ผู้เขียน หัวข้อ: ปฐมเหตุ.. มหาเวสสันดรชาดก  (อ่าน 21860 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
ปฐมเหตุ.. มหาเวสสันดรชาดก
« เมื่อ: พฤษภาคม 04, 2011, 04:39:32 pm »





ปฐมเหตุ.. มหาเวสสันดรชาดก
ตอนพระพุทธองค์ทรงแสดงมหาชาติ ๑๓ กัณฑ์
ในสมาคมพระญาติศากยวงศ์และพระอริยสงฆ์



กัณฑ์ที่ ๑ ทศพร
พระอินทร์ประสาทพรแก่พระนางผุสดีจุติลงมาเกิด
เป็นพระราชมารดาพระเวสสันดร


เทศน์มหาชาติ: กัณฑ์ที่ ๑ ทศพร
http://www.oknation.net/blog/Nirvana-Thailand/2008/12/17/entry-6

พระชาติที่ ๑ พระเตมีย์ใบ้ ตอนที่ ๑
http://www.oknation.net/blog/Nirvana-Thailand/2008/11/12/entry-3




กัณฑ์ที่ ๒ หิมพานต์
พระเวสสันดรพระราชทานช้างเผือก
ชาวเมืองโกรธแค้นให้เนรเทศไปอยู่ยังเขาวงกต




กัณฑ์ที่ ๓ ทานกัณฑ์
พระเวสสันดรพระราชทานม้าและราชรถ
แก่พราหมณ์ที่ตามมาขอนอกเมืองเชตุพนจนหมด




กัณฑ์ที่ ๔ วันประเวศน์
สี่กษัตริย์ต้องเดินดง ตั้งพระทัยมุ่งตรงสู่ยัง
เขาวงกตเพื่อจะทรงบำเพ็ญพรตเป็นฤๅษี




กัณฑ์ที่ ๕ ชูชก
ชูชกพานางอมิตดาลูกสาวเพื่อนที่รับฝากทอง
ของแกแล้วยักยอกนำไปใช้หมด




กัณฑ์ที่ ๖ จุลพน
ชูชกชูกลัักพริกขิง โกหกพรานเจตบุตรว่าเป็น
กล่องใส่พระราชสาสน์ของพระเจ้ากรุงสญชัย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 22, 2012, 08:01:52 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ปฐมเหตุ.. มหาเวสสันดรชาดก
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤษภาคม 04, 2011, 05:25:34 pm »



กัณฑ์ที่ ๗ มหาพน
อจุตฤๅษียอมเชื่อคารมของชูชกเฒ่าเจ้าเล่ห์
เลยบอกและชี้ทางให้ไปสู่ยังเขาวงกต




กัณฑ์ที่ ๘ กุมาร
พระเวสสันดรตรัสเรียกลูกกัณหา ชาลีขึ้นจาก
สระที่ซ่อนองค์เพื่อนำไปให้ทานแก่เฒ่าชูชก




กัณฑ์ที่ ๙ มัทรี
พระนางมัทรีทรงประนมกรทูลวอนไหว้ขอทาง
เทพเจ้า ๓ สัตว์ที่มากั้นมรรคาไว้




กัณฑ์ที่ ๑๐ สักกบรรพ
พระอินทร์จำแลงเป็นพราหมณ์มาขอพระนาง
มัทรี แล้วถวายคืนและประสาทพร ๘ ประการ




กัณฑ์ที่ ๑๑ มหาราช
เทพเจ้าจำแลงเป็นพระเวสสันดรและพระนาง
มัทรีมาอุ้มชูสองกุมารให้เสวยนมด้วยเมตตา




กัณฑ์ที่ ๑๒ ฉกษัตริย์
ทั้งหกกษัตริย์ถึงวิสัญญีภาพสลบลง
เมื่อได้พบหน้ากัน ณ พระอาศรมที่เขาวงกต




กัณฑ์ที่ ๑๓ นครกัณฑ์
หกกษัตริย์นำพยุหโยธาเสด็จกลับจากเขาวงกต
แล้วขึ้นครองนครเชตุดรแทนพระราชบิดา


- http://www.seasite.niu.edu/thai/literature/Sridaoruang/matsii/matsii2.htm

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 22, 2012, 08:11:59 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ปฐมเหตุ.. มหาเวสสันดรชาดก
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: สิงหาคม 21, 2012, 03:26:08 pm »


             

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๘  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๐
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๒
พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญทานบารมี

             [๑๐๔๕]    ดูกรผุสดีผู้มีรัศมีแห่งผิวพรรณอันประเสริฐ ผู้มีอวัยวะส่วนเบื้องหน้า
                          งาม  เธอจงเลือกเอาพร ๑๐ ประการในปฐพีซึ่งเป็นที่รักแห่งหฤทัยของ
                          เธอ.
             [๑๐๔๖]    ข้าแต่ท้าวเทวราช ข้าพระบาทขอนอบน้อมแด่พระองค์ ข้าพระบาทได้ทำ
                          บาปกรรมอะไรไว้หรือ ฝ่าพระบาทจึงให้ข้าพระบาทจุติจากทิพยสถานที่น่า
                          รื่นรมย์ ดุจลมอัดต้นไม้ใหญ่ให้หักไป ฉะนั้น.
             [๑๐๔๗]    บาปกรรมเธอมิได้ทำไว้เลย และเธอไม่เป็นที่รักของเราก็หาไม่ แต่บุญ
                          ของเธอสิ้นแล้วเหตุนั้น
เราจึงกล่าวกะเธออย่างนี้ ความตายใกล้เธอ
                          เธอจักต้องพลัดพรากจากไปจงเลือกรับเอาพร ๑๐ ประการนี้แต่เราผู้จะให้.
             [๑๐๔๘]    ข้าแต่ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่กว่าสัตว์ทั้งปวง ถ้าฝ่าพระบาทจะประทานพร
                          แก่ข้าพระบาทไซร้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอให้ข้าพระบาทพึงเกิดใน
                          พระราชนิเวศน์ของพระเจ้าสีวิราช ข้าแต่ท้าวบุรินททะ ขอให้ข้าพระบาท
                          (๑) พึงเป็นผู้มีจักษุดำเหมือนตาลูกมฤคี (มีอายุ ๑ ขวบปี) ซึ่งมีดวงตา
                          ดำ  (๒) พึงมีขนคิ้วดำ  (๓) พึงเกิดในราชนิเวศน์นั้นมีนามว่าผุสดี
                          (๔) พึงได้พระราชโอรสผู้ให้สิ่งอันประเสริฐ ผู้ประกอบเกื้อกูลในยาจก
                          มิได้ตระหนี่ ผู้อันพระราชาทุกประเทศบูชา  มีเกียรติยศ
  (๕) เมื่อ
                          ข้าพระบาททรงครรภ์ขออย่าให้อุทรนูนขึ้น พึงมีอุทรไม่นูน เสมอดัง
                          คันศรที่นายช่างเหลาเกลี้ยงเกลา  (๖) ถันทั้งคู่ของข้าพระบาทอย่าย้อยยาน
                          ข้าแต่ท้าววาสวะ  (๗) ผมหงอกก็อย่าได้มี  (๘) ธุลีก็อย่าได้ติดในกาย
                          (๙) ข้าพระบาทพึงปล่อยนักโทษที่ถึงประหารได้  (๑๐) ข้าแต่พระองค์
                          ผู้เจริญ ขอข้าพระบาทพึงได้เป็นอัครมเหสีที่โปรดปรานของพระราชาใน
                          แว่นแคว้นสีวี  ในพระราชนิเวศน์อัน
กึกก้องด้วยเสียงร้องของนกยูง
                          และนกกระเรียน พรั่งพร้อมด้วยหมู่วรนารี เกลื่อนกล่นไปด้วยคนเตี้ย
                          และคนค่อม อันพ่อครัวชาวมคธเลี้ยงดูกึกก้องไปด้วยเสียงกลอน และ
                          เสียงบานประตูอันวิจิตร มีคนเชิญให้ดื่มสุราและกินกับแกล้ม.
             [๑๐๔๙]    ดูกรนางผู้งามทั่วสรรพางค์กาย พร ๑๐ ประการ เหล่าใดที่เราให้แก่เธอ
                          เธอจักได้พร ๑๐ ประการเหล่านั้น ในแว่นแคว้นของพระเจ้าสีวิราช.
             [๑๐๕๐]    ครั้นท้าววาสวะมฆวาสุชัมบดีเทวราชตรัสอย่างนี้แล้ว ก็โปรดประทานพร
                          แก่พระนางผุสดีเทพอัปสร.
(นี้) ชื่อว่าทสพรคาถา

