ผู้เขียน หัวข้อ: พุทธวจนะในธรรมบท โดย เสฐียรพงษ์  (อ่าน 12016 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: พุทธวจนะในธรรมบท โดย เสฐียรพงษ์
« ตอบกลับ #20 เมื่อ: กันยายน 21, 2011, 01:34:08 pm »

๑๘. หมวดมลทิน
IMPURITY


๒๓๕. ปณฺฑุปลาโสว ทานิสิ
ยมปุริสาปิ จ ตํ อุปฏฺฐิตา
อุยฺโยคมุเข จ ติฏฺฐสิ
ปาเถยฺยมฺปิ จ เต น วิชฺชติ ฯ ๒๓๕ ฯ

บัดนี้ เธอแก่ดังใบไม้เหลือง
ยมทูตกำลังเฝ้ารออยู่
เธอกำลังจะจากไปไกล
แต่เสบียงเดินทางของเธอไม่มี

Like a withered leaf are you now,
Death's messangers wait for you.
You are going to travel far away,
But provision for your journey you have none.

๒๓๖. โส กโรหิ ทีปมตฺตโน
ขิปฺปํ วายม ปณฺฑิโต ภว
นิทฺธนฺตมโล อนงฺคโณ
ทิพฺพํ อริยภูมิเมหิสิ ฯ ๒๓๖ ฯ

เธอจงสร้างที่พึ่งแก่ตนเอง
รีบพยายามขวนขวายหาปัญญาใส่ตัว
เมื่อเธอหมดมลทิน หมดกิเลสแล้ว
เธอก็จักเข้าถึงทิพยภูมิของพระอริยะ

Make a refuge unto yourself
Quickly strive and become wise.
Purged of taint and free from stain,
To heavenly state of the Noble will you attain.

๒๓๗. อุปนีตวโยว ทานิสิ
สมฺปยาโตสิ ยมสฺส สนฺติกํ
วาโสปิ จ เต นตฺถิ อนฺตรา
ปาเถยฺยมมฺปิ จ เต น วิชฺชติ ฯ ๒๓๗ ฯ

บัดนี้ เธอใกล้จะถึงอายุขัยแล้ว
เธอย่างเข้าใกล้สำนักพญามัจจุราชแล้ว
ที่พักระหว่างทางของเธอก็ไม่มี
เสบียงเดินทาง เธอก็ไม่ได้หาไว้

Your life has come near to an end now,
To the presence of Death you are setting out.
No halting place is there for you on the way,
And provision for your journey you have none.

๒๓๘. โส กโรหิ ทีปมตฺตโน
ขิปฺปํ วายม ปณฺฑิโต ภว
นิทฺธนฺตมโล อนงฺคโณ
น ปุน ชาติชรํ อุเปหิสิ ฯ ๒๓๘ ฯ

จงสร้างที่พึ่งแก่ตัวเอง
รีบขวนขวายหาปัญญาใส่ตัว
เมื่อเธอหมดมลทิน หมดกิเลสแล้ว
เธอก็จักไม่มาเกิดมาแก่อีกต่อไป

Make a refuge unto yourself,
Quickly strive and become wise.
Purged of taint and free from stain,
To birth-and-decay will you not come again.

๒๓๙. อนุปุพฺเพน เมธาวี
โถกํ โถกํ ขเณ ขเณ
กมฺมาโร รชตสฺเสว
นิทฺธเม มลมตฺตโน ฯ ๒๓๙ ฯ

คนมีปัญญา
ควรขจัดมลทินของตน
ทีละน้อยๆ
ทุกๆ ขณะ
โดยลำดับ
เหมือนนายช่างทอง
ปัดเป่าสนิมแร่

By gradual practice,
From moment to moment,
And little by little,
Let the wise man blow out
His own impurities,
Just as a smith removes
The dross of ore.

๒๔๐. อยสาว มลํ สมุฏฺจิตํ
ตทุฏฺฐาย ตเมว ขาทติ
เอวํ อติโธนจารินํ
สานิ กมฺมานิ นยนฺติ ทุคฺคตึ ฯ ๒๔๐ ฯ

สนิมเกิดแต่เหล็ก
กัดกินเหล็กฉันใด
กรรมที่ตนทำไว้
ย่อมนำเขาไปทุคติฉันนั้น

As rust, springing from iron,
Eats itself away, once formed,
Even so one's own deeds
Lead one to states of woe.

๒๔๑. อสชฺฌายมลา มนฺตา
อนุฏฺฐนมลา ฆรา
มลํ วณฺณสฺส โกสชฺชํ
ปมาโท รกฺขโต มลํ ฯ ๒๔๑ ฯ

ความเสื่อมของมนตรา อยู่ที่การไม่ทบทวน
ควาามเสื่อมของเรือน อยู่ที่ไม่ซ่อมแซม
ความเสื่อมของความงาม อยู่ที่เกียจคร้านตบแต่ง
ความเสื่อมของนายยาม อยู่ที่ความเผลอ

Non-recitation is the bane of scriptures.
Non-repair is the bane of houses.
Sloth is the bane of beauty.
Negligence is the bane of a watcher.

๒๔๒. มลิตฺถิยา ทุจฺจริตํ
มจฺเฉรํ ททโต มลํ
มลา เว ปาปกา ธมฺมา
อสฺมึ โลเก ปรมฺหิ จ ฯ ๒๔๒ ฯ

ความประพฤติเสียหาย เป็นมลทินของสตรี
ความตระหนี่ เป็นมลทินของผู้ให้
ควาามชั่วทุกชนิด เป็นมลทิน
ทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า

Misconduct is defilement of a woman.
Strininess is defilement of a donor.
Tainted indeed are all evil things,
Both in this world and the world to come.

๒๔๓. ตโต มลา มลตรํ
อวิชฺชา ปรมํ มลํ
เอตํ มลํ ปหตฺวาน
นิมฺมลา โหถ ภิกฺขโว ฯ ๒๔๓ ฯ

มลทินที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น คือความโง่เขลา
ความโง่เขลา นับเป็นมลทินชั้นยอด
ภิกษุทั้งหลายพวกเธอจงละมลทินชนิดนี้
เป็นผู้ปราศจากมลทินเถิด

A greater taint than these is ignorance,
The worst taint of all.
Rid yourselves of ignorance, monks,
And be without taint.

๒๔๔. สุชีวฺ อหิริเกน
กากสูเรน ธํสินา
ปกฺขนฺทินา ปคพฺเภน
สงฺกิลิฏฺเฐน ชีวิตํ ฯ ๒๔๔ ฯ

คนไร้ยางอาย กล้าเหมือนกา
ชอบทำลายผู้อื่นลับหลัง ชอบเอาหน้า
อวดดี มีพฤติกรรมสกปรก
คนเช่นนี้ เป็นอยู่ง่าย

Easy is the life of a shameless one
Who is as bold as a crow,
A back-biting, a forward,
An arrogant and a corrupted one.

๒๔๕. หิรีมตา จ ทุชฺชีวํ
นิจฺจํ สุจิคเวสินา
อลีเนนปฺปคพฺเภน
สุทฺธาชีเวน ปสฺสตา ฯ ๒๔๕ ฯ

ส่วนคนที่มีหิริ ใฝ่ความบริสุทธิ์เป็นนิตย์
ไม่เกียจคร้าน อ่อนน้อมถ่อมตน
มีความเป็นอยู่บริสุทธิ์ มีปัญญา
คนเช่นนี้เป็นอยู่ลำบาก

Hard is the life of a modest one
Who ever seeks after purity,
Who is strenous, humble,
Cleanly of life, and discerning.

๒๔๖. โย ปาณมติปาเตติ
มุสาวาทญฺจ ภาสติ
โลเก อทินฺนํ อาทิยติ
ปรทารญฺจ คจฺฉติ ฯ ๒๔๖ ฯ

๒๔๗. สุราเมรยปานญฺจ
โย นโร อนุยุญฺชติ
อิเธวเมโส โลกสฺมึ
มูลํ ขนติ อตฺตโน ฯ ๒๔๗ ฯ

ผู้ใด ฆ่าสัตว์ พูดเท็จ ลักทรัพย์
ประพฤติล่วงเกินภรรยาของผู้อื่น
ดื่มสุราเมรัยเป็นนิจศีล
ผู้นั้นนับว่าขุดรากถอนโคนตนเองในโลกนี้ทีเดียว

Whoso destroys life,
Tells lies,
Takes what is not given,
Commits sexual misconduct,
And is addicted to intoxicating drinks-
Such a one roots out oneself in this very world.

๒๔๘. เอวํ โภ ปุริส ชานิหิ
ปาปธมฺมา อสญฺญตา
มา ตํ โลโภ อธมฺโม จ
จิรํ ทุกฺขาย รนฺธยุ ฯ ๒๔๘ ฯ

จงรู้เถิด บุรุษผู้เจริญเอ๋ย ความชั่วร้าย
มิใช่สิ่งที่จะพึงควบคุมได้ง่ายๆ
ขอความโลภและความชั่วช้า
อย่าได้ฉุดกระชากเธอ
ไปหาความทุกข์ตลอดกาลนานเลย

Know this, O good man,
Not easy to control are evil things.
let not greed and wickedness drag you
To protacted misery.

๒๔๙. ททาติ เว ยถาสทฺธํ
ยถาปสาทนํ ชโน
ตตฺถ โย มงฺกุโต โหติ
ปเรสํ ปานโภชเน
น โส ทิวา วา รตฺตึ วา
สมาธึ อธิคจฺฉติ ฯ ๒๔๙ ฯ

ประชาชนย่อมให้ทานตามศรัทธา
ใครคิดอิจฉาในข้าวและน้ำของคนอื่น
เขาย่อมไม่ได้รับความสงบใจ
ไม่ว่ากลางวัน หรือ กลางคืน

People give according to their faith
And as they are pleased.
Whoso among them is envious
Of others' food and drink-
He attains no peace of mind
Either by day or by night.

๒๕๐. ยสฺส เจตํ สมุจฺฉินฺนํ
มูลฆจฺฉํ สมูหตํ
ส เว ทิวา วา รตฺตึ วา
สมาธึ อธิคจฺฉติ ฯ ๒๕๐ ฯ

ผู้ใดเลิกคิดเช่นนั้นแล้ว
ผู้นั้น ย่อมได้รับความสงบใจ
ทั้งในกลางวันและกลางคืน

He who thinks not
In such a way
Gains peace of mind
Every night and day.

๒๕๑. นตฺ ราคสโม อคฺคิ
นตฺถิ โทสสโม คโห
นตฺถิ โมหสมํ ชาลํ
นตฺถิ ตณฺหาสมา นที ฯ ๒๕๑ ฯ

ไม่มี ไฟใด เสมอราคะ
ไม่มี เคราะห์ใด เสมอโทสะ
ไม่มี ข่ายดักสัตว์ใด เสมอโมหะ
ไม่มี แม่น้ำใด เสมอตัณหา

No fire is there like lust.
No captor like hatred.
No snare like delusion.
No torrent like craving.

๒๕๒. สุทสฺสํ วชฺชมญฺเญสํ
อตฺตโน ปน ทุทฺทสํ
ปเรสํ หิ โส วชฺชานิ
โอปุนาติ ยถา ภุสํ
อตฺตโน ปน ฉาเทติ
กลึว กิตวา สโฐ ฯ ๒๕๒ ฯ

โทษคนอื่นเห็นได้ง่าย
โทษตนเห็นได้ยาก
คนเรามักเปิดเผยโทษคนอื่น
เหมือนโปรยแกลบ
แต่ปิดบังโทษของตน
เหมือนนักเลงเต๋าโกงซ่อนลูกเต๋า

Easy to perceive are others' faults,
One's own, however, are hard to see.
Like chaff one winnows others's faults,
But conceals one's own
Just as a cheating gambler hides
An ill-thrown dice.

๒๕๓. ปรวชฺชนุปสฺสิสฺส
นิจฺจํ อุชฺฌานสญฺญิโน
อาสวา ตสฺส วฑฺฒนฺติ
อารา โส อาสวกฺขยา ฯ ๒๕๓ ฯ

ผู้ที่เพ่งแต่โทษคนอื่น
คอยจับผิดอยู่ตลอดเวลา
เขาย่อมหนาด้วยกิเลสอาสวะ
ไม่มีทางเลิกละมันได้

He who sees others' faults
And is ever censorious-
Defilements of such a one grow
Far is he from destroying them.

๒๕๔. อากาเสว ปทํ นตฺถิ
สมโณ นตฺถิ พาหิโร
ปปญฺจาภิรตา ปชา
นิปฺปปญฺจา ตถาคตา ฯ ๒๕๔ ฯ

ไม่มีรอยเท้าในอากาศ
ไม่มีสมณะภายนอกศาสนานี้
สัตว์พากันยินดีในกิเลสที่กีดขวางนิพพาน
พระตถาคตทั้งหลาย หมดกิเลสชนิดนั้นแล้ว

No track is there in the sky.
No samanas are there outside.
In obstacles mankind delights.
The Tathagatas leave them behind.

๒๕๕. กากาเสว ปทํ นตฺถิ
สมโณ นตฺถิ พาหิโร
สงฺขารา สสฺสตา นตฺถิ
นตฺถิ พุทฺธานมิญฺชิตํ ฯ ๒๕๕ ฯ

ไม่มี รอยเท้าในอากาศ
ไม่มี สมณะนอกศาสนานี้
ไม่มี สังขารที่เที่ยงแท้
ไม่มี ความหวั่นไหวสำหรับพระพุทธเจ้า

No track is there in the sky.
No samanas are there outside.
No etenal compounded thing.
No instability is there in the Buddhas.

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: พุทธวจนะในธรรมบท โดย เสฐียรพงษ์
« ตอบกลับ #21 เมื่อ: กันยายน 21, 2011, 01:46:02 pm »

๑๙. หมวดเที่ยงธรรม
THE JUST


๒๕๖. น เตน โหติ ธมฺมฏฺโฐ
เยนตฺถฺ สหสา นเย
โย จ อตฺถํ อนตฺถญฺจ
อุโภ นิจฺเฉยฺย ปณฺฑิโต ฯ ๒๕๖ ฯ

ผู้ที่ตัดสินความโดยหุนหันพลันแล่น
ไม่จัดเป็นผู้เที่ยงธรรม
ส่วนผู้ที่ฉลาด วินิจฉัยรอบคอบ
ทั้งฝ่ายถูก และฝ่ายผิด
(จึงจัดเป็นผู้เที่ยงธรรม)

He who hastily arbitrates
Is not known as 'just'
The wise investigating right and wrong
(Is known as such).

๒๕๗. อสาหเสน ธมฺเมน
สเมน นยตี ปเร
ธมฺมสฺส คุตฺโต เมธาวี
ธมฺมฏฺโฐติ ปวุจฺจติ ฯ ๒๕๗ ฯ

บัณฑิตผู้ตัดสินผู้อื่นโดยรอบคอบ
โดยเที่ยงธรรมสม่ำเสมอ
ถือความถูกต้องเป็นใหญ่
ผู้นี้ได้สมญาว่า ผู้เที่ยงธรรม

He who judges others other with due deliberation,
With judgement righteous and just-
Such a wise one, guardian of the law,
Is called righteous.

๒๕๘. น เตน ปณฺฑิโต โหติ
ยาวตา พหุ ภาสติ
เขมี อเวรี อภโย
ปณฺฑิโตติ ปวุจฺจติ ฯ ๒๕๘ ฯ

เพียงแต่พูดมาก ไม่จัดว่าเป็นบัณฑิต
คนที่ประพฤติตนให้เกษม
ไม่มีเวร ไม่มีภัย
จึงจะเรียกว่า เป็นบัณฑิต

A man is not called wise
Merely because he speaks much.
Secure, hateless and fearless-
Such a man is called wise.

