบ วิชาการ
อันได้แก่ ความรู้รอบตัว และเจาะลึก

2.รู้แบบวิชชา
รู้ เกิดจาก สติ ปัญญา ปรีชาญาณฉลาดเลือกตื่น
"รู้ทันจิตปรุงแต่งตนเอง"
และวางอุปทาน ลง พบเสรีภาพชีวาในชีวิตด้วยตนเอง

3.สติรู้ตัว
รู้จุดยืน หน้าที่ ที่ดีต่อตน สังคม สิ่งแวดล้อม
และเคารพกฎ กติกา มารยาท ธรรมชาติ ผู้สร้างจักรวาล
4.ปัญญารู้คิด
ทำหน้าที่ ที่ให้โชคดี หรือเป็นมงคลชีวิต
ไม่ประมาท ใน กรรม เวลา มัจจุราช
และภัยจาก มนุษย์ สิ่งแวดล้อม สาธุ
.......................................
..........................................
ขอบคุณผู้เป็นเจ้าของคลิป และผู้ชม
..
..
เทคนิคฝึกสมอง วัยเกษียร
เผยแพร่เมื่อ 6 ม.ค. 2018
เทคนิคเหล่านี้อนาคตจะเป็น Mega Trend ของ ประเทศไทยและทุกๆประเทศ
เพราะในปัจจุบัน คนสูงวัยอายุยืนขึ้น ถ้าเป็นนายญี่ปุ่นอายุขัยของผู้สูงอายุเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 80-85 ปี
ทำให้ประเทศที่มีผู้สูงอายุมากขึ้นเริ่มมาสนับสนุนกิจกรรมของผู้สูงอายุเพื่อทำให้ผู้สูงอายุแข็งแรงขึ้นและมีสมองที่สดชื่นแจ่มใสแล้วก็สามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้นเป็นภาระกับสังคมน้อยลง
ผมอยากจะแบ่งปันเทคนิคที่เป็นสากลและน่าจะช่วยให้สามารถฝึกสมองให้กับผู้สูงอายุได้
สำหรับคนที่ทำงานมานานๆสมองเริ่มล้าความจำไม่ดีก็สามารถนำไปใช้ได้นะครับ

1. บวกเลขราคาสินค้าเอง
2. สมุดวาดภาพระบายสี ( Trend ของญี่ปุ่น )
3. อ่านหนังสือที่เราไม่เคยรู้หรืออยากรู้
4. อาหารโปรตีนสูง และออกกำลังกายเป็นประจำ
.........................................

55555+
อีกไม่กี่วัน ก็จะเข้าสู่ยุค70 >>>>>55555+
ตั้งแต่เกิดมา ร่างกาย ยังไม่มีอายุมากขนาดนี้มาก่อน
"ความฉลาด เริ่มต้น จาก เอาอดีต มาถอดบทเรียน"
วันนี้จึงเอาอดีตของตน และเพื่อนๆ ที่รู้จัก และจากไป
และมาหาทฤษฎีที่เหมาะสม มาจะระเบียบพฤติกรรมใหม่
มาถอดบทเรียนว่า วัยยุค70 มักจะเจออะไรบ้าง

1.ความเครียดสะสม
อาการนี้ กำลังเป็นกันเยอะ
ยุคทำมาหากินแบบยังชีพ ไม่ค่อยมีปัญหา
แต่ใคร อยู่เพื่อ แข่งขัน แย่งมูลค่าส่วนเกิน
และกำไรชีวิตแบบ บริโภคนิยม
"ความไม่ได้ดั่งใจ"
จะเป็น ตัวสร้างความเครียดสะสม
มักที่จบด้วยการ สุขภาพ กาย จิตเสื่อมและมะเร็ง

2.ขาดสารอาหาร ถาวร
บางคนกลัวได้บุญน้อย เลยหันไปทาน เจ มังสะวิรัส
โดยขาดความรู้โภชนาการ เลยขาดสารอาหารถาวร
โรคภัยรุมเร้า ร่างกายคน ประกอบด้วยโปรตีน50%
โปรตีนก็มีกรดอมีโนตั้ง22ชนิด
ที่กระจายในอาหารหลายอย่าง
และมี9ชนิดที่จำเป็น ขาดไม่ได้
เอาบุญแต่เบียดเบียนร่างกายตนเอง อาจไม่ได้กุศล
"คืออิ่มใจในการทำดี แต่ ไม่ฉลาดเพิ่ม"

3.ทรัพย์จาง
แม่สอนมาตั้งแต่เด็กๆ
เป็นเห็ดต้องมีขอน เป็นคนต้องมีหลัก
ก่อนจะเข้าสู่วัยสว.ต้องตรวจตรา หลักชีวิต