             [๑๐๕๑]    พระนางผุสดีเทพอัปสรจุติจากดาวดึงสเทวโลกนั้น  มาบังเกิดในสกุล
                          กษัตริย์  ได้ทรงอยู่ร่วมกับพระเจ้าสญชัยในพระนครเชตุดร  พระนาง
                          ผุสดีทรงครรภ์ถ้วนทสมาส เมื่อทรงทำประทักษิณพระนคร ประสูติเรา
                          ที่ท่ามกลางถนนของพวกพ่อค้า
ชื่อของเรามิได้เนื่องแต่พระมารดา และ
                          มิได้เกิดแต่พระบิดา เราเกิดที่ถนนแห่งพ่อค้า เพราะฉะนั้น เราจึงชื่อ
                          ว่า  เวสสันดร เมื่อใด เรายังเป็นทารก มีอายุ ๔ ขวบแต่เกิดมา
                          เมื่อนั้น  เรานั่งอยู่ในปราสาทคิดจะบริจาคทานว่า  เราจะพึงให้หทัย
                          ดวงตา  เนื้อ  เลือด และร่างกาย  เมื่อใครมาขอเรา เราก็ยินดีให้

                          เมื่อเราคิดถึงการบริจาคทานอันเป็นความจริง หฤทัยก็ไม่หวั่นไหวมุ่งมั่น
                          อยู่ในกาลนั้น ปฐพีมีสิเนรุบรรพตและหมู่ไม้เป็นเครื่องประดับ ได้หวั่น
                          ไหว.

             [๑๐๕๒]    พราหมณ์ทั้งหลาย ผู้มีขนรักแร้ดกและมีเล็บยาว  ฟันเขลอะ มีธุลีบน
                          ศีรษะ เหยียดแขนข้างขวาจะขออะไรฉันหรือ.
             [๑๐๕๓]    ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ทั้งหลายทูลขอรัตนะเครื่องให้แว่นแคว้น
                          ของชาวสีพีเจริญ ขอได้โปรดพระราชทานช้างตัวประเสริฐ ซึ่งมีงาดุจ
                          งอนไถอันมีกำลังสามารถเถิด พระเจ้าข้า.

             [๑๐๕๔]    เราจะให้ช้างพลายซับมันตัวประเสริฐ ซึ่งเป็นช้างราชพาหนะอันสูงสุด
                          ที่พราหมณ์ทั้งหลายขอเรา เรามิได้หวั่นไหว.

             [๑๐๕๕]    พระราชาผู้ผดุงรัฐสีพีให้เจริญรุ่งเรือง มีพระหฤทัยน้อมไปในการบริจาค
                          เสด็จลงจากคอช้างพระราชทานแก่พราหมณ์ทั้งหลาย.
             [๑๐๕๖]    เมื่อบรมกษัตริย์พระราชทานช้างตัวประเสริฐ (แก่พราหมณ์ทั้ง ๘) แล้ว
                          ในกาลนั้น ความน่าสะพรึงกลัวขนพองสยองเกล้าได้เกิดมี  เมทนีดลก็
                          หวั่นไหว  เมื่อบรมกษัตริย์พระราชทานช้างตัวประเสริฐ  ในกาลนั้น
                          ได้เกิดมีความน่าสะพรึงกลัวขนพองสยองเกล้า ชาวพระนครกำเริบ ในเมื่อ
                          พระเวสสันดรผู้ยังแว่นแคว้นของชาวสีพีให้เจริญพระราชทานช้างตัวประ
                          เสริฐ ชาวบุรีก็เกลื่อนกล่น เสียงอันกึกก้องก็แผ่ไปมากมาย.
             [๑๐๕๗]    ครั้งนั้น เมื่อพระเวสสันดรพระราชทานช้างตัวประเสริฐแล้ว เสียงอื้ออึง
                          น่ากลัวเป็นอันมากก็เป็นไปในนครนั้น  ในกาลนั้นชาวนครก็กำเริบ
                          ครั้งนั้น  ในเมื่อพระเวสสันดรผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญรุ่งเรืองพระราชทาน
                          ช้างตัวประเสริฐแล้ว เสียงอื้ออึงน่ากลัวเป็นอันมากก็เป็นไปในนครนั้น.
             [๑๐๕๘]    พวกคนที่มีชื่อเสียง  พระราชบุตร พวกพ่อค้าชาวนา พวกพราหมณ์
                          กองช้าง กองม้า กองรถ กองราบ ชาวนิคม ชาวสีพีทั้งสิ้นมาประชุม
                          พร้อมกัน พวกเหล่านั้นเห็นพวกพราหมณ์นำพระยาช้างไป ก็กราบทูล
                          แด่พระเจ้ากรุงสัญชัยว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ แว่นแคว้นของ
                          พระองค์ถูกกำจัดแล้ว  เหตุไรพระเวสสันดรของพระองค์ จึงพระราชทาน
                          ช้างตัวประเสริฐของชาวเราทั้งหลาย  อันชาวแว่นแคว้นสักการะบูชา
                          ไฉนพระเวสสันดรราชโอรสจึงพระราชทานพระยากุญชรของชาวเราทั้ง
                          หลายอันมีงางอนงามแกล้วกล้า  สามารถรู้จักเขตแห่งยุทธวิธีทุกอย่าง
                          เป็นช้างเผือกขาวผ่อง  ประเสริฐสุด ปกคลุมด้วยผ้ากัมพลเหลือง
                          กำลังซับมัน  สามารถย่ำยีศัตรูได้ ฝึกดีแล้ว พร้อมทั้งวาลวิชนีมีสีขาว
                          เช่นดังเขาไกรลาศ ไฉนพระเวสสันดรราชโอรสจึงพระราชทานพระยา
                          ช้างราชพาหนะซึ่งเป็นยานชั้นเลิศ เป็นทรัพย์อย่างประเสริฐ พร้อมทั้ง
                          ฉัตรขาว เครื่องลาด หมอช้าง และคนเลี้ยงช้างแก่พวกพราหมณ์.