๒๕๙. น ตาวาตา ธมฺมธโร
ยาวตา พหุ ภาสติ
โย จ อปฺปมฺปิ สุตฺวาน
ธมฺมํ กาเยน ปสฺสติ
ส เว ธมฺมธโร โหติ
โย ธมฺมํ นปฺปมชฺชติ ฯ ๒๕๙ ฯ

บุคคลไม่นับว่าผู้ทรงธรรม
ด้วยเหตุเพียงพูดมาก
ส่วนผู้ใด ถึงได้สดับตรับฟังน้อย
แต่เห็นธรรมด้วยใจ
ไม่ประมาทในธรรม
ผู้นั้นแล เรียกว่า ผู้ทรงธรรม

He is not versed in the Dharma
Merely because he speaks much.
He who hears little of the teaching
But mentally sees the Truth,
And who is not heedless of the Truth-
He is indeed versed in the Dharma.

๒๖๐. น เตน เถโร โหติ
เยนสฺส ปลิตํ สิโร
ปริปกฺโก วโย ตสฺส
โมฆชิณฺโณติ วุจฺจติ ฯ ๒๖๐ ฯ

เพียงมีผมหงอก
ยังไม่นับว่า เถระ
เขาแก่แต่วัยเท่านั้น
เรียกได้ว่า คนแก่เปล่า

A man is not an elder
Merely because his head is grey.
Ripe is his age,
And old-in-vain is he called.

๒๖๑. ยมฺหิ สจฺจญฺจ ธมฺโม จ
อหึสา สญฺญโม ทโม
ส เว วนฺตมโล ธีโร
โส เถโรติ ปวุจฺจติ ฯ ๒๖๑ ฯ

ผู้ใดมี สัจจะ คุณธรรม ไม่เบียดเบียน
สำรวม ข่มใจ ฉลาด ปราศจากมลทินโทษ
ผู้นั้นแล เรียกว่า เถระ

In whom there are truth, virtue, harmlessness,
Self-mastery, and self-restraint
Who is free from defilements and is wise-
He, indeed, is called an elder.

๒๖๒. น วากฺกรณมตฺเตน
วณฺณโปกฺขรตาย วา
สาธุรูโป นโร โหติ
อิสฺสุกี มจุฉรี สโฐ ฯ ๒๖๒ ฯ

ไม่ใช่เพราะพูดคล่อง
ไม่ใช่เพราะมีผิวพรรณสวย
ที่ทำให้คนเป็นคนดีได้
ถ้าหากเขายังมีความริษยา
มีความตระหนี่ เจ้าเลห์
(เขาก็เป็นคนดีไม่ได้)

Not by mere cloquence,
Nor by beautiful complexion
Does a man become good-natured,
Should he be jealous, selfish and deceitful.

๒๖๓. ยสฺส เจตํ สมุจฺฉินฺนํ
มูลฆจฺฉํ สมูหตํ
ส วนฺตโทโส เมธาวี
สาธุรูโปติ วุจฺจติ ฯ ๒๖๓ ฯ

ผู้ใดเลิกละความอิจฉาเป็นต้น
ได้อย่างเด็ดขาดแล้ว
คนฉลาด ปราศจากมลทินเช่นนี้
เรียกว่า คนดี

In whom such behaviour
Is cut off and wholly uprooted,
That wise man who has cast out impurities,
Is indeed called good-natured.

๒๖๔. น มุณฺฑเกน สมโณ
อพฺพโต อลิกํ ภณํ
อิจฺฉา โลภสมาปนฺโน
สมโณ กึ ภวิสฺสติ ฯ ๒๖๔ ฯ

คนศีรษะโล้นไร้ศีลวัตร
พูดเท็จ ไม่นับเป็นสมณะ
เขามีแต่ความอยากและความโลภ
จักเป็นสมณะได้อย่างไร

Not by a shaven head does a man,
Undisciplined and lying, become an ascetic.
How can he, full of desire and greed,
Become an ascetic?

๒๖๕. โย จ สเมติ ปาปานิ
อณุถูลานิ สพฺพโส
สมิตตฺตา หิ ปาปานํ
สมโณติ ปวุจฺจติ ฯ ๒๖๕ ฯ

ผู้ที่ระงับบาปทั้งหลาย
ทั้งน้อยและใหญ่
เรียกว่าเป็นสมณะ
เราะเลิกละบาปได้

Whosoever makes an end of all evil,
Both small and great-
He is called an ascetic,
Since he has overcome all evil.

๒๖๖. น เตน ภิกฺขุ โส โหติ
ยาวตา ภิกฺขเต ปเร
วิสฺสํ ธมฺมํ สมาทาย
ภิกฺขุ โหติ น ตาวตา ฯ ๒๖๖ ฯ

เพียงขอภิกษาจากผู้อื่น
ไม่ชื่อว่าเป็นภิกษุ
ถ้ายังประพฤติตนเหมือนชาวบ้านอยู่
ก็ยังไม่ชื่อว่าเป็นภิกษุ

A man is not a bhikkhu
Simply because he begs from others.
By adapting householder's manner,
One does not truly become a bhikkhu.

๒๖๗. โยธ ปุญฺญญฺจ ปาปญฺจ
พาเหตฺวา พฺรหฺมจริยวา
สงฺขาย โลเก จรติ
ส เว ภิกฺขูติ วุจฺจติ ฯ ๒๖๗ ฯ

ผู้ใดละบุญละบาปทุกชนิด
ครองชีวิตประเสริฐสุด
อยู่ในโลกมนุษย์ด้วยปัญญา
ผู้นี้แลเรียกว่า ภิกษุ

He who has abandoned both merit and demerit,
He who is leading a pure life,
He who lives in teh world with wisdom-
He indeed is called a bhikkhu.

๒๖๘. น โมเนน มุนิ โหติ
มูฬฺหรูโป อวิทฺทสุ
โย จ ตุลํว ปคฺคยฺห
วรมาทาย ปณฺฑิโต ฯ ๒๖๘ ฯ

๒๖๙. ปาปานิ ปรวชฺเชติ
ส มุนิ เตน โส มุนิ
โย มุนาติ อุโภ โลเก
มุนิ เตน ปวุจฺจติ ฯ ๒๖๙ ฯ

คนโง่เขลา ไม่รู้อะไร
นั่งนิ่งดุจคนใบ้ ไม่นับเป็นมุนี
ส่วนคนมีปัญญาทำตนเหมือนถือคันชั่ง
เลือกชั่งเอาแต่ความดี ละทิ้งความชั่วช้า
ด้วยปฏิปทาดังกล่าวเขานับว่าเป็นมุนี
อนึ่งผู้ที่รู้ทั้งโลกนี้และโลกหน้า
จึงควรแก่สมญาว่า มุนี

Not by silence does one become a sage
If one be both ignorant and dull.
But the wise who, as if holding a pair of scales,
Embraces the best and shuns evil-
He is indeed, for that reason, a sage.
He that understands both worlds is called a sage.

๒๗๐. น เตน อริโย โหติ
เยน ปาณานิ หึสติ
อหึสา สพฺพปาณานํ
อริโยติ ปวุจฺจติ ฯ ๒๗๐ ฯ

ถ้ายังเบียดเบียนสัตว์อยู่
บุคคลไม่นับว่า เป็นอารยชน
เพราะไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งปวง
เขาจึงได้ชื่อว่า อารยชน

By harming living beings
Not thus is one a noble man.
By harmlessness towards all beings
One is then called a noble man.

๒๗๑. น สีลพฺพตมตฺเตน
พาหุสจฺเจน วา ปน
อถวา สมาธิลาเภน
วิวิตฺตสยเนน วา ฯ ๒๗๑ ฯ

๒๗๒. ผุสามิ เนกฺขมฺมสุขํ
อปุถุชฺชนเสวิตํ
ภิกฺขุ วิสฺสาสมาปาทิ
อปฺปตฺโต อาสวกฺขยํ ฯ ๒๗๒ ฯ

ภิกษุเอย เพียงมีศีลาจารวัตร
เพียงมีภูมิปริยัติคงแก่เรียน
เพียงพากเพียรปฏิบัติจนได้ฌาน
เพียงอยู่ในสถานสงบสงัด
ถ้าขจัดกิเลสไม่ได้หมด เธออย่านิ่งนอนใจ
ว่า เธอได้รับสุขในบรรพชา
ที่สามัญชนทั่วไปมิได้สัมผัส

Not by mere conduct and vows,
Nor again by much learning,
Nor even by gaining concentration,
Nor by living alone in solitude,
At the thought; 'I enjoy the bliss of remunciation
Not resorted to by the worlding',
Should you, O monks, rest content
Without reaching the extinction of corruption.

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: พุทธวจนะในธรรมบท โดย เสฐียรพงษ์
« ตอบกลับ #22 เมื่อ: กันยายน 21, 2011, 01:54:31 pm »

๒๐. หมวดทาง
THE PATH


๒๗๓. มคฺคานฏฺฐงฺคิโก เสฏฺโฐ
สจฺจานํ จตุโร ปทา
วิราโค เสฏฺโฐ ธมฺมานํ
ทิปทานญฺจ จกฺขุมา ฯ ๒๗๓ ฯ

ยอดแห่งมรรคา คืออัษฎางคิกมรรค
ยอดแห่งสัจจะ คืออริยสัจสี่ประการ
ยอดแห่งธรรม คือความปราศจากราคะ
ยอดแห่งมนุษย์ คือพระผู้เห็นแจ้ง

Best of paths is the Eightfold Path.
Best of truths is the Four Noble Truths.
Best of conditions is Passionlessness.
Best of men is the Seeing One.

๒๗๔. เอเสว มคฺโค นตฺถญฺโญ
ทสฺสนสฺส วิสุทฺธิยา
เอตญฺหิ ตุมฺเห ปฏิปชฺชถ
มารสฺเสตํ ปโมหนํ ฯ ๒๗๔ ฯ

มีทางนี้เท่านั้น ไม่มีทางอื่น
ที่จะนำไปสู่ความบริสุทธิ์แห่งทัศนะ
พวกเธอจงเดินตามทางนี้เถิด
ทางสายนี้พญามารมักเดินหลงเสมอ

This is the only way;
None other is there for the purity of vision.
Do you enter upon this path,
Which is the bewilderment of Mara.

๒๗๕. เอตญฺหิ ตุมฺเห ปฏิปนฺนา
ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสถ
อกฺขาโต เว มยา มคฺโค
อญฺญาย สลฺลสตฺถนํ ฯ ๒๗๕ ฯ

เมื่อเดินตามทางสายนี้
พวกเธอจักหมดทุกข์
ทางสายนี้ เราได้ชี้บอกไว้
หลังจากที่เราได้รู้วิธีถอนลูกศรคือกิเลส

When walking along this path,
You shall make an end of suffering
This is the Way made known by me
When I had learnt to remove all darts.

๒๗๖. ตุมฺเหติ กิจฺจํ อาตปฺปํ
อกฺขาตาโร ตถาคตา
ปฏิปนฺนา ปโมกฺขนฺติ
ฌายิโน มารพนฺธนา ฯ ๒๗๖ ฯ

พวกเธอจงพยายามทำความเพียรเถิด
พระตถาคต เป็นเพียงผู้ชี้บอกทางเท่านั้น
ผู้บำเพ็ญฌานเดินตามทางสายนี้
ก็จะพ้นจากเครื่องผูกของพญามาร

You yourselves should make an effort,
The Tathagatas can but show the Way.
The meditative ones who walk this path
Are released from the bonds of Mara.

๒๗๗. สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจาติ
ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ
อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข
เอส มคฺโค วิใทฺธิยา ฯ ๒๗๗ ฯ

"สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยงแท้"
เมื่อใด บุคคลเห็นแจ้งด้วยปัญญาดังนี้
เมื่อนั้น เขาย่อมหน่ายในทุกข์
นี้เป็นทางแห่งความบริสุทธิ์

'Impermanent are all conditioned things',
When thus one sees with wisdom,
Then is one disgusted with ill.
This is the path to purity.

๒๗๘. สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขาติ
ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ
อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข
เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา ฯ ๒๗๘ ฯ

"สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์"
เมื่อใด บุคคลเห็นแจ้งด้วยปัญญาดังนี้
เมื่อนั้น เขาย่อมหน่ายในทุกข์
นี่เป็นทางแห่งความบริสุทธิ์

'Full of Ill are conditioned things',
When thus one sees with wisdom,
Then is one disgusted with Ill.
This is the path to purity.

๒๗๙. สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ
ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ
อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข
เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา ฯ ๒๗๙ ฯ

"ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา"
เมื่อใด บุคคลเห็นแจ้งด้วยปัญญาดังนี้
เมื่อนั้น เขาย่อมหน่ายในทุกข์
นี่เป็นทางแห่งความบริสุทธิ์

'Lacking permanent entity are all events',
When thus one sees with wisdom,
Then is one disgusted with Ill.
This is the path to purity.

๒๘๐. อุฎฺฐานกาลมฺหิ อนุฏฺฐหาโน
ยุวา พลี อาลสิยํ อุเปโต
สํสนฺนสงฺกปฺปม กุสีโต
ปญฺญาย มคฺคํ อลโส น วินฺทติ ฯ ๒๘๐ ฯ

คนเราเมื่อยังหนุ่มแน่น
แข็งแรงแต่เกียจคร้าน
ไม่ขยันในเวลาที่ควรขยัน
มีความคิดตกต่ำ
คนเกียจคร้านเฉื่อยชาเช่นนี้
ย่อมไม่พบทางแห่งปัญญา

The idler who strives not when he should strive,
Who though young and strong is slothful,
Who is feeble in maintaing right-mindedness,
And who is sluggish and inert-
Such a one finds not the way to wisdom.

๒๘๑. วาจานุรกฺขี มนสา สุสํวุโต
กาเยน จ อกุสลํ น กยิรา
เอเต ตโย กมฺมปเถ วิโสธเย
อาราธเย มคฺคํ อิสิปฺปเวทิตํ ฯ ๒๘๑ ฯ

พึงระวังวาจา พึงสำรวมใจ
ไม่พึงทำบาปทางกาย
พึงชำระทางกรรมทั้งสามนี้ให้หมดจด
เมื่อทำได้เช่นนี้ เขาพึงพบทาง
ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายแสดงไว้

Ever watchful in speech,
Restrained in mind let him be,
Let him commit no evil in deed.
These three ways of action let him purify,
And so win the way proclaimed by the Buddhas.

๒๘๒. โยคา เว ชายเต ภูริ
อโยคา ภูริสงฺขโย
เอตํ เทฺวธาปถํ ญตฺวา
ภวาย วิภวาย จ
ตถตฺตานํ นิเวเสยฺย
ยถา ภูริ ปวฑฺฒติ ฯ ๒๘๒ ฯ

ปัญญาเกิดมีได้ เพราะตั้งใจพินิจ
เสื่อมไป เพราะไม่ได้ตั้งใจพินิจ
เมื่อรู้ทางเจริญและทางเสื่อมของปัญญาแล้ว
ควรจะทำตนโดยวิถีทางที่ปัญญาจะเจริญ

Indeed from concentration springs wisdom,
Without concentration wisdom wanes.
Knowing this twofold way of loss and gain,
Let him so conduct himself
That wisdom may grow well.

๒๘๓. วนํ ฉินฺทถ มา รุกฺขํ
วนโต ชายเต ภยํ
เฉตฺวา วนญฺจ วนถญฺจ
นิพฺพนา โหถ ภิกฺขโว ฯ ๒๘๓ * ฯ

ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงถางป่า (ราคะ)
แต่อย่าตัดต้นไม้ (จริงๆ) ภัยย่อมเกิดจากป่า (ราคะ)
พวกเธอทำลายป่า และพุ่มไม้เล็กๆ (ราคะ) ได้แล้ว
จักเป็นผู้ไม่มีป่า (ราคะ)

Cut down the forest(of passion) but not real trees,
In the forest(of passion) is danger.
Cut the forest and brushwood(of passion),
Be forestless, O bhikkhus.

