ผู้เขียน หัวข้อ: The Pursuit of Happyness : ความสุขเป็นเรื่องที่เราต้องแสวงหา...เช่นกันกับความรัก  (อ่าน 5699 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


The Pursuit of Happyness : ความสุขเป็นเรื่องที่เราต้องแสวงหา ... เช่นกันกับความรัก



คนบางคนอาจจะมีความเชื่อเหมือนเพลงคัฟเวอร์สุดฮิตในปี ค.ศ. 1994 ของวง Wet Wet Wet ว่า ความรักอยู่รอบตัวเรา หรือ Love is all around

แต่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ฉันเพิ่งได้คุยด้วย เธอเชื่อว่าความรักของเธออยู่ที่มหานครนิวยอร์ก รักที่เธอ (น่าจะ) เชื่อว่าเป็นรักแท้รอเธออยู่ที่นั่น ... ขณะพูด ชีวิตเธอได้กำตั๋วเดินทางเดือนพฤษภาคมไว้มั่นแล้ว เธอกำลังจะไปตามหารักของตัวเอง

แปลกดี...เหตุการณ์วันนั้นทำให้ฉันได้หยุดคิด หรือจริงๆ แล้วความรักเป็นสิ่งที่เราต้องแสวงหา ไม่ใช่ปล่อยให้มันลอยไปลอยมาอย่างเปล่าประโยชน์อยู่รอบตัวเราเช่นทุกวันนี้?

ร้ายไปกว่านั้น หรือ Love is all around ไม่เคยมีอยู่จริง? มันอาจเป็นแค่คำโกหกคำโต ที่มนุษย์สุขนิยมรังสรรค์ขึ้น เพื่อกลบเกลื่อนความขี้เกียจแสวงหาของตัวเองเท่านั้น?

ความคิดเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวฉันประมาณสองวัน จนกระทั่งฉันก้าวเท้าเข้าสู่โรงภาพยนตร์ลิโด้ และได้ดูหนังเรื่องนี้

The Pursuit of Happyness*






หนังได้รับแรงบันดาลใจมาจากชีวิตจริง ของโบรกเกอร์ผู้โด่งดังและเป็นสัญลักษณ์ของนักต่อสู้กับชีวิตแบบอเมริกันชนคนหนึ่ง** อย่าง คริส การ์ดเนอร์ The Pursuit of Happyness พาเรากลับไปยังช่วงเวลาอันยากลำบากของการ์ดเนอร์ เป็นเวลาที่เขายังเป็นเซลส์แมนขายเครื่องสแกนกระดูกอยู่ หลังจากมีกระแสว่าเจ้าเครื่องสแกนที่หนักหลายสิบกิโลกรัมนี้ จะกลายมาเป็นนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงการแพทย์ในยุค 1980 การ์ดเนอร์ก็ทุ่มเงินทั้งหมดที่มีซื้อเจ้าเครื่องนี้มาเก็บไว้ หลังจากขายไปได้ครึ่งหนึ่ง เขาได้พบว่า วงการแพทย์ไม่ได้คิดเหมือนเขาสักเท่าไหร่


และนั่นนำมาสู่ภาวะยากไร้ของครอบครัว ภาวะที่เหมือนว่าจะไม่ได้ยากไร้แค่เงิน แต่ขณะเดียวกันการไม่มีเงินมาชำระค่าเช่าบ้าน ภาษี ค่าปรับที่จอดรถ ค่าพี่เลี้ยงเด็ก มันนำมาสู่ภาวะยากไร้ทางความสุขด้วย


ฉันชอบประโยคหนึ่งของหนัง เป็นประโยคที่ในวันอันยากไร้ การ์ดเนอร์ได้ตั้งคำถามต่อคำประกาศอิสรภาพของอเมริกา*** (The Declaration of Independence) ที่โธมัส เจฟเฟอร์สัน (ประธานาธิบดีคนที่ 3 ของอเมริกา และเป็นผู้ร่างคำประกาศอิสรภาพ แยก 13 รัฐต่างๆ ของอเมริกาในขณะนั้น ออกจากบริเตนใหญ่ หรืออังกฤษในปัจจุบัน) เขียนเอาไว้ ว่า ทำไมในคำประกาศอิสรภาพอันยิ่งใหญ่ที่เป็นไปเพื่อผลทางการเมือง ที่ถึงได้เอ่ยถึงคำว่า แสวงหาความสุข (the pursuit of Happiness) เคียงคู่ไปกับคำว่า ชีวิต (Life) และ เสรีภาพ (Liberty )?

และที่สำคัญ ทำไมข้างหน้าของคำว่า ความสุข (Happiness) ถึงต้องมีคำว่า แสวงหา (Pursuit) วางตัวอยู่?

หรือจริงๆ แล้ว หนึ่งในประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา กำลังจะบอกเราว่า ความสุขเป็นสิ่งที่เราต้องแสวงหา? อยู่ๆ น้ำตาฉันก็ไหลลงมาเมื่อความคิดแล่นมาถึงตรงนี้

ใช่...ในวันที่ยากไร้ซึ่งความสุข เหลียวมองไปทางไหนก็ไม่พบเจอสิ่งสำคัญสิ่งนี้ บางที มันอาจเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกผู้คนที่ควรออกแสวงหา

จริงที่ว่า โลกมีคำกล่าวประเภท ความสุขอยู่รอบตัวเรา มันอยู่ในอากาศที่เราหายใจเข้าไป อยู่ในน้ำใจของคนข้างบ้าน อยู่ในดอกไม้ที่กำลังบาน หรืออยู่แม้กระทั่งในเสียงก่นด่าเพราะมันยืนยันว่าเรายังมีชีวิตอยู่

แต่...ง่ายเกินไปไหมที่จะคิดอย่างนั้น ในวันที่เราก็รู้ว่าดอกไม้ไม่ได้บาน และพายุก็กำลังพัดบ้านให้แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ?