             [๑๐๕๙]    พระเวสสันดรราชโอรสนั้นควรจะพระราชทาน ข้าว น้ำ ผ้านุ่งผ้าห่ม
                          และที่นั่งที่นอน  สิ่งของเช่นนี้แลสมควรจะพระราชทาน สมควรแก่
                          พวกพราหมณ์
ข้าแต่พระเจ้าสัญชัย ไฉนพระเวสสันดรราชโอรส ผู้
                          เป็นพระราชาโดยสืบพระวงศ์ของพระองค์  ผู้ผดุงสีพีรัฐ จึงทรงพระ
                          ราชทานพระยาคชสารไป ถ้าพระองค์จักไม่ทรงทำตามถ้อยคำของชนชาว
                          สีพี  ชนชาวสีพีก็เห็นจักทำพระองค์พร้อมด้วยพระราชโอรสไว้ในเงื้อม
                          มือ.


             [๑๐๖๐]    ถึงชนบทจะไม่มี และแม้แว่นแคว้นจะพินาศไปก็ตามเถิด เราก็ไม่พึง
                          ขับไล่พระราชบุตรผู้ไม่มีโทษจากแว่นแคว้นของตนตามคำของชาวสีพี
                          เพราะพระราชบุตรเกิดจากอกของเรา ถึงชนบทจะไม่มี  และแม้
                          แว่นแคว้นจะพินาศไปก็ตามเถิด เราก็ไม่พึงขับไล่พระราชบุตรผู้ไม่มีโทษ
                          จากแว่นแคว้นของตน ตามคำของชาวสีพี เพราะพระราชบุตรเกิดแต่
                          ตัวเรา อนึ่ง เราไม่พึงประทุษร้ายในพระราชบุตรนั้น เพราะเธอมีศีล
                          และวัตรอันประเสริฐ แม้คำติเตียนจะพึงมีแก่เรา และเราจะพึงประสบ
                          บาปเป็นอันมาก
เราจะให้ฆ่าพระเวสสันดรบุตรของเราด้วยศาตราอย่างไร
                          ได้.
             [๑๐๖๑]    พระองค์อย่าได้รับสั่งให้ฆ่าพระเวสสันดรนั้นด้วยท่อนไม้หรือศาตราเลย
                          ทั้งพระเวสสันดรนั้นก็ไม่ควรแก่เครื่องพันธนาการ  แต่จงทรงขับไล่
                          พระเวสสันดรนั้นเสียจากแว่นแคว้น จงไปอยู่ที่เขาวงกตเถิด
.
             [๑๐๖๒]    ถ้าความพอใจของชาวสีพีเช่นนี้  เราก็ไม่ขัด  ขอเธอจงได้อยู่และ
                          บริโภคกามทั้งหลาย ตลอดคืนนี้ ต่อเมื่อสิ้นราตรีแล้ว พระอาทิตย์ขึ้น
                          แล้ว  ชาวสีพีจงพร้อมเพรียงกันขับไล่เธอเสียจากแว่นแคว้นเถิด
.
             [๑๐๖๓]    ดูกรนายนักการ ท่านจงลุกขึ้น จงรีบไปทูลพระเวสสันดรว่า ขอเดชะ
                          ชาวสีพี ชาวนิคม พวกคนที่มีชื่อเสียง พระราชบุตร พ่อค้า ชาวนา
                          พราหมณาจารย์ พากันโกรธเคืองมาประชุมกันอยู่แล้ว  กองช้าง กองม้า
                          กองรถ กองเดินเท้า ทั้งชาวนิคมและชาวสีพีทั้งสิ้นมาประชุมกันแล้ว
                          เมื่อสิ้นราตรีนี้ พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว  ชาวสีพีจะพรักพร้อมกันขับไล่
                          พระองค์จากแว่นแคว้น
.

             [๑๐๖๔]    นายนักการนั้น เมื่อได้รับพระราชดำรัสสั่ง จึงสวมสอดเครื่องประดับมือ
                          นุ่งห่มเรียบร้อย ประพรมด้วยจุรณจันทน์ ล้างศีรษะในน้ำ สวมกุณฑล
                          แก้วมณีแล้ว รีบเข้าไปยังบุรีอันน่ารื่นรมย์ เป็นที่ประทับอยู่ของพระ-
                          เวสสันดร  ได้เห็นพระเวสสันดรทรงพระสำราญอยู่ในพระราชวังของ
                          พระองค์อันเกลื่อนกล่นไปด้วยหมู่อำมาตย์ ปานประหนึ่งท้าววาสวะแห่ง
                          ไตรทศ.
             [๑๐๖๕]    นายนักการนั้น ครั้นรีบไปในพระราชนิเวสน์นั้นแล้ว ได้กราบทูลพระ
                          เวสสันดรว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ ข้าพระบาทจะกราบทูลความ
                          ทุกข์แด่พระองค์  ขออย่าได้ทรงกริ้วข้าพระบาทเลย นายนักการนั้น
                          ถวายบังคมแล้วพลางคร่ำครวญกราบทูลพระราชาว่า  ข้าแต่พระมหาราช
                          พระองค์ทรงชุบเลี้ยงข้าพระบาท ทรงนำมาซึ่งรสที่น่าใคร่ทุกอย่าง ข้าพระ-
                          บาทจะกราบทูลความทุกข์แด่พระองค์  เมื่อข้าพระบาทกราบทูลข่าวสาร
                          เรื่องทุกข์ร้อนนั้นแล้ว   ขอพระยุคลบาทจงยังข้าพระบาทให้เบาใจ
                          ขอเดชะ  ชาวสีพี ชาวนิคม  คนที่มีชื่อเสียง พระราชบุตร พ่อค้า
                          ชาวนา พราหมณาจารย์พากันโกรธเคืองมาประชุมกันอยู่แล้ว  กองช้าง
                          กองม้า กองรถ กองเดินเท้า ทั้งชาวนิคมและชาวสีพีทั้งสิ้น มาประ-
                          ชุมกันอยู่แล้ว เมื่อสิ้นราตรีนี้ พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ชาวสีพี  จะพรัก
                          พร้อมกันขับไล่พระองค์จากแว่นแคว้นพระเจ้าข้า
.
             [๑๐๖๖]    ดูกรนายนักการ เพราะเหตุไรชาวสีพีจึงโกรธเรา ขอท่านจงบอกความ
                          ชั่วแก่เรา ผู้ไม่เห็นความเดือดร้อนให้แจ้งชัดด้วย  เหตุไรเขาจึงขับไล่เรา.
             [๑๐๖๗]    พวกคนที่มีชื่อเสียง  พระราชบุตร พ่อค้า ชาวนา พราหมณาจารย์
                          พวกกองช้าง  กองม้า กองรถ กองเดินเท้าพากันติเตียนเพราะพระ-
                          ราชทานพระยาช้างพระที่นั่งต้น
เหตุนั้นเขาจึงขับไล่พระองค์ พระเจ้าข้า.
             [๑๐๖๘]    เราจะให้หทัย  ให้จักษุ เงิน ทอง แก้วมุกดา แก้วไพฑูรย์ หรือ
                          แก้วมณี เป็นทรัพย์ภายนอกของเรา จะเป็นอะไรไป เมื่อยาจกมาถึง
                          เราเห็นแล้ว ก็จงให้แขนขวาแขนซ้าย ไม่หวั่นไหวเลย  ใจของเรา
                          ยินดีในทาน ชาวสีพีทั้งปวงจงขับไล่  จงฆ่าเราเสีย หรือจะตัดเราให้
                          เป็นเจ็ดท่อนก็ตามเถิด  เราจักไม่งดการให้ทานเลย
.