* คาถานี้เป็นการเล่นคำ วน กับ นิพฺพน วน แปลว่า ป่าหรือกิเลส
นิพฺพน แปลว่า ไม่มีป่าหรือไม่มีกิเลส อันได้แก่นิพพาน (นิพฺพน>นิพฺพาน)

๒๘๔. ยาวญฺหิ วนโถ น ฉิชฺชติ
อณุมตฺโตปิ นรสฺส นาริสุ
ปฏิพทฺธมโนว ตาว โส
วจฺโฉ ขีรปโกว มาตริ ฯ ๒๘๔ ฯ

ตราบใดบุรุษยังตัดความกำหนัด
ต่ออิสตรีแม้นิดหน่อยยังไม่ขาด
ตราบนั้น เขาก็ยังคงมีจิตผูกพันอยู่ในภพ
เหมือนลุกโคยังไม่หย่านมติดแม่โคแจฉะนั้น

As long as the brushwood of lust, however small,
Of a man towards a woman is not destroyed,
So long is his mind attached(to existence)
As a sucking calf to its mother-cow.

๒๘๕. อุจฺฉินฺท สิเนหมตฺตโน
กุมุทํ สารทิกํว ปาณินา
สนฺติมคฺคเมว พฺรูหย
นิพฺพานํ สุคเตน เทสิตํ ฯ ๒๘๕ ฯ

จงถอนความรักของตน
เหมือนคนถอนดอกบัวที่เกิดในฤดูสารท
จงเพิ่มพูนแนวทางแห่งสันติ คือ นิพพาน
ที่พระสุคตเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว

Root out your affection
As an autumn lily is plucked.
Cultivate the Path of Peace
Made known by the Blessed One.

๒๘๖. อิธ วสฺสํ วสิสฺสามิ
อิธ เหมนฺตคิมฺหิสุ
อิติ พาโล วิจินฺเตติ
อนฺตรายํ น พุชฺฌติ ฯ ๒๘๖ ฯ

"เราจักอยู่ที่นี่ตลอดฤดูฝน
เราจักอยู่ที่นี่ตลอดฤดูหนาว และฤดูร้อน"
คนโง่มักคิดเช่นนี้
หารู้อันตรายจะมาถึงตัวเองไม่

'Here shall I live in the rains,
Here in the autumn and in the summer',
Thus thinks the fool, and does not realize
The danger of his own life.

๒๘๗. ตํ ปุตฺตปสุสมฺมตฺตํ
พฺยาสตฺตมนสํ นรํ
สุตฺตํ คามํ มโหโฆว
มจฺจํ อาทาย คจฺฉติ ฯ ๒๘๗ ฯ

ผู้ที่มัวเมาอยู่ในบุตรและปศุสัตว์
มีมนัสติดข้องอยู่ ย่อมถูกมฤตยูฉุดคร่าไป
เหมือนชาวบ้านที่หลับไหล
ถูกกระแสน้ำใหญ่พัดพา

On children and flocks
Whose mind is attached and set,
Him Death carries away
As a great flood a sleeping village.

๒๘๘. น สนฺติ ปุตฺตา ตาณาย
น ปิตา นปิ พนฺธวา
อนฺตเกนาธิปนฺนสฺส
นตฺถิ ญาตีสุ ตาณตา ฯ ๒๘๘ ฯ

บุตรก็ป้องกันไม่ได้
บิดาหรือญาติก็ป้องกันไม่ได้
คนเราเมื่อถึงคราวจะตาย
หมู่ญาติก็ป้องกันไม่ได้

No sons are there for protection,
Neither father nor even kinsmen.
For one who is assailed by death
No protection is there found among kinsmen.

๒๘๙. เอตมตฺถวสํ ญตฺวา
ปณฺฑิโต สีลสํวุโต
นิพฺพานคมนํ มคฺคํ
ขิปฺปเมว วิโสธเย ฯ ๒๘๙ ฯ

เมื่อรู้ความจริงข้อนี้แล้ว
คนฉลาดผู้สำรวมในศีล
ไม่ควรชักช้า
ในการตระเตรียมทาง
ไปสู่พระนิพพาน

Thoroughly knowing this fact,
The wise man, restrained in the rules,
Delays not to clear the way
That leads to Nibbana.

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: พุทธวจนะในธรรมบท โดย เสฐียรพงษ์
« ตอบกลับ #23 เมื่อ: กันยายน 21, 2011, 02:06:18 pm »

๒๑. หมวดเบ็ดเตล็ด
MISCELLANEOUS


๒๙๐. มตฺตาสุขปริจฺจาคา
ปสฺเส เจ วิปุลํ สุขํ
จเช มตฺตาสุขํ ธีโร
สมฺปสฺสํ วิปุลํ สุขํ ฯ ๒๙๐ ฯ

ถ้าเห็นว่า จะได้สุขอันยิ่งใหญ่
ด้วยการสละสุขเล็กๆ น้อยๆ
นักปราชญ์ก็ควรสละสุขเล็กน้อย
เพื่อเห็นแก่สุขอันยิ่งใหญ่

If fy giving up a slight happiness
One may behold a greater one,
Let the wise man renounce the lesser,
Having regard to the greater.

๒๙๑. ปรทุกฺขูปธาเนน
โย อตฺตโน สุขมิจฺฉติ
เวรสํสคฺคสํสฏฺโฐ
เวรา โส น ปริมุจฺจติ ฯ ๒๙๑ ฯ

ผู้ใดปรารถนาสุขเพื่อตน
โดยการก่อทุกข์ให้คนอื่น
ผู้นั้นมักเกี่ยวพันด้วยเวรไม่รู้สิ้น
ไม่มีทางพ้นทางเวรไปได้

Whosoever wishes his own happiness
Yet inflicts suffering on others-
He is not free from hatred,
Entangled in the tangles of anger.

๒๙๒. ยํ หิ กิจฺจํ ตทปวิทฺธํ
อกิจฺจํ ปน กยีรติ
อุนฺนฬานํ ปมตฺตานํ
เตสํ วฑฺฒนฺติ อาสวา ฯ ๒๙๒ ฯ

สิ่งที่ควรทำไม่ทำ
กลับทำสิ่งที่ไม่ควรทำ
อาสวะย่อมเจริญแก่พวกเขา
ผู้ถือตัวและมัวเมาประมาท
(ต่อคาถาที่ ๒๙๓)

What ought to be done is left undone;
What ought not to be done is done,
For those who are naughty and heedless
Corruptions greatly progress.

๒๙๓. เยสญฺจ สุสมารทฺธา
นิจฺจํ กายคตา สติ
อกิจฺจํ เต น เสวนฺติ
กิจฺเจ สาตจฺจการิโน
สตานํ สมฺปชานานํ
อฏฺฐํ คจฺฉนฺติ อาสวา ฯ ๒๙๓ ฯ

(ต่อจากคาถาที่ ๒๙๒)
ส่วนชนเหล่าใด เจริญสติในกายเป็นนิตย์
ไม่ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ทำเฉพาะสิ่งที่ควรทำเสมอ
สำหรับชนผู้มีสติ สัมปชัญญะพร้อมมูลเหล่านั้น
อาสวะมีแต่จะหมดไป

Those who develop well mindfulness of the body,
who never do what ought not to be done,
And ever do what ought to be done-
of those mindful and reflective ones
Defilements come to extinction.

๒๙๔. มาตรํ ปิตรํ หนฺตฺวา
ราชาโน เทฺว จ ขตฺติเย
รฏฺฐํ สานุจรํ หนฺตฺวา
อนีโฆ ยาติ พฺราหฺมโณ ฯ ๒๙๔ * ฯ

พราหมณ์ฆ่ามารดา ฆ่าบิดา
ฆ่าขัตติยราชอีกสององค์
ทำลายรัฐ พร้อมทั้งผู้ครองรัฐเสียแล้ว
ย่อมสัญจรไป อย่างไร้ทุกข์

Having slain mother and father,
And two warrior kings,
Having destroyed a country,
With its governor,
Ungrieving goes a brahmana.

* "ฆ่ามารดา" หมายถึง ฆ่าตัณหา
"ฆ่าบิดา" หมายถึง ฆ่าอัสมิมานะ หรือความถือตัว
"ฆ่าขัตติยราชอีกสององค์" หมายถึง ฆ่าสัสตทิฐิ และอุจเฉทิฐิ
"ทำลายรัฐ" หมายถึง ควบคุมอายตนะภายใน และภายนอก
"ผู้ครองรัฐ" หมายถึง นันทิราคะ หรือความกำหนัดยินดี

๒๙๕. มาตรํ ปิตรํ หนฺตฺวา
ราชาโน เทฺว จ โสตฺถิเย
เวยฺยคฺฆปญฺจมํ หนฺตฺวา
อนีโฆ ยาติ พฺราหฺมโณ ฯ ๒๙๕ * ฯ

พราหมณ์ฆ่ามารดา ฆ่าบิดา
ฆ่ากษัตริย์ ผู้คงแก่เรียนอีกสององค์
ทำลายทางเดินห้าสายของพยัคฆ์ร้าย
ย่อมสัญจรไป อย่างปลอดภัย

Having slain mother and father,
And two learned kings,
Having destroyed the five ways of a tiger,
Scatheless goes the brahmana.

* "ทางเดินของพยัคฆ์ร้ายห้าสาย" ได้แก่นิวรณ์ ๕
คือ กามฉันท์, พยาบาท, ถินมิทธะ, อุทธัจจะกุกกุจจะ และวิจิกิจฉา

๒๙๖. สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ
สทา โคตมสาวกา
เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ
นิจฺจํ พุทฺธคตา สติ ฯ ๒๙๖ ฯ

พระสาวกของพระโคดมพุทธเจ้า
ผู้รำลึกถึงพระพุทธคุณ
เป็นนิจศีล ทั้งกลางวันกลางคืน
ตื่นดีแล้วเสมอ

Ever well awake
Are the disciples of Gotama
Who ever day and night
Recollect the Buddha's virtues.

๒๙๗. สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ
สทา โคตมสาวกา
เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ
นิจฺจํ ธมฺมคตา สติ ฯ ๒๙๗ ฯ

พระสาวกของพระโคดมพุทธเจ้า
ผู้รำลึกถึงพระธรรมคุณ
เป็นนิจศีลทั้งกลางวันกลางคืน
ตื่นดีแล้วเสมอ

Ever well awake
Are the disciples of Gotama
Who ever day and night
Recollect the Dharma's virtues.

๒๙๘. สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ
สทา โคตมสาวกา
เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ
สทา สงฺฆคตา สติ ฯ ๒๙๘ ฯ

พระสาวกของพระโคดมพุทธเจ้า
ผู้ระลึกถึงพระสังฆคุณ
เป็นนิจศีลทั้งกลางวันกลางคืน
ตื่นดีแล้วเสมอ

Ever well awake
Are the disciples of Gotama
Who ever day and night
Recollect the Sangha's virtues.

๒๙๙. สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ
สทา โคตมสาวกา
เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ
สทา กายคตา สติ ฯ ๒๙๙ ฯ

พระสาวกของพระโคดมพุทธเจ้า
ผู้รำลึกถึงสภาพเป็นจริงของร่างกาย
เป็นนิจศีลทั้งกลางวันกลางคืน
ตื่นดีแล้วเสมอ

Ever well awake
Are the disciples of Gotama
Who ever day and night
Recollect the body's nature.

๓๐๐. สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ
สทา โคตมสาวกา
เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ
อหึสาย รโต มโน ฯ ๓๐๐ ฯ

พระสาวกของพระโคดมพุทธเจ้า
ผู้มีใจยินดีในความไม่เบียดเบียน
เป็นนิจศีลทั้งกลางวันกลางคืน
ตื่นดีแล้วเสมอ

Ever well awake
Are the disciples of Gotama
Whose mind ever day and night
Takes delight in harmlessness.

๓๐๑. สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ
สทา โคตมสาวกา
เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ
ภาวนาย รโต มโน ฯ ๓๐๑ ฯ

พระสาวกของพระโคดมพุทธเจ้า
ผู้มีใจยินดีในภาวนา
เป็นนิจศีลทั้งกลางวัน กลางคืน
ตื่นดีแล้วเสมอ

Ever well awake
Are the disciples of Gotama
Whose mind ever day and night
Takes delight in meditation.

๓๐๒. ทุปฺปพฺพชฺชํ ทุรภิรมํ
ทุราวาสา ฆรา ทุกฺขา
ทุกฺโขสมานสํวาโส
ทุกฺขานุปติตทฺธคู
ตสฺมา น จทฺธคู สิยา
น จ ทุกฺขานุปติโต สิยา ฯ ๓๐๒ ฯ

การสละโลกียวิสัยออกบวช ก็ยาก
การจะยินดีในเพศบรรพชิต ก็ยาก
การครองเรือนไม่ดี เป็นทุกข์
การอยู่ร่วมกับผู้ไม่เสมอกัน ก็เป็นทุกข์
ท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏ ก็เป็นทุกข์
เพราะฉะนั้น ไม่ควรท่องเที่ยวในสังสารวัฏ
และไม่ควรแส่หาความทุกข์ใส่ตน

Hard is th 'going forth'.
Hard is it to delight therein.
Hard is household life.
Ill is association with unequals.
Ill also is to wander in Samsara.
Be therefore no more a wanderer
Nor be a pursuer of suffering.

๓๐๓. สทฺโธ สีเลน สมฺปนฺโน
ยโสโภคสมปฺปิโต
ยํ ยํ ปเทสํ ภชติ
ตตฺถ ตตฺเถว ปูชิโต ฯ ๓๐๓ ฯ

ผู้มีศรัทธา สมบูรณ์ด้วยศีล
เพียบพร้อมด้วยยศและโภคทรัพย์
ไปประเทศใดๆ ย่อมได้รับความนับถือ
ในประเทศนั้นๆ

He who is full of faith and virtue.
Possessed of repute and wealth-
He is hanoured everywhere.
In whatever land he travels.

๓๐๔. ทูเร สนฺโต ปกาเสนฺติ
หิมวนฺโต ว ปพฺพโต
อสนฺเตตฺถ น ทิสฺสนฺติ
รตฺติขิตฺตา ยถา สรา ฯ ๓๐๔ ฯ

คนดี ย่อมปรากฏเด่น
เหมือนภูเขาหิมพานต์
คนไม่ดี ถึงอยู่ใกล้ ก็ไม่ปรากฏ
เหมือนลูกศรที่เขายิงไปในราตรี

The good shine from far away
Just as the Himalayan peaks.
The wicked are not seen, though near,
Just as an arrow shot at night.

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด

๒๒. หมวดนรก
HELL


๓๐๖. อภูตวาที นิรยํ อุเปติ
โย วาปิ กตฺวา น กโรมีติ จาห
อุโภปิ เต เปจฺจ สมา ภวนฺติ
นิหีนกมฺมา มนุชา ปรตฺถ ฯ ๓๐๖ ฯ

คนที่พูดเท็จเสมอ กับคนที่ทำแล้ว
พูดว่า "ฉันไม่ได้ทำ" ตกนรกเหมือนกัน
มนุษย์สองจำพวกนั้น ตายไปแล้ว
มีกรรมชั่วเหมือนกัน ในโลกหน้า

He who always lies goes to hell
And he who denies what he has done.
These tow, the men of base actions,
Share the same destiny in the world to come.

๓๐๗. กาสาวกณฺฐา พหโว
ปาปธมฺมา อสญฺญตา
ปาปา ปาเปหิ กมฺเมหิ
นิรยฺ เต อุปปชฺชเร ฯ ๓๐๗ ฯ

คนนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์มีเป็นจำนวนมาก
ที่ประพฤติชั่ว ไม่สำรวม
คนชั่วเหล่านั้นย่อมตกนรก
เพราะกรรมชั่ว

Clad in the yellow robes,
Ill-behaved and uncontrlooed,
By evil deeds, those evil ones,
Shall go to the realm of woe.

๓๐๘. เสยฺโย อโยคุโฬ ภุตฺโต
ตตฺโต อคฺคิสิขูปํโม
ยญฺเจ ภุญฺเชยฺย ทุสฺสีโล
รฏฺฐปิณฺฑํ อสญฺญโต ฯ ๓๐๘ ฯ

คนทุศีล ไม่สำรวม
กลืนก้อนเหล็กแดงที่ลุกเป็นไฟ
ยังดีเสียกว่าบริโภคข้าว
ที่ชาวบ้านถวาย

Better for an immoral
And uncontrlled person
To eat a red-hot and flaming ball
Than to eat the alms of people.

