กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: 1 2 3 4 5 6 7 8 [9] 10
81


ฝ่า 7 นรก ไปกับพระเจ้า: โลกแฟนตาซีของชีวิตหลังความตาย

ผู้เขียน: ปองกมล สุรัตน์ หมวด: รีวิวสุนทรียะในความตาย

กลุ่มควันมหึมาปกคลุมทั่วที่เกิดเหตุ เสียงหวอ เสียงตะโกนดังระส่ำ ผู้คนแตกตื่น
ในเวลานั้น ‘เขา’ กลับปราศจากความรู้สึกอันใด
คล้ายกาลเวลาหยุดค้าง ทุกอย่างหมุนคว้าง เมื่อเห็นร่างของตัวเองแน่นิ่ง


ฉากเปิดของภาพยนตร์แฟนตาซี แอคชั่น ดราม่า สัญชาติเกาหลี เรื่อง Along with the Gods: The two Worlds หรือ ‘ฝ่า 7 นรก ไปกับพระเจ้า’ บอกเล่าเรื่องราวของ ‘คิมจาฮง’ พนักงานดับเพลิงหนุ่มผู้กล้าหาญ ขยันขันแข็ง เสียสละ ที่ต้องมาตายอย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวระหว่างปฏิบัติหน้าที่

จาฮง ชายหนุ่มอายุประมาณ 30 ปี มีชีวิตแร้นแค้น เขาต้องรับผิดชอบปากท้องของอีกสองชีวิต นอกจากเป็นพนักงานดับเพลิงแล้ว จึงเป็นทั้งคนเข็นผัก พนักงานขับรถ และคนถูพื้น ทำงานกะกลางวันและกลางคืนเวียนเป็นวงจร เพื่อหาเงินรักษาแม่ผู้เป็นใบ้ที่ป่วยหนัก และส่งน้องเรียน ชีวิตของเขาแทบไม่เคยหยุดพัก

วันหนึ่งเขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตคาที่ การดับไฟครั้งสุดท้ายดับชีวิตของเขาไปด้วย เขาวิงวอนขอเวลาจากยมทูตเพื่อไปพบแม่ที่ไม่ได้เห็นหน้ากันนาน 15 ปี และกล่าวความในใจกับเธอ แต่โอกาสนั้นหมดลงแล้ว ปรโลกคือทางเดียวที่เขาต้องเดินต่อ




เรื่องราวในหนังเล่าถึงการเดินทางของจาฮงไปยังนรกขุมต่างๆ เพื่อรับคำพิพากษา โดยมียมทูตทั้งสาม ได้แก่ ยมทูตผู้พิทักษ์ ยมทูตนักต่อสู้ และยมทูตผู้ล่วงรู้ คอยคุ้มภัยและช่วยแก้ต่างคดีให้ เพราะเห็นว่าจาฮงเป็นวิญญาณคนดี และการส่งวิญญาณคนดีไปเกิดใหม่ครบ 49 คน จะทำให้ยมทูตได้ไปเกิดใหม่เช่นกัน

ปรโลกประกอบด้วยนรก 7 ขุม แบ่งตามความผิดบาปต่างๆ ได้แก่ นรกแห่งบาปฆาตกรรม นรกแห่งบาปเกียจคร้าน นรกแห่งบาปหลอกลวง นรกแห่งบาปอยุติธรรม นรกแห่งบาปทรยศ นรกแห่งบาปความรุนแรง และนรกแห่งบาปอกตัญญู มีบรรยากาศเวิ้งว้าง คล้ายสถานที่ในโลกจริงแต่ถูกฉาบแต่งให้ฉูดฉาดและอลังการ แต่ละขุมจะมีเทพเจ้าตัดสินบาปกรรมที่คนคนนั้นทำเมื่อยังมีชีวิตอยู่ หากเห็นว่าผิดจริงจะลงโทษอย่างชวนขนลุก แต่หากพิจารณาว่าผู้ตายไม่ได้ทำผิดหรือไม่ได้เจตนา เมื่อหักลบกับผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้วควรยกฟ้อง ผู้นั้นก็จะรอดพ้นจากนรกขุมนั้น หากผู้ใดรอดไปได้ครบ 7 ขุมภายในเวลา 49 วัน ก็จะได้ไปเกิดใหม่ แม้เป็นโลกสมมุติ แต่การฉายภาพนรกและกระบวนการพิจารณาคดีอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้คนดูเกิดจินตภาพชัดและขบคิดถึงด้านเทาๆ ของความเป็นมนุษย์

หนังเรื่องนี้มีความแฟนตาซีสูง บางช่วงคล้ายหนังจีนกำลังภายในที่เล่นใหญ่เกินจริง ใส่บทดราม่าเยอะ แต่ก็ดูสนุก แปลกใหม่ และมีอรรถรสหลากหลาย ทั้งตลก ต่อสู้ ผจญภัย สืบสวน ดราม่าสะเทือนใจ หนังเล่าถึงความผูกพันในครอบครัว การใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท และการเตรียมตัวตาย โดยมีขุมนรกเป็นสื่อเชื่อมโยงประเด็นและคลายปริศนาทีละเปราะ ดำเนินเรื่องผ่านสองโลก คือโลกคนเป็นและโลกคนตาย

ในหนังจะมีฉากความเป็นความตายของผู้คนมาเกี่ยวข้องหลายเหตุการณ์ ทั้งฉากเปิดเรื่องที่จาฮงกำลังช่วยเด็กน้อยคนหนึ่งในอ้อมแขน แต่เชือกสลิงที่รั้งตัวบนตึกสูงถูกไฟไหม้และขาดผึง ร่างของเขาร่วงลงมากระแทกพื้นรองรับเด็กคนนั้นไว้ ฉากนี้ทำให้นึกถึงวลีที่ว่า “ชีวิตคนเราแขวนอยู่บนเส้นด้าย” อย่างแจ่มชัด หรือฉากอุบัติเหตุปืนลั่น แม้ไม่ได้เกี่ยวกับจาฮงโดยตรง แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ตัวละครสำคัญตายแบบไม่คาดฝัน ต่างเป็นเสี้ยววินาทีชีวิตที่สะท้อนว่าความตายมาเยือนเราได้ทุกเมื่อ ไม่ควรประมาท



ย้อนกลับไป 15 ปีก่อน จาฮงหนีออกจากบ้านเพราะทำผิดเกินกว่าจะสู้หน้าคนในครอบครัว เขาพยายามชดเชยด้วยการทำงานหนัก หาเงินส่งให้ทางบ้าน เจียดเงินส่วนหนึ่งซื้อของขวัญแสนพิเศษ เตรียมมอบให้แม่พร้อมจดหมายบอกเรื่องค้างใจอย่างหมดเปลือก ของขวัญกล่องนั้นถูกเก็บไว้รอเวลาเหมาะเจาะ แต่ไม่กล้าให้เสียทีจนมาตายก่อน ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีเวลามากมาย สะท้อนว่าในขณะที่ยังมีโอกาสควรให้เวลากับคนที่เรารักและพูดความในใจไม่ให้คั่งค้างต่อกัน เพราะเราไม่อาจรู้เลยว่าความตายจะมาถึงเมื่อไหร่ เช่นที่จาฮงอยากจะแก้ตัว กลับไปคุยกับแม่ก็สายไปเสียแล้ว

หนึ่งในฉากสำคัญคือฉากย้อนความทรงจำในวัยเด็ก เครื่องมือส่องกรรมฉายภาพความผิดที่เขาก่อขึ้นโดยขาดสติและถูกรุมเร้าจากปัญหาชีวิต ชิ้นส่วนความทรงจำถูกประกอบขึ้นอีกครั้ง ใหม่เอี่ยมและหมดจด จาฮงมองดูอดีตของตัวเองอย่างร้าวราน ความจริงบางอย่างที่เพิ่งเปิดเผยทำให้เขาใจสลาย ฉากนี้เตือนให้เรามีสติกับทุกการกระทำ เมื่อทำหรือพูดไปแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้ และอาจทำให้เกิดบาดแผลในใจต่อคนรอบข้างและตัวเราเอง

นอกจากนี้หนังยังสื่อสารว่าการให้อภัยเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้ตายจากไปอย่างสงบ และผู้ที่มีชีวิตอยู่ก็ได้ปลดเปลื้องความรู้สึกติดค้างในใจ การให้อภัยอาศัยความกรุณา เห็นอกเห็นใจ ปล่อยวางความแค้น และก้าวต่อไป ซึ่งจะเห็นได้จากฉากการปลดเปลื้องความแค้นของตัวละครที่ถูกยิงตาย และฉากการเปิดใจอย่างลึกซึ้งของครอบครัวจาฮง