             [๑๐๖๙]    ชาวสีพีและชาวนิคมประชุมกันกล่าวอย่างนี้ว่า พระเวสสันดรผู้มีวัตรงาม
                          จงเสด็จไปสู่อารัญชรคีรีทางฝั่งแม่น้ำ โกนติมาราตามทางที่พระราชาผู้ถูก
                          ขับไล่เสด็จไปนั้นเถิด.
             [๑๐๗๐]    เราจักไปตามทางที่พระราชาผู้มีโทษเสด็จไป ขอให้ท่านทั้งหลายจงงดแก่
                          เราคืนและวันหนึ่งพอให้เราได้ให้ทานก่อนเถิด
.
             [๑๐๗๑]    พระราชาตรัสตักเตือนพระมัทรีผู้มีความงาม ทั่วสรรพางค์ว่าทรัพย์อย่าง
                          ใดอย่างหนึ่งที่พี่ให้แก่พระน้องนาง  และสิ่งของที่ควรสงวนอันเป็นของ
                          พระน้องนาง คือ เงิน ทอง แก้วมุกดา หรือแก้วไพฑูรย์ มีอยู่เป็น
                          อันมาก และทรัพย์ฝ่ายพระบิดา ของพระน้องนาง ควรเก็บไว้ทั้งหมด
.
             [๑๐๗๒]    พระนางมัทรีราชบุตรีผู้มีความงามทั่วสรรพางค์ได้ทูลถาม พระเวสสันดร
                          นั้นว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ หม่อมฉันจะเก็บไว้ที่ไหน หม่อมฉัน
                          ทูลถามแล้ว ขอพระองค์ได้โปรดตรัสบอกเนื้อความนั้นเถิด.
             [๑๐๗๓]    ดูกรพระน้องมัทรี พึงให้ทานในท่านผู้มีศีลตามสมควร เพราะที่พึ่งของ
                          สัตว์ทั้งปวงยิ่งไปกว่าทานไม่มี
.
             [๑๐๗๔]    ดูกรพระน้องมัทรี  เธอพึงเอาใจใส่ในลูกทั้งสอง  ในพระชนนีและ
                          พระชนกของพี่  อนึ่ง ผู้ใดพึงตกลงปลงใจว่าจะเป็นพระสวามีพระ-
                          น้องนางเธอพึงบำรุงผู้นั้นโดยเคารพ ถ้าไม่มีใครมาตกลงปลงใจเป็น
                          พระสวามีพระน้องนาง เพราะพระน้องนางกับพี่จะต้องพลัดพรากจากกัน
                          พระน้องนางจงแสวงหาพระสวามีอื่นเถิด อย่าลำบากเพราะจากพี่เลย
.
             [๑๐๗๕]    เพราะว่าพี่จักต้องไปสู่ป่าที่น่ากลัว อันเกลื่อนกล่นไปด้วยสัตว์ร้าย
                          เมื่อพี่คนเดียวอยู่ในป่าใหญ่ ชีวิตก็น่าสงสัย.
             [๑๐๗๖]    พระนางมัทรีราชบุตรีผู้มีความงามทั่วสรรพางค์ ได้กราบทูลพระเวสสันดร
                          ว่า ไฉนหนอพระองค์จึงตรัสเรื่องที่ไม่เคยมี  ไฉนจึงตรัสเรื่องลามก
                          ข้าแต่พระมหาราช ข้อที่พระองค์จะพึงเสด็จแต่พระองค์เดียวนั้น ไม่ใช่
                          ธรรมเนียม  ข้าแต่พระมหากษัตริย์แม้หม่อมฉันก็จะตามเสด็จไป  ตาม
                          ทางที่พระองค์เสด็จ  ความตายกับพระองค์หรือเป็นอยู่เว้นจากพระองค์
                          ความตายกับพระองค์นั่นแลประเสริฐกว่า  เป็นอยู่เว้นจากพระองค์จะ
                          ประเสริฐอะไร
ก่อไฟให้ลุกโพลง มีเปลวเป็นอันเดียวกันตั้งอยู่แล้ว
                          ความตายในไฟที่ลุกโพลง  มีเปลวเป็นอันเดียวกันนั้นประเสริฐกว่า
                          เป็นอยู่เว้นจากพระองค์จะประเสริฐอะไร  นางช้างติดตามพระยาช้างผู้
                          อยู่ในป่า เที่ยวไป ณ ภูเขาและที่หล่ม  ที่เสมอและไม่เสมอ  ฉันใด
                          หม่อมฉันจะพาลูกทั้งสองติดตามพระองค์ไปเบื้องหลัง  ฉันนั้น หม่อม
                          ฉันจักเป็นผู้อันพระองค์เลี้ยงง่าย  จักไม่เป็นผู้อันพระองค์เลี้ยงยาก
.

             [๑๐๗๗]    เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระกุมารทั้ง ๒ นี้ ผู้มีเสียงอันไพเราะ
                          พูดจาน่ารัก  นั่งอยู่ที่พุ่มไม้ในป่า จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อ
                          พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็น พระกุมารทั้ง ๒ นี้ ผู้มีเสียงอันไพเราะ
                          พูดจาน่ารัก  เล่นอยู่ที่พุ่มไม้ในป่า จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อ
                          พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระกุมารทั้ง ๒ นี้ ผู้มีเสียงอันไพเราะพูดจา
                          น่ารัก ณ อาศรมรัมณียสถาน จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อพระ-
                          องค์ทอดพระเนตรเห็นพระกุมารทั้ง ๒ นี้ ผู้มีเสียงอันไพเราะ  พูดจา
                          น่ารัก เล่นอยู่ ณ อาศรมอันเป็นที่รื่นรมย์   จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ
                          เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระกุมารทั้ง ๒ นี้  ทรงมาลาประดับ
                          พระองค์ ณ อาศรมรัมณียสถาน ก็จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ  เมื่อ
                          พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระกุมารทั้ง ๒ นี้ เล่นอยู่ ณ อาศรมอัน
                          เป็นที่รื่นรมย์  ก็จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์ได้ทอด
                          พระเนตรเห็นพระกุมารทั้ง ๒ พระองค์  ทรงมาลา ฟ้อนรำอยู่ ณ
                          อาศรมรัมณียสถาน เมื่อนั้นจักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ  เมื่อใด พระ
                          องค์ทอดพระเนตรเห็นพระกุมารทั้ง ๒ พระองค์ ทรงมาลา ฟ้อนรำเล่น
                          อยู่ ณ อาศรมอันเป็นที่รื่นรมย์ เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ
                          เมื่อใด พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นกุญชรชาติมาตังคะ มีวัยล่วง
                          ๖๐ ปี เที่ยวอยู่ในป่าตัวเดียว เมื่อนั้นจักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ  เมื่อ
                          ใด  พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นกุญชรชาติมาตังคะ มีวัยล่วง ๖๐ ปี
                          เที่ยวไปในป่าเวลาเย็น ในเวลาเช้า เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราช-
                          สมบัติ เมื่อใด กุญชรชาติมาตังคะ มีวัยล่วง ๖๐ ปี เดินนำหน้าโขลง
                          หมู่ช้างพังไป ส่งเสียงร้องก้องโกญจนาท พระองค์ได้ทรงสดับเสียงร้อง
                          ของช้างที่บันลือก้องอยู่นั้น  เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ
                          เมื่อใด พระองค์ได้ทรงสดับเสียงร้องของช้างที่บันลือก้องอยู่นั้น เมื่อนั้น
                          จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็น
                          ลำเนาป่าสองข้างทาง และสิ่งที่ให้ความน่าใคร่ ในป่าอันเกลื่อนกล่นไป
                          ด้วยเนื้อร้าย เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์
                          ได้ทอดพระเนตรเห็นเนื้ออันเดินมาเป็นหมู่ๆ หมู่ละ ๕ ตัว  และได้