๓๐๙. จตฺตาริ ฐานานิ นโร ปมตฺโต
อาปชฺชตี ปรทารูปเสวี
อปุญฺญลาภํ น นิกามเสยฺยํ
นินฺทํ ตตียํ นิรยํ จตุตฺถํ ฯ ๓๐๙ ฯ

คนที่มัวเมา ผิดเมียท่านเป็นนิตย์
ย่อมได้รับเคราะห์ร้าย สี่สถานคือ
หนึ่งได้รับบาป สองนอนไม่เป็นสุข
สามเสียชื่อเสียง สี่ตกนรก

Four misfortunes befll that man
Who, heedless, courts the neighbour's wife:
Aczuisition of demerit is acquired by him,
He has a bad sleep at night,
Ill-repute he, thirdly, gains,
And hell, fourthly, he attains.

๓๑๐. อปุญฺญลาโภ จ คตี จ ปาปิกา
ภีตสฺส ภีตาย รตี จ โถกิกา
ราฃา จ ทณฺฑํ ครกํ ปเณติ
ตสฺมา นโร ปรทารํ น เสเว ฯ ๓๑๐ ฯ

สถานหนึ่ง ได้บาป
สถานสอง ได้ภพชาติชั่วร้ายในอนาคต
สถานสาม ทั้งคู่มีสุขชั่วแล่นแต่สะดุ้งใจเป็นนิตย์
สถานสี่ พระราชาย่อมลงโทษอย่างหนัก
เพราะฉะนั้น จึงไม่ควรผิดภริยาของคนอื่น

There is a gain of demerit and evil destiny,
Brief is the joy of frightened couple,
And the king imposes heavy punishment.
Therefore let no man commit adultery.

๓๑๑. กุโส ยถา ทุคฺคหิโต
หตฺถเมวานุกนฺตติ
สามญฺญํ ทุปฺปรามฏฺฐํ
นิรยายูปกฑฺฒติ ฯ ๓๑๑ ฯ

หญ้าคา ที่จับไม่ดี
ย่อมบาดมือได้ ฉันใด
พรหมจรรย์ที่ประพฤติไม่ดี
ย่อมลากลงสู่นรก ฉันนั้น

As Kusa grass when wrongly grasped
Cuts the seizing hand,
So a recluse's life when wrongly handled
Drags one to hell.

๓๑๒. ยงฺกิญฺจิ สิถิลํ กมฺมํ
สงฺกิลิฏฺฐญฺจ ยํ วตํ
สงฺกสฺสรํ พฺรหฺมจริยํ
น ตํ โหติ มหปฺผลํ ฯ ๓๑๒ ฯ

ทำอะไรหละหลวม
มีข้อวัตรปฏิบัติเศร้าหมอง
ประพฤติพรฟมจรรย์ โดยไม่เต็มใจ
ไม่เป็นไปเพื่อผลอันไพศาล

An act loosely performed,
A vow corruptly observed,
A Holy Life unwillingly lived-
This yields not much fruit.

๓๑๓. กยิรา เจ กยิราเถนํ
ทฬฺหเมนํ ปรกฺกเม
สถิโล หิ ปริพฺพาโช
ภิยฺโย อากิรเต รชํ ฯ ๓๑๓ ฯ

ถ้าจะกระทำ ก็จงกระทำจริงๆ
และพยายามมั่นคงจริงๆ
เพราะเพศบรรพชิตที่หละหลวม
รังแต่จะเกลี่ยธุลีคือกิเลสใส่ตัว

Let one do with all one's might
What ought to be performed.
A loose monastic life stirs up
The dust of passions all the more.

๓๑๔. อกตํ ทุกฺกฏํ เสยฺโย
ปจฺฉา ตปฺปติ ทุกฺกฏํ
กตญฺจ สุกตํ เสยฺโย
ยํ กตฺวา นานุตปฺปติ ฯ ๓๑๔ ฯ

ความชั่ว ไม่ทำเสียเลยเป็นดี
ทำแล้วย่อมเดือดร้อนภายหลัง
มาทำความดีกันดีกว่า
ทำแล้ว ไม่เดือดร้อน

Better left undone is an evil deed,
For it torments one afterwards.
Better done is a wholesome deed,
After doing which one feels no remorse.

๓๑๕. นครํ ยถา ปจฺจนฺตํ
คุตฺตํ สนฺตรพาหิรํ
เอวฺ โคเปถ อตฺตานํ
ขโณ โว มา อุปจฺจคา
ขณาตีตา หิ โสจนฺติ
นิรยมฺหิ สมปฺปิตา ฯ ๓๑๕ ฯ

เธอจงป้องกันตนให้ดีเหมือนเมืองชายแดน
ที่เขาป้องกันแข็งแรงทั้งภายในภายนอก
เธออย่าปล่อยโอกาสให้ล่วงเลยไปเปล่า
เพราะผู้ที่พลาดโอกาสเมื่อตกนรกย่อมเศร้าโศก

Just as a border city
Is well-guarded within and withourt,
Even so do you guard yourselves.
Do not let slip this opportunity.
For those missing the opportunity grieve,
Having been consigned to hell.

๓๑๖. อลชฺชิตาเย ลฺชชนฺติ
ลชฺชิตาเย น ลชฺชเร
มิจฺฉาทิฏฺฐิสมาทานา
สตฺตา คจฺฉนฺติ ทุคฺคตึ ฯ ๓๑๖ ฯ

ละอายในสิ่งที่ไม่ควรละอาย
ไม่ละอายในสิ่งที่ควรละอาย
ผู้ที่มีความเห็นผิดอย่างนี้
ย่อมไปสู่ทุคติ

Of what is not shameful they are ashamed,
But of the shameful they are not ashamed.
Embracing false views as such,
Those beings go to a woeful realm.

๓๑๗. อภเย ภยทสฺสิโน
ภเย จ อภยทสฺสิโน
มิจฺฉาทิฏฺฐิสมาทานา
สตฺตา คจฺฉนฺติ ทุคฺคตึ ฯ ๓๑๗ ฯ

สิ่งที่ไม่น่ากลัว เห็นว่าน่ากลัว
สิ่งที่น่ากลัว กลับเห็นว่า ไม่น่ากลัว
ผู้ที่มีความเห็นผิดอย่างนี้
ย่อมไปทุคติ

What is not to be feared they fear,
What is fearsome they fear not.
Embracing false views as such.
Those beings go to a woeful fealm.

๓๑๘. อวชฺเช วชฺชมติโน
วชฺเช จ อวชฺชทสฺสิโน
มิจฺฉาทิฏฺฐิสมาทานา
สตฺตา คจฺฉนฺติ ทุคฺคตึ ฯ ๓๑๘ ฯ

สิ่งที่ไม่มีโทษ เห็นว่ามีโทษ
สิ่งที่มีโทษ กลับเห็นว่าไม่มีโทษ
ผู้ที่มีความเห็นผิดอย่างนี้
ย่อมไปสู่ทุคติ

They think there is harm where there is none,
And they do not see where harm exists.
Embracing false views as such,
Those beings go to a woeful realm.

๓๑๙. วชฺชญฺจ วชฺชโต ญตฺวา
อวฺชชญฺจ อวชฺชโต
สมฺมาทิฏฺฐิสมาทานา
สตฺตา คจฺฉนฺติ สุคฺคตึ ฯ ๓๑๙ ฯ

เห็นโทษ เป็นโทษ
เห็นถูก เป็นถูก
ผู้ที่มีความเห็นชอบเช่นนี้
ย่อมไปสู่สุคติ

Perceiving wrong as wrong.
Perceiving right as right,
Beings of such right views
In a blissful realm arise.

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด

๒๓. หมวดช้าง 
THE ELEPHANT


๓๒๐. อหํ นาโคว สงฺคาเม
จาปาโต ปติตํ สรํ
อติวากฺยํ ติติกฺขสฺสํ
ทุสฺสีโล หิ พหุชฺชโน ฯ ๓๒๐ ฯ

เราจักอดทนต่อคำเสียดสีของคนอื่น
เหมือนพญาคชสาร ในสนามรบ
ทนลูกศรที่ปล่อยออกไปจากคันธนู
เพราะว่าคนโดยมาก ทุศีล

As an elephant in the battle field
Withstands the arrows shot from a bow.
Even so will I endure abuse,
For people's conduct is mostly low.

๓๒๑. ทนฺตํ นยนฺติ สมิตึ
ทนฺตํ ราชาภิรูหติ
ทนฺโต เสฏฺโฐ มนุสฺเสสุ
โยติวากฺยํ ติติกฺขติ ฯ ๓๒๑ ฯ

ช้างที่ฝึกแล้ว เขานำไปสู่ที่ชุมชน
ช้างที่ฝึกแล้ว พระราชาชึ้นทรง
ในหมู่มนุษย์ ผู้ที่ฝึกฝนตนได้
รู้จักอดทนต่อคำล่วงเกิน เป็นผู้ประเสริฐ

The tamed elephant is led to crowds.
The tamed do the kings mount.
The well-tamed is best among men,
Who endures abuse.

๓๒๒. วรมสฺสตรา ทนฺตา
อาชานียา จ สินฺธวา
กุญฺชรา จ มหานาคา
อตฺตทนฺโต ตโต วรํ ฯ ๓๒๒ ฯ

ม้าอัศดร ม้าอาชาไนยจากกลุ่มสินธู
และพญากุญชร ที่ผ่านการฝึกปรือ
นับเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ
แต่บุคคลผู้ฝึกตนแล้ว ประเสริฐกว่านั้น

Excellent are well-trained mules.
So are thoroughbred ones from Sindhu
And likewise noble fighting elephants.
More excellent is the self-trained man.

๓๒๓. น หิ เอเตหิ ยาเนหิ
คจฺเฉยฺย อคตํ ทิสํ
ยถาตฺตนา สุทนฺเตน
ทนฺโต ทนฺเตน คจฺฉติ ฯ ๓๒๓ ฯ

แน่นอนทีเดียว คนที่ฝึกตนได้
ย่อมอาศัยร่างที่ฝึกฝนดีแล้วนั้น
เป็นพาหนะนำไปสู่ที่ๆ ไม่เคยไป (นิพพาน)
ซึ่งยานภายนอกเหล่านั้น พาไปไม่ได้เลย

Surely never by those vehicles
Would one go to the untrodden land
As does one who is controlled
Through his subdued and well-trained self.

๓๒๔. ธนปาลโก นาม กุญฺชโร
กฏุกปฺปเภทโน ทุนฺนิวารโย
พทฺโธ กพฬํ น ภุญฺชติ
สุมรติ นาควนสฺส กุญฺชโร ฯ ๓๒๔ ฯ

ช้างตกมันชื่อ ธนปาลกะ
ยากที่ใครๆ จะห้ามได้ ถูกล่ามไว้
ไม่ยอมกินอาหาร พญากุญชร
รำลึกถึงแต่ป่าช้าง

The great elephant called Dhanapalaka
In time of rut is uncontrollable;
Tied fast he refuses his food
Since he calls to mind the elephant wood.

๓๒๕. มิทฺธี ยทา โหติ มหคุฆโส จ
นิทฺทายิตา สมฺปริวตฺตสายี
มหาวราโหว นิวาปปุฏฺโฐ
ปุนปฺปุนํ คพฺภมุเปติ มนฺโท ฯ ๓๒๕ * ฯ

คนกินจุ สะลึมสะลือ ชอบนอน
กลิ้งเกลือกไปมาบนที่นอน
เหมือนสุกรที่เขาขุนด้วยเศษอาหาร
คนโว่ทึ่มเช่นนั้น ย่อมเกิดไม่รู้จบสิ้น

A sluggard, or glutton, too,
Rolling himself about in gross sleep
Like a bigh hog nursed on pig-wash-
That foolish one endlessly comes to birth.

* คาถานี้เป็นการเล่นคำเช่นเดียวกับคาถาที่ ๒๘๓ คำว่า คพฺภ
อาจแปลว่า ห้องนอนก็ได้ หมายความว่า คนโง่เห็นแก่กิน
กินแล้วก็เข้าห้องนอน หรือหมายลึกไปกว่านั้น คนเช่นนี้ย่อม
ห่างไกลจากการตรัสรู้ จักเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏไม่รู้จบ
สิ้น คือตายแล้วถือปฏิสนธิใน คพฺภ (ครรภ์) ใหม่อยู่ร่ำไป

๓๒๖. อิทํ ปุเร จิตฺตมจาริ จาริกํ
เยนิจฺฉกํ ยตฺถกามํ ยถาสุขํ
ตทชฺชหํ นิคฺคหิสฺสามิ โยนิโส
หตฺถึ ปภินฺนํ วิย องฺกุสคฺคโห ฯ ๓๒๖ ฯ

เมื่อก่อนใจข้าได้ท่องเที่ยวไปในอารมณ์
ตามปรารถนา ตามความใคร่ ตามสบาย
แต่บัดนี้ ข้าจักบังคับมันด้วยโยนิโสมนสิการ
เหมือนควาญช้างถือขอ บังคับช้างที่ตกมัน

Formerly this mind went wandering
Where it liked, as it wished, as it listed.
I will now control it with attemtiveness
As the driver with his hook a wild elephant.

๓๒๗. อปฺปมาทรตา โหถ
สจิตฺตมนุรกฺขถ
ทุคฺคา อุทฺธรถตฺตานํ
ปงฺเก สนฺโนว กุญฺชโร ฯ ๓๒๗ ฯ

พวกเธอจงยินดีในความไม่ประมาท
จงระมัดระวังจิตของตน
จงถอนตนออกจากหล่มกิเลส
เหมือนพญาช้างติดหล่ม
พยายามช่วยตัวเอง

Take delight in heedfulness
And guard well your own minds;
Draw yourselves out of evil ways
Like an elephant sunk in the mire.

๓๒๘. สเจ ลเภถ นิปกํ สหายํ
สทฺธึจรํ สาธุวิหาริ ธีรํ
อภิภุยฺย สพฺพานิ ปริสฺสยานิ
จเรยฺย เตนตฺตมโน สตีมา ฯ ๓๒๘ ฯ

ถ้าได้สหายผู้เข้ากับตนได้
มีความประพฤติดี ฉลาดและเฉลียว
พึงไปไหนๆ กับสหายเช่นนั้นอย่างมีความสุข
และพึงมีสติ ฝ่าฟันอันตรายทั้งหลาย

If for the faring-on you can find
A friend, well-behaved, prudent and wise,
Walk with him joyfully and mindfully,
Overcoming dangers(open and concealed).

๓๒๙. โน เจ ลเภถ นิปกํ สหายํ
สทฺธึจรํ สาธุวิหาริ ธีรํ
ราชาว รฏฺฐํ วิชิตํ ปหาย
เอโก จเร มาตงฺครญฺเญว นาโค ฯ ๓๒๙ ฯ
ุ่
ถ้าไม่พบสหายที่เข้ากับตนได้
มีความประพฤติดี ฉลาด และเฉลียว
ก็ควรสัญจรไปคนเดียว
เหมือนพระราชา สละราชสมบัติเที่ยวไปองค์เดียว
หรือไม่ก็เหมือนพญาช้าง
ละโขลงเที่ยวไปตัวเดียวในป่า

If for the faring-on you cannot find
A friend, well-behaved, prudent and wise,
Fare alone as a king renoucing his country
And as an elephant alone in the wilds.

๓๓๐. เอกสฺส จริตํ เสยฺโย
นตฺถิ พาเล สหายตา
เอโก จเร น จ ปาปานิ กยิรา
อปฺโปสฺสุโก มาตงฺครญฺเญว นาโค ฯ ๓๓๐ ฯ

เที่ยวไปคนเดียว ประเสริฐกว่า
ความเป็นสหายในคนพาล ไม่มี
พึงเที่ยวไปคนเดียว และไม่พึงทำบาป
ไม่ดิ้นรนขวนขวายมาก
เหมือนพญาช้างเที่ยวไปตัวเดียวในป่า

Better is it to fare alone;
There is no friendship with a fool.
Fare alone and commit no sin,
Being carefree as an elephant in the wilds.