ถ้าวันนั้นคริส การ์ดเนอร์ตายใจว่าความสุขลอยอยู่รอบตัว แล้วไม่พยายามที่จะยื่นมือออกไปไขว่คว้าแสวงหาเพื่อลูกและตัวเอง ผ่านการต่อสู้อย่างหนัก ตอนกลางวันต้องไปฝึกงานเป็นโบรกเกอร์ เรียนรู้ที่จะไม่วางหูโทรศัพท์แต่เลือกที่จะใช้มือกดตัดสัญญาณแทนเพราะมันทำให้เขาประหยัดเวลาได้วันละ 8 นาที จะได้เอาเวลานั้นวิ่งไปจับจองห้องพักในบ้านพักของคนจรจัด (House of Homeless) ให้ทัน เพื่อลูกรักจะได้มีที่หลับนอนในตอนกลางคืนอันเหน็บหนาว

บางทีถ้าการ์ดเนอร์ไม่แสวงหาและสู้ยิบตาอย่างนั้น เราอาจเห็นข่าวพาดหัวพ่อนอนกอดลูกตายอยู่ข้างถนนในซานฟรานซิสโกไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1981 แล้วก็ได้

หรือโหดร้ายกว่านั้น มันอาจไม่มีแม้กระทั่งพาดหัว หรืออาจไม่มีใครรับรู้ว่าพวกเขาจากไปเลยก็ได้




แต่เพราะการ์ดเนอร์ก็เชื่อเหมือนที่ โธมัส เจฟเฟอร์สันเชื่อว่า คำว่า Happiness ที่ถูกต้อง น่าจะเป็น Happiness ที่มีคำว่า Pursuit วางอยู่ข้างหน้า เขาจึงไม่เคยเลิกแสวงหา

ที่เขียนมาทั้งหมดไม่ได้หมายความว่า ฉันเชื่อว่าถ้าเราทุกคนเสาะแสวงหาแล้วจะเจอตอนจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งเช่นในเทพนิยายแสนหวานของดิสนี่ย์ หรือหนังย้อมพลังใจเช่นในหนังฮอลลีวู้ดหรอกนะ

แค่รู้สึกว่า, แม้ตอนท้าย ไม่ว่าใคร คริส การ์ดเนอร์ หรือเราเอง - จะล้มลงและไปไม่ถึงปลายทางความสุข แต่ฉันเชื่อว่า อย่างน้อยความล้มเหลวที่เกิดจากการได้พยายามเสาะแสวงหา มันก็สามารถทำให้หัวใจเราอิ่มเอิบและพองโตได้มากกว่าความล้มเหลวที่เกิดจากการไม่ได้พยายามทำอะไรเลยแม้เพียงนิด




และหากความสุขเป็นเรื่องที่ต้องแสวงหา...หรือความรักก็เช่นเดียวกัน?

อยู่ๆ ฉันก็คิดถึงคำพูดของผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาได้

ฉันชอบแววตาเป็นประกายยามที่เธอบอกเล่าถึงการตามหาความรักของเธอเป็นอย่างมาก พอๆ กับที่ภาวนาให้เธอได้พบเจอรักที่แสนดีอย่างที่หวังไว้

และหากสิ่งที่หวังไว้จะพลิกไปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง...มันคงไม่เป็นไรหรอก ในวันที่เธอก็ได้เพียรพยายามต่อสู้และได้ลองเสาะแสวงหาแล้ว

เพราะจะมีใครสักกี่คนที่กล้ายืนหยัดและยืนยันเพื่อ ความรักและความสุข อย่างนี้?

คริส การ์ดเนอร์ หนึ่งคน, ผู้หญิงในหนัง The Road Home หนึ่งคน, มาติลด์แห่ง A Very Long Engagement หนึ่งคน, รวมถึงเธอผู้เชื่อมั่นว่าความรักของเธออยู่ที่นิวยอร์กคนนั้นอีกหนึ่งคน


ในวันเวลาที่ชีวิตผ่านโลกมา 25 ปี เป็นครั้งแรกที่ฉันพบว่าตัวเองชอบคำว่า Happiness และ Love ที่มีคำว่า Pursuit วางอยู่ก่อนหน้า มากกว่าสองคำนั้นที่มีคำว่า is all around ตามหลังอยู่เป็นไหนๆ

ฉันว่าประโยคแรกทำให้หัวใจอิ่มเอมได้มากกว่า

ขณะที่ประโยคหลัง ดูงั้นๆ ...ไม่ช่วยให้เราอยากใฝ่ฝัน และไม่ทำให้หัวใจเต้น


เพราะมีแต่เพียงมนุษย์ที่ตายแล้วเท่านั้น

ที่จะหยุดใฝ่ฝัน และเลิกเต้นระบำ

หรือคุณว่าไง?





ปล.

หลังจากคุยกันเรื่องเกี่ยวกับนิวยอร์ก สามสาวที่ยืนหยัดและยืนยันว่าตัวเองเป็นสาวกซีรี่ย์ Sex and the City ได้ถกกันเรื่อง Destiny ฉันชอบบทสรุปของพวกเราที่ว่า Destiny มีผลกับชีวิตเราแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น หลังจากนั้นเราต้องทำเอง เพราะถ้ารักแท้ของติ๊กอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย แต่ติ๊กนั่งเล่นอยู่เฉยๆ ที่กรุงเทพฯ โดยวันๆ ไม่ทำอะไร ติ๊กจะได้เจอรักแท้ไหม?


อืม... เข้าท่าแฮะ


ว่าแต่ว่า พอจะทายกันได้ไหมว่ารักแท้ของฉันที่อยู่ที่แคลิฟอร์เนีย นี่เป็นใคร ใบ้ให้หน่อยนึงก็ได้ ว่าชื่อขึ้นต้นด้วย J นามสกุลขึ้นต้นด้วย G และเล่นบทเด่นในหนังที่ชื่อเกี่ยวกับภูเขา แต่มีเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ชายสองคนที่รักกัน ...ทายยากพอดูอยู่นะนี่ หุหุ



หมายเหตุ

*The Pursuit of Happyness : คำว่า Happyness ที่เป็นชื่อหนัง สะกดอย่างนี้จริงๆ ที่มาที่ไปมาจากการเขียนแบบผิดๆ ในบ้านรับเลี้ยงเด็กที่จัดการโดยพี่เลี้ยงคนจีน ซึ่งคิดว่า Happiness น่าจะสะกดแบบเดียวกับ Happy ฉันชอบที่หนังเลือกใช้คำนี้แทนค่าคำว่า Happiness ที่หมายถึงความสุข เพราะเมื่อเราสะกดมันแบบ Happyness มันดูเป็นความสุขที่เพี้ยนๆ แปลกๆ และเว้าแหว่งอยู่ในทีดี แต่ไม่ว่าจะเพี้ยน, แปลก, และขาดวิ่นแค่ไหน ความสุขก็ยังเป็นความสุข ... เหมือนกับที่ไม่ว่าคุณจะเลือกสะกดแบบไหน (ด้วย i หรือ y) ถ้าคุณมีความสุข ไม่ว่ามันจะสะกดแบบไหน มันก็คือความสุขเหมือนเดิม