การที่จาฮงได้โอกาสแก้ตัวเป็นเรื่องในบทภาพยนตร์ แต่ในบทชีวิตของเราทุกคน ขณะมีชีวิตอยู่ยังมีโอกาสที่จะไม่ทำพลาดเพราะขาดสติ และยังมีเวลาบอกความในใจกับคนที่เรารัก...จงอย่ารอให้สายเกินไป

 จาก https://peacefuldeath.co/along-with-the-gods-the-two-worlds/

<a href="https://www.youtube.com/v//9T0wa7LimfA" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v//9T0wa7LimfA</a> 

https://youtu.be/9T0wa7LimfA?si=YGBtnBZ5i71LUh46
82
ในหลวง ร.9 กับพระอริยสงฆ์ไทย!! รวมเรื่องเล่า..!!ฟังแบบ ยาวๆ 1 ช.ม



<a href="https://www.youtube.com/v//B__PPtVcfiE" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v//B__PPtVcfiE</a> 

https://youtu.be/B__PPtVcfiE?si=Za9A1RuSNZ0JjH1p
83
Gundam Seed สงครามนี้เพื่ออะไร



คอลัมน์ มหัศจรรย์การ์ตูน
โดย วินิทรา นวลละออง

คำถามที่ว่า "สงครามนี้เพื่ออะไร" เป็นคำถามที่มักจะอยู่ในใจของคนส่วนใหญ่เมื่อต้องเข้ามามีส่วนร่วมในสงครามเสมอ คนที่รู้คำตอบอาจมีเพียงไม่กี่คนซึ่งมักจะเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดเท่านั้น ทหารและพลเรือนมากมายกลายเป็นเพียงหมากเล็กๆบนกระดาน และหมากหลายตัวที่แสวงหาความหมายแท้จริงของสงครามก็อาจไปเจอความหมายที่ถูกบิดเบือนไปจากเจตนารมณ์ดั้งเดิม เช่น จากการต่อสู้เพื่อความสงบสุขหรือยุติธรรม อาจเป็นการเข่นฆ่าศัตรูเพื่อแก้แค้นไปก็ได้

หรือการสู้รบเพื่ออุดมการณ์อาจจะกลายเป็นเพียงการฆ่าเพื่อไม่ให้ถูกฆ่าเท่านั้น ปมเล็กๆ ดังกล่าวคือที่มาของมหากาพย์อันยิ่งใหญ่เรื่องนี้ค่ะ

"Gundam Seed" หนึ่งในจักรวาลกันดั้มหลากหลายภาค กันดั้มอาจกล่าวได้ว่าเป็นหุ่นรบที่โด่งดังที่สุดในโลก และในบรรดากันดั้มเหล่านั้น Gandum Seed ได้รับการยอมรับว่ามีบทภาพยนตร์แน่นที่สุด รวมถึงฉากต่อสู้ที่สวยงามและน่าตื่นตาตื่นใจที่สุด

จะว่าไปแล้ว...ฉันอาจจะเป็นคนสุดท้ายในโลกที่ได้รู้เรื่องนี้ค่ะ เพราะ Gundam Seed นั้นโด่งดังมานานเหลือเกิน ก่อนหน้านี้ฉันเองเข้าใจเหมือนนักอ่านหลายคน (ที่ไม่ได้เป็นแฟนการ์ตูนหุ่น) คือคิดว่าการ์ตูนหุ่นรบ ยานอวกาศ หรือขบวนการ 5 สีเป็นการ์ตูนสำหรับเด็กๆ สบประมาทไปเพียงเท่านี้



ศิษย์รักสหายการ์ตูนก็ถวาย Gundam Seed มาให้ยืมดูค่ะ เป็นการ์ตูนที่น่าตกใจเอามากๆ มันดีจนน่าตกใจค่ะ เรื่องนี้กล่าวถึงอนาคตอันไกลโพ้น เมื่อวิทยาการด้านอวกาศและพันธุวิศวกรรมของมนุษย์ก้าวหน้าถึงขีดสุด มนุษย์โลก (Natural) จึงสร้างมนุษย์พันธุ์ใหม่ขึ้นมาด้วยการตัดต่อพันธุกรรมให้มีสติปัญญาสูงส่ง ร่างกายแข็งแรง และมีความสามารถเหนือกว่ามนุษย์ธรรมดามาก คนกลุ่มนี้ถูกขนานนามว่า Coordinator

เมื่อเกิดความขัดแย้งและระแวง เหล่า Coordinator จึงถูก Natural สังหารและขับไล่ ปฏิบัติการล้างแค้นพร้อมทั้งปกป้องตัวเองจึงเริ่มขึ้น ในที่สุดเหล่า Coordinator ได้สร้างกองทัพที่ทรงอำนาจ "Zaft" เพื่อต่อสู้กับ "สหพันธ์โลก"

แต่เนื่องจากพลเมือง Coordinator มีเพียง 2 เจนเนอเรชั่น ทหารส่วนใหญ่จึงเป็นเด็กหนุ่มวัยสิบกว่าปีที่เข้าร่วมการรบโดยนึกไม่ออกว่าเพราะเหตุใดพวกเขาต้องสู้ด้วย เหตุการณ์เริ่มบานปลายขึ้นเมื่อสหพันธ์โลกแอบสร้าง Mobile Suit หรือหุ่นรบอย่างลับๆ ทำให้ Zaft ระแวงว่าโลกคิดจะบุกอีกครั้งจึงไปชิงหุ่นรบมาได้ 4 ตัว เหลือเพียงตัวเดียวซึ่งคนที่ขับได้นั้นกลับเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่คิดว่าตัวเขาจะต้องร่วมในสงครามเพราะประเทศที่เขาอยู่นั้นเป็นประเทศเป็นกลาง เขาคือ "คิระ"

Coordinator ที่ลุกขึ้นสู้กับ Coordinator ด้วยกันเพื่อปกป้องเพื่อนๆ ที่เป็น Natural หุ่นรบตัวนั้นคือกันดั้มนี่ล่ะค่ะ ซึ่งมีชื่อเฉพาะรุ่นว่า Strike ในช่วงต้นของเรื่องส่วนใหญ่เล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างคิระกับอัสรัน เพื่อนรักสมัยเด็กที่ต้องมาขับกันดั้มสู้กันเอง ระหว่างที่เหล่าเด็กหนุ่มสาวและทหารของสหพันธ์โลกพยายามหลบหนีกองทัพ Zaft



พวกเขาก็ต้องเผชิญกับความคาดหวังและภาระอันใหญ่หลวงที่ต้องแบกรับชีวิตคนมากมาย แต่ในครึ่งหลัง เนื้อเรื่องเริ่มปรับเข้าสู่การเป็นการ์ตูนแอ๊คชั่น สิ่งที่เราได้เห็นนอกจากฉากสู้รบที่สวยงามแล้ว เรายังได้เห็นพัฒนาการของเหล่าหนุ่มสาวที่ก้าวข้ามไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เข้าใจจุดยืนของตัวเองในสงครามซึ่งมีหลายฉากที่ดึงให้เราเติบโตขึ้นไปด้วย

สิ่งที่น่ากลัวซึ่งบรรดาเกจิหลายคนเตือนไว้ก่อนดู Gundam Seed คือ "จงอย่าผูกพันกับตัวละครตัวใดเป็นพิเศษ" ถ้าใครจำความเจ็บปวดตอนที่ซาอิแห่ง Hikaru no Go และ L แห่ง Death Note จากไปอย่างไม่มีวันกลับ อาจจะรู้สึกแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเมื่อดูเรื่องนี้ค่ะ

เกจิท่านหนึ่งถึงกับกล่าวว่า "ไม่เคยเห็นเรื่องใดที่ตัวละครเอกในเรื่องตายเยอะขนาดนี้" อีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับอายุค่ะ Gundam Seed ไม่เหมาะกับเด็กด้วยประการทั้งปวงเพราะเต็มไปด้วยฉากที่ก้ำกึ่งระหว่างผิดกับถูก ขาวกับดำ และไม่มีการเฉลยว่าตกลงความคิดแบบไหนกันแน่ที่ถูกต้อง ใครพระเอกใครผู้ร้ายก็ไม่รู้ การถกเถียงในเรื่องมักลงท้ายด้วยเหตุผลของใครของมันซึ่งไม่มีใครยอมฟังอีกฝ่าย จึงแนะนำให้เด็กอายุเกิน 13 ปีดูเท่านั้นค่ะ ไม่อย่างนั้นจะงงจนหัวหมุน สำหรับแฟนกันดั้มแล้ว Gundam Seed จึงอาจเป็น "กันดั้มที่ดีที่สุด" ในด้านเนื้อหาและฉาก แต่สำหรับคนที่ไม่ใช่แฟนกันดั้มแล้ว เรื่องนี้ก็คงเป็น "การ์ตูนที่ดีที่สุด" หนึ่งในสิบอันดับในใจเท่านั้นเองล่ะค่ะ