-หลักแหล่ง
-หลักฐาน
-หลักทรัพย์
-หลักรู้
-หลักคิด
-หลักปฏิบัติ

นึกถึงวลีขำๆ
"เสียดาย ตายแล้ว ยังใช้เงินไม่หมด
ยิ่งน่าสลด เงินหมดแล้วยังไม่ตาย"

4.ลงทุนผิดประเภท
บางคนไปลงทุนทำฟาร์มเลี้ยง หนูท้องขาวปากแดง
ไปเสี่ยงเอาเองเด้อ 55555+

5.อุบัติเหตุ ในบ้าน
สว. เสียชีวิตสูงสุด ในห้องน้ำ
เดินก็ต้องก้าวสั้น ย่อเข่า โก่งขานิด ไม่เท่ห์ แต่ ดีแน่นอน

6.ใช้สมอง
บางคน อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ประทับใจ
มองโลกด้วย อภิชฌา และโทมนัส
"มองโลกด้วยความอิจฉา น้อยเนื้อต่ำใจ"
ไม่คิดว่า ธรรมชาติ มี
กฎ ระบบ หน้าที่ ความดี ความงามความสุข
ซ่อนในทุกสรรพสิ่ง กลับมามองภายในจิตตนบ้าง
ล้างขยะปรุงแต่ง ความรู้ไร้สารลง วาง ว่างบ้าง
และหาความรู้ใหม่ ใส่เข้าไป
................................

ทุกวันนี้ยังเชื่อ สามสิ่ง ดีต่อชีวิต
1.ไม่เบื่อการหายใจ
2.ถนอมน้ำใจมิตร
3.สนุกกับการเรียนรู้ จากความรู้ใหม่
................................
ขอบคุณคลิป ภาพ และผู้อ่านครับ
https://youtu.be/mwz0VTp8G4w
..
..
Astral body
.....................
กาย ในกาย
จิต ในจิต
ธรรม ในธรรม
......................

สังขารโลก
"ตถาคต ขอบัญญัติว่า
ร่างกาย กว้างศอก ยาววา
มีสัญญา ใจครอง
คือโลกโลกหนึ่ง"
...................................

กายมนุษย์ มีสามกาย
(บางท่านบอกว่า ยังมีกายทิพย์)
1.สรีระกาย
เป็นขันธุ์ห้า หรือ ชีวะยนต์
เป็นเครื่องยนต์มีชีวิต เป็น คอมพิวเตอร์ชีวภาพ อัศจรรย์

2.กายสังขาร
คือ สติกับลมหายใจ
ที่จะเปลี่ยนแปลง ตามการทำงานของ
สรีระกาย และ การเปลี่ยน บุคลิกภาพภายใน(กรัชกาย)
บางครั้งก็หายใจสั้น ลึก ยาว ตามอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลง

3.กรัชกาย
เป็นบุคลิกภาพภายใน
ที่ปรุงแต่ง จาก ความคิด อารมณ์ ความทรงจำ ความอยาก
เป็นหลัก
บางครั้งก็เป็นบุคลิก ต่ำกว่ามาตราฐานมนุษย์
หรือ อบายภูมิสี่
บางครั้งก็เป็นมนุษย์ คนดี ที่ไหว้ตนเองได้
บางครั้งก็มีสุข หรรษา ภาคภูมิใจ สมใจ สะใจ แบบเทวดา
บางครั้งก็ สุขกับ สงบ สันโดษ สมถะเมตตา แบบพรหม
บางครั้ง ปรีชาญาณฉลาดเลือกตื่น อยู่เหนือจิตปรุงแต่ง
พบทางสว่าง ในตนเอง
.....................................

กายสรีระ กับกรัชกาย มี กายสังขาร เป็นตัวเชื่อม
การจะพบประจักษ์ด้วยตนเองว่า
การเปลี่ยนแปลง ภายใน(กรัชกาย) มีผลกระทบต่อ สรีระกายอย่างไร
ต้องฝึก สังเกตุ การหายใจตนเอง ประจำ
.........................