๓๓๑. อตฺถมฺหิ ชาตมฺหิ สุขา สหายา
ตุฏฺฐี สุขา ยา อิตรีตเรน
ปุญฺญํ สุขํ ชีวิตสงฺขยมฺหิ
สพฺพสฺส ทุกฺขสฺส สุขํ ปหานํ ฯ ๓๓๑ ฯ

มีเพื่อนตาย ก็มีความสุข
ยินดีเท่าที่หามาได้ ก็มีความสุข
ทำบุญไว้ถึงคราวจะตายก็มีความสุข
ละทุกข์ได้ทั้งหมด ก็มีความสุข

Happy is it to have a friend in need
Happy is contentement with whatever betides.
Happy is merit at the end of life.
Happy is it to leave all sorrow behind.

๓๓๒. สุขา มตฺเตยฺยตา โลเก
อโถ เปตฺเตยฺยตา สุขา
สุขา สามญฺญตา โลเก
อโถ พฺรหฺมญฺญตา สุขา ฯ ๓๓๒ ฯ

ปฏิบัติชอบต่อมารดา ก็เป็นสุข
ปฏิบัติชอบต่อบิดา ก็เป็นสุข
ปฏิบัติชอบต่อสมณะ ก็เป็นสุข
ปฏิบัติชอบต่อพระผู้ประเสริฐ ก็เป็นสุข

Happy is it to honour mother.
Happy is it to honour father.
Happy is it to honour ascetics.
Happy is it to honour the Noble Ones.

๓๓๓. สุขํ ยาว ชรา สีลํ
สุขา สทฺธา ปติฏฺฐิตา
สุโข ปญฺญาปฏิลาโภ
ปาปานํ อกรณํ สุขํ ฯ ๓๓๓ ฯ

ศีลให้เกิดสุข ตราบเท่าชรา
ศรัทธา ที่ตั้งมั่นแล้ว ให้เกิดสุข
ปัญญา ได้มาแล้ว ให้เกิดสุข
การไม่ทำบาปทั้งหลาย ให้เกิดสุข

Happy is virtue until old age.
Happy is faith that firmly stands.
Happy is it to gain insight.
Happy is it to commit no sin.

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด

๒๔. หมวดตัณหา
CRAVING


๓๓๔. มนุชสฺส ปมตฺตจาริโน
ตณฺหา วฑฺฒติ มาลุวา วิย
โส ปริปฺลวติ หุราหุรํ
ผลมิจฺฉํว วนสฺมึ วานโร ฯ ๓๓๔ * ฯ

สำหรับคนที่มีชีวิตอยู่อย่างประมาท
ตัณหามีแต่จะเจริญเหมือนเถาวัลย์
เขาย่อมกระโดดจากภพนี้ไปสู่ภพอื่น
เหมือนวานรโลภผลไม้ โลดแล่นอยู่ในป่า

Of the person addicted to heedless living
Craving grows like a creeping.
Such a man jumps from life to life
Like a monkey craving fruit in the wilds.

* คำว่า "ภพ" ในที่นี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นโลกหน้าเสมอไป ความ
อยากเป็นนั่นเป็นนี่ ชั่วขณะจิตหนึ่งๆ ก็เรียกว่าภพ
ที่ฝรั่ง
แปลว่า from life to life อาจกว้างไป แต่ state between
birth and death นั้น ภาษาธรรมหมายเอาชั่วขณะจิตเดียว
ด้วยคนเราเกิดตายอยู่ทุกขณะ

๓๓๕. ยํ เอสา สหเต ชมฺมี
ตณฺหา โลเก วิสตฺติกา
โสกา ตสฺส ปวฑฺฒนฺติ
อภิวุฏฺฐํว วีรณํ ฯ ๓๓๕ ฯ

ตัณหาอันลามก มีพิษร้าย
ครอบงำบุคคลใด ในโลก
เขาย่อมมีแต่โศกเศร้าสลด
เหมือนหญ้าถูกฝนรด ย่อมงอกงาม

Whoso in the world is overcome
By this craving poisonous and base,
For him all sorrow increases
As Virana grass that is watered well.

๓๓๖. โย เจตํ สหเต ชมฺมึ
ตณฺหํ โลเก ทุรจฺจยํ
โสกา ตมฺหา ปปตนฺติ
อุทวินฺทุว โปกฺชรา ฯ ๓๓๖ ฯ

ผู้ใดเอาชนะตัณหาลามก
ที่ยากจะเอาชนะได้นี้
ความโศกย่อมตกไปจากผู้นั้น
เหมือนหยาดน้ำ ตกจากใบบัว

But whoso in the world overcomes
This base craving, difficult to overcome-
His sorrow falls away from him
As water drops from a lotus leaf.

๓๓๗. ตํ โว วทามิ ภทฺทํ โว
ยาวนฺเตตฺถ สมาคตา
ตณฺหาย มูลํ ขนถ
อุสีรตฺโถว วีรณํ
มา โว นฬํว โสโตว
มาโร ภญฺชิ ปุนปฺปุนํ ฯ ๓๓๗ ฯ

เราขอบอกความนี้แก่พวกเธอ
ขอให้พวกเธอผู้มาชุมนุมกัน ณ ที่นี้ มีความเจริญ
ขอให้พวกเธอขุดรากตัณหา เหมือนถอนรากหญ้ารก
พวกเธออย่าปล่อยให้มารรังควาญบ่อยๆ
เหมือนกระแสน้ำค่อยๆ เซาะต้นอ้อล้ม

This I say unto you;
Good luck to you all who have assembled here.
As one roots out fragrant Virana grass,
So do you dig up craving by its root.
Let not Mara crush you again and again
As the river flood crushing a reed.

๓๓๘. ยถาปิ มูเล อนุปทฺทเว ทฬฺเห
ฉินฺโนปิ รุกฺโข ปูนเรว รูหติ
เอวมฺปิ ตณฺหานุสเย อนูหเต
นิพฺพตฺตตี ทุกฺขมิทํ ปุนปฺปุนํ ฯ ๓๓๘ ฯ

เมื่อรากยังแข็งแรง ไม่ถูกทำลาย
ต้นไม้แม้ที่ถูกตัดแล้ว ก็งอกได้ใหม่ฉันใด
เมื่อยังทำลายเชื้อตัณหาไม่ได้หมด
ความทุกข์นี้ก็ย่อมเกิดขึ้นได้เรื่อยไปฉันนั้น

As a tree cut down sprouts forth again
If its roots remain undamaged and firm,
Even so, while latent craving is not removed,
This sorrow springs up again and again.

๓๓๙. ยสฺส ฉตฺตึสตี โสตา
มนาปสฺสวนา ภุสา
มหา วหนฺติ ทุทฺทิฏฺฐึ
สงฺกปฺปา ราคนิสฺสิตา ฯ ๓๓๙ ฯ

กระแสตัณหา ๓๖ สายอันเชี่ยวกราก
ที่ไหลไปยังอารมณ์อันน่าปรารถนา
ไหลบ่าท่วมท้นจิตใจใคร
ความครุ่นคิดคำนึงที่แฝงราคะ
ย่อมจะชักนำให้เขาเห็นผิดคิดไข้วเขว

In whom are strong the thirth-six torrents
Of craving flowing towards pleasurable objects-
Then the great flood of lustful thoughts
Carries off that misunderstanding man.

๓๔๐. สวนฺติ สพฺพธี โสตา
ลตา อุพฺภิชฺช ติฏฺฐติ
ตญฺจ ทิสฺวา ลตํ ชาตํ
มูลํ ปญฺญาย ฉินฺทถ ฯ ๓๔๐ ฯ

กระแสน้ำคือตัณหา ไหลไปทุกหนทุกแห่ง
เถาวัลย์คือกิเลส ก็ขึ้นรกไปทั่ว
เมื่อเห็น เถาวัลย์นั้นงอกงามแล้ว
พวกเธอจงตัดรากมันด้วยมีดคือปัญญา

Everywhere flow the craving-streams,
Everywhere the creepers sprout and stand.
Seeing the creepers that have sprung high
Do you cut their roots with your wisdom-knife.

๓๔๑. สริตานิ สิเนหิตานิ จ
โสมนสฺสานิ ภวนฺติ ชนฺตุโน
เต สาตสิตา สุเขสิโน
เต เว ชาติชรูปคา นรา ฯ ๓๔๑ ฯ

สัตว์ทั้งหลาย มีแต่โสมนัส
ชุ่มชื้นไปด้วยรักเสน่หา
ซาบซ่านในกามารมณ์ทั้งปวง
พวกเขาใฝ่แสวงแต่ความสุขสันต์หรรษา
ก็ต้องเกิดต้องแก่อยู่ร่ำไป

To beings there arise wide-ranging pleasures
That are moistened with lustful desires.
Bent on pleasures, seeking after sexual joys,
They, verily, fall prey to birth-and decay.

๓๔๒. ตสิณาย ปุรกฺขตา ปชา
ปริสปฺปนฺติ สโสว พาธิโต
สํโยชนสงฺคสตฺตา
ทุกฺขมุเปนฺติ ปุนปฺปุนํ จิราย ฯ ๓๔๒ * ฯ

เหล่าสัตว์ ติดกับตัณหา
การเสือกกระสน ดุจกระต่ายติดบ่วง
สัตว์ทั้งหลายติดอยู่ในกิเลสเครื่องผูกมัด
ย่อมประสบทุกข์บ่อยๆ ตลอดกาลนาน

Enwrapped in lust, beings run about,
Now here now there like a captive hare.
Held fast by fetters they suffer
Again and again for long.

* ตสิณ เลียนแบบสํสกฤต ตฤษฺณ บาลีมีใช้ แต่ ตณฺหา
ตสิณ ปรากฏแต่ในภาษาร้อยกรองเท่านั้น แต่ก็มีไม่มาก

๓๔๓. ตสิณาย ปุรกฺขตา ปชา
ปริสปฺปนฺติ สโสว พาธิโต
ตสฺมา ตสิณํ วิโนทเย
ภิกฺขุ อากงฺชํ วิราคมตฺตโน ฯ ๓๔๓ ฯ

เหล่าสัตว์ ติดกับตัณหา
กระเสือกกระสน ดุจกระต่ายติดบ่วง
ฉะนั้นภิกษุ เมื่อหวังให้กิเลสจางคลาย
ก็พึงทำลายตัณหาเสีย

Enwrapped in lust, beings run about,
Now here now there like a captive hare.
So let a bhikkhu shake off craving
If he wishes his own passionlessness.

๓๔๔. โย นิพฺพนฏฺโฐ วนาธิมุตฺโต
วนมุตฺโต วนเมว ธาวติ
ตํ ปุคฺคลเมว ปสฺสถ
มุตฺโต พนฺธนเมว ธาวติ ฯ ๓๔๔ ฯ

บุคคลใดสละเพศผู้ครองเรือน
ถือเพศบรรพชิตปราศจากเรือน
พ้นจากป่ากิเลสแล้วยังวิ่งกลับไปหาป่านั้นอีก
พวกเธอจงดูบุคคลนั้นเถิด
เขาออกจากที่คุมขังแล้วยังวิ่งกลับเข้าที่คุมขังอีก

Released from jungle of the household life,
He turns to the bhikkhu jungle-life.
Though freed from the household wilds
He runs back to that very wilds again.
Come indeed and behold such a man.
Freed he turns to that bondage again.

๓๔๕. น ตํ ทฬฺหํ พนฺธนมาหุ ธีรา
ยทายสํ ทารุชปพฺพฃญฺจ
สารตฺตรตฺตา มณิกุณฺฑเลสุ
ปุตฺเตสุ ทาเรสุ จ ยา อเปกฺขา ฯ ๓๔๕ ฯ

เครื่องจองจำที่ทำด้วยเหล็ก ไม้ และปอป่าน
ท่านผู้รู้กล่าวว่า ยังไม่ใช่เครื่องจองจำที่มั่นคง
แต่ความกำหนัดยินดีในเครื่องเพชร บุตร ภริยา
เป็นเครื่องจองจำที่มั่นคงยิ่งนัก

Not strong are bonds made of iron,
Or wood, or hemp, thus say the wise.
But attachment to jewelled ornaments,
Children and wives is a strong tie.

๓๔๖. เอตํ ทฬฺหํ พนฺธนมาหุ ธีรา
โอหารินํ สิถิลทุปฺปมุญฺจํ
เอตํปิ เฉตฺวาน ปริพฺพชนฺติ
อนเปกฺขิโน กามสุขํ ปหาย ฯ ๓๔๖ ฯ

ท่านผู้รู้กล่าวว่า เครื่องจองจำชนิดนี้มั่นคง
มักฉุดลากลงที่ต่ำ คล้ายผูกไว้หลวมๆแต่แก้ยากนัก
ผู้รู้ทั้งหลายจึงทำลายเครื่องจองจำนี้เสีย
ละกามสุขออกบวชโดยไม่ไยดี

This is a strong bond, says the wise,
Down-hurling, loose but hard to untie.
This too they cut off and leave the world,
With no longing, renouncing the sense-pleasures.

๓๔๗. เย ราครตฺตานุปตนฺติ โสตํ
สยํ กตํ มกฺกฏโกว ชาลฺ
เอตํปิ เฉตฺวาน วชนฺติ ธีรา
อนเปกฺขิโน สพฺพทุกฺขํ ปหาย ฯ ๓๔๗ ฯ

ผู้ถูกราคะครอบงำ ย่อมถลำลงสู่กระแสตัณหา
เหมือนแมลงมุมตกลงไปยังใยที่ตนถักไว้เอง
ผู้ฉลาดทั้งหลาย จึงทำลายเครื่องจองจำนี้
ละทุกข์ทั้งปวง ออกบวชโดยไม่ไยดี

They who are attached to lust fall back
To(craving's) streams as a spider self-spun web;
This too the wise cut off and 'go forth',
With no longing, leaving all sorrow behind.

๓๔๘. มุญฺจ ปุเร มุญฺจ ปจฺฉโต
มชฺเฌ มุญฺจ ภวสฺส ปารคู
สพฺพตฺถ วิมุตฺตมานโส
น ปุน ชาติชรํ อุเปหิสิ ฯ ๓๔๘ ฯ

จงปล่อยวางทั้งอดีตอนาคตและปัจจุบัน
และอยู่เหนือความมีความเป็น
เมื่อใจหลุดพ้นจากทุกอย่างแล้ว
พวกเธอจักไม่เกิดไม่แก่อีกต่อไป


Let go the past, let go the future too,
Let go the present and go beyond becoming.
With mind released from everything,
To birth-and-decay you shall come no more.

๓๔๙. วิตกฺกมถิตสฺส ชนฺตุโน
ติพฺพราคสฺส สุภานุปสฺสิโน
ภิยฺโย ตณฺหา ปวฑฺฒติ
เอส โข ทฬฺหํ กโรติ พนฺธนํ ฯ ๓๔๙ ฯ

ผู้เป็นทาสวิตกจริต มีจิตกำหนัดยินดี
ติดอยู่ในสิ่งที่สวยงาม
มีแต่จะพอกความอยากให้หนา
กระชับเครื่องพันธนาการให้แน่นเข้า

For him who is of restless mind,
Who is of powerful passions,
Who sees but the pleasurable,
Craving increases all the more.
Indeed he makes the bond strong.

๓๕๐. วิตกฺกูปสเม จ โย รโต
อสุภํ ภาวยตี สทา สโต
เอส โข พฺยนฺติกาหติ
เอสจฺฉินฺทติ มารพนฺธนํ ฯ ๓๕๐ ฯ

ผู้ตั้งใจระงับความคิดฟุ้งซ่าน
เจริญอสุภกรรมฐานวิธี มีสติทุกเวลา
จักขจัดตัณหาหมดสิ้นไป
ทำลายเครื่องผูกของมาร


He who delights in subduing thoughts,
He who meditates on impurities of things,
He who is ever full of mindfulness-
It is he who will make an end of suffering
And destroy the Mara's bond.