                          ทอดพระเนตรเห็นพวกกินนรที่กำลังฟ้อนอยู่ เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึง
                          ราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์ได้ทรงสดับเสียงกึกก้องแห่งแม่น้ำ อันมี
                          น้ำไหลหลั่ง และเสียงเพลงขับของพวกกินนร เมื่อนั้นจักไม่ทรงระลึก
                          ถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์ได้ทรงสดับเสียงร้องของนกเค้าที่เที่ยว
                          อยู่ตามซอกเขา เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์
                          จักได้ทรงสดับเสียงแห่งสัตว์ร้ายในป่า คือ ราชสีห์ เสือโคร่ง แรด
                          และวัวลาน เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์
                          ได้ทอดพระเนตรเห็นนกยูง อันแวดล้อมไปด้วยนางนกยูง รำแพนหาง
                          จับอยู่เป็นกลุ่มบนยอดภูเขา  เมื่อนั้น  จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ
                          เมื่อใด พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นนกยูง มีขนปีกงามวิจิตรห้อมล้อม
                          ด้วยนางนกยูงทั้งหลายรำแพนหางอยู่ เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราช-
                          สมบัติ  เมื่อใด พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นนกยูงมีคอเขียว มีหงอน
                          แวดล้อมด้วยนางนกยูงฟ้อนอยู่ เมื่อนั้น  จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ
                          เมื่อใด พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นต้นไม้อันมีดอกบาน มีกลิ่นหอม
                          ฟุ้งไปในฤดูเหมันต์ เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด
                          พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นแผ่นดินอันเขียวชะอุ่ม  ดารดาษไปด้วย
                          แมลงค่อมทองในเดือนฤดูเหมันต์ เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ
                          เมื่อใด พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นต้นไม้อันมีดอกบานสะพรั่ง คือ
                          อัญชันเขียวที่กำลังผลิยอดอ่อน ต้นโลท และบัวบกมีดอกบานสะพรั่ง
                          มีกลิ่นหอมฟุ้งไปในฤดูเหมันต์ เมื่อนั้น  จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ
                          เมื่อใด พระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นหมู่ไม้มีดอกบานสะพรั่ง และ
                          ปทุมชาติอันมีดอกร่วงหล่นในเดือนฤดูเหมันต์ เมื่อนั้น จักไม่ทรง
                          ระลึกถึงราชสมบัติ
.
จบกัณฑ์หิมพานต์

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 30, 2012, 10:39:23 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ปฐมเหตุ.. มหาเวสสันดรชาดก
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: สิงหาคม 21, 2012, 04:07:34 pm »



จิตรกรรมฝาผนังปูนเปียก ภายในพระอุโบสถวัดราชาธิราช..
ภาพมหาเวสสันดรชาดกกัณฑ์ที่ ๒ พระราชทานช้างปัจจัยนาเคนทร์
ช้างคู่บ้านคู่เมืองแก่พราหมณ์ต่างเมืองที่มาทูลขอ

ฝีมือวาดภาพโดยจิตรกรชาวอิตาเลียน "คาร์โล ริโกลิ"

             [๑๐๗๘]    สมเด็จพระนางผุสดีราชบุตรีผู้เรืองยศ ได้ทรงสดับคำที่ พระราชโอรส
                          และพระสุณิสาพร่ำสนทนากัน ทรงคร่ำครวญละห้อยไห้ว่า เรากินยาพิษ
                          เสียดีกว่า เราโดดเหวเสียดีกว่า เอาเชือกผูกคอตายเสียดีกว่า เหตุไฉน
                          ชาวนครสีพีจึงจะให้ขับไล่เจ้าเวสสันดรลูกรักผู้ไม่มีโทษผิด  เหตุไฉน
                          ชาวนครสีพีจึงจะให้ขับไล่เจ้าเวสสันดรลูกรักผู้ไม่มีโทษผิด  ผู้เป็นปราชญ์
                          เปรื่อง เป็นทานบดี ควรแก่การขอ ไม่ตระหนี่
เหตุไฉน ชาวนครสีพี
                          จึงจะให้ขับไล่เจ้าเวสสันดรลูกรักผู้ไม่มีโทษผิด  อันท้าวพระยาบูชา
                          ผู้มีเกียรติยศ เหตุไฉน ชาวนครสีพีจึงจะให้ขับไล่เจ้าเวสสันดรลูกรัก
                          ผู้ไม่มีโทษผิด ผู้เลี้ยงดูมารดาบิดา ประพฤติถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ในราช-
                          สกุล เหตุไฉน ชาวนครสีพีจึงจะให้ขับไล่เจ้าเวสสันดรลูกรักผู้ไม่มี
                          โทษผิด ผู้เกื้อกูลแก่พระเจ้าแผ่นดิน แก่เทพเจ้า แก่พระประยูรญาติ
                          และมิตรสหาย ผู้เกื้อกูลทั่วรัฐสีมามณฑล.

             [๑๐๗๙]    ชาวนครสีพีจะให้ขับพระราชโอรสผู้ไม่มีโทษผิดเสีย รัฐสีมามณฑลของ
                          พระองค์ก็จะเป็นเหมือนรังผึ้งร้าง  เหมือนผลมะม่วงหล่นลงบนดิน
                          ฉะนั้น  พระองค์อันพวกอำมาตย์ละทิ้งแล้ว จักต้องลำบากอยู่พระองค์
                          เดียว เหมือนหงส์มีขนปีกหลุดลำบากอยู่ในหนองอันไม่มีน้ำ ฉะนั้น
                          ข้าแต่มหาราช เพราะฉะนั้น เกล้ากระหม่อมฉันขอกราบทูลพระองค์ว่า
                          ประโยชน์อย่าได้ล่วงพระองค์ไปเสียเลย  ขอพระองค์อย่าทรงขับไล่
                          พระราชโอรสผู้ไม่มีความผิด เพราะถ้อยคำของชาวนครสีพีเลย
.
             [๑๐๘๐]    เราทำความยำเกรงต่อพระราชประเพณี จึงขับไล่พระราชโอรสผู้เป็นธง
                          ของชาวสีพี เราจำต้องขับไล่ลูกของตน ถึงแม้จะเป็นที่รักยิ่งกว่าชีวิต
                          ของเรา.