เล่าให้ทราบ ไม่ได้บอกให้เชื่อ
ใคร คิดแบบ
"เรื่องความชั่วนี้ ผมไม่ทันใครจริงๆ เพราะผมเป็นคนชั่วช้า"
และคิดว่า คิดอยู่คนเดียว ใครไม่รู้
แต่เมนเฟรมใหญ่จักรวาล รู้
และอาจ บิดลำไส้ ทำลายสุขภาพกายด้วยนะ
55555+
"""""""""""""""""""""""""""""""""""
ขอบคุณเจ้าของภาพ ระหัสธรรม ที่ถอดออกมา
และผู้อ่าน สมหวังในสิ่งประเสริฐนะครับ สาธุ
..
..
https://www.youtube.com/watch?v=oSscJksXeNU
ผู้นำจีน สีจิ้นผิง เสนอวิสัยทัศน์ว่า
โลกจะใช้หลักสี่ทันสมัย ขับเคลื่อนโลก ไปอีก100ปี
1.สังคม ที่แก้ปัญหาด้วยนวัตกรรม
ดังนั้น เราต้องยอมรับชะตากรรม
ว่า"ความรู้ที่ว่าแน่ๆของเรา มันจะกลายเป็นของเก็บในโกดัง ความทรงจำ"

2.สังคมซื่อตรง
ดีต่อตน สังคม สิ่งแวดล้อม และเป็น วิญญูชนสากล

3.สังคมเครดิตออนไลน์
ที่จะมาคานอำนาจ การบริหารจัดการเงินโลก ของมหาอำนาจ
4.สังคมเพิ่มประสิทธิภาพ คุณภาพชีวิตประชาชน

ด้วยสินค้า บริการ สถานที่ ที่เป็นมิตร กับมนุษยืและสิ่งแวดล้อม
เริ่มจาก ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ ผ่าน การสื่อสารออนไลน์
.........................................

ถ้าไม่อยาก แก่เพราะกินข้าว
เฒ่าเพราะอยู่นาน
เป็นที่รำคาญ ของคนรอบข้าง
ในฐานะแก่แบบกะลาผุๆ
ย้ำคิด ย้ำทำ ย้ำแค้น พ่นไฟออกจากปาก
ตื่นมายกเครื่อง ตนเอง
เป็นแก่ลายครามนะครับ
คนที่ยังไม่แก่ ก็อย่าประมาท
มีวลีขำๆ
"พี่ๆ ทำไมแก่จัง"
"อ๋อ ตอนพี่อายุเท่าน้อง
โชคดี ไม่ล้มทับบาทาใครตายเสียก่อน"
55555+
"""""""""""""""""""""""""""""""""""

มาสร้างสรร นวัตกรรม
ทำตัวเป็นคนซื่อตรง
มีเครดิต ออนไลน์บ้าง
และเพิ่มประสิทธิ์ภาพ คุณภาพชีวิตตนเอง
ด้วยการ ปลุกปรีชาญาณฉลาดเลือกตื่น
ล้างขยะปรุงแต่ง ความรู้เทียมๆทิ้ง
มีวิสัยทัศน์ ที่เห็น กฎ กติกา มารยาท ธรรมชาติ และสาธุ
และชื่นชม ตนเองว่า ทำดีมากกว่าชั่ว สาธุ
..
..
https://www.youtube.com/watch?v=Y5Xz1vw-zoU
....................................................

พลังงาน กฎ เวลา อวากาศ....และชีวิตเราเอง
ทุกสิ่ง เรามีมุมมองต่างกัน
อยู่ที่เรา ใช้สมองใหญ่ซีกไหนมากกว่ากัน
บางคนใช่สมองเหตุผล(แบบเข้าข้างตนเอง)
เลยไม่มีน้ำใจ แบ่งปันให้ใครๆ
ไม่สนใจ ความรู้สึกเจ็บปวด ของชีวิตอื่น
ไม่เชื่อเรื่อง คุณธรรม จริยธรรม
และเห็นว่า การที่ผู้อื่นมีน้ำใจให้ตนนั้น
เพราะคนนั้น"โง่" เอง
ไม่ได้ว่าใครนะครับ เพียงแต่ ให้มองต่างมุม
.....................................................

เรามองเวลา แบบลูกศร ที่แล่นผ่านอากาศ
มีอดีต ปัจจุบัน อนาคต
แต่ ทฤษฎีสัมพันธภาพ ของไอสไตน์
เวลา เหมือน สายน้ำ
ที่เราอาจ ทวนน้ำ ตามน้ำ หรือ ไปวนในวังวนน้ำ สักแห่ง
เวลา ของวัตถุที่เคลื่อนไหว ยิ่งเร็วจะยิ่งช้า
..................................................
ขอบคุณเจ้าของคลิป ภาพ และผู้อ่าน
..
..