**คนอเมริกันมักชื่นชมคนที่ต่อสู้ยิบตาจนประสบความสำเร็จด้วยตนเอง และมักจะยึดถือคนเหล่านั้นเป็นทั้งความหวังและฮีโร่ของสังคม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ คนอย่างโอปร่าห์ วินฟรีย์, สตีฟ จ๊อบส์, หรือตัวละครอย่างร็อกกี้ ในหนังเรื่อง Rocky (ส่วนเจค จิลเลนฮาล ที่บ้านพ่อแม่รวยอยู่แล้วนั้น ไม่ใช่นะจ๊ะ)


***The Declaration of Independence:


http://tiktokthailand.exteen.com/20070310/the-pursuit-of-happyness


The Pursuit of Happyness Trailer
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ ดอกโศก

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • *
  • กระทู้: 862
  • พลังกัลยาณมิตร 595
    • rklinnamhom
    • ดูรายละเอียด
ดูไปปาดน้ำตาไปเลยค่ะ เรื่องนี้

แม้ว่าหนังจะมีมุขตลกแทรกๆอยู่บ้างแต่ก็ยังซึ้งกินใจอยู่ดี

ประทับใจมากค่ะ ^^

ขอบคุณน้องมดเอ็กซ์ค่ะ  :13:

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



ชวนดูหนัง Pursuit of Happyness

Pursuit of happyness

ผมเป็นคนบ้าดูหนังมาแต่เล็กแต่น้อยครับ พอเริ่มใหญ่เริ่มโตความบ้าก็เพิ่มตามขนาด(ตัว)
แต่หน้าที่การงานที่รุมเร้าสารพัน (เหมือนโรคเลยวุ๊ย) ทำให้ดูได้แค่อาทิตย์ละเรื่องสองเรื่อง
แต่ก็กะว่าดูอะไรไปก็จะมาเล่าให้ฟังน่ะครับ เผื่อใครหลวมตัวอ่านและคิดอะไรแตกต่างยังไง
จะได้แลกเปลี่ยนความคิดกันไงครับ

เริ่มกันที่เรื่องนี้เลย Pursuit of happyness ครับ ผมเลือกดูถูกเวลาจริงๆ คือป่วยนอนอยู่
บ้านน่ะครับ ใจก็ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไรอยู่แล้วด้วย แต่พอได้ดูหนังเรื่องนี้แล้วผมกลับซู่ซ่า
ฮึกเหิมขึ้นมาอีกหน่อยเลยทีเดียวเชียว ที่ชอบๆมีหลายจุด อาทิเช่น

1. การใช้เวลาของพระเอก ในเรื่องต้องเลี้ยงลูกเล็กๆไปด้วยเพราะเมียทิ้ง ต้องขนขวาย
หากินบ้านช่องก็ไม่มีอยู่ แถมยังต้องไปฝึกงานที่บริษัทจัดการทางการเงินอีก ทุกอย่างในชีวิต
ต้องดำเนินด้วยความรีบเร่ง เขาจึงพยายามเรียนรู้ที่จะทำอะไรๆให้เสร็จโดยเร็ว และใช้เวลา
ที่มีน้อยนิดทุกหยดให้คุ้มค่าที่สุด ซึ่งผมเปรียบเทียบกับตัวเองแล้ว Waste time เรามันช่างเยอะ
เหลือเกิน ทั้งที่เงื่อนไขดีกว่าเค้าตั้งเยอะ รู้สึกตัวขึ้นมาทันทีว่าเรามันแย่จัง

2. 'อย่าให้ใครมาบอกว่าเราเป็นอะไรๆไม่ได้' ฉากนี้พระเอกสอนลูก กินใจดีมากครับ
ลูกชายวัย 5 ขวบบอกว่าโตขึ้นอยากเป็นนักบาส พระเอกเลยบอกว่าไม่มีทางอย่าฝันไปหน่อย
เลย ลูกก็เลยเสียใจ ทำให้พระเอกหวนคิดถึงตัวเองที่อยากจะเป็นนายหน้าค้าหุ้นทั้งๆที่ไม่ได้
จบมหา’ลัย คิดได้ก็เลยบอกลูกใหม่เหมือนที่ว่าข้างต้น ถูกต้องแล้วครับ เราเป็นอะไรก็ได้ที่เรา
อยากเป็น แค่เราพยายามให้เต็มที่และมั่นคงในความคิดเท่านั้น อย่าให้คนอื่นมาตัดสิน
ผมเล่าก็ไม่ซึ้งใช่มั๊ยครับ ต้องดูเอง ต้องดู

3. Happiness ของเรามันอยู่ตรงใหนครับ? ในเรื่องพระเอกพยายามเหลือเกินที่จะไล่ล่า
ความสุข ซึ่งสุดท้ายเขาก็ประสบความสำเร็จ ผมอินไปกับเค้าจริงๆครับเพราะหนังปูให้เห็นถึงความ
ลำบากนานับปการของพระเอกกว่าที่จะประสบความสำเร็จจนได้ แล้วนี่ถ้าเป็นความสำเร็จของ
เราเองเราจะมีความสุขขนาดใหน ทุกๆคนมีสิทธ์ที่จะมีความสุข มีสิทธ์ที่จะไล่ล่า นี่หนังว่ายังงั้น
นะครับ อืม..จริงๆ ใช่แล้ว ต้องเริ่มไล่ล่าความสุขกันมั่งละเรา