             [๑๐๘๑]    แต่ปางก่อนยอดธงเคยแห่ตามเสด็จพระเวสสันดร ดังดอกกรรณิการ์บาน
                          วันนี้พระเวสสันดรจะเสด็จแต่พระองค์เดียว แต่ปางก่อนยอดธงเคยแห่
                          ตามเสด็จพระเวสสันดรดังป่ากรรณิการ์  วันนี้พระเวสสันดรจะเสด็จ
                          แต่พระองค์เดียว แต่ปางก่อนกองทหารรักษาพระองค์เคยตามเสด็จพระ-
                          เวสสันดรเหมือนดอกกรรณิการ์บาน  วันนี้พระเวสสันดรจะเสด็จแต่
                          พระองค์เดียว  แต่ปางก่อนกองทหารรักษาพระองค์เคยตามเสด็จพระ-
                          เวสสันดร เหมือนป่ากรรณิการ์  วันนี้พระเวสสันดรจะต้องเสด็จแต่
                          พระองค์เดียว  แต่ปางก่อนกองทหารรักษาพระองค์ใช้ผ้ากัมพลเหลือง
                          เมืองคันธาระ  มีสีเหลืองเรืองรองเหมือนหิ่งห้อย  เคยตามเสด็จพระ-
                          เวสสันดร วันนี้พระเวสสันดรจะเสด็จแต่พระองค์เดียว  แต่ปางก่อน
                          พระเวสสันดรเคยเสด็จด้วยช้างพระที่นั่ง วอและรถทรง วันนี้จะเสด็จ
                          ดำเนินด้วยพระบาทอย่างไร  แต่ปางก่อนพระเวสสันดรเคยลูบไล้องค์
                          ด้วยจุรณแก่นจันทน์ ปลุกปลื้มด้วยการฟ้อนรำขับร้อง วันนี้จักทรงแบก

                          หนังเสืออันหยาบ  ขวานและหาบเครื่องบริขารไปได้อย่างไร  พระ-
                          เวสสันดรเมื่อเข้าไปอยู่ในป่าใหญ่ไฉนจะไม่ต้องขนเอาผ้าย้อมน้ำฝาดและ
                          หนังเสือไปด้วย พระเวสสันดร เมื่อเข้าไปอยู่ป่าใหญ่ ไฉนจะไม่ต้อง
                          ใช้ผ้าคากรอง พวกคนที่เป็นเจ้านายบวช จะทรงผ้าคากรองได้อย่างไร
                          หนอ เจ้ามัทรีจักนุ่งห่มผ้าคากรองได้อย่างไร แต่ปางก่อนเจ้ามัทรีเคยทรง
                          แต่ผ้ากาสิกพัสตร ผ้าโขมพัสตรและผ้าโกทุมพรพัสตร เมื่อต้องทรงผ้า
                          คากรองจักกระทำอย่างไร
  เจ้ามัทรีผู้มีรูปร่างสวยงาม  แต่ปางก่อน
                          เคยเสด็จด้วยคานหาม  วอและรถทรง วันนี้จะเสด็จเดินทางด้วย
                          พระบาทได้อย่างไร เจ้ามัทรีผู้มีรูปร่างสวยงาม มีฝ่าพระหัตถ์อันอ่อนนุ่ม

                          ไม่เคยทำงานหนักเคยตั้งอยู่ในความสุข   วันนี้จะเสด็จเดินทางด้วย
                          พระบาทได้อย่างไร เจ้ามัทรีผู้มีรูปร่างสวยงาม มีฝ่าพระบาทอันอ่อนนุ่ม
                          ไม่เคยเสด็จดำเนินด้วยพระบาทเปล่า  ตั้งอยู่ในความสุข  ทรงสวม
                          รองเท้าทองเสด็จดำเนิน  วันนี้จะเสด็จเดินทางด้วยพระบาทได้อย่างไร
                          เจ้ามัทรีผู้มีรูปร่างอันสวยงาม ทรงศิริ แต่ก่อนเคยเสด็จดำเนินข้างหน้า
                          นางข้าหลวงจำนวนพัน   วันนี้จะเสด็จเดินป่าพระองค์เดียวได้อย่างไร
                          เจ้ามัทรีผู้มีรูปร่างอันสวยงาม ขวัญอ่อน พอได้ยินเสียงสุนัขเห่าหอนก็
                          สะดุ้ง วันนี้จักเสด็จเดินป่าได้อย่างไร เจ้ามัทรีผู้มีรูปร่างอันสวยงาม
                          ขวัญอ่อน ได้สดับเสียงนกฮูกคำรามร้อง ก็กลัวตัวสั่น เหมือนนางวารุณี
                          วันนี้จะเสด็จเดินป่าได้อย่างไร  เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันมาสู่นิเวศน์อัน
                          ว่างเปล่านี้ จักเศร้ากำสรดระทมทุกข์สิ้นกาลนาน ดังแม่นกถูกพรากลูก
                          เห็นแต่รังอันว่างเปล่าฉะนั้น เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันไม่เห็นลูกรักทั้งสอง

                          ก็จักซูบผอมเหมือนแม่นกถูกพรากลูกเห็นแต่รังอันว่างเปล่า ฉะนั้น
                          เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันไม่เห็นลูกรักทั้งสอง ก็จักวิ่งพล่านไปตามที่นั้นๆ

                          ดังแม่นกถูกพรากลูกเห็นแต่รังอันว่างเปล่า  ฉะนั้น  เมื่อเกล้ากระ-
                          หม่อมฉันมาสู่นิเวศน์อันว่างเปล่านี้ จักเศร้ากำสรดระทมทุกข์สิ้นกาล-
                          นาน
ดังนางนกออกถูกพรากลูกเห็นแต่รังอันว่างเปล่า ฉะนั้น  เมื่อ
                          เกล้ากระหม่อมฉันไม่เห็นลูกรักทั้งสองก็จักซูบผอม ดังนางนกออกถูก
                          พรากลูกเห็นแต่รังอันว่างเปล่า ฉะนั้น เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันไม่เห็น
                          ลูกรักทั้งสอง  ก็จักวิ่งพล่านไปตามที่นั้นๆ ดังนางนกออกถูกพรากลูก
                          เห็นแต่รังอันว่างเปล่า ฉะนั้น  เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันมาสู่นิเวศน์อัน
                          ว่างเปล่านี้ ก็จักเศร้ากำสรดระทมทุกข์สิ้นกาลนานเป็นแน่แท้ เหมือน
                          นางนกจากพรากซบเซาอยู่ในหนองอันไม่มีน้ำ ฉะนั้น เมื่อเกล้ากระ-
                          หม่อมฉันไม่เห็นลูกรักทั้งสอง ก็จักซูบผอมเป็นแน่แท้ เหมือนนางนก
                          จากพรากในหนองอันไม่มีน้ำ ฉะนั้น เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันไม่เห็น
                          ลูกรักทั้งสอง ก็จักวิ่งพล่านไปตามที่นั้นๆ เป็นแน่แท้ เหมือนนางนก
                          จากพรากในหนองอันไม่มีน้ำ ฉะนั้น ก็เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันพร่ำเพ้อ
                          ทูลอ้อนวอนอยู่อย่างนี้ ถ้าพระองค์ยังจะทรงให้ขับไล่พระเวสสันดรเสีย
                          จากแว่นแคว้น
เกล้ากระหม่อมฉันเห็นจักต้องสละชีวิตเป็นแน่.