จาก https://rith99999.blogspot.com/2008/06/gundum-seed.html?m=1




<a href="https://www.youtube.com/v//Gsj6ToFTGgc" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v//Gsj6ToFTGgc</a> 

https://youtu.be/Gsj6ToFTGgc?si=E5IXoOLVQUaoKEaq
84
Galaxy Express 999 รถด่วนอวกาศ999銀河鉄道999



คอลัมน์มหัศจรรย์การ์ตูน
โดย วินิทรา นวลละออง

เมื่อหลายสัปดาห์ก่อนนั่งคุยเรื่องความหลังกับคุณแม่กลางโต๊ะอาหาร จู่ๆ คุณแม่ก็เริ่มประชุมเพลิงลูกๆ โดยการขุดความหลังสมัยเด็กๆ มาเผาให้ฟังอีกรอบค่ะ ตั้งแต่เรื่องน้องชายเอาแต่เล่นเกมทั้งวันทั้งคืน (จนตอนนี้ได้เป็นอาจารย์สอนออกแบบเกมไปแล้ว) กับพี่สาวที่เอาแต่นั่งอ่านการ์ตูน (ตอนนี้เลยมาเขียนคอลัมน์การ์ตูนลงหนังสือพิมพ์) ก็ดูเหมือนไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเพราะฟังมาหลายร้อยรอบแล้ว

"เมื่อตอนเด็กๆ นะ กลับจากโรงเรียนทีไร สองคนนี้ต้องรีบเปิดโทรทัศน์ดูเรื่องรถด่วนอวกาศทุกทีเลย" ฟังถึงตรงนี้แล้วสะดุดกึกค่ะ คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยดูการ์ตูนรถด่วนอวกาศกาแล็กซี่ 999 ที่มีผู้ชายคลุมผ้าตัวเตี้ยๆ กับผู้หญิงสาวงามในชุดและหมวกเฟอร์สีดำชื่อ "เมเทล" แต่...จำเนื้อเรื่องไม่ได้สักนิดค่ะ พิสูจน์ได้ว่าตอนที่การ์ตูนเรื่องนี้ฉายเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ฉันยังเป็นเด็กอนุบาลไม่ก็ประถมอยู่เลยค่ะ แม้จะดูไม่รู้เรื่องแต่ก็ยังตั้งใจดูทุกวัน Galaxy Express 999 (อ่านว่า ทรี-ไนน์) หรือรถด่วนกาแล็กซี่ 999 เป็นการ์ตูน 18 เล่มจบ ที่เขียนขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 80 โดยมัตสึโมโต้ เรย์จิ ปรมาจารย์นักวาดภาพแนวอวกาศชั้นนำของยุคนั้น อาจกล่าวได้ว่ารถด่วนสายโลก-อันโดรเมด้าเส้นนี้คือผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของอาจารย์ และยังคงความยอดเยี่ยมมาจนถึงทุกวันนี้




"เทตสึโร่" เด็กหนุ่มผู้เป็นตัวเอกของเรื่องอาศัยอยู่อย่างยากลำบากบนดาว "โลก" ในยุคซึ่งผู้คนเปลี่ยนร่างกายตนเองเป็นจักรกล ทำให้มนุษย์อายุยืนขึ้นเป็นหลายร้อยปี แม้รูปร่างจะเปลี่ยนไปราวกับหุ่นยนต์ แต่ทุกคนที่อยากมีชีวิตยืนยาวไม่ต้องทนทรมานกับความหนาวหรือหิว ต่างพยายามขวนขวายหาทางเป็นจักรกลให้ได้ ไม่เว้นแม้แต่เทตสึโร่ แต่เนื่องจากร่างจักรกลเหล่านี้มีราคาสูงมาก ทำให้ความหวังเดียวที่เทตสึโร่จะได้รับร่างจักรกล คือต้องขึ้นรถไฟอวกาศสาย "999" เพื่อค้นหาดาวที่แจกร่างจักรกลเหล่านี้ฟรีๆ ยังไม่ทันได้ขึ้น แม่ของเทตสึโร่ซึ่งมีร่างกายของมนุษย์สวยสมบูรณ์ก็ถูกสังหารโดยเคานท์จักรกลผู้สะสมร่างสตัฟฟ์มนุษย์เป็นงานอดิเรก ในที่สุด ด้วยความช่วยเหลือของหญิงสาวผมบลอนด์สวย "เมเทล" ทำให้เทตสึโร่ชำระแค้นได้สำเร็จ และเริ่มเดินทางไปกับเมเทลโดยมีจุดมุ่งหมายที่อันโดรเมด้า ถึงแม้ Galaxy Express 999 จะถือกำเนิดขึ้นในยุคอวกาศบูม และ อ.มัตสึโมโต้เองมีฝีมือในการวาดภาพอวกาศและยานได้งดงามสมส่วน (แม้ว่าจะโดนแซวว่าวาดคนดูป้อแป้ก็ตาม)

แต่ Galaxy Express 999 ซึ่งเล่าถึงการไปเยี่ยมดาวแต่ละดวงในช่วงพักรถไฟสั้นๆ กลับไม่ค่อยนำเสนอเรื่องอวกาศหรือเครื่องยนต์กลไกเหมือนการ์ตูนแนวไซไฟทั่วๆ ไปเท่าไร สิ่งที่นำเสนอกลับเป็นประเด็นเรื่องมนุษยธรรมและปรัชญาแบบพุทธ ทุกครั้งที่รถไฟจอด เหล่าคนบนดวงดาวล้วนแต่ตะเกียกตะกายหาทางขึ้นให้ได้ ถ้าเงินไม่พอก็ต้องหาวิชามารไม่ทางใดก็ทางหนึ่งขึ้นมา ด้วยเหตุผลเดียวคือ "ดาวดวงใหม่น่าจะสุกใสกว่าดวงนี้" ทุกคนอยากเปลี่ยนร่างเป็นจักรกลเพื่อให้อายุยืนยาวและไม่ต้องร้อนหนาวหรือเจ็บป่วยเพราะทุกชิ้นมีแต่เหล็กกับน็อต แต่ยิ่งร่างกายเปลี่ยน ความเป็นมนุษย์ก็เปลี่ยนไปด้วย สุดท้ายทุกคนที่เทตสึโร่ได้พบต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ให้เก็บร่างมนุษย์ไว้" แต่ทำไมเทตสึโร่จึงอยากทิ้งร่างนี้ไปเสียที..ต้องติดตามค่ะ สำหรับคนที่คิดว่าการ์ตูนโบราณมันต้องโบราณจนอ่านไม่รู้เรื่องแน่ๆ บางเรื่องอาจใช่ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เลยค่ะ ฉันเปิดอ่านครั้งแรกก็ตั้งข้อรังเกียจไว้ล่วงหน้าแล้วว่าต้องเชยระเบิดแน่ๆ เลย แต่น่าแปลก พล็อตไม่ได้ซับซ้อนแต่กลับสร้างออกมากินใจและร่วมสมัย แม้เนื้อเรื่องจะรวบรัดตัดความแบบการ์ตูนยุคเก่า แต่กลับให้ความรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวจนเหมือน "เวลา" จะกลายเป็นน้ำแข็งไปด้วย ทุกครั้งที่เขาพบดาวดวงใหม่ สิ่งที่ได้รับกลับไม่ใช่ของใหม่



บางที Galaxy Express 999 อาจเป็นการมองความเป็นมนุษย์ผ่านมุมมองของเด็กหนุ่มที่อยากเป็นจักรกล และจักรกลที่อยากเป็นมนุษย์ก็เป็นได้ สิ่งที่ดาวดวงใหม่ให้กับเทตสึโร่ไม่ได้เป็นอะไรที่ใหม่ขึ้นเลย แต่กลับเป็นสิ่งดั้งเดิมของตัวเองที่เมื่อเขามองย้อนกลับไป เขาอาจจะเห็นได้ว่าชีวิตนั้นมีความหมายมากเหลือเกิน



จาก https://rith99999.blogspot.com/2008/06/galaxy-express-999999999.html?m=1


<a href="https://www.youtube.com/v//Shu4Ee7g9i0" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v//Shu4Ee7g9i0</a> 

https://youtu.be/Shu4Ee7g9i0?si=nL9_d1fwQBMiDuY9
85
วั ด ไท ย ส ไ ต ล์ ญี่ ปุ่ น วัดเขาดิน สุพรรณบุรี

วัดเขาดิน วัดไทยตกแต่งในสไตล์ญี่ปุ่น | มาเนคิเนโกะแลนด์ อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี ตกแต่งใหม่ด้วย สวนสตรอว์เบอร์รีและสวนหิน Maneki Neko Land, Thai Temple in Suphan Buri, Thailand.