สุดท้ายก็นานาจิตตังนะครับ บางท่านบอกว่านี่มันความสุขแบบทุนนิยมนี่หว่า เรามาพอเพียงกันเถิด
ก็จริงครับ แต่ความหมายที่แท้ของคำว่าพอเพียงที่ในหลวงท่านต้องการให้เราคำนึงถึง น่าจะ
หมายถึงให้เราใช้ศักยภาพของตัวเองให้เต็มที่ก่อน แล้วจึงพอใจในสิ่งที่เราได้ทำเต็มที่แล้วนั้น
ซึ่งความสุขที่ได้ของแต่ละคนก็คงมีขนาดไม่เท่ากัน ดังนั้นคนที่ขี่ Benz S class ก็อาจจะบอกว่า
เขาก็ใช้ชีวิตพอเพียงเช่นเดียวกับชาวไร่ชาวนาเหมือนกัน ก็แค่อย่าเป็นทุกข์เพราะความอยากมี
เท่านั้นละครับ เพื่อนๆยังขาดความสุขส่วนใหนกันบ้างใหมครับ? ถ้ายังขาดอยู่
เรามา Pursuit of happiness กันเถอะครับ อ้อ…ชื่อหนังเค้าจงใจสะกดผิดนะครับ
ที่เขียนว่า Happyness น่ะ

แนะนำเลยนะครับ ใครชอบหนังสร้างแรงบันดาลใจแบบนี้ ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง


http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=alwayhere&month=05-2007&date=14&group=5&gblog=1


The Pursuit of Happyness Soundtrack (Opening)

" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
เรื่องจริงที่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ของวีรบุรุษนักขายฝีมือดีที่สุด ที่กลายเป็นตำนานของอเมริกา ตีแผ่หนทางพิชิตความจนของ เซลล์แมนฝีมือเลิศ คริส การ์ดเนอร์ (รับบทโดย วิล สมิธ) ที่ครั้งหนึ่งต้องแบกภาระเป็นหางเสือ นำทางให้ครอบครัวพ้นจากภาวะยากจน แต่เพราะพิษเศรษฐกิจรุมเร้าเกินเยียวยา ลินดา (เทนดี้ นิวตัน) ภรรยาของคริสจึงทิ้งเขา และลูกชายวัย 5 ขวบ คริสโตเฟอร์ (จาเดน คริสโตเฟอร์ ไซร์ สมิธ) ให้เผชิญกับภาวะเศรษฐกิจติดลบเพียงลำพัง

คริสกลายเป็นคุณพ่อหม้ายลูกติด ที่ต้องกัดฟันสู้กับความจนอย่างรุนแรง บ่อยครั้งที่เขาต้องกระเตงลูกชายตัวน้อย ออกเร่ร่อนเหมือนคนจรจัด กับเงินติดกระเป๋าเพียง 1 ดอลลาร์ แต่เพราะใจสู้ บวกกับความฉลาด เขาสู้ยิบตาเพื่อหางานที่ให้ค่าจ้างสูงขึ้น เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของลูกชายสุดที่รัก ..หลังจากรับรู้รสชาติของความจนถึงขีดสุด วันหนึ่ง หนทางสู่ความสุขของ 2 พ่อลูกก็ปรากฏขึ้น.. เมื่อคริสเดินผ่านหน้าบริษัทการเงินยักษ์ใหญ่ เขาสังเกตเห็นว่า ทำไมคนที่นี่ถึงมีรอยยิ้มที่มีความสุข ในขณะที่เขาทุกยากแสนสาหัส คริสเกิดไอเดียใหม่ "..เขาควรทำงานเกี่ยวกับการเงิน" คริสจึงมุ่งมั่นสู่การเป็น “โบรคเกอร์” ในบริษัทโบรกเกอร์อันทรงเกียรติแห่งหนึ่ง เขาใช้มันสมอง มาพลิกแพลงเป็นกลเม็ดการขายได้อย่างน่าทึ่ง และด้วยพลังแห่งความรักที่มีต่อลูก กลายเป็นแรงฮึดมหาศาล ที่นำพาคริสไปสู่การเป็นสุดยอดเซลแมน ที่ประสบความสำเร็จที่สุดคนหนึ่ง ในประวัติศาสตร์อเมริกา...




โคลัมเบีย พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอ ผลงานภาพยนตร์คุณภาพเรื่องยิ่งใหญ่แห่งปี 2550 ตัวเต็งเวทีออสการ์ กับการพลิกบทบาทครั้งสำคัญของพระเอก วิล สมิธ ใน The Pursuit of Happyness กำกับโดย กาเบรียล มัคซิโน่ (The Last Kiss และ Remember Me, My Love) เขียนบทโดย สตีเว่น คอนราด (Wrestling Ernest Hemingway, The Weather Man, Chad Schmidt) อำนวยการสร้างโดย ท๊อด แบล็ค และ วิล สมิธ

The Pursuit of Happyness นำแสดงโดย วิล สมิธ (Hitch, Independence Day, Men in Black, Bad Boys, I, Robot, Ali, Enemy of the State) และ จาเดน คริสโตเฟอร์ ไซร์ สมิธ ลูกชายในชีวิตจริงของเขา พร้อมด้วย เทนดี้ นิวตัน (Crash, Beloved, The Truth About Charlie, Mission Impossible 2, Interview With a Vampire, Jefferson In Paris)

The Pursuit of Happyness กำกับภาพโดย ฟีดอน ปาปาไมเคิล, ASC. (Identity, Moonlight Mile, Patch Adams, Mouse Hunt, Million Dollar Hotel, Phenomenon, While You Were Sleeping, Walk the Line, Sideways) ออกแบบงานสร้างโดย เจ ไมเคิล ริว่า (The Color Purple, Charlie’s Angels, Evolution, Dave, Six Days Seven Nights, Congo, Lethal Weapon, Bad Boys, Spider-Man 3) ลำดับภาพโดย ฮิวจ์ส วินบอร์น (Crash, Sling Blade) ออกแบบเครื่องแต่งกายโดย ชาเรน เดวิส (Dreamgirls, Antwone Fisher, Ray, Nutty Professor II: The Klumps, High Crimes, Rush Hour, Dr. Dolittle) ประพันธ์ดนตรีประกอบโดย แอนเดรีย กูเออร์ร่า (Hotel Rwanda)




http://atmoomoo.multiply.com/reviews/item/42
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