Philosophy and healthy ปรัชญา และสุขภาพดี
G+ communities คนรัก รักษ์ ปัญญา สุขภาพ กีฬา และจักรยาน
สุขภาพดี คือลาภอันประเสริฐ ที่เราทำได้เอง

Suraphol KruasuwanOWNER

10
ธรรมะเสวนา / Re: เล่าให้ฟัง :PULING的主頁 [2]
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2018, 04:05:13 pm »


https://www.youtube.com/watch
หนึงในเพลง ที่ยอดเยี่ยม ตลอดกาล
""""""""""""""""""""""""""""""""""""
มุมกาแฟวันใหม่ 27/12/17
ทำให้จินตนาการไปไกล
-โลกของ อเมริกันอินเดียน
-ชีวิต แบบ คาวบอย
-วรรรณกรรม ของ โกว้เล้ง
-และชีวิตที่ ผ่านพ้น มีลด มีเพิ่ม ที่เหมือนเดิมคือ กำลังใจ
55555+
ขอบคุณเจ้าของภาพ เพลง ผู้อ่าน
แข็งแรงทุกด้าน ดีด้วยกันทุกคน สมหวังในสิ่งประเสริฐนะครับ
..
..
มุมกาแฟ ยามสาย 27/12/17
ธรรมสวัสดิ์....
//-พุทธธรรม ถ่ายทอดมา
1.เป็นธรรมธิษฐาน
เอาหลักการเหตุผล มาสอน
2.บุคลาธิษฐาน
สอนแบบ วรรณกรรม
สมมุติเป็นเรื่องราว บุคคล
อภิจินตนาการเหนือจริง
แต่ มีหลักธรรมซ่อนอยู่
3.อวจนะภาษา
เช่นภาษาท่าทาง ภาษาศิลปะ
4.ภาษาจิต
ที่ ความรู้สึก ความเข้าใจ
เหนือทุก ตัวอักษร
รูปลักษ์ เพราะ
ทุกชีวิตบนโลกนี้ มี ชื่อ จิตวิญญาณ หน้าที่ ต่างกัน
แต่ต่างแสวงหา ทางพ้น อุปาทานทุกข์ ด้วยกันทั้งสิ้น
...........................................

//-ไซอิ๋ว "เดินทางสู่ตะวันตก"
เป็นนิทานธรรมะ ที่ลิขิตจาก ประวัติศาสตร์จริง
ในยุคราชวงค์ถัง
ที่พระถังซำจั๋ง เดินทางไป ค้นหา
"หลักการที่ถูกต้องของพุทธศาสนา"
ในดินแดนชมพูทวีป
ใช้เวลาเดินทาง ศึกษา และกลับมา 19ปี

//-เมื่อ ท่านเขมานันทะ(ขณะเขียน เดินทางไกลกับไซอิ๋ว)
เป็นผู้เปิดมิติ ธรรมวิภาค ว่า
"ไซอิ๋วซ่อนปริศนาธรรม เดินทางภายในสู่นิพพาน"
ดช.ปู่ลิง ก็แกะ หาความหมาย ในทัศนะของลิงบ้างอิๆ
อาจตรงกับท่านอ.เขมานันทะ หรือต่าง
ก็เป็นเพียง"อัตโนมติ"(ความเห็นส่วนตัว)
พวกเรา ควรลองหัด ตีความหมายจาก
บุคลาธิฐาน(ภาษาอภิจินตนาการ)
มาเป็น ธรรมาธิฐาน(ภาษาหลักการเหตุผล) ด้วยตนเองบ้าง
เพื่อ ปลุก สัมมาทิฐิ โพธิปัญญา
(ปัญญาที่ให้แส่งส่องทางชีวิตและร่มเงาที่เย็นแก่ชีวิต)
//-ปัญญามนุษย์มีสาม
-โลกียะปัญญา
-โลกุตตระปัญญา
-โพธิปัญญา
//-มนุษย์มีสามกาย
-กายสรีระ(คอมพิวเตอร์ชีวภาพ)
-กายสังขาร(สติ กับลมหายใจ)
-กาย กรัชกาย(บุคลิกภาพ ที่แปรเปลี่ยน ตาม การปรุงแต่ง
ของความคิด อารมณ์ อุดมคติ ความรู้ฯลฯ
กรัชกาย ประกอบด้วย
-นิรมานกาย.....เปลี่ยนแปลงได้ หลากหลาย
-ธรรมกาย........ธรรมะที่ปรุงแต่ง มี อกุศล กุศล มรรค
-สัมโภคกาย...กายอุดมคติสูงสุด
เมื่อ ปรีชาญาฉลาดเลือก(Wisdom) ตื่น
สติ รู้ทัน สามกายตื่น
ปัญญารู้คิด เห็นทั้งอดีตมาถอดบทเรียน
คาดการณ์อนาคตได้
และหรรษา สุขจากความเย็นจิต สนุกกับจิตเอื้อเฟื้อ เรียนรู้
ทุกปัจจุบัน
.....สัมโภคกาย จึงกายแห่งพุทธ ปัญญา สาธุ

หา สามปัญญา หา สามกายให้เจอ
แล้ว วิสัยทัศน์ที่มีต่อโลกเรา จะเปลี่ยนไป ตลอดกาล
ใครว่างตามไปอ่าน ขอบคุณผู้รวบรวม และผู้ชม
......................................
http://www.tairomdham.net/index.php?topic=9996.0
..
..