<a href="https://www.youtube.com/v//8ug2Uy8C_rw" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v//8ug2Uy8C_rw</a> 

https://youtu.be/8ug2Uy8C_rw?si=YW7Vs8WXZEX11R2_
86
เรียนภาษาอินเดีย! ภาษาบาลี-สันสกฤต-ฮินดี ต่างกันยังไง?

ภาษาปาฬีเป็นภาษากลุ่มอินโด-อารยันตอนกลาง แตกต่างจากภาษาสันสกฤตคลาสสิกในเรื่องฐานของภาษาถิ่นมากกว่าเวลากำเนิด ลักษณะทางสัณฐานวิทยาและคำศัพท์จำนวนหนึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่ความต่อเนื่องโดยตรงของ Ṛgvedic สันสกฤต แต่กลับสืบเชื้อสายมาจากภาษาถิ่นหนึ่งภาษาหรือมากกว่านั้น ซึ่งแตกต่างจาก Ṛgvedic แม้จะมีความคล้ายคลึงกันมากก็ตาม

อินเดียและไทยมีความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมมาหลายศตวรรษ และอินเดียมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อวัฒนธรรมไทย มีคำในภาษาไทยมากมายที่ยืมมาจากภาษาสันสกฤต ซึ่งเป็นภาษาคลาสสิกของอินเดีย ภาษาบาลีซึ่งเป็นภาษามคธและสื่อของเถรวาทเป็นรากศัพท์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของคำศัพท์ภาษาไทย ศาสนาพุทธซึ่งเป็นศาสนาหลักของประเทศไทยมีต้นกำเนิดมาจากอินเดีย

<a href="https://www.youtube.com/v//KXO_Elv6888" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v//KXO_Elv6888</a> 

https://youtu.be/KXO_Elv6888?si=O4n0d2w-rYfLfhNY
87
Fullmetal Alchemist วิทยาศาสตร์แฝงปรัชญา แขนกลคนแปรธาตุ

<a href="https://www.youtube.com/v//xYglU0MxMjU" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v//xYglU0MxMjU</a> 

https://youtu.be/xYglU0MxMjU?si=cDQWUXfWLE4gpBjP


<a href="https://www.youtube.com/v//wqDE0_Aqlr8" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v//wqDE0_Aqlr8</a> 

https://youtu.be/wqDE0_Aqlr8?si=nef3JzUBlXkbr6w8

ปรัชญาการ์ตูน ว่าด้วย Fullmetal Alchemist Brotherhood



ผมเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบในการอ่านหนังสือการ์ตูน (มังงะ) และชมภาพยนตร์อนิเมชั่น (อนิเมะ) ของต่างประเทศเป็นอย่างมาก ทั้งสัญชาติอเมริกา และญี่ปุ่น ไม่ว่าจะ Marvel, DC, Walt Disney, Pixar, หรือแม้แต่ค่ายของญี่ปุ่นอย่าง TNK, Ghibli, และ Square Enix แล้วที่ชอบโปรดปรานที่สุดในวัยเด็กก็คือ Fullmetal Alchemist ของ Hiromu Arakawa ที่ได้ติดตามอ่าน และรับชมทุกภาคตั้งแต่ภาคเก่ามาจนถึงภาคล่าสุด Brotherhood ซึ่งเป็นภาคที่ผู้ผลิตพยายามจะแก้เรื่องราวในจักรวาลภาพยนตร์เรื่อง Fullmetal Alchemist ให้มีความสอดคล้องกับเนื้อเรื่องในจักรวาลภายในหนังสือการ์ตูน (นอกจากนี้ก็ยึงมีภาพยนตร์แยกอีก 2 ตอน คือ Fullmetal Alchemist the Movie: Conqueror of Shamballa และ Fullmetal Alchemist the Movie: The Sacred Star of Milos)

เมื่อสองถึงสามวันก่อนผมได้ไปเห็นบทความชิ้นหนึ่งภายใน INVERSE ของ Adrian Marcano ชื่อ The Hidden Philosophy in Anime: ‘Fullmetal Alchemist: Brotherhood’[1] ที่ได้นำเนื้อเรื่องของ Fullmetal Alchemist (ถัดจากนี้จะขออนุญาตเรียกว่า ‘FMA’) มาทำการวิเคราะห์และแจกแจงเป็นประเด็นทางปรัชญาที่น่าสนใจเป็นอย่างมากให้ได้อ่านกัน ในฐานะเป็นผู้ที่มีความสนใจในแบบเดียวกันจึงนำมาแปลและเรียบเรียงขึ้น ณ ที่นี้

อนึ่ง FMA นั้นเป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มนักเล่นแร่แปรธาตุ (alchemists) สองพี่น้องตระกูล Elric นามว่า Edwardและ Alphonse ที่มีภูมิลำเนาอยู่ภายในเมืองรีเซมบูล (Resembool) ชนบททางฝั่งตะวันออกใกล้เขตอิชวาล (Ishval) ที่ได้พยายามศึกษาวิจัยเกี่ยวกับชีวิตและร่างกายของมนุษย์เป็นระยะนานเพื่อที่จะนำไปเป็นข้อมูลในการชุบชีวิต (human transmutation) ให้แม่ของตนเองผ่านวิชาเล่นแร่แปรธาตุ และด้วยความเป็นอัจฉริยะบวกกับตำราและคู่มือการเล่นแร่แปรธาตุมากมายภายในบ้านที่พ่อของพวกเขา (Van Hohenheim) ได้ทิ้งไว้ให้ก่อนเดินทางออกจากบ้านไปทำให้การค้นคว้าไม่ได้ยากเกินไปสำหรับทั้งสองเลย


ภาพที่ 1: แผนที่ประเทศอเมทริส

เมื่อเตรียมการต่างๆกันพร้อมแล้ว ทั้งสองก็ได้เริ่มทำตามแผนแต่ทว่าผลที่ปรากฏออกมากลับเป็นสิ่งที่ผิดหวังไปโดยปริยาย ทั้งสองมิสามารถจะชุบชีวิต หรือหากจะกล่าวให้ถูกต้อง “สร้างแม่” ขึ้นมาใหม่ผ่านวัตถุดิบพื้นฐานตามงานค้นคว้าของพวกเขาได้ เหตุเพราะกฎเหล็กสำคัญ (forbidden technique in alchemy) ของการศึกษาและปฏิบัติใช้วิชาเล่นแร่แปรธาตุนั้น คือ นักเล่นแร่แปรธาตุจะไม่สามารถเสกสร้างทองหรือมนุษย์ขึ้นมาได้ ซึ่งตอบรับกับกฎสำคัญอีกข้อหนึ่ง คือ กฎแห่งการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม (Law of Equivalent Exchange) ที่แฝงอยู่ภายในกลไกของวิชาแปรธาตุ ทำให้สองพี่น้องกล่าวคือ Edward ได้เสียขาไปหนึ่งข้าง และ Alphonse ได้สูญเสียร่างกาย หรือ กายเนื้อ (physical body) ของตนเองเป็นบทลงโทษขั้นรุนแรงที่ทุกๆคนที่ฝ่าฝืนกฎนี้จะโดนลงโทษเสมอ (เช่นเดียวกับอาจารย์ของ Edward และ Alphonse ที่ชื่อ Izumi Curtis ที่ต้องสูญเสียอวัยวะภายในไปจากการพยายามชุบชีวิตลูกของตนเอง) และเพื่อที่จะดึงเอาน้องชายกลับคืนมา Edward จึงต้องทำการฝืนข้อห้ามในวิชาเล่นแร่แปรธาตุอีกครั้งเพื่อดึงเอาตัวน้องชายกลับมา

แต่น่าเสียดายที่ครั้งที่สองนี้ Edward ดึงเอาน้องชายกลับมาได้แค่สภาพวิญญาณเท่านั้น Edward จึงได้ทำการผนึกวิญญาณของน้องชายตนเองลงไปไว้ภายในชุดเกราะเหล็กที่อยู่ภายในบ้าน ทำให้เกราะเหล็กนั้นเป็นภาชนะรองรับวิญญาณของน้องชายตนเองชั่วคราว และนั่นก็หมายความว่า Edward ต้องจ่ายราคาบทลงโทษในการฝ่าฝืนกฎอีกครั้ง คือ แขนของเขาอีกข้างหนึ่งนั่นเอง (ทำให้ Edward ต้องใส่แขนขาเทียมที่เป็นเหล็กไปชั่วคราว) จนกว่าทั้งสองจะสามารถค้นหาศิลานักปราชญ์ (Philosopher Stone) ที่เป็นหินวิเศษที่มีพลังสามารถจะทำการหักล้างกฎแห่งการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมและข้อห้ามต่างๆของวิชาเล่นแร่แปรธาตุได้เพื่อนำมาหลอมร่างกายและอวัยวะของตัวเองขึ้นมาใหม่