             [๑๐๘๒]    นางสนมกำนัลในของพระเจ้าสีวิราชทุกถ้วนหน้า ได้ยินคำรำพันของ
                          พระนางผุสดีแล้ว ก็พากันมาประชุมประคองแขนทั้งสองขึ้นร่ำไห้
พระ
                          โอรส พระธิดา และพระชายา ในนิเวศน์ของพระเวสสันดร  นอน
                          กอดกันสะอื้นไห้  ดังหมู่ไม้รังอันถูกพายุพัดล้มระเนนระนาดแหลกลาญ
                          ฉะนั้น พวกชาววัง พวกเด็กๆ พ่อค้าและพวกพราหมณ์  ในนิเวศน์
                          ของพระเวสสันดรต่างก็ประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญ  พวกกองช้าง
                          กองม้า กองรถและกองเดินเท้า ในนิเวศน์ของพระเวสสันดร ต่างก็
                          ประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญ ครั้นเมื่อสิ้นราตรีนั้น พระอาทิตย์ขึ้น
                          แล้ว  พระเวสสันดรเสด็จมาสู่โรงทาน เพื่อทรงทานโดยรับสั่งว่า

                          ท่านทั้งหลายจงให้ผ้าแก่ผู้ต้องการ จงให้เหล้าแก่พวกนักเลงเหล้า จงให้
                          โภชนะแก่ผู้ต้องการโภชนะโดยทั่วถึง และอย่าเบียดเบียนพวกวณิพกผู้
                          มาในที่นี้อย่างไร จงเลี้ยงดูพวกวณิพกให้อิ่มหนำด้วยข้าวและน้ำ พวก
                          เขาได้รับบูชาแล้วก็จงไป ครั้งนั้น เสียงดังกึกก้องโกลาหลน่าหวาดเสียว
                          เป็นไปในพระนครนั้นว่า  ชาวพระนครสีพีจะขับไล่พระเวสสันดร
                          เพราะทรงบริจาคทาน ขอให้พระองค์ได้ทรงบริจาคทานอีกเถิด
.

             [๑๐๘๓]    เมื่อพระมหาราชาผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญจะเสด็จออก วณิพกเหล่านั้นเป็น
                          ดังคนเมา คนเหน็ดเหนื่อย ลงนั่งปรับทุกข์กันว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย
                          ชาวนครสีพีพากันขับไล่พระเวสสันดรผู้ไม่มีผิดเสียจากแว่นแคว้น  ก็
                          เปรียบเหมือนช่วยกันตัดต้นไม้ที่ให้ผลต่างๆ เสีย ฉะนั้น  ท่านผู้
                          เจริญทั้งหลาย ชาวนครสีพีพากันขับไล่พระเวสสันดรผู้ไม่มีความผิดเสีย
                          จากแว่นแคว้น ก็เปรียบเหมือนช่วยกันตัดต้นไม้อันทรงผลต่างๆ ฉะนั้น
                          ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ชาวนครสีพีพากันขับไล่พระเวสสันดรผู้ไม่มีความ
                          ผิดเสียจากแว่นแคว้น ก็เปรียบเหมือนช่วยกันตัดต้นไม้อันให้สิ่งที่ต้อง
                          การทุกอย่าง  ฉะนั้น ท่านผู้เจริญทั้งหลาย  ชาวนครสีพีพากันขับไล่

                          พระเวสสันดรผู้ไม่มีความผิดเสียจากแว่นแคว้น ก็เปรียบเหมือนช่วย
                          กันตัดต้นไม้อันนำรสที่ต้องการทุกอย่างมาให้ ฉะนั้น เมื่อพระมหาราชา
                          ผู้ผดุงสีพีรัฐจะเสด็จออกทั้งคนแก่  เด็ก และคนปานกลางต่างพากัน
                          ประคองแขนทั้งสองร้องไห้คร่ำครวญ เมื่อพระมหาราชาผู้ผดุงสีพีรัฐจะ
                          เสด็จออก พวกโหรหลวง  พวกขันที  มหาดเล็กและเด็กชายต่างก็
                          ประคองแขนทั้งสองร้องไห้คร่ำครวญ เมื่อพระมหาราชาผู้ผดุงสีพีรัฐจะ
                          เสด็จออก แม้หญิงทั้งหลายที่มีอยู่ในพระนครนั้น ต่างก็ร้องไห้คร่ำครวญ
                          สมณพราหมณ์และวณิพก ต่างก็ประคองแขนร้องไห้คร่ำครวญว่า ท่าน
                          ผู้เจริญทั้งหลาย  ได้ยินว่า เป็นการไม่ยุติธรรมเลย เพราะเหตุพระ-
                          เวสสันดรทรงบำเพ็ญทานอยู่ในพระราชวังของพระองค์ จำต้องเสด็จออก

                          จากแว่นแคว้นของพระองค์ เพราะถ้อยคำของชาวสีพี
พระเวสสันดร
                          ทรงประทานช้างเจ็ดร้อยเชือก ประดับด้วยเครื่องอลังการทุกอย่างอันมี
                          สายรัด มีทั้งกูบและสัปคับทอง มีนายควาญถือหอกซัดและขอขึ้นคอ
                          ประจำ  แล้วเสด็จออกจากแว่นแคว้นของพระองค์  พระเวสสันดร
                          พระราชทานม้าเจ็ดร้อยตัว อันประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง เป็น
                          ม้าสินธพชาติอาชาไนย เป็นม้าฝีเท้าเร็ว มีนายสารถีถือทวนและธนูขึ้น
                          ขี่ประจำ  แล้วเสด็จออกจากแว่นแคว้นของพระองค์  พระเวสสันดร
                          พระราชทานรถเจ็ดร้อยคัน อันผูกสอดเครื่องรบปักธงไชยครบครัน หุ้ม
                          ด้วยหนังเสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับด้วยเครื่องอลังการทุกอย่าง
                          มีนายสารถีสวมเกราะถือธนูขึ้นขับขี่ แล้วเสด็จออกจากแว่นแคว้นของ

                          พระองค์ พระเวสสันดรพระราชทานสตรีเจ็ดร้อยคน นั่งประจำอยู่ใน
                          รถคันละคน สอดสวมสร้อยสังวาลตบแต่งด้วยเครื่องทอง มีเครื่อง
                          ประดับ ผ้านุ่ง ผ้าห่ม และเครื่องอาภรณ์ล้วนแต่สีเหลือง มีดวงตา
                          กว้าง ใบหน้ายิ้มแย้ม ตะโพกงาม เอวบางร่างน้อย แล้วเสด็จออกจาก
                          แว่นแคว้นของพระองค์ พระเวสสันดรพระราชทานแม่โคนมเจ็ดร้อยตัว
                          พร้อมด้วยภาชนะเงินสำหรับรองน้ำนมทุกๆ ตัว แล้วเสด็จออกจาก
                          แว่นแคว้นของพระองค์  พระเวสสันดรพระราชทานทาสีเจ็ดร้อยและ
                          ทาสเจ็ดร้อย แล้วเสด็จออกจากแว่นแคว้นของพระองค์ พระเวสสันดร
                          พระราชทานช้าง ม้า รถ และนารี อันประดับประดาอย่างสวยงาม
                          แล้วเสด็จออกจากแว่นแคว้นของพระองค์ ในกาลนั้น  ได้มีสิ่งที่
                          น่ากลัวขนพองสยองเกล้า เมื่อพระเวสสันดรพระราชทานมหาทานแล้ว
                          แผ่นดินก็หวั่นไหว  ครั้งนั้นได้มีสิ่งที่น่ากลัว ขนพองสยองเกล้า
                          พระเวสสันดรทรงประคองอัญชลี เสด็จออกจากแว่นแคว้นของพระองค์
.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 17, 2013, 03:57:15 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ปฐมเหตุ.. มหาเวสสันดรชาดก
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: สิงหาคม 21, 2012, 05:05:55 pm »