อวจนะภาษา ใน พุทธศิลป์
สิงห์โตหน้าวัด
1.สิงห์ เป็นตัวแทนความคิด
2.ช้าง เป็นตัวแทนอารมณ์
3.หงส์ เป็นตัวแทนอุดมคติ เจตนา
4.นาค เป็นตัวแทนความรู้ ที่สะสมยาวนาน
จะพบในศิลปกรรม วิจิตรกรรม ตามวัด ภูมิภาคเอเชียอาคเนย์
ทั้งสี่รวมกัน จะกลายเป็น"จิตสำนึก"
หรือ"นกหัสดีลิงค์"
ที่พา จิต วิญญาณเรา ท่องทุกภพภูมิ
ดูแลสิงห์ใตในตัวเราให้ดี ไม่งั้นมันจะกัดเรา และคนรอบข้าง สาธุ
(ภาพจากวัดกาสา แม่จัน เชียงราย)
..
..
https://mgronline.com/goodhealth/detail/9600000130332
You Are How You Eat
“เราจะเป็นตามสิ่งที่เรากิน”
อาหาร ในความหมายทางพุทธธรรม คือ "เครื่องค้ำจุนชีวิต"
1.อาหารที่เป็นวัตถุ
ได้แก่ปัจจัยสี่ เครื่องมือ ที่ช่วยการดำรงค์ชีพ ต่อความสามารถ
2.อาหารคือ ผัสสะ ที่อบอุ่น และชอบ
3.อาหารคือ อุดมคติ
4.อาหารคือความรู้
รู้จำ รู้จริง รู้แจ้ง
รู้วิธี พาชีวิตพ้นอุปาทานที่สร้างอารมณ์ทุกข์ ถาวร
โดยปลุก สติรู้ตัว ปัญญารู้คิด
ปรีชาญาณ รู้แจ้งตื่น
มาล้างขยะปรุงแต่งจิต
มาดูแล ความคิด และจิตสำนึก
เลิกสร้างอารมณ์ทุกข์ถาวร
คือ สิ่งที่ควรรู้ สาธุ
..
..
พรปีใหม่ที่แท้จริง 31/12/17
1.เอาอดีตมาถอดบทเรียน
รู้ว่าอกุศลต้องละ
กุศลต้องเจริญ
ออกจาก ความติด พยาบาท คิดเบียดเบียน ตนและชีวิตอื่น
2.มีสติรู้ตัว ปัญญารู้คิด ปรีชาญาญรู้แจ้งตืน ในปัจจุบัน...
3.คาดการณ์อนาคตได้..
เว้นในสิ่งควรเว้น
ทำในสิ่งควรทำ
วางในสิ่งควรวาง
เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
4.ไม่ประมาทใน กรรม เวลา มัจจุราช
นั่นแหละ การมีสติ ปัญญา ปรีชาญาณฉลาดเลือกตื่น
ใช้ชีวิตตามคัลลองกุศลธรรม มรรค วิมุติธรรม
ที่ไม่ประมาท คือพรอันประเสริฐ
ที่ตนเองทำให้ตนเองได้จริง
สาธุ
(ขอบคุณเจ้าของภาพ)
..
..
https://www.youtube.com/watch?v=RCVnZkHAV5U
สวัสดีปีจอ.........1/1/18
.....................................
พรที่ ขอให้เกิดขึ้น ในใจสหายทุกท่าน
ด้วยการ
ปลุก สติรู้ตัว ทั้งสามกายตื่น
ปลุก ปัญญารู้คิด เห็นทั้งอดีต อนาคต อยู่กับปัจจุบันอย่างร่มเย็น
ปลุก ปรีชาญาณฉลาดเลือกตื่น
มากุมสภาพจิตปรุงแต่ง จนเลิกชงอารมณ์ทุกข์ถาวร
......................................