๓๕๑. นิฏฺฐงฺคโต อสนฺตาสี
วีตตณฺโห อนงฺคโณ
อจฺฉินฺทิ ภวสลฺลานิ
อนฺติโมยํ สมุสฺสโย ฯ ๓๕๑ ฯ

พระอรหันตฺผู้ลุถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
หมดความสดุ้ง หมดกิเลสตัณหาแล้ว
หักลูกศรคือกิเลสประจำภพแล้ว
ร่างกายนี้เป็นร่างสุดท้ายของท่าน

He has reached the final goal,
He is fearless, without lust, without passions.
He has broken the shafts of existence.
Of such an arahant this body is his last.

๓๕๒. วีตตณฺโห อนาทาโน
นิรุตฺติปทโกวิโท
อกฺชรานํ สนฺนิปาตํ
ชญฺญา ปุพฺพาปรานิ จ
สเว อนฺติมสารีโร
มหาปญฺโญ มหาปุรโสติ วุจฺจติ ฯ ๓๕๒ ฯ

หมดตัณหา ไม่ยึดมั่น ฉลาดในนิรุกติ
รู้กลุ่มอักษรและรู้ลำดับหน้าหลัง
ท่านผู้มีสรีระสุดท้ายนี้แล
เรียกว่า มหาปราชญ์ และ มหาบุรุษ

Free from craving and grasping,
Well-versed in analytical knowledge,
Knowing the texual orders and their sequence,
He of his last body is, indeed, called
One of great wisdom and a great man.

๓๕๓. สพฺพาภิภู สพฺพวิทูหมสฺมิ
สพฺเพสุ ธมฺเมสุ อนูปลิตฺโต
สพฺพญฺชโห ตณฺหกฺขเย วิมุตฺโต
สยํ อภิญฺญาย กมุทฺทิเสยฺยํ ฯ ๓๕๓ ฯ

เราเอาชนะทุกอย่าง เราตรัสรู้ทุกอย่าง
เรามิได้ติดในทุกอย่าง เราละได้ทุกอย่าง
เราเป็นอิสระเพราะสิ้นตัณหา เราตรัสรู้ด้วยตนเอง
และจะอ้างใคร เป็นครูเราเล่า

All have I overcome,
All do I know,
From all am I detached,
All have I removed,
Thorougly freed am I
Through the destruction of craving,
Having realized all by myself,
Whom shall I call my teacher?

๓๕๔. สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ
สพฺพํ รสํ ธมฺมรโส ชินาติ
สพฺพํ รตึ ธมฺมรตี ชินาติ
ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชินาติ ฯ ๓๕๔ ฯ

ธรรมทาน ชนะทานทุกอย่าง
รสพระธรรม ชนะรสทุกอย่าง
ความยินดีในธรรม ชนะความยินดีทุกอย่าง
ความสิ้นตัณหา ชนะทุกข์ทุกอย่าง

All gifts the gift of Truth excels.
All tastes the taste of Truth excels.
All delights the delight in Truth excels.
All sorrows the end of craving excels.

๓๕๕. หนนฺติ โภคา ทุมฺเมธํ
โน จ ปารคเวสิโน
โภคตณฺหาย ทุมฺเมโธ
หนฺติ อญฺเญว อตฺตนํ ฯ ๓๕๕ ฯ

โภคทรัพย์ ทำลายคนโง่
แต่ทำลายคนที่ใฝ่แสวงนิพพานไม่ได้
เพราะโลภในโภคทรัพย์ คนโง่ย่อมทำลายคนอื่น
และ (ผลที่สุดก็ทำลาย) ตนเอง

Riches ruin the fool
But not those seeking Nibbana.
Craving for wealth, the foolish man
Ruins himself by destroying others.

๓๕๖. ติณโทสานิ เขตฺตานิ
ราคโทสา อยํ ปชา
ตสฺมา หิ วีตราเคสุ
ทินฺนํ โหติ มหปฺผลํ ฯ ๓๕๖ ฯ

หญ้า ทำให้ที่นาเสียหาย
ราคะ ทำให้คนเสียหาย
ฉะนั้น ทานที่ถวายแก่ผู้ปราศจากราคะ
จึงมีผลมหาศาล

Weeds are the bane of fields,
Lust is the bane of mankind.
Hence offerings made to lustless ones
Yield abundant fruit.

๓๕๗. ติณโทสานิ เขตฺตานิ
โทสโทสา อยํ ปชา
ตสฺมา หิ วีตโทเสสุ
ทินฺนํ โหติ มหปฺผลํ ฯ ๓๕๗ ฯ

หญ้า ทำให้ที่นาเสียหาย
โทสะ ทำให้คนเสียหาย
ฉะนั้น ทานที่ถวายแก่ผู้ปราศจากโทสะ
จึงมีผลมหาศาล

Weeds are the bane of fields,
Hate is the bane of mankind.
Hence offerings made to hateless ones
Yield abundant fruit.

๓๕๘. ติณโทสานิ เขตฺตานิ
โมหโทสา อยํ ปชา
ตสฺมา หิ วีตโมเหสุ
ทินฺนํ โหติ มหปฺผลํ ฯ ๓๕๘ ฯ

หญ้า ทำให้ที่นาเสียหาย
โมหะ ทำให้คนเสียหาย
ฉะนั้น ทานที่ถวายแก่ผู้ปราศจากโมหะ
จึงมีผลมหาศาล

Weeds are the bane of fields,
Delusion is the bane of mankind.
Hence offerings made to delusionless ones
Yield abundant fruit.

๓๕๙. ติณโทสานิ เขตฺตานิ
อิจฺฉาโทสา อยํ ปชา
ตสฺมา หิ วิคติจฺเฉสุ
ทินฺนํ โหติ มหปฺผลํ ฯ ๓๕๙ ฯ

หญ้า ทำให้ที่นาเสียหาย
ความอยาก ทำให้คนเสียหาย
ทานที่ถวายแก่ผู้ปราศจากความอยาก
จึงมีผลมหาศาล

Weeds are the bane of fields,
Thirst is the bane of mankind.
Hence offerings made to thirstless ones
Yield abundant fruit.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 29, 2011, 07:10:28 am โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด

๒๕. หมวดภิกษุ
THE MONK


๓๖๐. จกฺขุนา สํวโร สาธุ
สาธุ โสเตน สํวโร
ฆาเนน สํวโร สาธุ
สาธุ ชิวฺหาย สํวโร ฯ ๓๖๐ ฯ

สำรวมทางตา เป็นการดี
สำรวมทางหู เป็นการดี
สำรวมทางจมูก เป็นการดี
สำรวมทางลิ้น เป็นการดี

Good is restraint in the eye.
Good is restraint in the ear.
Good is restraint in the nose.
Good is restraint in the .

๓๖๑. กาเยน สํวโร สาธุ
สาธุ วาจาย สํวโร
มนสา สํวโร สาธุ
สาธุ สพฺพตฺถ สํวโร
สพฺพตฺถ สํวุโต ภิกฺขุ
สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ ฯ ๓๖๑ ฯ

สำรวมทางกาย เป็นการดี
สำรวมทางวาจา เป็นการดี
สำรวมทางใจ เป็นการดี
ภิกษุ ผู้สำรวมทุกทาง
ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวง

Good is restraint in deed.
Good is restraint in speech.
Good is restraint in thought.
Good is restraint everywhere
The bhikkhu restrained everywhere
Shall leave all sorrow behind.

๓๖๒. หตฺถสญฺญโต ปาทสญฺญโต
วาจาสญฺญโต สญฺญตตฺตโม
อชฺฌตฺตรโต สมาหิโต
เอโก สนฺตุสิโต ตมาหุ ภิกฺขํ ฯ ๓๖๒ ฯ

ผู้สำรวมมือ สำรวมเท้า สำรวมวาจา
สำรวมกาย ยินดีในการบำเพ็ญวิปัสสนา
มีใจเป็นสมาธิ สันโดษอยู่เดียวดาย
ได้สมญาว่า ภิกษุ

He who is controlled in hand and foot.
He who is controlled in speech and body.
He who is with inward joy and settled mind.
He who is solitarily controlled-
Such a one they call a bhikkhu.

๓๖๓. โย มุขสญฺญโต ภิกฺขุ
มนฺตภาณี อนุทฺธโต
อตฺถํ ธมฺมญฺจ ทีเปติ
มธุรนฺตสฺส ภาสิตํ ฯ ๓๖๓ ฯ

ภิกษุผู้สำรวมปาก
พูดด้วยปัญญา ไม่ถือตัว
ชี้แจงตำราและใจความถูกต้อง
ถ้อยคำของภิกษุนั้น นับว่าไพเราะแท้

The bhikkhu who is well-controlled in ,
Who speaks with wisdom and without pride,
Who explains the text and its meaning-
Sweet indeed is his speech.

๓๖๔. ธมฺมาราโม ธมฺมรโต
ธมฺมํ อนุวิจินฺตยํ
ธมฺมํ อนสฺสรํ ภิกฺขุ
สทฺธมฺมา น ปริหายติ ฯ ๓๖๔ ฯ

ภิกษุผู้อยู่ในธรรม ยินดีในธรรม
พินิจพิจารณาธรรม
และรำลึกถึงธรรมเสมอ
ย่อมไม่เสื่อมจากพระสัทธรรม

Dwelling in the Dharma,
Delighting in the Dharma,
Investigating the Dharma,
Remembering the Dharma,
That bhikkhu falls not away
From the Dharma sublime.

๓๖๕. สลาภํ นาติมญฺเญยฺย
นาญฺเญสํ ปิหยํ จเร
อญฺเญสํ ปิหยํ ภิกฺขุ
สมาธึ นาธิคจฺฉติ ฯ ๓๖๕ ฯ

ไม่พึงดูหมิ่นลาภของตน
ไม่พึงริษยาลาภคนอื่น
เมื่อภิกษุมัวริษยาลาภคนอื่น
ใจย่อมไม่เป็นสมาธิ

Let him not despise his own gains.
Let him not envy those of others.
The bhikkhu envying the others' gains,
Does not attain concentration.

๓๖๖. อปฺปลาโภปิ เจ ภิกฺขุ
สลาภํ นาติมญฺญติ
ตํ เว เทวา ปสํสนฺติ
สุทฺธาชีวึ อตนฺทิตํ ฯ ๓๖๖ ฯ

ภิกษุถึงมีลาภน้อย แต่ไม่ดูหมิ่นลาภของตน
มีอาชีวะบริสุทธิ์ ไม่เกียจคร้าน
ย่อมได้รับคำฃมเชยจากทวยเทพ

Though a recipient of little,
A bhikkhu despises not his own.
Him of pure and strenuous life,
Devas look up to high.

๓๖๗. สพฺพโส นามรูปสฺมึ
ยสฺส นตฺถิ มมายิตํ
อสตา จ น โสจติ
ส เว ภิกฺขูติ วุจฺจติ ฯ ๓๖๗ ฯ

ผู้ไม่ยึดมั่นโดยประการทั้งปวง
ว่า "กู" "ของกู" ไม่ว่าในรูปหรือนาม
เมื่อไม่มี ก็ไม่เศร้าโศก
เขาผู้นั้นแหละ เรียกได้ว่า ภิกษุ

He who grasps at neither 'I' nor 'Mine',
Neither in mentality nor in materiality,
Who grieves not for what is not-
Such a one indeed is called a bhikkhu.

๓๖๘. เมตฺตาวิหาริ โย ภิกฺขุ
ปสนฺโน พุทฺธสาสเน
อธิคจฺเฉ ปทํ สนฺตํ
สงฺขารูปสมํ สุขํ ฯ ๓๖๘ ฯ

ภิกษุ ผู้อยู่ด้วยเมตตา
เลื่อมใสในพุทธศาสนา
พึงลุถึงสภาวะอันสงบ
อันเป็นสุข ระงับสังขาร

The bhikkhu who abides in loving-kindness,
And who is pleased with the Buddha's teaching,
Shall attain to the Peaceful State,
The happy stilling of conditioned things.

๓๖๙. สิญฺจ ภิกฺขุ อิมํ นาวํ
สิตฺตา เต ลหุเมสฺสติ
เฉตฺวา ราคญฺจ โทสญฺจ
ตโต นิพฺพานเมหิสิ ฯ ๓๖๙ ฯ

ภิกษุ เธอจงวิดน้ำออกจากเรือนี้
เมื่อวิดน้ำออกหมดแล้ว เรือจักแล่นเร็ว
ทำลายราคะ โทสะ (โมหะ) เสียแล้ว
เธอจักไปถึงพระนิพพาน

Empty this boat, O bhikkhu!
When emptied, it will swiftly move
Cutting off lust, hatred(and ignorance)
To Nibbana will you thereby go.

๓๗๐. ปญฺจ ฉินฺเท ปญฺจ ชเห
ปญฺจ จุตฺตริ ภาวเย
ปญฺจ สงฺคาติโค ภิกฺขุ
โอฆติณฺโณติ วุจฺจติ ฯ ๓๗๐ * ฯ

จงตัดออกห้า ละทิ้งห้า
ทำให้เจริญเติบโต อีกห้า
พ้นเครื่องผูกพันห้าชนิด
ภิกษุจึงได้ชื่อว่า ผู้ข้ามน้ำ

Cut off the Five, give up the Five
Cultivate further more the Five
The bhikkhu, from the Five Fetters freed,
A Flood-Crosser is he called.

* "จงตัดออกห้า" ได้แก่ โอรัมภาคิยสังโยชน์ (สังโยชน์ฝ่ายต่ำ)
๕ คือ สักกายทิฐิ, วิจิกิจฉา, สีลัพพตปรามาส, กามฉันทะ, พยาบาท
"ละทิ้งห้า" ได้แก่ อุทธังภาคิยสังโยชน์
๕ คือ รูปราคะ, อรูปราคะ, มานะ, อุทธัจจะ, อวิชชา
"ทำให้เจริญเติบโตอีกห้า" ได้แก่ อินทรีย์ ๕ คือ ศรัทธา, วิริยะ, สติ, สมาธิ, ปัญญา
"เครื่องผูกพันห้าชนิด" ได้แก่ ราคะ, โทสะ, โมหะ, มานะ, ทิฐิ

๓๗๑. ฌาย ภิกฺขุ มา จ ปมาโท
มา เต กามคุเณ ภมสฺสุ จิตฺตํ
มา โลหคุฬํ คิลี ปมตฺโต
มา กนฺทิ ทุกฺขมิทนฺติ ทยฺหมาโน ฯ ๓๗๑ ฯ

เจริญภาวนาเถิด ภิกษุ อย่ามัวประมาท
อย่าปล่อยใจเวียนวนอยู่แต่ในกามคุณ
อย่าได้เผลอกลืนกินก้อนเหล็กแดง
อย่าปล่อยให้ความทุกข์เผาผลาญเสียเอง
แม้มัวคร่ำครวญว่า "โอ นี่ทุกข์จริงๆ"

Meditate, O bhikkhu!
Be not heedless.
Let not your mind dwell
On sensual pleasures.
Do not carelessly swallow
A red-hot iron ball.
Do not as you burn bewail
'O this indeed is ill'.

๓๗๒. นตฺถิ ฌานํ อปญฺญสฺส
นตฺถิ ปญฺญา อฌายิโน
ยมฺหิ ฌานญฺจ ปญฺญา จ
ส เว นิพฺพานสนฺติเก ฯ ๓๗๒ ฯ

เมื่อไม่มีปัญญา ก็ไม่มีความเพ่งพินิจ
เมื่อไม่มีความเพ่งพินิจ ก็ไม่มีปัญญา
ผู้ใดมีทั้งความเพ่งพินิจ และปัญญา
ผู้นั้น นับว่าอยู่ใกล้นิพพาน

There is no concentration
For one who lacks wisdom,
Nor is there wisdom
For one who lacks concentration
In whom there are found
Both concentration and wisdom-
He indeed is in the presence of Nibbana.