ภาพที่ 2: ชุดเกราะอันว่างเปล่าที่ถูกผนึกวิญญาณของ Alphonse Elric

การ์ตูนชุดเรื่องนี้ได้พยายามฉายให้เห็นภาพหลายประการเกี่ยวกับโลกของการเล่นแร่แปรธาตุ อีกทั้งผู้แต่งยังได้รวบรวมเอาแนวคิด และทฤษฎี ความเชื่อต่างๆเกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุ การสร้างโฮมุนคุลุส (homunculus) การสร้างสิ่งมีชีวิตคิเมร่า (chimera) และศิลานักปราชญ์ที่เคยมีผู้ศึกษากันภายในฝั่งยุโรปในอดีตมา นั่นทำให้การ์ตูนเรื่องนี้ถูกแฝงฝังไปด้วยแนวคิดทางปรัชญาสอดแทรกไว้อยู่มากมาย โดย Marcano นั้นได้หยิบยกตัวอย่างของแนวคิดทางปรัชญาที่ซ่อนไว้ออกมาอยู่ 4 ประการ คือ ประเด็นเรื่องแก่นแท้ ศีลธรรมเชิงสัมพัทธ์ การดำรงอยู่ และท้ายสุดกฎแห่งการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกัน


ภาพที่ 3: ประตูแห่งแก่นแท้


ประการแรกประเด็นเรื่องของแก่นแท้ (truth) มนุษย์เราพยายามแสวงหา ค้นหาและไขว่คว้าหาความจริงอันเป็นสัจจะ หรือ แก่นแท้ (truth) มานานหลายศตวรรษ หรืออาจจะหลายสหัสวรรษเลยทีเดียว สำหรับ “แก่นแท้” ภายในการ์ตูนเรื่องนี้นั้นคือ ตัวสัตความจริง (actual-being) คือความจริงของทุกอย่าง ความจริงที่ถูกซ่อนอยู่ภายในเบื้องหลังของสรรพสิ่งต่างๆภายในทั้งความคิด สิ่งมีชีวิต โลก จักรวาล ทุกสิ่ง เมื่อ Edward ได้พบกับตัวแทนแห่งความจริง ที่ได้พาไปสู่ประตูแห่งแก่นแท้ ตัวแทนแห่งความจริง หรือสัตความจริงนั้นๆก็ได้ส่งให้ Edward เข้าไปสู่ประตูแห่งแก่นแท้ ทำให้ Edward สามารถที่จะเห็นความจริงต่างๆภายในโลก รวมถึงความลับภายในสรรพสิ่งอย่างชัดเจน แต่การได้มาซึ่งความรู้ และความจริงที่แท้เที่ยงเหล่านั้นก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่แสนแพง (steep price)  นั่นคือต้องสังเวยบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้ได้มา (กล่าวคือ สูญเสียแขนและขาไปนั้นเอง) ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า ในสถานการณ์นั้นๆเราจะทำอย่างไร และหากเป็นตัวเราหรือกรณีของเราเอง อะไรคือสิ่งที่เราต้องจ่ายและสละ?  และถ้าหากเรารู้แน่นอนว่าสิ่งที่เราต้องจ่ายไปคือสิ่งที่หนักหนาสาหัสสำหรับเรา เราจะยอมจ่ายสิ่งนั้นเพียงเพื่อแค่ให้เรารู้ความจริงบางประการแค่นั้นไหม? หรือบางครั้งเรามีแนวโน้มจะเลือกที่จะไม่รู้ หรือเดียงสาต่อแก่นแท้เหล่านั้นต่อไปอย่างมืดบอด? ซึ่งภายในเนื้อเรื่องนั้น “แก่นแท้” ถูกเสนอผ่านภาพของความน่าเกลียด น่ากลัว สยดสยอง ไม่ว่าผู้ใดที่ผ่านเข้าประตูไปนั้นจักต้องพบกับความโศกเศร้า บาป ความเลวร้ายนานาชนิดที่ถูกฉายออกมาให้ประจักษ์สายตาผ่านคำว่า “แก่นแท้”

ถัดมาคือ ประเด็นเรื่องความสัมพัทธ์ ความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรม และ ศีลธรรมภายในชีวิตมนุษย์ การ์ตูนเรื่องนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงการเหยียดชาติพันธุ์ สีผิว และความแตกต่างที่เห็นได้ชัดภายในประเทศอเมทริส (Ametris) โดย Marcano ชี้ว่าเรื่องของคุณธรรมจริยธรรม หรือศีลธรรมนั้นล้วนแต่เป็นสิ่งที่เฉพาะเจาะจงไปตามกลุ่มสังคม หรือตามแต่ละบุคคล (morality is relative to the person) ทำให้มาตรวัดหนึ่งๆ หรือ ค่านิยม ศีลธรรม ความคิดภายในวัฒนธรรมหนึ่งๆนั้นไม่สามารถที่จะถูกนำไปใช้ได้ในอีกกลุ่มวัฒนธรรมหนึ่งๆ เหตุเพราะเรื่องวัฒนธรรมนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเป็นสากลได้ มันจึงเกิดคำถามตามมาว่าเมื่อมันเกิดวัฒนธรรมอย่างการตอน การตัดคลิตอริส (genital mutilation) การกระทำความรุนแรงต่อสัตว์ (animal abuse) ในสังคมอื่นๆเราในฐานะผู้คนต่างวัฒนธรรมมีสิทธิที่จะเดินเข้าไปห้ามปรามหรือประณามพวกเขาหรือไม่? (เมื่อมองในกรอบเดียวกับที่ว่าสิ่งเหล่านั้นก็หมายรวมอยู่ในคำว่า “วัฒนธรรม” เช่นเดียวกับเรื่อง การไหว้ การฮาราคีรี และการจูบแก้ม) ซึ่ง Arakawa ก็ได้พยายามยกตัวอย่างให้เห็นภายใน FMA เอง ที่ความแตกต่างทางวัฒนธรรม ความคิด และมาตรฐานทางศีลธรรม นำมาสู่ความขัดแย้ง และสงคราม นั่นก็คือ สงครามกลางเมืองอิชวาลในทางฝั่งตะวันออก (The Ishvalan War) ที่เกิดจากความแตกต่างทางศาสนา วัฒนธรรม ที่ปะทุขึ้นจากกรณีที่นายทหารจากรัฐบาลอเมทริสนายหนึ่งเกิดยิงเด็กชาวอิชวาลเสียชีวิต และได้มีการนำนักเล่นแร่แปรธาตุของรัฐมาใช้ในสงครามพยายามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอิชวาลไม่เว้นแม้แต่เด็กและผู้หญิง ที่ล้วนถูกมองเป็นพลเมืองชั้นสองอีกด้วย

นอกจากประเด็นชาวอิชวาลแล้วยังมีประเด็นของนักเล่นแร่แปรธาตุของทางกองทัพที่ชื่อ Shou Tucker ที่มีฉายาว่านักเล่นแร่แปรธาตุผสานชีวิต (Sew-Life Alchemist) ที่ได้ฉายถึงประเด็นดังกล่าวไม่น้อยไปกว่ากัน การทำการทดลองกับมนุษย์ของเขาถูกมองและกล่าวหาว่าเป็นเรื่องที่ผิดจรรยาบรรณ และจริยธรรมในหมู่นักเล่นแร่แปรธาตุ (เช่นเดียวกับการทดลองและการทำวิจัยทางวิทยาศาสตร์กับร่างกายมนุษย์ในปัจจุบันที่ยังไม่ค่อยเปิดกว้างเท่าใดนัก) คำถามที่ว่า “ร่างกายมนุษย์นั้นจะ[พัฒนา]ไปได้ไกลเท่าใด” เป็นคำถามที่ Shou หลงใหลและเป็นแนวคิดหลักของ Shou ในการทำวิจัยเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์และสัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยพยายามจะนำคุณสมบัติพิเศษของสัตว์ต่างๆมาดัดแปลงตัดแต่งเพื่อเพิ่มความสามารถให้แก่มนุษย์ เรียกว่า การทดลองโครงการคิเมร่า (chimera) อันเป็นโครงการวิจัยที่ Shou ตั้งใจจะพัฒนาทำให้สำเร็จเพื่อที่จะเข้ารับการประเมินประจำปีจากกองทัพ และขอให้กองทัพสนับสนุนทุนวิจัยแก่เขาต่อไป โดยการประเมินผลครั้งแรกนั้น Shou ได้ใช้ภรรยาตนเองเป็นหนูทดลองในการสร้างคิเมร่าที่พูดได้ทำให้กองทัพยอมสนับสนุนโครงการของเขาจนถึงเวลานั้น แต่ด้วยระยะเวลาการตรวจประเมินที่ค่อนข้างกระชั้นชิด ทำให้ Shou ไม่สามารถทำงานให้สำเร็จดังที่หวังไว้ จึงใช้ลูกสาวและสุนัขของตนเองมาทดลองสร้างคิเมร่า สิ่งนี้นำมาซึ่งประเด็นที่น่าสนใจที่ว่าการทำวิจัยทางวิทยาศาสตร์ชีวภาพโดยนำมนุษย์และสัตว์มาทดลองภายในโครงการนั้นเป็นสิ่งที่ควรจะปล่อยให้เกิดขึ้น หรือได้รับการยอมรับอย่างจริงจังภายในสังคมมากน้อยเพียงใดอีกด้วย