1.มีวิสัยทัศน์เห็น แยก ดี ชั่ว
2.เว้นในอกุศล เจริญกุศลให้ยิ่ง และทิ้งขยะปรุงแต่งจิตลง
3.อดทน เมื่อหลีกไม่ได้
4.ถ้าต้องสู้ ให้อยู่ในฝ่ายสว่าง
5.ฝึกสงบในที่สงัด สงัดจาก อกุศล ท่ามกลางความเคลื่อนไหว
6.เมื่อวางของหนัก(อุปาทาน ในตัณหา) ได้แล้ว
ต้องไม่แบกของหนักอื่น
7.ต้องชื่นชม อิ่มใจในสิ่งดีๆที่ตนเองทำ
และอย่าพึ่งเบื่อการหายใจ สนุกการความรู้ใหม่ๆ
8.แข็งแรงทุกด้าน ดีด้วยกันทุกคน
สมหวัง ในสิ่งประเสริฐทุกคนนะครับ
..
..
55555+
วิธีรับ โชค ในปีจอ 1/1/18
1.เลิก ทำปากปีจอ
ตถาคต จะกล่าวแต่ วาจาสุภาษิต
คือ จะกล่าวแต่ ความจริง
ความจริงนั้น มีประโยชน์
ไพเราะ ประกอบด้วยเมตตา
เหมาะสมกับผู้ฟัง
และตถาคต จะรู้กาละ ที่จะกล่าวและหยุด

2.เลิกทำตัวเป็นหมาขี้เรื่อน
คือ ถอนไฟ ทั้ง7ออกจากหัวใจ
ไฟราคะ
ไฟโทสะ
ไฟโมหะ
ไฟทิฐิ
ไฟมานะ
ไฟโศก
ไฟอภิสังขาร คิดปรุงแต่ง อย่างหดหู่ฟุ้งซ่าน

3.เลิกเป็นหมาหางด้วน
วันหนึ่ง เล่าปี่ พบสุมาเต็กโช ผู้ชำนาญกสินน้ำ
(สำเร็จอาโปกสิณ เพ่งให้อารมณ์สงบเย็นด้วยน้ำ)
- ปราชญ์ที่จะช่วยให้ท่านพลิกฟ้า คว่ำแผ่นดินได้นั้นมี 2 คน คือ "ฮกหลง" (臥龍; Wòlóng; มังกรนิทรา–จูกัดเหลียง) กับ "ฮองซู" (鳯雛; Fèngchú; หงส์ดรุณ–บังทอง) เท่านั้น
https://th.wikipedia.org/…/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B…
ขงเบ้ง แสดงยุทธศาสตร์ว่า แผ่นดินจีนต้องแบ่งเป็นสาม
จึงจะรวมเป็นหนึ่งได้
และให้ ตะวันตก คบตะวันออกต้านเหนือ
(ก๊กเล่าปี่คบ ก๊กซุนกวน ต้านก๊กโจโฉ)
แต่สุดท้าย
"แผนการณ์เป็นเรื่องของคน
ความสำเร็จเป็นเรื่องของฟ้า
ตัดเขาไม่ขาด วาสนาเราก็สิ้น"
เป็นบทสรุปของขงเบ้ง
ในศึกสุดท้ายรบกับสุมาอี้
หลอกให้สุมาอี้ ทั้งทัพ เข้าไปในหุบเขาน้ำเต้า
และจุดไฟคลอก แต่ฝน ตกมาดับไฟ
.....สกุลสุมาอี้จึงรวมแผ่นดินจีนได้อีกครั้ง
แต่ขุนศึก ทั้งสามก๊ก ล่มสลาย

4. ไ่ม่เป็นหมาจิ้งจอก
คือ เลิกทำตัวเจ้าเลห์ นักฉวยโอกาส
เพราะ สังคมต่อไปคือ
-สังคมที่แก้ปัญหาด้วยนวัตกรรม
-สังคมซื่อสัตย์
-สังคม ที่ใช้เครดิตออนไลน์
-สังคม ที่มีคนที่มีประสิทธิภาพ คุณภาพชีวิตที่ดี
.........................................

หมาหางด้วน คือ พวกสมองโตข้างเดียว
อาจฉลาด แต่ ไร้คุณธรรม
อ่านหนังสือไม่กี่เล่ม ก็นึกว่าตนเหนือคน
ความรู้มี
รู้จำ
รู้จริง
รู้แจ้ง
รู้ เร็วช้า หนักเบา
และรู้ ที่เลิกทำตัวเป็นมนุษย์เจ้าปัญหา
.......................................................