ชีวิตคนเรามีทั้งพบกับความสุขและความทุกข์ในเวลาที่แตกต่างกัน คนเราเมื่อโตขึ้นมาก็ต้องหางานทำ แต่เมื่อช่วงเวลาที่คนต้องหางานทำ ช่วงนั้นคนเรามักจะพบว่ารสชาติมีรูปแบบจริงๆ คุณจะพบความรัก คุณจะพบความสุข คุณจะพบความหวัง ขณะเดียวกัน คุณเองจะต้องท้อแท้ สิ้นหวัง และจนตรอก จนหมดทางสู้ แต่ชีวิตเราจะมาหยุดง่ายๆเพราะเรื่องแบบนี้เหรอ ถ้าคุณคิดอย่างงั้นล่ะก็ คนแบบ Chris Gardner จะให้คุณได้รู้ว่า ถึงแม้คุณสิ้นหวังชีวิตและเบื่อหน่ายที่จะต่อสู้แล้ว คุณยังสานต่อชีวิตและหาทางสู้ชีวิตได้อีก

ในยุค 80's แน่นอนช่วงนั้นเป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำมากๆ และคนในยุคนั้น ถ้าไม่รวยหรือมีฐานะดี ก็จนไปเลย แน่นอนช่วงนั้นคนตกงานก็ค่อนข้างจะเยอะ และก็ต้องดิ้นรนทุรนทุรายเพื่อที่จะได้งานดีๆให้ได้ ซึ่งในยุคนั้นชายที่กำลังจะสิ้นหวังในชีวิตอย่าง Chris Gardner ได้พยายามถึงที่สุดแล้ว ที่พยายามจะทำให้ครอบครัวเขามีความสุขให้ได้ แต่ในตอนที่เขาเริ่มสร้างครอบครัวใหม่ๆ กับตอนที่เขาเป็นเซลล์แมนไปเรื่อยๆ ชีวิตมันต่างกันยังกะฟ้าและเหว ในช่วงแรกๆ มันก็คงแน่นอนที่กำลังจะตั้งชีวิตให้มันดีได้ แต่มันก็คงต้องใช้เวลาหน่อย เพราะในระยะหลังๆ Chris ขายของได้ไม่ดีเท่าไหร่ ทำให้เริ่มที่จะหมดที่จะขายเต็มที ยิ่งภรรยาเขาที่แรกๆน่ารักอยู่พอควร แต่เมื่อ Chris เริ่มไม่มีใครซื้อของเขา ภรรยาสุดที่รักและน่ารัก ก็รู้สึกเอียนกับข้ออ้างเขาอยู่พอควร ทำให้รู้สึกว่า ชีวิตยังไม่พบความสุขอย่างที่ตัวเองอย่างที่ตัวเองหวัง ยิ่งตัวเขามีลูกชายสุดที่รักเขาก็ต้องพยายามให้ได้เพื่อให้ชีวิตเขาได้พบกับความสุขที่แท้จริง แต่ตอนนี้ภรรยาเขาไม่สามารถทนเขาได้แล้ว จึงต้องการที่จะหนีไปจาก Chris และพาลูกไปด้วย แต่เขาเองก็รู้ว่ายังไงก็ต้องมาถึงวันนี้ จึงบอกให้ภรรยาเขาไปได้ แต่อย่ามาพรากลูกชายเขาไปจากเขา

ในช่วงเวลาที่ Chris หมดหวัง เขาเองก็ได้เห็นชายคนนึงฐานะก็ไม่ได้รวยอะไรมาก แต่ได้ของที่เขาเองไม่คิดว่าจะมีได้ เขาก็เลยรู้สึกตลึงกับชายคนนี้ จึงขอถามชายคนนี้ประมาณว่า ทำอาชีพอะไรทำไมถึงซื้อของแบบนี้ได้ ชายคนนั้นก็ตอบประมาณว่า เขาทำงานเป็น “โบรคเกอร์” ให้กับบริษัทค้าหุ้นที่ Chris เดินผ่านๆอยู่บ่อยๆ นั่นจึงเป็นการเปลี่ยนความคิดที่อยากจะลองวิถีชีวิตแบบใหม่ที่จะทำให้เขาและลูกชายได้พบกับความสุขที่แท้จริงซะที ถึงแม้ว่าเขาจะต้องขายของที่ยังเหลืออยู่หมดก็ตาม แต่ชีวิตของเขาพยายามจะเปลี่ยนให้มันดีขึ้นให้ได้

หนังเปิดเรื่องดีมากๆครับ ให้เห็นสภาวะแวดล้อมในสังคมยุคนั้น ตัดกับคนยากไร้ในสมัยนั้นได้อย่างดี เมื่อสถานการณ์ ยังไม่มีอะไรดีขึ้น เราก็คงยังเห็นคนยากไร้ที่ยังขอทานแถวถนนนั้นอยู่เสมอไป เมื่อในได้เล่าถึงชีวิตของ Chris Gardner เขาเองเป็นผู้ชายที่ขอสู้ชีวิตไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าฐานะเขาจะไม่ใช่คนธรรมดา หรือคนร่ำรวยก็ตาม แต่เขาเองพยายามจะอดทนเพื่อให้ได้พบกับความหวังใหม่ ที่จะทำให้เขาและลูกชายได้พบกับความสุขที่แท้จริง

เมื่อการที่ Chris ได้เข้ามาสอบเพื่อจะได้งานนักค้าหุ้นนี้ เขาก็ต้องมุ่งมั่นพยายามที่จะตั้งใจเพื่อให้ได้งานนี้ เพื่อที่เขาเองจะไม่ต้องขายของที่เหลือไปอีกนาน แต่ในเมื่อเขาเองยังอยู่ในช่วงที่ต้องสอบตัวเขาก็ต้องขายของไปเรื่อยๆ เมื่อชีวิตถึงทางตันเพราะมีเงินไม่กี่เหรียญในกระเป๋า เขาจึงต้องโดนไล่ออกจากที่พักเขา ย้ายไปอยู่อีกที่ที่ถูกกว่าที่เก่า แต่เมื่อเขาอยู่ไปก็ยาวนานเพราะปัญหาก็มาจากพวกเก็บภาษีที่ตามจองล้างจองขวาญอย่างเวรกรรม ทำให้เขาเองไม่มีทางเลือก เมื่อไม่มีที่ไหนรับเขาและลูกชายพักอยู่อาศัย เขาก็ต้องหาทางออกไม่ว่าจะต้องไปนอนในห้องน้ำ ที่ต้องแกล้งให้ลูกชายว่าห้องน้ำคือถ้ำที่จะเข้าไปหลบไดโนเสาร์ หรือบางทีก็ต้องไปนอนอยู่ในรถไฟฟ้ที่แล่นอยู่ตลอดทั้งคืน แต่เขาก็หาทางออกที่จะยอมนอนอยู่ในบ้านคนยากไร้ ที่ใครไปก่อนก็ได้ก่อน ซึ่งเป็นที่แห่งเดียวที่เขาและลูกชายเขาจะพักอยู่อาศัยได้