ภาพที่ 4: มนุษย์ทดลองในหลอดแก้ว (homunculus)

ประการที่สามเรื่องของกายและจิต (mind-body distinction) และการดำรงอยู่ในฐานะมนุษย์ (personhood) เมื่อพูดถึงประเด็นเรื่องการดำรงอยู่ของทั้งตัวตนทางกายภาพและตัวตนทางจิตวิญญาณ ก็ไม่พ้นต้องพูดถึง Rene Descartes ที่ได้นำเสนอปรัชญาทวินิยม (dualism) ที่เป็นแนวคิดที่ว่าด้วยการดำรงอยู่แยกขาดแต่อย่างคู่ขนานกันระหว่างกายภาพและจิตวิญญาณ (two separate entities) และด้วยสภาพการณ์เช่นนี้ หากร่างกายของคนคนหนึ่งถูกทำลายลงไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตัวตนของคนคนนั้นจะต้องสูญสลาย เพราะยังคงมีจิตวิญญาณที่ยังหลงเหลืออยู่ นั่นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ Alphonse สามารถกลับมาใช้ชีวิตอยู่ได้ในโลกมนุษย์อีกครั้ง ภายหลังถูกพี่ชายทำการผนึกวิญญาณไว้กับชุดเกราะที่แม้ตัวชุดเกราะจะไม่ได้ส่งผลหรือแสดงอาการอัตลักษณ์ใดๆออกมาว่าเป็น Alphonse เลยก็ตาม แต่ด้วยวิญญาณ ความคิดที่ถูกนำมาผนึกไว้นั้น ทำให้ Edward สามารถที่จะใช้อ้างบอกกับใครๆในสังคมได้ว่าชุดเกราะกลวงเปล่าที่พูดได้นั้นคือน้องชายของเขาด้วยอักขระเลือดที่เขียนไว้บนชุดเกราะอันแสดงถึงสัญลักษณ์การมีชีวิตอยู่โดยไร้ตัวตนทางกายภาพ อย่างไรก็ตาม Alphonse ก็ยังคงประสบปัญหาด้านสถานะของความเป็นมนุษย์ในชีวิตประจำวันของตนเองที่ยังคลุมเครืออยู่ตลอดเวลา จากการที่เขาไม่สามารถรู้สึกหิว เจ็บปวด ร้องไห้มีน้ำตาแบบคนทั่วไปได้ ทำให้หลายๆครั้งคนในสังคมประเทศอเมทริสมีอาการตกใจ และตื่นกลัวการปรากฏตัวของชุดเกราะพูดได้นี้


ภาพที่ 5: โฮมุนคุลุสรวมตัว

อย่างไรก็ตามนอกจากสองตัวอย่างที่ได้กล่าวไปเกี่ยวกับคิเมร่า และกรณีของ Alphonse แล้ว อีกกรณีหนึ่งที่ไม่ควรพลาดคือกรณีของการมีอยู่ของโฮมุนคุลุส (homunculus) ที่ทำให้เราต้องกลับมาถกเถียงกันว่าอะไรคือคำจำกัดความของคำว่า “มนุษย์” (human-being) การมีลักษณะทางกายภาพแบบมนุษย์ที่เหมือนๆกันทั่วไป หรือว่า ตัวตนทางจิตวิญญาณและอารมณ์? Marcano ถามว่าถ้าหากเราใช้รูปลักษณ์ทางกายภาพเป็นตัวชี้วัด เช่นนั้นแล้วโฮมุนคุลุส หรือ มนุษย์ทดลองที่เกิดมาจากในหลอดแก้ว (ตามเนื้อเรื่อง) ก็สามารถที่จะถูกสันนิษฐานได้ว่ามีสถานะเทียบเท่ากับมนุษย์ได้เช่นเดียวกัน เพราะสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นก็มีรูปร่าง หน้าตา และลักษณะทางกายภาพที่ไม่แตกต่างไปจากมนุษย์เลย แต่ส่วนใหญ่แล้วโฮมุนคุลุสภายในเรื่องดังกล่าวมักจะไม่มีอารมณ์ความรู้สึกในแบบเดียวกับมนุษย์ เพราะต่างก็ถูกสร้างขึ้นมาโดยมีเป้าหมายเพียงไม่กี่ประการ (single-minded) ทำให้ความรู้สึกนึกคิดและอารมณ์แบบมนุษย์นั้นไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาด้วย ยกเว้นอยู่เพียงตัวเดียวคือ Greed (ชื่อของโฮมุนคุลุสที่มีวิวัฒนาการตัวเองได้จนสามารถมีความรู้สึก และอารมณ์ที่ใกล้เคียงแบบเดียวกับมนุษย์)

และประการสุดท้ายที่ Marcano กล่าวถึงเกี่ยวกับ FMA ก็คือเรื่องกฎแห่งการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกัน (Law of Equivalent Exchange) โดยเขาได้อ้างถึงคำพูดของ Alphonse ที่มีต่อกฎของแลกเปลี่ยนว่า “มนุษยชาตินั้นไม่สามารถได้อะไรมาง่ายๆโดยไม่ได้สูญเสียอะไรบางอย่างไป” (Humankind cannot gain anything without first giving something in return) เพื่อเป็นการยืนยันธรรมชาติและความเป็นไปโดยพื้นฐานและสัจจริงของโลกนี้ว่า การที่เราจะได้สิ่งใดสิ่งหนึ่งมานั้นเราจำเป็นที่จะต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตามที่มีค่าเท่าเทียมหรือ[มี/ถูกตั้ง]มูลค่าเทียบเท่ากับสิ่งที่จะได้มา ซึ่ง Marcano ได้เปรียบเทียบและยกตัวอย่างถึงกฎตามหลักวิทยาศาสตร์ของการอนุรักษ์พลังงาน (conservation of energy) กล่าวคือ พลังงานเป็นสิ่งที่ไม่สามารถและไม่มีวันจะสูญสลายหายไปได้ มันแค่เปลี่ยนสถานะไปอยู่ในรูปแบบอื่นเท่านั้น FMA ได้ใช้ปรัชญาและกฎข้อนี้เป็นกลไกสำคัญในการดำเนินเนื้อเรื่องและชีวิตของตัวละครตลอดมาทุกๆภาค ที่ช่วยให้เราเข้าใจว่าสิ่งต่างๆบนโลกนั้นไม่มีอะไรที่สามารถได้มาอย่างง่ายดายโดยไม่สูญเสียสิ่งใดไปเลย หากจะกล่าวง่ายๆก็คือ ไม่มีสิ่งใดที่ไร้มูลค่าอย่างสากล ทุกๆอย่างและสรรพสิ่งล้วนแล้วแต่มีโอกาสที่จะมีมูลค่าหรือราคาทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับว่าจะอยู่ภายใต้บริบทหรือเงื่อนไขประการใด

อย่างไรก็ตามแม้ว่า Marcano จะกล่าวถึงประเด็นจากการ์ตูนทั้งหมดเพียงแค่ 4 ประเด็น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการ์ตูนเรื่องดังกล่าวจะมีประเด็นทางปรัชญา และแนวคิดทางสังคมอยู่เพียงแค่นั้น หากแต่ยังมีอีกมากมาย แทรกอยู่ตาม Episode ย่อยเกือบทุกตอน ซึ่ง Marcano เองก็ได้ยืนยันในตอนท้ายก่อนปิดบทความว่าอาจจะต้องใช้การอธิบายโดยการเขียนออกมาเป็นหนังสือถึงหนึ่งเล่มเพื่อแจกแจงรายละเอียดเกี่ยวกับแนวคิดทางปรัชญาที่แฝงอยู่ภายในการ์ตูนชุดนี้ โดยในส่วนนี้เองผู้แปลก็เห็นด้วยกับ Marcano ที่จะนำเสนอแค่เพียงประเด็นหลักๆทางปรัชญาที่ถูกวางไว้ในโครงสร้างของเนื้อเรื่องเพียงเท่านั้น แม้ลักษณะการอธิบายของ Marcano จะมิสามารถให้รายละเอียดและเจาะลึกลงไปวิเคราะห์ที่ปรัชญาภายในตัวละคร เนื้อเรื่อง แนวคิดบริบทภายในอย่างซับซ้อนเท่าที่ควรตามจริตของการวิเคราะห์ตีความภาพยนตร์ก็ตาม แต่อย่างน้อยที่สุดตัว Marcano เองก็ยังสามารถที่จะดึงเอาสิ่งพื้นฐานที่ซ่อนอยู่ภายในการ์ตูนเรื่องนี้ออกมาแล้วเขียนให้ผู้อ่านได้สำรวจความคิดและสิ่งที่แฝงอยู่ภายในเรื่องได้อย่างน่าสนใจ