๓๗๓. สุญฺญคารํ ปวิฏฺฐสฺส
สนฺตจิตฺตสฺส ภิกฺขุโน
อมานุสี รตี โหติ
สมฺมา ธมฺมํ วิปสฺสโต ฯ ๓๗๓ ฯ

ภิกษุผู้ไปสู่ที่สงัด มีใจสงบ
เห็นแจ้งพระธรรมโดยชอบ
ย่อมได้รับความยินดี
ที่สามัญมนุษย์ไม่เคยได้ลิ้มรส

The bhikkhu gone to solitude,
Having calmed his mind,
Clearly perceiving the Teaching,
Experiences a peaceful joy
That has never before been
Tasted by the worldings.

๓๗๔. ยโต ยโต สมฺมสติ
ขนฺธานํ อุทยพฺพยํ
ลภติ ปีติปาโมชฺชํ
อมตนฺตํ วิชานตํ ฯ ๓๗๔ ฯ

ไม่ว่าเมื่อใด พระอรหันต์พิจารณาเห็น
ความเกิดและความดับแห่งขันธ์ทั้งหลาย
ท่านย่อมได้ปีติ และปราโมทย์
ซึ่งเป็นสิ่งอมตะสำหรับท่านผู้รู้ทั้งหลาย

Whenever he reflects
On the rise and fall of Aggregates;
He experiences joy and happiness,
To the knowing ones that is Deathless.

๓๗๕. ตตฺรายมาทิ ภวติ
อิธ ปญฺญสฺส ภิกฺขุโน
อินฺทฺริยคุตฺติ สนฺตุฏฐิ
ปาฏิโมกฺเข จ สํวโร
มิตฺเต ภชสฺสุ กลฺยาเณ
สุทฺธาชีเว อตนฺทิเต ฯ ๓๗๕ ฯ

สิ่งแรก ที่ภิกษุผู้มีปัญญา
จะต้องทำในพระศาสนานี้คือ
สำรวมอินทรีย์ มักน้อยสันโดษ
ระมัดระวังในวินัยบัญญัติ
คบกัลยาณมิตร ผู้ขยันขันแข็ง
ผู้มีอาชีวะสะอาด

For the wise bhikkhu in this sasana
These are the first things to cultivate:
Sense-control, contentment,
Observance of the Rules,
Association with keen freinds
Who lead a pure life.

๓๗๖. ปฏิสนฺถารวุตฺยสฺส
อาจารกุสโล สิยา
ตโต ปาโมชฺชพหุโล
ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสติ ฯ ๓๗๖ ฯ

ภิกษุนั้น พึงรู้จักการปฏิสันถาร
ฉลาดในมรรยาทที่พึงประพฤติ
เพราะคุณธรรมนั้น เธอจะพึง
มีแต่ปราโมทย์ หมดทุกข์ในที่สุด

Let him live a life of cordiality.
Let him be skilled in good conduct.
And full of joy thereby,
He will put an end to ill.

๓๗๗. วสฺสิกา วิย ปุปฺผานิ
มทฺทวานิ ปมุญฺจติ
เอวํ ราคญฺจ โทสญฺจ
วิปฺปมุญฺเจถ ภิกฺขโว ฯ ๓๗๗ ฯ

กอมะลิสลัดช่อบาน
ที่เหี่ยวแห้งทิ้งไปฉันใด
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงสลัด
ราคะและโทสะทิ้งไปฉันนั้น

Just as the jasmine sheds
Its own withered flowers,
So should you, O bhikkhu,
Cast off lust and hatred.

๓๗๘. สนฺตกาโย สนฺตวาโจ
สนฺตมโน สุสมาหิโต
วนฺตโลกามิโส ภิกฺขุ
อุปสนฺโตติ วุจฺจติ ฯ ๓๗๘ ฯ

ภิกษุผู้มีกายสงบ มีวาจาสงบ
มีใจสงบ ตั้งมั่น
ละโลกามิสได้
เรียกว่า ผู้สงบจริง

Calm in body, calm in speech,
Serene and composed of heart,
Whoso has cast off worldly gains-
Truely tranquil is such a one called.

๓๗๙. อตฺตนา โจทยตฺตานํ
ปฏิมํเสตมตฺตนา
โส อตฺตคุตฺโต สติมา
สุขํ ภิกฺขุ วิหาหิสิ ฯ ๓๗๙ ฯ

จงเตือนตนด้วยตนเอง
จงพิจารณาตนด้วยตนเอง
ภิกษุเอย ถ้าเธอคุ้มครองตนได้
มีสติรอบคอบ เธอจักอยู่เป็นสุข

By yourself censure yourself.
By yourself examine yourself.
Thus self-guarded and mindful, too,
Shall you, bhikkhu, live in bliss.

๓๘๐. อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ
อตฺตา หิ อตฺตโน คติ
ตสฺมา สญฺญม อตฺตานํ
อสฺสํ ภทฺรํว วาณิโช ฯ ๓๘๐ ฯ

ตนเป็นที่พึ่งของตนเอง
ตนมีทางเดินเป็นของตน
เพราะฉนั้น ควรควบคุมตน
เหมือนพ่อค้าม้า ทะนุถนอมม้าดี

One is one's own lord.
One has one own course.
Control therefore your own self,
As a merchant a noble steed.


๓๘๑. ปาโมชฺชพหุโล ภิกฺขุ
ปสนฺโน พุทฺธสาสเน
อธิคจฺเฉ ปทํ สนฺตํ
สงฺขารูปสมํ สุขํ ฯ ๓๘๑ ฯ

ภิกษุผู้มากด้วยปราโมทย์
เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
พึงบรรลุถึงสภาวะอันสงบ
อันเป็นสุข ระงับสังขาร

The bhikkhu who is full of joy,
Who is pleased with the Buddha's Teaching,
Shall attain to the Peaceful State,
The happy stilling of conditioned things.


๓๘๒. โย หเว ทหโร ภิกฺขุ
ยญฺชติ พุทฺธสาสเน
โสมํ โลกํ ปภาเสติ
อพฺภา มุตฺโตว จนฺทิมา ฯ ๓๘๒ ฯ

ถึงแม้จะเป็นเพียงภิกษุหนุ่ม
แต่อุทิศตนแก่พระศาสนา
เธอย่อมส่องโลกนี้ให้สว่าง
เหมือนพระจันทร์พ้นจากเมฆ

Whosover, although still young,
Devotes himself to the Buddha's Teaching-
He illumines all the world,
As the moon emerging from the cloud.

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: พุทธวจนะในธรรมบท โดย เสฐียรพงษ์
« ตอบกลับ #28 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2011, 10:38:36 am »

๒๖. หมวดพราหมณ์
THE BRAHMANA


๓๘๓. ฉินฺท โสตํ ปรกฺกมฺม
กาเม ปนูท พฺราหฺมณ
สงฺขารานํ ขยํ ญตฺวา
อกตญฺญูสิ พฺราหฺมณ ฯ ๓๘๓ ฯ

พราหมณ์เอย ท่านจงพยายามหยุดกระแส (ตัณหา)
และบรรเทากามทั้งหลายเสีย พราหมณ์เอย
เมื่อท่านรู้ความสิ้นไปแห่งสิ่งปรุงแต่งทั้งหลาย
ท่านก็จะรู้สิ่งที่ไม่ปรุงแต่ง (นิพพาน)

Strive and stop the stream of craving,
Discrad, O brahmana, sense-desires.
Knowing conditioned things, brahmana,
You will know the Unconditioned.

๓๘๔. ยทา ทฺวเยสุ ธมฺเมสุ
ปารคู โหติ พฺราหฺมโณ
อภสฺส สพฺเพ สํโยคา
อฏฺฐํ คจฺฉนฺติ ชานโต ฯ ๓๘๔ ฯ

เมื่อใดพราหมณ์ข้ามถึงฝั่งโน้น (นิพพาน)
ด้วยการปฏิบัติธรรมทั้งสอง (สมถะและวิปัสนา)
เมื่อนั้นเครื่องผูกพันทั้งปวง
ของเขาผู้รู้จริงย่อมสิ้นไป

When depending on the twofold means,
A brahmana has reached the Other Shore,
Then of that one who knows,
All fetters remain no more.

๓๘๕. ยสฺส ปารํ อปารํ วา
ปาราปารํ น วิชฺชติ
วีตทฺทรฺ วิสํยุตฺตํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๓๘๕ ฯ

ผู้ใดไม่มีฝั่งนี้ หรือฝั่งโน้น
หรือไม่มีทั้งสองฝั่ง
ไม่มีความกระวนกระวายใจ เป็นอิสระ
ผู้นั้นเราเรียกว่า พราหมณ์

For whom there exists
Neither the Hither nor the Father Shore,
Nor both the Hither and the Farther Shore,
He who is undistressed and unbound-
Him do I call a brahmana.

๓๘๖. ฌายึ วิรชมาสีนํ
กตกิจฺจํ อนาสวํ
อุตฺตมตฺถํ อนุปฺปตฺตํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๓๘๖ ฯ

ผู้ใดบำเพ็ญฌาน ปราศจากกิเลส
อยู่คนเดียว หมดกิจที่จะพึงทำ
หมดอาสวะ ลุถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
ผู้นั้นเราเรียกว่า พราหมณ์

Meditative, dwelling alone,
Free from passion taint,
Having done what should be done,
Devoid of all corruptions,
And having reached the Highest Goal-
Him do I call a brahmana

๓๘๗. ทิวา ตปติ อาทิจฺโจ
รตฺติมาภาติ จนฺทิมา
สนฺนทฺโธ ขตฺติโย ตปติ
ฌายี ตปติ พฺราหฺมโณ
อถ สพฺพมโหรตฺตึ
พุทฺโธ ตปติ เตชสา ฯ ๓๘๗ ฯ

พระอาทิตย์ สว่างกลางวัน
พระจันทร์ สว่างกลางคืน
นักรบสง่างามเมื่อสวมเกราะเตรียมรบ
พราหมณ์ สง่างามเมื่อเข้าฌาน
แต่พระพุทธเจ้าสง่างามทั้งกลางวันกลางคืน

By day the sun shines.
By night the moon is bright.
Armoured shines the warrior.
In meditation the brahmana glows.
But all day and all night,
The Buddha shines in splendour.

๓๘๘. พาหิตปาโป หิ พฺราหฺมโณ
สมจริยา สมโณติ วุจฺจติ
ปพฺพาชยมตฺตโน มลํ
ตสฺมา ปพฺพชิโตติ วุจฺจติ ฯ ๓๘๘ ฯ

ผู้ที่ชื่อว่าพราหมณ์ เพราะละบาปได้
ชื่อว่าสมณะ เพราะมีจรรยาสงบ
ชื่อว่าบรรพชิต เพราะละมลทินได้

Without evil he is called a brahmana.
He who lives in peace is called a samana.
With all impurities gone,
A pabbajita is he called.

๓๘๙. น พฺราหฺมณสฺส ปหเรยฺย
นาสฺส มุญฺเจถ พฺราหฺมโณ
ธิ พฺราหฺมณสฺส หนฺตารํ
ตโต ธิ ยสฺส มุญฺจติ ฯ ๓๘๙ ฯ

ไม่ควรรังแกพราหมณ์ (นักบวช)
และพราหมณ์ก็ไม่ควรแสดงความโกรธตอบ
คนที่รังแกพราหมณ์ เป็นคนน่าตำหนิ
แต่พราหมณ์ผู้โกรธตอบ น่าตำหนิกว่า

One should not strike a brahmana,
Nor such a brahmana vent his wrath on him.
Woe to him who strikes a brahamana.
More woe to him who gives way to his wrath.


๓๙๐. น พฺราหฺมณสฺเสตทกิญฺจิ เสยฺโย
ยทา นิเสโธ มนโส ปิเยหิ
ยโต ยโต หึสมโน นิวตฺตติ
ตโต ตโต สมฺมติเมว ทุกฺขํ ฯ ๓๙๐ ฯ

ไม่มีอะไรจะดีสำหรับพราหมณ์
เท่ากับหักห้ามใจจากปิยารมณ์
เมื่อใดเขาไม่เบียดเบียนคนอื่น
เมื่อนั้น ความทุกข์ก็สงบ

Naught is better for a brahmana.
Than restraint of mind from what is dear.
Whenever his ill will has been put aside,
Then and then only his sorrow subsides.

๓๙๑. ยสฺส กาเยน วาจาย
มนสา นตฺถิ ทุกฺกฏํ
สํวุตํ ตีหิ ฐาเนหิ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๓๙๑ ฯ

ผู้ใดไม่มีความชั่วทางกาย วาจา ใจ
สำรวมระวังทั้งสามทวาร
ผู้นั้นเราเรียกว่า พราหมณ์

He in whom there is no evil done,
Through body speech or mind,
He who is restrained in the three ways-
Him do I call a brahmana.

๓๙๒. ยมฺหา ธมฺมํ วิชาเนยฺย
สมฺมาสมฺพุทฺธเทสิตํ
สกฺกจฺจํ ตํ นมสฺเสยฺย
อคฺคิหุตฺตํว พฺราหฺมโณ ฯ ๓๙๒ ฯ

เมื่อรู้ธรรมที่พุทธเจ้าทรงแสดง
จากบุคคลใด
ควรเคารพนอบน้อมบุคคลนั้น
เหมือนพราหมณ์บูชาไฟ

From whom one knows the Truth Sublime
Which the Awakened One proclaimed,
Devotedly should one revere him,
As a brahmana tends the sacrificial fire.

๓๙๓. น ชฏาหิ น โคตฺเตน
น ชจฺจา โหติ พฺราหฺมโณ
ยมฺหิ สจฺจญฺจ ธมฺโม จ
โส สุจี โส จ พฺราหฺมโณ ฯ ๓๙๓ ฯ

มิใช่เพราะมุ่นชฏา มิใช่เพราะโคตร
มิใช่เพราะกำเนิด (ที่ดี) ที่ทำคนให้เป็นพราหมณ์
ใครก็ตามมีสัจจะและทรงธรรม
ย่อมจะบริสุทธิ์ล้ำและเป็นพราหมณ์

Not by matted hair, nor by clan, nor by birth,
Does one become a brahmana.
In whom there are truth and righteouseness,
Pure is he, a brahmana is he.

๓๙๔. กึ เต ชฏาหิ ทุมฺเมธ
กึ เต อชินสาฏิยา
อพฺภนฺตรํ เต คหณํ
พาหิรํ ปริมชฺชสิ ฯ ๓๙๔ ฯ

เจ้าโง่เอ๋ย ผมยาว หนังสัตว์
จะมีประโยชน์อะไรสำหรับเจ้า
ภายนอกเจ้าสะอาดสดใส
แต่ภายในเจ้ารกรุงรัง

What use of your matted hair, O foolish one?
And what of your entelope-garment?
Full of impurities is your mind,
You embellish only the outside.

๓๙๕. ปํสุกูลธรํ ชนฺตุ
กิสํ ธมนิสนฺถตํ
เอกํ วนสฺมึ ฌายนฺตํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๓๙๕ ฯ

ผู้ทรงผ้าบังสุกุล
ผอมจนเห็นแต่เส้นเอ็น
บำเพ็ญฌานในป่าเปลี่ยวคนเดียว
เราเรียกว่า พราหมณ์

Clad in rag-robes and lean,
With body overspread by veins,
Meditationg in the forest alone-
Him do I call a brahmana.

๓๙๖. น จาหํ พฺราหฺมณํ พฺรูมิ
โยนิชํ มตฺติสมฺภวํ
โภวาที นาม โส โหติ
ส เว โหติ สกิญฺจโน
อกิญฺจนฺ อนาทานํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๓๙๖ ฯ

เพียงเกิดในตระกูลพราหมณ์
หรือมีมารดาเป็นพราหมณ์
เราไม่เรียกเขาว่า พราหมณ์
หากเขายังมีกิเลสอยู่
เขาก็เป็นพราหมณ์แต่ชื่อ
ผู้ใดหมดกิเลสไม่ยึดมั่นถือมั่น
ผู้นั้นเราเรียกว่า พราหมณ์

I do not call him a brahmana
Merely because he is born of a womb
Or sprung from a brahmani.
If he is full of impediments,
He is merely a brahmana by name.
He who is free from impediments and clinging-
Him do I call a brahmana.