แต่ว่าตัวเขาก็เอาชนะใจ นักบริหารในบริษัทที่เขาสมัครงานอยู่พอสมควร เพราะว่า Chris ได้แสดงให้พวกเขาเห็นว่า Chris ฉลากมากมายเพียงใดกับการไขลูกบิก (ซึ่งในช่วงนั้นลูกบิกยังเป็นของที่ยังใหม่อยู่ และก็หลายๆคนชอบบ่นว่ามันเป็นของเล่นที่เล่นได้ยาก) แต่ด้วยการมานะและรอบรู้ของ Chris ทำให้นักบริหารคนนั้นก็ถึงกับอึ้งไปเลยว่า เขาทำได้จริงๆ

ผมเองก็ไม่เคยได้อ่านหนังสือเรื่อง The Pursuit of Happyness ที่ Chris Gardner ได้เขียนเองเลย แต่เมื่อได้อ่านประวัติของชายคนนี้ และได้มาดูชีวิตในช่วงนั้นของเขาในหนังเรื่อง ก็ทำให้ผมเห็นว่าชีวิตเรามันมี Painful (ความขมขื่น) และ Happyness (ความสุข) อย่างเห็นได้ชัดจริงๆ ผมว่าตัวหนังค่อนข้างดีที่หนังไม่โชว์ในช่วงเวลาที่ Chris Gardner อยู่ในช่วงประสบความสำเร็จ หรือช่วงเวลาที่ Chris นั้นรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจัดๆกับสิ่งภาวะพิษร้ายที่เขาเจอมา แต่หนังกลับโชว์ Chris ในส่วนที่เขาสิ้นหวัง มานะพยายามเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายที่เขาหวังไว้ และความหวังที่เขาจะหลับมาเป็นคนธรรมดาอีกครั้ง ซึ่งหนังที่เกี่ยวกับคนสู้ชีวิตส่วนใหญ่ ก็จะขอนำเสนอเรื่องของการสู้ชีวิตจนจบลงด้วยความความสำเร็จของบุคคลคนนั้น เช่น Cinderella Man เป็นต้น แต่เรื่องนี้ หนังขอไม่พูดถึงจุดนั้น แต่หนังเลือกที่จะจบลงความมานะที่มุ่งแต่จะพยายามให้ได้ ท้ายที่สุดก็ได้พบความหวังและโอกาสใหม่ ที่จะทำให้เราได้กลับมามีความสุขและมีชีวิตที่ดีอีกครั้งนึง

หากเปรียบชีวิตของ Chris ตอนในยุคที่เขาตกต่ำ กับในยุคปัจจุบันนี้ จะเห็นได้ว่าแตกต่างกันเป็นคนละคนไปเลย เพราะว่า เขารู้ที่จะพัฒนาตนเอง เขารู้ว่าเขาต้องะเยอทะยานในสิ่งไหน และเขารู้ว่าถ้าเขาหมดไฟก็อย่ายอมเป็นอันขาด หากดูลำดับชีวิตของ Chris พยายามจะก้าวไป ก็จะพบว่า เขาสู้ชีวิตจนได้โอกาสใหม่ที่ทำให้ปัจจุบันในตัวเขา กลายเป็นบุคคลในสัมคมอีกคน ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา

ฉนั้นด้วยหนังหรือหนังสือเรื่อง "The Pursuit of Happyness" ที่เป็นเรื่องราวชีวิตของ Chris Gardner ก็ไม่ต่างกับหนังสือสอนชีวิตเหมือนหนังสือเรื่อง "Rich Kid Smart Kid" ที่สอนให้คนเราเริ่มจากการที่อดออมตั้งแต่วัยเด็กแล้วก็ทำไปเรื่อยๆจนวันนึงชีวิตก็จะพบกับความสุขที่แม้จริง ซึ่งมันก็เป็นหนังสือสอนชีวิตคนที่ดีอีกเล่มนึงที่ควรอ่าน ใน The Pursuit of Happyness ก็ไม่ได้บอกเรื่องราวให้ทำอะไรแบบนั้น แต่มันสอนชีวิตว่า ถ้าถึงในช่วงที่เราจนตรอกแบบสุดขีดแล้วก็อย่าหมดหวัง เราต้องหาทางเอาตัวเองและคนที่เรารักให้รอดสภาวะที่เราเจอให้ได้ แล้วต้องทำใจกับมัน พร้อมกับมุ่งสู้เพื่อโอกาสของตัวเราเอง เมื่อถึงแสงสว่างนั้น เราก็ลุยไปกับมันจนพบกับความสุขที่แท้จริง ที่เราใฝ่ฝันมาตลอด

ผมคิดว่าไม่ใช่แค่คนตกงาน คนที่สิ้นหวัง หมดหวัง หรือพวกที่ยังทำงานควรดูหนังเรื่องนี้เท่านั้น แต่ผมคิดว่า คน 2 กลุ่มนี้ ก็ควรจะมาดูหนังเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน นั่นคือ คนที่แพ้ในความรัก (อกหัก) และคนที่มหา'ลัยไหนยังไม่รับ (เอนต์ไม่ติด) เพราะผมคิดว่าชีวิตของ Chris Gardner มันมีความทุกข์ใจมากกว่าคน 2 กลุ่มนี้เยอะ แล้วทำไมเราจะมาอมทุกข์เราแบบนี้ไปนานๆล่ะ เราควรจะมีแรงใจเพื่อสู้ชีวิตและพบกับความสุขของเรา ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม เราก็จะพบกับสิ่งที่ค่าที่สุดในชีวิตเรา จากการที่เราได้พบกับความสุขแล้ว