จาก https://prachatai.com/journal/2016/07/66751

88
Kimi no Na wa เย็นวันนั้นที่เราต่างเห็นดาวหาง



บทความนี้มีการสปอยล์
หากคุณไม่ชื่นชอบการโดนสปอยล์
กรุณากลับมาอ่านอีกครั้งหลังชมภาพยนตร์เรียบร้อยแล้ว

 
1. มันเป็นเย็นวันหนึ่งอันแสนธรรมดาและน่าเบื่อในมหานครโตเกียวสำหรับทาคิ เด็กหนุ่มมัธยมปลายที่รับงานพิเศษเป็นพนักงานเสิร์ฟในภัตตาคารอิตาเลียนแห่งหนึ่ง เป็นอีกวันหนึ่งซึ่งก็ไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษให้ระลึกถึงหากไม่ใช่ว่าในยามที่ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำและดวงดาวนับล้านพันสุกสะพรั่งจรัสฟ้า จะมีดาวหางสีฟ้าดวงมหึมาตัดผ่านน่านฟ้าโลกด้วยความเร็วคงที่และเกิดเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีถึงจะได้เห็นภาพเช่นนี้อีกครั้ง ทาคิมองตามดาวหางดวงนั้นลอยผ่านโดยไม่รู้เลยว่าชีวิตตัวเองนับแต่วินาทีนั้นได้ถูกผูกเข้ากับวัตถุลอยฟ้าดวงยักษ์เข้าเสียแล้ว





ไกลออกไปจากเมืองหลวง ในชนบทที่เย็นวันนั้นกลับไม่เงียบสงบด้วยเพราะมีงานวัดซึ่งชาวบ้านต่างก็เข้าร่วมจับจ่ายซื้อของและกินขนมอย่างปกติสุข แย้มยิ้มให้กันอย่างสนุกสนาน เพลิดเพลินกับชีวิตอันเรียบง่าย หากแต่สำหรับมิตสึฮะ เด็กสาวมัธยมที่สักวันจำต้องสืบทอดตำแหน่งคนทรงประจำตระกูลแล้ว เธอไม่ค่อยมีความสุขสักเท่าไหร่นักในวันนั้น แม้จะสวมยูกาตะชุดสวย แต่สีหน้ากลับดูเศร้าจนสังเกตได้ ดังว่ามีอะไรอยู่ในใจแต่ก็ไม่อยากเปิดเผยให้ใครรู้ ในระหว่างทางไปยังงานวัดนั้นเองที่จู่ๆ ก็มีดาวหางดวงโตปรากฏขึ้นบนฟ้า มิตสึฮะมองตามเส้นสายที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาราวกับถูกดึงดูดเอาไว้ ดาวหางดวงนั้นมีอะไรบางอย่างที่สำคัญกับชีวิตเธอ แต่ไม่ทันที่จะได้รู้ว่าคืออะไร ทุกสิ่งที่เธอมองก็พลันเปลี่ยนไปเป็นสีขาวโพลน

จู่ๆ ก็มีดาวหางดวงโตปรากฏขึ้นบนฟ้า
มิตสึฮะมองตามเส้นสายที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาราวกับถูกดึงดูดเอาไว้…


2.‘Kimi no Na wa’ หรือ ‘Your Name’ คือภาพยนตร์แอนิเมชั่นผลงานของผู้กำกับนามมาโคโตะ ชินไค ที่สร้างปรากฏการณ์ฮิตถล่มทลายที่ญี่ปุ่น และถึงกับครองอันดับหนึ่งของ Box Office ญี่ปุ่น (จนถึงวันที่เขียนอยู่นี้) ก็สิบสัปดาห์เข้าไปแล้ว เรียกว่าแค่สถิติปะหน้าก็มากพอที่จะทำให้หลายๆ คนเฝ้ารอที่จะได้ชมแอนิเมชั่นเรื่องนี้ ซึ่งเมื่อได้ดูก็ไม่แปลกใจเลยครับว่าทำไม Kimi no Na wa ถึงได้ถลุงรายได้กันไม่เว้นวันขนาดนี้ เพราะแค่เฉพาะงานด้านภาพ(ซึ่งเป็นจุดเด่นของผู้กำกับท่านนี้อยู่แล้ว) ก็แสนจะประณีตและงามหยดอยู่แล้ว พอผนวกเข้ากับเนื้อเรื่องที่สนุก และตัวละครที่มีเสน่ห์ ก็ยิ่งส่งให้แอนิเมชั่นเรื่องนี้เป็นที่ถูกใจได้ไม่ยากเลย


งานภาพที่ประณีต จุดเด่นของงานของมาโคโตะ ชินไค


กระนั้นแล้วก็มีอยู่จุดหนึ่งที่ชวนให้สังเกตนั่นคือการใช้เพลงเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการเล่าเรื่อง คือไม่ใช่แค่เล่นคลอเป็นฉากหลังในลักษณะของสิ่งประกอบฉาก แต่เป็นการหยิบเอาเพลงเข้ามาใช้เป็นวิธีการเล่ารูปแบบหนึ่งเลย ยกตัวอย่างเช่น หนังจะถูกเร่งจังหวะขึ้น เวลาในฉากนั้นๆ จะผ่านไปเร็วขึ้น เล่าผ่านเหตุการณ์ระยะหนึ่งอย่างรวดเร็วเพื่อให้เห็นถึงพัฒนาการของตัวละครในภาพกว้าง แทนที่จะเน้นการโฟกัสที่ช่วงเวลาเดียวอย่างละเอียด ด้วยเทคนิคเช่นนี้ในทางหนึ่งมันก็ช่วยขับเคลื่อนเรื่องได้ครอบคลุมดี แต่ในอีกทางมันก็แสดงให้เห็นถึงปริมาณอันล้นปรี่ของเรื่องที่ต้องการจะเล่า หากด้วยข้อจำกัดที่มีก็ไม่อาจเล่าเรื่องได้หมดอย่างที่ต้องการ และตรงจุดนี้เองที่สำหรับผมแล้วก็ได้สร้างรูโหว่ให้กับหนังอยู่เนืองๆ นั่นเพราะไม่ใช่ทุกครั้งที่เทคนิคนี้จะเวิร์ค ดังว่าความน่าเชื่อถือของความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครก็ถูกทอนลงเสียสั้นจนพาให้เกิดอาการไม่เชื่ออยู่บ่อยๆ หรือในจุดที่รู้สึกว่าควรจะให้เวลากับฉากนั้นๆ แต่ก็กลับถูกเร่งจังหวะเสียจนน้ำหนักของหนังสูญเสียไปอย่างน่าเสียดาย

เฉพาะงานด้านภาพก็แสนจะประณีตงามหยดอยู่แล้ว
พอผนวกเข้ากับเนื้อเรื่องที่สนุก และตัวละครที่มีเสน่ห์
ก็ยิ่งส่งให้แอนิเมชั่นเรื่องนี้เป็นที่ถูกใจได้ไม่ยากเลย


3.ประเด็นที่น่าสนใจภายใต้ฉากหน้าของเรื่องราวการสลับร่างกันเป็นอีกคนในบางวันระหว่างทาคิและมิตสึฮะคือความไม่พอใจในชีวิตของตัวเอง มิตสึฮะนั้นอยู่ในชนบทซึ่งเธอแสนจะเบื่อหนาย ด้วยใฝ่ฝันอยากจะมีชีวิตอยู่ในเมืองหลวง เมื่อเกิดเหตุการณ์สลับร่างขึ้นจนทำให้เธอได้ไปอยู่ในร่างของทาคิ มันจึงเป็นเช่นฝันที่ถูกสนองให้เป็นจริง เธอได้มีอิสระเสรีในร่างของคนอื่น ปราศจากการถูกควบคุมด้วยสถานะของผู้สืบทอดตำแหน่งคนทรงที่คอยค้ำเธอเอาไว้ เช่นเดียวกับทาคิที่แม้จะคล้ายว่าไม่ได้ปรารถนาสิ่งใด หากแต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกชอบตัวตนที่เป็นสักเท่าไหร่นัก ทาคิแอบชอบรุ่นพี่ที่ทำงาน แต่เธอก็ไม่เคยชายตามองเขาดังที่หวัง กระทั่งที่เขาได้สลับร่างกับมิตสึฮะ รุ่นพี่คนนั้นจึงได้สัมผัสถึงตัวตนอันเป็นอื่นของทาคิที่ต่างออกไป ตัวตนที่แท้จริงแล้วเป็นจิตวิญญาณของคนอื่น หาใช่ตัวทาคิเลยแม้แต่น้อย จุดนี้เองที่ได้แสดงให้เห็นว่า หากไม่ใช่เพราะมิตสึฮะแล้ว รุ่นพี่คนดังกล่าวก็คงไม่หันมาสนใจทาคิแต่อย่างใด นั่นเพราะสิ่งที่ทำให้เธอสนใจคือความเป็นอื่นที่สัมผัสได้ในตัวเขาต่างหาก