ไม่ทำตัวเป็น มนุษย์ กลายพันธุ์
ปากปีจอ
หมาขี้เรื้อน
หมาหางด้วน
หมาจิ้งจอก
ย่อมประสบพบโชคดี ตลอดปีจอแน่นอน
55555+
https://www.youtube.com/watch?v=XygHE1wO2dk
..
..
พรปีใหม่ ชุดต่อเนื่อง 55555+
๚๛ หมอแพทย์ทายว่าไข้ ...........ลมคุม
โหรว่าเคราะห์แรงรุม....................โทษให้
แม่มดว่าผีกุม...............................ทำโทษ
ปราชญ์ว่ากรรมเองไซร้.................ก่อสร้างมาเอง ๛๚.
โลกนิติ
....................................

ความสำเร็จ ของชีวิต
ในพุทธศาสนา เป็นเรื่องประจักษ์นิยม
"กรรมลิขิต"
ไม่อ้างเรื่องผู้มีฤทธิบันดาล กรรมข้ามชาติ เหตุบังเอิญ
แต่เจตนาสี่มีผลต่อชีวิต รับรู้ด้วยตนเองคือ

1.เจตนา วาสนาบุพการีหนุนส่ง
พลังขับเคลื่อนชีวิต ดุจรวดสี่ท่อน
ส่งตัว ออกจากแรงโน้มถ่วงโลก
บุพการี เสมือนจรวดท่อนใหญ่แรกสุด
หากบุพการี สะสม ทรัพย์ ความรู้ คู่คุณธรรม
อบรมสั่งสอนมาดี ลูกก็ประสบความสำเร็จได้ง่าย กว่า
แต่บางคนเลี้ยงลูกเป็นเทวดา ไม่อบรบลูกให้เป็นมนุษย์โส
กลายเป็นมนุษย์ยะโส เทวดาบ๊องส์ๆ
ใช้ชีวิตแบบ ห่าม เหิม
หมดบุญ บุพการี ก็กลายเป็นเทวดา ตกสวรรค์ไม่น้อย

2.เจตนา จากพันธุกรรม
พันธุกรรม ที่ มีความขยัน อดทน ใฝ่รู้ กตัญญู
ไปอยู่ที่ไหน ก็มีโอกาสตั้งตัว อยู่ร่วม กับ สังคมอย่างมีความสุข
ใครจะมีคู่ อยากมี อภิชาติบุตร ต้องดู ว่า
สกุลนี้ เป็นกตัญญู หรือ เนรคุณชน ด้วยนะครับ
อย่าให้ความหน้ามืด นำทางชีวิต 55555+

3.เจตนาของ สิ่งแวดล้อม
ดินฟ้าอากาศ ภูมิประเทศ วัฒนธรรม อาหารที่กิน คนที่คบหา
มีผลต่อชีวิตเช่นกัน
4.เจตนา และวิธีคิด ของแต่ละคน
เจตนา ละชั่ว ทำดี ไม่ติด ในความดี
ดีต่อชีวิตแน่นอน
....................................

ความสำเร็จ จากสุภาษิตจีน
"อยู่ถูกที่
คบถูกคน
ตัดสินใจถูกเวลา
ฟ้าเป็นใจ"
.................................