ซึ่งผมก็คิดว่า คุณไม่ต้องอายถ้าคุณจะร้องไห้กับหนังเรื่องนี้ เพราะว่าถ้าคุณเคยพบอาการสิ้นหวังแบบไหนก็ตาม คุณจะรู้สึกอินกับหนังเรื่องนี้ไปตามๆกับตัวละคร Chris Gardner เลยทันที ที่จริงมันเป็นเรื่องที่ดีหากคุณจะร้องไห้ให้กับหนังเรื่องนี้จริงๆ

นี่เป็นหนังเรื่องแรกที่ Will Smith พยายามไม่แสดงออกในแนวทางที่ออกไปแบบกวนๆ หรือชวนให้ขำๆ เหมือนกับหนังเรื่องก่อนๆของเขา แต่นี่เป็นหนังที่แสดงความเป็นนักแสดงของ Will Smith ทันทีเลยว่า เขาสามารถที่จะแสดงออกด้วยความหนักแน่นมากพอกับดาราคุณภาพทั่วไป จนเขาอาจเป็นอีกหนึ่งนักแสดงที่สมควรได้เรียกว่าเป็น นักแสดงคุณภาพจริงๆ ผมไม่คาดคิดว่า Will Smith จะแสดงอารมณ์แบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนในหนังเขา ผมก็ได้แต่เคยเห็น Will Smith จะต้องออกแนวระห่ำแบบ Ali เกินไป ถึงจะเป็นการแสดงที่มีระดับ แต่มาพบบท Chris Gardner มันกลับมีอารมณ์บางอย่างที่เราไม่เคยเห็นในหนังของเขาแม้แต่นิดเดียว นั่นคือ ความทะเยอทะยาน,ความพยายาม และการเอาจริง ทั้งการแสดงและในบทที่เขาเล่น แสดงไฟตัวนี้ออกมาชัดๆในบท Chris Gardner ที่สามารถทำให้เรารู้สึกสงสาร และน้ำตาล้น เพื่อเทใจให้กับตัวละครของเขาจริงๆ ผมไม่รู้ว่าถ้าผมได้อ่านหนังสือของ Chris Gardner จริงๆ ผมจะน้ำตาล้นไปกับหนังเรื่องนี้มั๊ย แต่ Will Smith ในหนังเรื่องนี้ เสร็จผมตั้งแต่ตัวอย่างหนังแล้วล่ะครับ!

ฉนั้นผมไม่ว่าหรอกที่ Will Smith ไม่ได้ Oscar จากเรื่องนี้ (เพราะ Forrest Withanker และ Ryan Gosling ออกแนวสดมากๆ) แต่ผมอยากบอกว่าถ้าไม่มี 2 คนนั้นจริงๆ ผมว่า Smith คงเสร็จ Oscar ไปกับหนังเรื่องนี้แน่ๆ และอยากจะบอกกับคนที่ชอบพูดว่า Will Smith เป็นนักแสดงที่ไร้สาระมากๆ อยากบอกคนเหล่านั้นมากๆว่า ถ้าได้ดูเรื่องนี้ จะเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับ Smith ใหม่หมดจดไปเลย

หวานมันส์ ที่มีรสชาติ 
- Will Smith อย่างที่กล่าวไว้
- ผกก. Gabriele Muccino ที่ทำให้ผมหลงรักกับผลงานของเขาเรื่อง The Last Kiss มาแล้ว มาคราวนี้เป็นการประกาศตัวเองว่ามาทำหนัง Hollywood ก็ไม่เลวเหมือนกัน
- บทหนังโดย Steve Conrad ที่ทำขึ้นมาเพื่อให้กำลังคนจริงๆ
- Jaden Smith ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ Will Smith ทั้งในเรื่องและนอกจอ ที่แสดงได้เป็นธรรมชาติได้ดีมาก และก็น่าจับตามองเป็นพิเศษ (แบบเดียวกับน้องหนู Abigail Blesing)
- Voice Over ของเรื่องให้ประโยชน์กับหนังมากๆ
- ตั้งแต่ฉากถ้ำไดโนเสาร์ (ที่หลอกลูกชายให้ไปนอนในห้องน้ำ) จนถึงฉากที่บ้านยากไร้เต็ม แถมเพลงประกอบในฉากนั้นที่ออกไปทางเห็นใจ จนถึงตอนที่ทางพวกผู้ใหญ่เสนองานโบร๊กเกอร์ให้ แล้วเขาออกไปปรบมือข้างนอกพร้อมพรากน้ำตา แล้วก็รีบไปกอดลูกชายเขาจนน้ำตาล้น เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ผมน้ำตาล้นแบบพูดไม่ออกจริงๆ โดยเฉพาะตอนที่เขาออกไปปรบมือข้างนอกเนี๊ย นั่นเป็นช่วงเวลาที่ผมเองก็ห้ามใจตัวเองไม่อยู่จริง เพราะเกินคำบรรยายจริงๆ ยิ่งช่วงหลังจากนั้นที่เขาไปกอดลูกชายเขาไม่ต้องพูดถึงเลย (อย่าว่าแต่ผมเลย แฟนผมก็น้ำตานองตั้งแต่เมียหนีเขาไปแล้วล่ะครับ )
- ดนตรีประกอบโดย Andrea Guerra เพราะดี และเป็นแนว Friendly ดี (ยิ่งช่วงท้ายๆเรื่องดนตรีเป็นส่วนให้อารมณ์กับคนดูอย่างแท้จริง)
- บทบรรยายโทยโดย จิรนันท์ พิตรปรีชา ไม่ได้เห็นนักแปลคนนี้ แปลหนังมานานมากๆแล้ว ตั้งแต่ Perhaps Love และก็ Memoir of A Geisha ก็หายไปเลย ชอบมากๆครับ ผมว่าเธอแปลเรื่องนี้ได้ลงตัวมากๆ บางครั้งฉากที่ Chris คุยกับลูก แทนที่จะแปลสรรพนามเรียกลูกที่ควรจะเรียกว่า "ลูก" แปลไปอีกสรรพนามนึงที่เรียกว่า "นาย" แทน ผมคิดว่าเธอเข้าใจความหมาย Chris พยายามจะบอกกับลูกจริงๆ