ความสัมพันธ์ระหว่างทาคิและมิตสึฮะจึงเติบโตขึ้นในลักษณะของความเป็นอื่นที่เข้าแทนที่ความรู้สึกไม่พอใจของอีกคนหนึ่ง เสียบแทนชีวิตของอีกคนประหนึ่งว่าได้ทดลองใช้ชีวิตในอีกรูปแบบที่ไม่ได้ยึดโยงไว้ตั้งแต่ถือกำเนิดขึ้นมา


ความสัมพันธ์ระหว่างทาคิและมิตสึฮะเติบโตขึ้นด้วยความเป็นอื่นที่เข้าแทนที่ความรู้สึกไม่พอใจของอีกคนหนึ่ง

มันคือโอกาสที่จะได้เปรียบเทียบชีวิตของเราเองกับความเป็นไปได้อื่นๆ ที่เราหวังว่าจะได้เป็น เพื่อที่ว่าในท้ายที่สุดแล้วเราจะได้หยุดมองกลับมาที่ตัวเราเอง หลับตาและซึมซับในสิ่งที่เราเป็น และยอมรับในตัวเองที่ล้วนแล้วแต่ถูกประกอบสร้างขึ้นจากสภาพแวดล้อมที่รายล้อมเราเอาไว้

ในขณะที่การสลับร่างเกิดขึ้น พวกเขาต่างก็ได้แบกเอาสัมภาระที่สร้างเป็นตัวตนของตัวเองไปด้วย ไม่สนใจว่าคนรอบข้างจะสัมผัสได้ถึงความแตกต่าง และเช่นกันที่พวกเขาก็ไม่อาจคุ้นชินกับร่างกายและชีวิตใหม่ที่พวกเขาได้รับ กล่าวคือทั้งมิตสึฮะและทาคินั้นไม่ได้ต้องการจะแลกเปลี่ยนชีวิตของทั้งสองชั่วนิรันดร์ แต่เป็นเพียงแค่ความสนุกและประสบการณ์แค่ชั่วครู่ชั่วคราวโดยไม่ปรารถนาจะยึดเอาไว้กับตัว เพราะที่สุดแล้วพวกเขาก็ยังคงผูกพันธ์กับชีวิตที่ผ่านมาของตัวเอง เช่นเดียวกับที่ยังคงซื่อสัตย์กับความรู้สึกเดิมของตัวเองเช่นกัน

มันคือโอกาสที่จะได้เปรียบเทียบชีวิตของเราเอง
กับความเป็นไปได้อื่นๆ ที่เราหวังว่าจะได้เป็น
เพื่อที่ว่าในท้ายที่สุดแล้วเราจะได้หยุดมองกลับมาที่ตัวเราเอง



4. คืนวันที่เคลื่อนผ่าน ระนาบเวลาที่คลาดเคลื่อน เมื่อดาวหางดวงหนึ่งปรากฏขึ้นบนฟ้า เป็นไปได้ว่าหากเราพลาดโอกาสมองมันในครั้งนั้นก็เท่ากับปล่อยให้ปรากฏการณ์ที่อาจมีขึ้นแค่ครั้งเดียวในชีวิตหลุดลอยไป เช่นเดียวกับการโคจรมาพบกันระหว่างทาคิและมิตสึฮะที่เกิดขึ้นแค่เพียงช่วงสั้นๆ การสลับร่างเกิดขึ้นกับชีวิตพวกเขาแค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น ก่อนที่ทั้งสองจะไม่สามารถกลับไปสวมร่างของอีกคนได้อีก

หากการสลับร่างเกิดขึ้นจากเจตจำนงบางประการของดาวหาง ก็อาจอนุมานได้อีกเช่นกันว่ามันจะเกิดขึ้นอีกครั้งในการมาถึงของดาวหางดวงเดิมในครั้งต่อๆ ไป ซึ่งถ้าทาคิและมิตสึฮะยืนยันว่าจะรอ และไม่ดิ้นรนออกตามหาอีกฝ่าย มันก็เท่ากับพวกเขาได้ยินยอมปล่อยโอกาสที่จะได้พบอีกฝ่ายให้หลุดลอยไป เพียงเพราะอายุขัยของมนุษย์นั้นไม่นานพอที่จะเฝ้ารอสิ่งใดอย่างเรื่อยไปได้ตลอด


การโคจรมาพบกันระหว่างทาคิและมิตสึฮะเกิดขึ้นแค่เพียงช่วงสั้นๆ ชั่วคราวเท่านั้น

ความรักที่เกิดขึ้นกับทาคิและมิตสึฮะนั้น แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ความบังเอิญ เพราะหากยึดตามคำพูดของคุณยายมิตสึฮะที่ยืนยันว่าการสลับร่างกันนั้นเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้วในสายเลือดตระกูลของเธอ เคยเกิดขึ้นแล้วกับตัวคุณยายเองด้วยซ้ำ เพียงแต่เธอกลับหลงลืมไปแล้วว่าเธอเคยไปอยู่ในร่างของใคร เหนือไปจากข้อจำกัดเรื่องอายุ การลืมก็เป็นอีกสิ่งที่กีดขวางมนุษย์ไว้จากอุดมคติแห่งการรอคอย ที่ถึงที่สุดแล้วก็หมดสิ้นอายุขัยไปในที่สุด

 

เช่นกันที่ความสัมพันธ์ระหว่างทาคิและมิตสึฮะเองก็อาจลงเอยเช่นนี้ ที่ไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะหลงลืมกันไปช้าๆ ปราศจากเครื่องมือหรือวัตถุใดๆ ที่จะยึดโยงพวกเขาไว้ด้วยกันดังที่เชือกเส้นแดงของมิตสึฮะคอยผูกมัดพวกเขาเอาไว้ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วความพยายามที่จะออกตามหาอีกฝ่ายของทั้งสองก็ปรากฏผลตอบแทนที่แปรเปลี่ยนการสลับร่างแค่สั้นๆ ให้กลายเป็นความจริงที่ทั้งคู่ต่างก็ได้โอบกอดซึ่งกันและกันไว้เพียงเพราะการไม่ยอมรั้งรอต่ออนาคตที่ไม่อาจรู้ได้ของทั้งสอง แต่เลือกสร้างมันขึ้นมาด้วยเจตจำนงของตัวพวกเขาเอง


จาก https://thematter.co/thinkers/kimi-no-na-wa-kalil/12311#google_vignette



<a href="https://www.youtube.com/v//3KR8_igDs1Y" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v//3KR8_igDs1Y</a> 

https://youtu.be/3KR8_igDs1Y?si=mXc1xSUzp7kji1_O
89
ไหว้พระหน้าคอม / คาถา เย ธมฺมา บนแท่นหินบดยาสมัยทวารวดี
« กระทู้ล่าสุด โดย มดเอ๊กซ เมื่อ มกราคม 11, 2024, 09:54:23 pm »
คาถา เย ธมฺมา บนแท่นหินบดยาสมัยทวารวดี

<a href="https://www.youtube.com/v//puQUCUHCXNw" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v//puQUCUHCXNw</a> 

https://youtu.be/puQUCUHCXNw?si=VCapyg3IjOGDONLQ

ขยายความเพิ่มเติม

<a href="https://www.youtube.com/v//Dk5ya17Bvus" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v//Dk5ya17Bvus</a> 

https://youtu.be/Dk5ya17Bvus?si=oCEEI4su1DyldfQg

<a href="https://www.youtube.com/v//0NDxXOSJ4cc" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v//0NDxXOSJ4cc</a> 

https://youtu.be/0NDxXOSJ4cc?si=nh8t5L0eMOuVUPxs

<a href="https://www.youtube.com/v//cTBrBYGiXWg" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v//cTBrBYGiXWg</a> 

https://youtu.be/cTBrBYGiXWg?si=vzdZCnMdRof85BTb
90
พระพุทธเจ้าทรงรัก(เมตตา)คนไทยที่สุด! ชมคลิปนี้แล้วจะรู้ว่าเพราะเหตุใด?

<a href="https://www.youtube.com/v//d-XTOsbBkrA" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v//d-XTOsbBkrA</a> 

https://youtu.be/d-XTOsbBkrA
หน้า: 1 2 3 4 5 6 7 8 [9] 10