ความสำเร็จทั้งโลก ธรรม แบบพุทธะ
“จักขุมา-วิธูโร-นิสสยสัมปันโน”
1.จักขุมา คือ มีวิสัยทัศน์ เห็นแต่ต้น จนจบ
เห็นเหตุ เจริญ เสื่อม ดับ แยกดี ชั่วเป็น
2.วิธุโร
บริหารจัดการแบบโปร่งใส
ถ้าทำธุระกิจ ก็ต้องซื่อตรง
และแบ่งผลประโยชน์แบบเที่ยงธรรม
3.นิสสยสัมปันโน
มีนิสัยดี จนไม่ขาดผู้อุปถัมภ์
ใครทำตัวเป็น วิญญูชน มีมารยาทสากล
ไม่ทำทำตัวเป็นมนุษย์เจ้าปัญหา
ราชาอารมณ์ขัน ไม่เจ้าเล่ห์ อกตัญญุ
พึ่งพาได้
สังคมไหนก็ ยินดีช่วย ยกเว้นพาลชน
.........................................
ขอบคุณเจ้าของภาพ ผู้อ่าน สาธุ
..
..
https://www.youtube.com/watch?v=0KQiFacj_I8
............................................
Baraka พรลึกลับจากสวรรค์ เป็นภาษาเปอร์เขีย
สารคดี มองโลก กิจวัตรประจำวัน ของชาวโลก
โดยไม่มีการบรรยาย เป็นคำพูด
ที่ดีไม่เป็นที่สองรองใคร
ที่ควรชมช้าๆ และบ่อยๆ
เราจะได้ฉุกใจคิด
ไม่ติดในตำรา บางเล่ม
และเอามาจูงจมูกตนเอง 55555+
..............................................
1."ความมืดสีขาว".....(เซ็น)
สิ่งที่เราไม่เห็นประโยชน์
ไช่ว่าไม่มีประโยชน์เพียงแต่เรายัง
มีสติรู้ตัว
ปัญญารู้คิด
ปรีชาญาณฉลาดเลือก
ยังไม่ Mature
2.จึงหยั่งไม่ถึง
กฎธรรมชาติ
กฎวิวัฒนาการของธรรมชาติ
กฎปฏิกริยาลูกโซ่
กฎแห่งกรรม
กฎไตรลักษ์ทำงาน ตลอดเวลา
3.แต่อายตนะเราไม่ได้ออกแบบให้รู้
ออกแบบรับคลื่นแต่ละความถี่
มาประเมิน ประมวลผล และตัดสินใจ
สร้างตัวตนใหม่ภายในเป็นบุคลิกภาพใหม่(กรัชกาย)
แผ่ออกครอบคลุม สรีระกาย ให้ทำงาน
เท่าที่จำเป็นต่อการอยู่ร่วม อยู่รอด
และเรียนรู้ เพื่อปรับตัว
4.เราจะรู้จาก ฝึกฝน
การใช้เหตุผล ร่วมกับจินตนาการ
การคำนวนซับซ้อน
หรือมีเครื่องมือที่เหมาะสม.....
จากนวัตกรรม
5.อย่าพึงเบื่อหายใจเด้อ
ถนอมน้ำใจมิตรภาพ
สนุกกับการเรียนรู้ใหม่ๆ
ไม่ประมาทใน กรรม เวลา มัจุราช ที่ไม่เคยคอยใคร
มนุษย์ใหญ่แค่ไหน
ฉลาดแค่ไหน ก็อยู่ใต้กฎธรรมชาติ
เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ
และเล็กกว่าโลงศพเสมอ
55555+
มุมกาแฟ วันใหม่ 3/12/17
..
..
https://www.dailymotion.com/video/xvo1ms
พุทธศาสนา เป็นเรื่องประจักษ์นิยม
เป็น"วิชชา" หรือแสงสว่างแห่งสติปัญญาที่ตื่นแล้ว
"จำเดิมตถาคต ก็กล่าวเรื่องทุกข์ และดับเหตุไม่เหลือแห่งทุกข์"
การฝึกฝน ในพุทธศาสนา ก็เพื่อ
พ้นอุปาทานทุกข์ ด้วยตนเอง เมื่อชีวิตเลิก

1.เอาตนเองเป็นศูนย์กลางทุกเรื่อง
2.เอาทฤษฎีที่ชอบ แก้ปัญหาทุกเรื่อง
3.เอาวิถีชีวิตที่ตนชอบ ไปครอบงำผู้อื่น
4.เอาของรักของชอบ มาจูงจมูกตนเอง
และ สติรู้ตัว
ปัญญารู้คิด
ปรีชาญาณฉลาดเลือก
จะตื่น มากุมสภาพจิตปรุงแต่ง
ไม่ให้สร้างอารมณ์ทุกข์ถาวร
ส่วนชีวิตที่ถึงจุด สงบร่มเย็น เบิกบานมั่นคง
ที่ตนเองจะรู้ด้วยตนเอง
และเปิดโอกาสให้ สมอง ทำงาน โดยไม่มี อารมณ์
มาชักชีวิตให้เป๋ และ เป็นวิญญูชน ที่มีมารยาทสากล
.....................................................

เรื่องที่เราศึกษาต่อไป คือ"วิชา"
คือความรู้ ในแนว ฟิสิกส์ และ เทวะวิทยา
คลิปนี้ คือ อภิปรัชญา
คือปัญญาที่เข้าถึง โดยเหตุผล และ จินตนาการ
ไม่เกี่ยวกับการชนะ อารมณ์ทุกข์ในตนเองครับผม
....................................................
ชีวิต ต้องเรียนรู้ทั้ง "วิชชา" และ"วิชา"..สาธุ อาเมน
..
..

Philosophy and healthy ปรัชญา และสุขภาพดี
G+ communities คนรัก รักษ์ ปัญญา สุขภาพ กีฬา และจักรยาน
สุขภาพดี คือลาภอันประเสริฐ ที่เราทำได้เอง

Suraphol KruasuwanOWNER

หน้า: [1] 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 ... 724