สรุปแล้ว: เราอาจจะเคยได้เห็น Will Smith ในแนว Drama กวนๆ ระห่ำเกินเหตุ (Ali) เราอาจจะเคยเห็นเขาหวานๆน่ารัก (Hitch) เราอาจจะเคยเห็นเขาบู๊ระห่ำหยาบคายไปพอควร (Bad Boy, I'Robot) หรือเราอาจเคยเห็นเขาบ้าๆบอๆในแบบหนัง Animation (Shark Tale) แต่ครั้งนี้คงเป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นเขา ขำไม่ออกเลยแม้แต่นิด และโชว์ความเป็นนักแสดงคุณภาพอย่างแท้จริง จนสามารถเรียกน้ำตาจากคนดูได้อย่างบอกไม่ถูกจริงๆ ฉนั้นถึงเขาจะไม่ได้ Oscar จากเรื่องนี้ แต่นี่คือหนังที่โชว์ความสามารถจากตัวเขาอย่างแท้จริง และสามารถทะลุกำแพงของตัวเองที่กั้นอยู่ไว้ได้อย่างไม่น่าสงสัย ฉนั้น The Pursuit of Happyness เป็นการเปิดแนวทางการแสดงของเขาให้ก้าวไกลมากกว่าเดิม จนวันนึงเขาคงจะรับการนับถือในที่สุด คงให้เรื่อง 10/10 อีกแหละ เป็นอีกเรื่องนึงแล้วที่ให้คะแนนนี้ต่อจาก Blood Diamond/ Children of Men/ Babel/ Pan's Labyrinth และก็มาเรื่องนี้ รอเรื่อง 300 ไม่ไหวจริงๆ ว่าผมจะให้คะแนนเท่าไหร่???

http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2007/03/A5202866/A5202866.html
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



ความสุขของใครบางคนอาจได้แก่การเป็นเจ้าของบ้านหลังใหญ่และรถคันโต บางคนอาจหมายถึงการมีอาชีพที่มั่นคงและมีหน้ามีตา ในขณะที่บางคนปรารถนาเพียงการได้อยู่กับคนที่ตนรัก

ซึ่งเข้าใจกันว่าบางสิ่ง (ทรัพย์สิน,ชื่อเสียง) ถือเป็นสุขไม่จีรัง ในขณะที่บางอย่าง (ความรัก) นับเป็นสุขที่ยั่งยืน
ฉะนั้น ถ้าเลือกได้เพียงหนึ่ง หลายคนคงอยากเลือกสุขอย่างหลังไว้ก่อน เพราะว่ากันว่ามันเป็นพาหนะที่นำใครต่อใครไปสู่สุขอื่นๆมานักต่อนักแล้ว

"คริส การ์ดเนอร์" เซลล์แมนผู้ยากไร้ในอดีต และมหาเศรษฐีในปัจจุบัน ได้พิสูจน์คำพูดนี้มาแล้ว โดยเราจะได้ติดตามเรื่องราวของเขาผ่านภาพยนตร์เรื่อง "The Pursuit of Happyness" ที่ดัดแปลงมาจากชีวิตจริงของชายผู้นี้


หนังเล่าถึงชีวิตของ "คริส" (วิล สมิธ) เมื่อครั้งตกยาก โดยเขามีลูกเมียที่ต้องเลี้ยงดู ทว่างานที่ทำอยู่ก็หาความมั่นคงใดๆ ในชีวิตไม่ได้เลย (คริสเป็นเซลส์ขายเครื่องสแกนกระดูกที่ใช้กันตามโรงพยาบาล ซึ่งเราว่ามันน่าจะขายยากยิ่งกว่าเครื่องกรองน้ำหรือประกันชีวิตเสียอีก) จะให้ไปทำงานที่รายได้ดีกว่านี้ วุฒิการศึกษาของเขาก็ดันมาเป็นอุปสรรคเสียนี่

ซ้ำร้าย ในเวลาต่อมา เมียของเขายังขอแยกทางเพราะทนแบกรับความขัดสนไม่ไหว แถมเขายังถูกไล่ออกจากที่พำนัก เพราะค้างค่าเช่ามาหลายเดือนด้วย


แต่โลกก็ไม่ได้ใจร้ายกับชายผู้นี้จนเกินไปนัก เพราะเขายังเหลือหนูน้อย "คริสโตเฟอร์" (จาเดน คริสโตเฟอร์ ไซร์ สมิธ) ลูกชายอันเป็นที่รักไว้เป็นแรงใจสำคัญแก่ชีวิต

เพราะฉะนั้นแม้จะต้องอยู่อย่างคนเร่ร่อน และต้องเผชิญโชคร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า คริสก็ยังมีแรงฮึดให้สู้ต่อไปได้ ยิ่งตัวเขาเองมีความขยันบากบั่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็กลายเป็นสองตัวแปรสำคัญที่พลิกชีวิตเขาจากที่เคย"ยากไร้"ให้กลายเป็น"มีพร้อม"ในที่สุด


เนื้อหาและกลวิธีเล่าเรื่องของ "The Pursuit of Happyness" อาจไม่ใหม่มาก โดยเฉพาะฉากในสถานีรถไฟที่คริสใช้จินตนาการเพื่อปลอบลูกว่าพวกเขาไม่ได้ไร้ที่อยู่ หากแต่กำลังหลบสัตว์ประหลาดอยู่ต่างหาก อันเป็นฉากที่ดูบางมุมก็เก๋ไก๋ดี แต่ดูอีกที วิธีนี้มันคล้ายๆ กับการที่พ่อในหนังเรื่อง "Life is Beautiful" ใช้หลอกและปลอบลูกชายว่าพ่อไม่ได้กำลังจะถูกทหารฆ่าเลยล่ะ

แต่ถึงจะซ้ำรอยกันแบบตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่เราก็เชื่อว่าหนังประเภทนี้ยังดีงามในแง่ที่มันสามารถให้กำลังใจและสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ชมได้เสมอ เราเองก็เช่นกัน ประโยคเด็ดของหนังเรื่องนี้ที่เราชอบมากก็คือ

"อย่าให้ใครมาบอกว่าเราทำอะไรไม่ได้"

"เพราะถึงคนที่มาพูดกับเราอย่างนี้จะเชื่อว่าตัวเขาเองทำมันไม่ได้แน่ๆ"

"แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำไม่ได้ตามไปด้วยเสียเมื่อไหร่"


http://www.artsmen.net/content/show.php?Category=movieboard&No=5285
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
 :45: ขอบคุณครับพี่มด ชีวิตอเมริกันชนที่ไม่ทิ้งความหวัง
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~