การถ่ายทอดธรรมทางจิต เป็นการถ่ายทอดธรรมขั้นสูงสุดที่มนุษย์บนโลกเคยสัมผัสมา กระบวนการส่งจิตประทับจิตนี้มีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลแล้ว ดังเช่นการประทับจิตรับธรรมของท่านมหากัสสปะ ตลอดจนการสืบทอดบาตรและจีวรของพระพุทธองค์อย่างลับๆ แก่สาวกผู้สืบทอดพระธรรม เพื่อเผยแผ่พระศาสนาจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่งสืบต่อมาจนถึงยุคปัจจุบัน
การถ่ายทอดธรรมทางจิต (หรือการประทับจิต) น่าจะมีมานานก่อนพุทธกาล ทั้งนี้เนื่องจากมนุษย์ หรือสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนดาวดวงอื่นในมหาจักรวาลธาตุเดียวกับเรานั้น ก็มีความสามารถในการถ่ายทอดทางจิตด้วยกระบวนการทางจิตดังกล่าวนี้มานานแล้ว
บรรดาฤๅษีที่มีความสามารถในฌานสมาบัติ ก็มีความสามารถในการถ่ายทอดธรรมทางจิตได้เช่นกัน เพียงแต่ภูมิปัญญาแห่งธรรมของฤๅษีนั้นยังเป็นโลกียภูมิ อันเป็นภูมิความรู้ของโลกและมหาจักรวาล ที่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้อยู่อีก มิใช่โลกุตรภูมิอันเป็นธรรมขั้นหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร
สิ่งมีชีวิตในดาวดวงอื่นก็ไม่แตกต่างไปจากบรรดาฤๅษี ที่แม้จะมีความสามารถในการถ่ายทอดข้อมูลทางจิตแบบการประทับจิต แต่กลับไม่มีข้อมูลของธรรมขั้นหลุดพ้น หรือโลกุตรธรรมที่จะถ่ายทอดให้เกิดปัญญาการหลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้ออกไปได้ มีแต่เพียงข้อมูลอันเป็นโลกียธรรมของวิทยาการบนโลกวัตถุเท่านั้น จึงดูราวกับว่าการประทับจิต หรือกระบวนการถ่ายทอดทางจิตสามารถถ่ายทอดภูมิความรู้ได้ในระดับโลกียธรรมเท่านั้น แต่ไม่อาจถ่ายทอดธรรมขั้นหลุดพ้นหรือโลกุตรธรรมได้
การประทับจิตถ่ายทอดธรรมเป็นสิ่งที่ไม่อาจทำกันเองได้โดยง่าย อีกทั้งผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดธรรมแล้วก็ไม่อาจถ่ายทอดธรรมนั้นให้กับบุคคลอื่นได้โดยง่าย ต้องมีหลักการและกฎเกณฑ์ในการถ่ายทอดและรับธรรม อันเป็นความลับที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล การถ่ายทอดธรรมขั้นหลุดพ้นจึงเป็นความลับระหว่างครูบาอาจารย์กับศิษย์ที่ตนได้เลือกแล้วว่า เหมาะสมที่จะได้รับการถ่ายทอดธรรมให้
ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนธรรมโดยใช้วิธีการเทศนาธรรมอันเป็นอัศจรรย์ ซึ่งคำเทศนานั้นสามารถเข้าถึงจิตของผู้ฟังธรรมให้บังเกิดเป็นภูมิธรรมปรากฏขึ้นภายในจิตได้ เป็นการส่งธรรมผ่านการฟังธรรมในขณะที่จิตว่างและพร้อมที่จะรับธรรมนั้นแล้ว เปรียบเสมือนกับน้ำที่เกือบจะเต็มแก้วอยู่แล้ว พอได้น้ำอีกเพียงหนึ่งหยดเท่านั้นน้ำก็จะเต็มแก้วพอดี ดังนั้นเมื่อได้ฟังธรรมอันเป็นธรรมขั้นสูง จิตดวงนั้นก็จะเต็มและถึงซึ่งภูมิปัญญาแห่งความรู้แจ้งเห็นจริง หลุดพ้นจากอวิชชาและการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้อีกต่อไป
การเตรียมความพร้อมให้เกิดขึ้นกับตัวเราจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ หมั่นสะสมบุญบารมีประกอบกับการปฏิบัติทั้งทางกาย วาจา และจิต มนุษย์ผู้ถึงซึ่งความพร้อมนั้นแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านจะเป็นผู้เลือกเองว่าจะถ่ายทอดธรรมให้กับเราในรูปแบบใด อย่างเช่นครูบาอาจารย์ที่มีพลังจิตน้อย ก็จะใช้การสอนอบรมจิต แนะนำทางเดินจิตให้เกิดการพิจารณาไตร่ตรองธรรมไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดปัญญาธรรมด้วยการไตร่ตรองพิจารณาขึ้นมาเอง อันเป็นการรู้แจ้งในธรรมด้วยการปฏิบัติวิปัสสนา ค้นคิดพิจารณาธรรมในภาวะสมาธิจิต แต่หากเป็นครูบาอาจารย์ที่มีพลังจิตก็อาจจะใช้การถ่ายทอดธรรมในรูปแบบอื่นได้อีก เช่น การเทศนาธรรมอันเป็นอัศจรรย์ คือการเทศนาธรรมในสิ่งที่ผู้ฟังธรรมท่านนั้นยังขาดไป และเมื่อบุคคลผู้นั้นได้ฟังการเทศนาธรรมตรงกับสิ่งที่ตนขาดไป จึงสามารถทำลายอวิชชาตัวสุดท้ายของดวงจิตลงได้ เป็นผลให้บุคคลผู้นั้นสามารถบรรลุธรรมได้จากการฟังธรรม
นอกจากการเทศนาธรรมอันเป็นอัศจรรย์แล้ว การถ่ายทอดธรรมด้วยการประทับจิต หรือการถ่ายทอดแบบจิตสู่จิต ก็เป็นการถ่ายทอดที่ใช้พลังอำนาจจิตเช่นกัน ครูบาอาจารย์ผู้บรรลุธรรมจะเลือกศิษย์ผู้ปฏิบัติธรรมว่า ผู้ใดมีคุณสมบัติเหมาะสมแก่การรับการถ่ายทอดทางจิตให้ได้รับธรรมต่อไป โดยสังเกตจากความพร้อมของกาย วาจา และจิต ว่าถึงความพร้อมแล้วหรือยัง จากนั้นอาจารย์ผู้บรรลุสำเร็จธรรมก็จะถ่ายทอดพลังจิตสู่จิต ถ่ายทอดธรรมแบบทำสำเนาคัดลอกจากจิตสู่จิต โดยไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้ด้วยการอ่าน-เขียน-ฟัง แต่จะคัดลอกเอาภูมิธรรมในระดับโทรจิตจากจิตของผู้เป็นอาจารย์ ไปสู่จิตของผู้เป็นศิษย์ได้อย่างถูกต้องครบถ้วนโดยไม่มีผิดเพี้ยน สามารถคัดลอกได้ทั้งอารมณ์ ความรู้สึก จิตสำนึก คุณธรรม ฯลฯ จนได้ผู้บรรลุธรรมคนใหม่ที่มีภูมิจิตภูมิธรรมขั้นโลกุตรธรรมสืบทอดบนโลกใบนี้ต่อไป
ในยามที่โลกและมหาจักรวาลถึงแก่เวลาอันสมควร การถ่ายทอดธรรมทางจิตหรือการประทับจิต จึงเป็นวิธีการอันสุดท้ายที่จะสามารถขนมนุษย์ให้พ้นจากห่วงวัฏสงสารนี้ออกไปได้.
http://www.thaipost.net/tabloid/260709/8276