๓๙๗. สพฺพสญฺโญชนํ เฉตฺวา
โย เว น ปริตสฺสติ
สงฺคาติคํ วิสํยุตฺตํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๓๙๗ ฯ

ผู้ใดตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้หมดสิ้น
ไม่หวาดกลัว หมดพันธะ
เป็นอิสระจากเครื่องจองจำคือกิเลส
ผู้นั้นเราเรียกว่า พราหมณ์

He who has cut off all bonds,
He who trembles not,
He who is free and unbound-
Him do I call a brahmana.

๓๙๘. เฉตฺวา นทฺธึ วรตฺตญฺจ
สนฺทานํ สหนุกฺกมํ
อุกฺขิตฺตปลิฆํ พุทฺธํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๓๙๘ ฯ

ผู้ที่ตัดชะเนาะ (ความโกรธ) เชือกหนัง (ตัณหา)
เชือกป่าน (ความเห็นผิด) พร้อมทั้งอนุสัยกิเลส
ถอดลิ่มสลัก (อวิชชา) รู้แจ้งอริยสัจแล้ว
เราเรียกว่า พราหมณ์

He who has cut off the strap(of hatred),
The thong(of craving),
The rope(of heresies),
Together with all tendencies:
He who has thrown up the cross-bar
(ignorance)
And has realized the Truth-
Him do I call a brahmana.

๓๙๙. อกฺโกสํ วธพนฺธญฺจ
อทุฏฺโฐ โย ติติกฺขติ
ขนฺติพลํ พลานีกํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๓๙๙ ฯ

ผู้ใดไม่โกรธ ทนต่อการด่า
และการลงโทษจองจำ
มีขันติเป็นกำลังทัพ
ผู้นั้นเราเรียกว่า พราหมณ์

He who is not wrathful
Bears reviling, blows and bonds,
Whose power, the potent army, is patience-
Him do I call a brahmana.

๔๐๐. อกฺโกธนํ วตวนฺตํ
สีลวนฺตํ อนุสฺสทํ
ทนฺตํ อนฺติมสารีรํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๐๐ ฯ

ผู้ใดไม่มักโกรธ ทรงศีลพรต
หมดกิเลสฝึกฝนตน
มีชีวิตอยู่ในโลกนี้เป็นครั้งสุดท้าย
ผู้นั้น เราเรียกว่า พราหมณ์

He who is free from anger,
He who is dutiful and righteous,
He who is without craving, and controlled;
And he who bears his final body-
Him do I call a brahmana.

๔๐๑. วาริ โปกฺขรปตฺเตว
อารคฺเคริว สาสโป
โย น ลิปฺปติ กาเมสุ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๐๑ ฯ

ผู้ใดไม่ติดในกาม
เหมือนหยาดน้ำไม่ติดใบบัว
และเมล็ดผักกาดไม่ติดปลายเข็ม
ผู้นั้นเราเรียกว่า พราหมณ์

Like water on a lotusleaf,
Like a mustard seed on a needle's point,
He who clings not to sensual pleasures-
Him do I call a brahmana.

๔๐๒. โย ทุกฺขสฺส ปชานาติ
อิเธว ขยมตฺตโน
ปนฺนภารํ วิสํยุตฺตํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๐๒ ฯ

ผู้รู้วิธีดับทุกข์ของตนได้ในโลกนี้
หมดภาระแบกหามกิเลส
เป็นอิสระจากกิเลส
เราเรียกว่า พราหมณ์

He who has realized in this world
The destruction of his own ill,
Who has put aside the burden and is freed-
Him do I call a brahmana.

๔๐๓. คมฺภีรปญฺญํ เมธาวึ
มคฺคามคฺคสฺส โกวิทํ
อุตฺตมตฺถํ อนุปฺปตฺตํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๐๓ ฯ

ผู้มีปัญญาลึกซึ้ง หลักแหลม
ฉลาดเลือกทางผิดทางชอบ
บรรลุถึงจุดหมายปลาทางอันอุดม
เราเรียกว่า พราหมณ์

He whose wisdom is deep,
Who is wise and skilled
In the right and wrong means,
Who has reached the Highest Goal-
Him do I call a brahmana.

๔๐๔. อสํสฏฺฐํ คหฏฺเฐหิ
อนาคาเรหิ จูภยํ
อโนกสารึ อปฺปิจฺฉํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๐๔ ฯ

ผู้ไม่คลุกคลีกับบุคคลทั้งสองฝ่าย
คือคฤหัสถ์และบรรพชิต
จรไปคนเดียว ไม่ติดถิ่น มักน้อย
เราเรียกว่า พราหมณ์

He who is not intimate
With both householder and homeless,
Who with no fixed abode
Wanders, wanting but little-
Him do I call a brahmana.

๔๐๕. นิธาย ทณฺฑํ ภูเตสุ
ตเสสุ ถาวเรสุ จ
โย น หนฺติ น ฆาเตติ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๐๕ ฯ

ผู้งดเบียดเบียนสัตว์อื่น
ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่
ไม่ฆ่าเอง ไม่สั่งให้คนอื่นฆ่า
เราเรียกว่า พราหมณ์

He who has given up harming creatures,
Whether feeble or strong,
Who neither kills nor causes to kill-
Him do I call a brahmana.

๔๐๖. อวิรุทฺธํ วิรุทฺเธสุ
อตฺตทณฺเฑสุ นิพฺพุตํ
สาทาเนสุ อนาทานํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๐๖ ฯ

ผู้ไม่ดุร้าย กลางกลุ่มชนผู้ดุร้าย
สงบ กลางกลุ่มชนผู้ทารุณ
ไม่ยึดมั่นกลางกลุ่มผู้ยึดมั่น
เราเรียกว่า พราหมณ์

Friendly among the hostile,
Peaceful among the violent,
Ungrasping among the grasping-
Him do I call a brahmana.

๔๐๗. ยสฺส ราโค จ โทโส จ
มาโน มกฺโข จ ปาติโต
สาสโปริว อารคฺคา
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหมณํ ฯ ๔๐๗ ฯ

ความกำหนัด ความขัดเคือง ความหยิ่ง
ความดูถูกบุญคุณคนอื่น หมดไปจากผู้ใด
เหมือนเมล็ดผักกาด ตกไปจากปลายเข็ม
ผู้นั้นเราเรียกว่า พราหมณ์

In whom lust, hatred, pride
And detraction are fallen off,
As a mustard seed from the needle's point-
Him do I call a brahmana.

๔๐๘. อกกฺกสํ วิญฺญาปนึ
คิรํ สจฺจํ อุทีรเย
ยาย นาภิสเช กญฺจิ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๐๘ ฯ

ผู้พูดถ้อยคำนิ่มนวล
แจ่มกระจ่าง สัตย์จริง
ไม่กระทบกระทั่งใคร
เราเรียกว่า พราหมณ์

He who utters words
Gentle, instructive and true,
He who gives offence to none
Him do I call a brahmana.

๔๐๙. โยธ ทีฆํ วา รสฺสํ วา
อณุ ถูลํ สุภาสุภํ
โลเก อทินฺนํ นาทิยติ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๐๙ ฯ

ผู้ใดไม่ขโมยของคนอื่น
ไม่ว่าสั้นหรือยาว
เล็กหรือใหญ่ ดีหรือไม่ดี
ผู้นั้นเราเรียกว่า พราหมณ์

He who in this world
Takes not what is not given,
Be it long or short,
Small or great, fair or foul-
Him do I call a brahmana.

๔๑๐. อาสา ยสฺส น วิชฺชนฺติ
อสฺมึ โลเก ปรมฺหิ จ
นิราสยํ วิสํยุตฺตํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๑๐ ฯ

ผู้ใดไม่มีความอยาก
ในโลกนี้และโลกหน้า
หมดกิเลส เป็นอิสระ
ผู้นั้นเราเรียกว่า พราหมณ์

He who has no longing
Either for this world or nexto world,
Who is detached and emancipated-
Him do I call a brahmana.


๔๑๑. ยสฺสาลยา น วิชฺชนฺติ
อญฺญาย อกถํกถี
อมโตคธํ อนุปฺปตฺตํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๑๑ ฯ

ผู้ใดหมดตัณหา
หมดสงสัย เพราะรู้แจ้งจริง
ลุถึงอมตนิพพานแล้ว
ผู้นั้นเราเรียกว่า พราหมณ์

He who has no more longing,
Who through knowledge is free from doubts,
Who has plunged deep into the Deathless-
Him do I call a brahmana.

๔๑๒. โยธ ปุญฺญญฺจ ปาปญฺจ
อุโภ สงฺคํ อุปจฺจคา
อโสกํ วิรชํ สุทฺธํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๑๒ ฯ

ผู้ละบุญละบาปได้
พ้นกิเลสผูกพัน
ไม่โศก ไม่มีกิเลส บริสุทธิ์
เราเรียกว่า พราหมณ์

He who has passed beyond
Good and bad and attachment,
Who is sorrowless, stainless and pure-
Him do I call a brahmana.

๔๑๓. จนฺท ว วิมลํ สุทฺธํ
วิปฺปสนฺนํ อนาวิลํ
นนฺทิภวปริกฺขีณํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๑๓ ฯ

ผู้บริสุทธิ์ เหมือนจันทร์แจ่ม สงบ
ผ่องใส หมดความพอใจในภพ
เราเรียกว่า พราหมณ์

He who is pure as the spotless moon,
He who is serene and clear,
He who has ended delight in existence-
Him do I call a brahmana.

๔๑๔. โย อิมํ ปลิปถํ ทุคฺคํ
สํสารํ โมหมจฺจคา
ติณฺโณ ปารคโต ฌายี
อเนโช อกถํกถี
อนุปาทาย นิพฺพุโต
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๑๔ ฯ

ผู้ข้ามสงสารวัฏ และโมหะ
อันเป็นทางหล่มที่ข้ามได้แสนยากนี้
ลุถึงฝั่งโน้น เป็นนักกรรมฐาน
หมดตัณหา หมดความสงสัย
หมดความยึดมั่น บรรลุนิพพาน
เราเรียกว่า พราหมณ์

He who has passed beyond
This quagmire, this difficult path,
The ocean(of life) and delusion,
Who has crossed and gone beyond,
Who is meditative, desireless and doubtless,
Who, clinging to nought, has attained Nibbana-
Him do I call a brahmana.

๔๑๕. โยธ กาเม ปหตฺวาน
อนาคาโร ปริพฺพเช
กามภวปริกฺขีณํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๑๕ ฯ

ผู้ละกามารมณ์
ออกบวชไม่มีเรือน
หมดความใคร่ในภพ
เราเรียกว่า พราหมณ์

He who, giving up sensual pleasures,
Would renounce and become a homeless one,
Who has removed the lust of becoming-
Him do I call a brahmana.

๔๑๖. โยธ ตณฺหํ ปหตฺวาน
อนาคาโร ปริพฺพเช
ตณฺหาภวปริกฺขีณํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๑๖ ฯ

ผู้ละตัณหา
ออกบวชไม่มีเรือน
หมดความอยากในภพ
เราเรียกว่า พราหมณ์

He who, giving up craving,
Would renounce and become a homeless one,
Who has destroyed the craving for existence-
Him do I call a brahmana.

๔๑๗. หิตฺวา มานุสกํ โยคํ
ทิพฺพํ โยคํ อุปจฺจคา
สพฺพโยควิสํยุตฺตํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๑๗ ฯ

ผู้ละเครื่องผูกพัน
ทั้งของมนุษย์และเทวดา
หมดเครื่องผูกพันทุกชนิด
คนเช่นนี้เราเรียกว่า พราหมณ์

He who, discarding human ties,
And transcending celestial ties,
Is completely freed from all ties-
Him do I call a brahmana.

๔๑๘. หิตฺวา รติญฺจ อรติญฺจ
สีติภูตํ นิรูปธึ
สพฺพโลกาภิอณุวีรํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๑๘ ฯ

ผู้ละความยินดีและความไม่ยินดี
เย็นสนิท หมดอุปธิ (กิเลส)
อาจหาญ ชนะโลกทั้งมวล
เราเรียกว่า พราหมณ์

He who has given up delight and aversion,
Who is cooled and without attachments,
Strenous and victorious over the world-
Him do I call a brahmana.

๔๑๙. จุตึ โย เวทิ สตฺตานํ
อุปปตฺติญฺจ สพฺพโส
อสตฺตํ สุคตํ พุทฺธํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๑๙ ฯ

ผู้รู้จุติ และปฏิสนธิ
ของสัตว์ทั้งหลายโดยละเอียด
ผู้ไม่ขัดข้อง ไปดี ตรัสรู้ธรรม
เราเรียกว่า พราหมณ์

He who perfectly understands
The rise and fall of all beings,
Who is detached, well-hone and enlightened-
Him do I call a brahmana.


๔๒๐. ยสฺส คตึ น ชานนฺติ
เทวา คนฺธพฺพมานุสา
ขีณาสวํ อรหนฺตํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๒๐ ฯ

เทวดา คนธรรพ์ และมนุษย์ทั้งหลาย
ไม่ทราบทางไปของผู้ใด
ผู้เป็นพระอรหันต์ ขีณาสพ
ผู้นั้นเราเรียกว่า พราหมณ์

He whose way is unknown
To hods, gandharvas and men,
Who has destroyed all defilements
And who has become enlightened-
Him do I call a brahmana.

๔๒๑. ยสฺส ปุเร จ ปจฺฉา จ
มชุเฌ จ นตฺถิ กิญฺจนํ
อกิญฺจนํ อนาทานํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๒๑ ฯ

ผู้ไม่มีความยึดถือทั้งเบื้องต้น (อดีต)
ท่ามกลาง (ปัจจุบัน) ที่สุด (อนาคต)
ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น
เราเรียกว่า พราหมณ์

He who clings not to the past,
The present and the future, too,
Who has no clinging and grasping-
Him do I call a brahmana.

๔๒๒. อุสภํ ปวรํ วีรํ
มเหสึ วิชิตาวินํ
อเนชํ นหาตกํ พุทฺธํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๒๒ ฯ

มหาฤาษีผู้องอาจ ประเสริฐ แกล้วกล้า
ชำนะ ปราศจากตัณหา
บริสุทธิ์ ตรัสรู้ธรรม
เราเรียกว่า พราหมณ์

The fearless, the noble, the hero,
The great sage, the conqueror,
The desireless, the pure, the enlightened-
Him do I call a brahmana.

๔๒๓. ปุพฺเพนิวาสํ โย เวทิ
สคฺคาปายญฺจ ปสฺสติ
อโถ ชาติกฺขยํ ปตฺโต
อภิญฺญาโวสิโต มุนิ
สพฺพโวสิตโวสานํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๒๓ ฯ

มุนี ผู้รู้อดีตชาติของตน
เห็นสวรรค์และอบาย
ไม่ต้องเกิดอีกต่อไป
รู้แจ้งเห็นจริง
บำเพ็ญหน้าที่บริบูรณ์แล้ว
เราเรียกว่า พราหมณ์

The sage who knows his previous births,
Who sees heaven and hell,
Who has reached the end of births,
Who has attained to insight-wisdom,
Who has completed his holy life-
Him do I call a brahmana.


>>>>> จบ >>>>>


พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา

คัดลอกมาจาก 
:http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=8869&postdays=0&postorder=asc&start=20
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ

ออฟไลน์ magicmo

  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • ***
  • กระทู้: 127
  • พลังกัลยาณมิตร 30
    • ดูรายละเอียด
Re: พุทธวจนะในธรรมบท โดย เสฐียรพงษ์
« ตอบกลับ #29 เมื่อ: ธันวาคม 16, 2011, 03:33:20 pm »
  ขอบคุณมากๆๆเลยครับ