            [๑๐๘๔]    ครั้งนั้น เสียงดังกึกก้องโกลาหลน่าหวาดเสียวเป็นไปในพระนครนั้นว่า
                          ชาวนครสีพีขับไล่พระเวสสันดร เพราะบริจาคทาน ขอให้พระองค์ทรง-
                          บริจาคทานอีกเถิด.
             [๑๐๘๕]    เมื่อพระมหาราชาผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญจะเสด็จออก วณิพกเหล่านั้นเป็น
                          ดังคนเมา คนเหน็ดเหนื่อย นั่งลงปรับทุกข์กัน
.
             [๑๐๘๖]    พระเวสสันดร กราบทูลพระเจ้าสัญชัยผู้ประเสริฐธรรมิกราชว่า ขอเดชะ
                          ขอพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเนรเทศข้าพระองค์เถิด ข้าพระองค์จะ
                          ไปยังภูเขาวงกต ข้าแต่พระมหาราช สัตว์เหล่าใดเหล่าหนึ่งที่มีมาแล้ว
                          ที่จะมีมา  และที่มีอยู่ ยังไม่อิ่มด้วยกามเลย  ก็ต้องไปสู่สำนักของ
                          พญายม
ข้าพระองค์บำเพ็ญทานอยู่ในปราสาทของตน ยังชื่อว่าเบียด-
                          เบียนชาวนครของตน
จะต้องออกจากแว่นแคว้นของตน เพราะถ้อย
                          คำของชาวสีพี ข้าพระองค์จักต้องได้เสวยความลำบากนั้นๆ ในป่าอัน
                          เกลื่อนกล่นด้วยพาลมฤค เป็นที่อยู่อาศัยของแรด และเสือเหลือง
                          ข้าพระองค์จะทำบุญทั้งหลาย เชิญพระองค์ประทับจมอยู่ในเปือกตมเถิด
                          พระเจ้าข้า
.

             [๑๐๘๗]    ข้าแต่พระแม่เจ้า ขอได้ทรงโปรดอนุญาตข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอบวช
                          ข้าพระองค์บำเพ็ญทานอยู่ในปราสาทของตน  ยังชื่อว่าเบียดเบียนชาว
                          นครของตน
จะต้องออกจากแว่นแคว้นของตน เพราะถ้อยคำของชาว
                          สีพี จักต้องได้เสวยความลำบากนั้นๆ ในป่าอันเกลื่อนกล่นด้วยพาลมฤค
                          เป็นที่อาศัยของแรดและเสือเหลือง  ข้าพระองค์จะกระทำบุญทั้งหลาย
                          จะไปสู่เขาวงกต.
             [๑๐๘๘]    ลูกเอ๋ย แม่อนุญาตให้ลูก  การบวชของลูกจงสำเร็จ  ส่วนแม่มัทรีผู้มี
                          ความงาม ตะโพกผึ่งผาย เอวบางร่างน้อย จงอยู่กับลูกๆ เถิด จักทำ
                          อะไรในป่าได้
.
             [๑๐๘๙]    ข้าพระองค์ไม่พยายามจะนำแม้ซึ่งนางทาสีไปสู่ป่า โดยเขาไม่ปรารถนา
                          ถ้าเขาปรารถนาจะตามไป (ก็ตามใจ)
ถ้าเขาไม่ปรารถนา ก็จงอยู่
.
             [๑๐๙๐]    ลำดับนั้น พระมหาราชาเสด็จดำเนินไปทรงวิงวอนพระสุณิสาว่า ดูกร
                          แม่มัทรี ผู้มีร่างกายอันชโลมจันทน์  เจ้าอย่างได้ทรงธุลีละอองเลย
                          แม่มัทรีเคยทรงผ้ากาสี อย่าได้ทรงผ้าคากรองเลย การอยู่ในป่าเป็นความ
                          ลำบาก ดูกรแม่มัทรี ผู้มีลักขณาอันงาม เจ้าอย่าไปเลยนะ.
             [๑๐๙๑]    พระนางมัทรีราชบุตรีผู้งามทั่วพระวรกาย ได้กราบทูลพระสัสสุระนั้นว่า
                          ความสุขอันใดจะพึงมีแก่เกล้ากระหม่อมฉัน โดยว่างเว้นพระเวสสันดร
                          เกล้ากระหม่อมฉันไม่พึงปรารถนาความสุขอันนั้น
.

             [๑๐๙๒]    พระมหาราชาผู้ผดุงสีพีรัฐ ได้ตรัสกะพระนางมัทรีนั้นว่า  เชิญฟังก่อน
                          แม่มัทรี สัตว์อันจะรบกวนยากที่จะอดทนได้ มีอยู่ในป่าเป็นอันมาก
                          คือ เหลือบ ตั๊กแตน ยุง และผึ้งมันจะพึงเบียดเบียนเธอในป่านั้น
                          ความทุกข์อย่างยิ่งนั้นจะพึงมีแก่เธอ
เธอจะต้องได้พบสัตว์ที่น่ากลัวอื่นๆ
                          ซึ่งอาศัยอยู่ใกล้แม่น้ำ เช่นงูเหลือมเป็นสัตว์ไม่มีพิษ แต่มันมีกำลังมาก
                          มันรัดมนุษย์ หรือแม้เนื้อที่มาใกล้ๆ ด้วยลำตัว เอามาไว้ในขนดหางของ
                          มัน เนื้อร้ายอย่างอื่นๆ เช่นหมีมีขนดำ คนที่มันพบเห็นแล้ว หนีขึ้น
                          ต้นไม้ก็ไม่พ้น ควายเปลี่ยวขวิดเฝืออยู่ เขาทั้งคู่ปลายคมกริบ เที่ยวอยู่
                          ในถิ่นนี้ ใกล้ฝั่งแม่น้ำโสตุมพะ ดูกรแม่มัทรี เธอเปรียบเหมือนแม่โค
                          รักลูก
เห็นฝูงเนื้อและโคถึกอันท่องเที่ยวอยู่ในป่า จักทำอย่างไร ดูกร
                          แม่มัทรี  เธอได้เห็นทะโมนไพรอันน่ากลัวที่ประจวบเข้าในหนทางที่
                          เดินได้ยาก ความพรั่นพรึงจักต้องมีแก่เธอ เพราะไม่รู้จักเขต  เมื่อ
                          เธออยู่ในพระนคร ได้ยินเสียงสุนัขเห่าหอน ย่อมสะดุ้งตกใจ เธอไป
                          ถึงเขาวงกตจักทำอย่างไร
เมื่อฝูงนกพากันจับเจ่าในเวลาเที่ยง ป่าใหญ่
                          เหมือนส่งเสียงกระหึ่ม เธอปรารถนาจะไปในป่าใหญ่นั้นทำไม.

             [๑๐๙๓]    พระนางมัทรีราชบุตรี ผู้มีความสวยงามทั่วพระวรกาย ได้กราบทูลพระ-
                          เจ้าสัญชัยนั้นว่า พระองค์ทรงพระกรุณาตรัสบอกสิ่งที่น่ากลัว อันมีอยู่ใน
                          ป่า แก่เกล้ากระหม่อมฉัน เกล้ากระหม่อมฉันจักยอมทนต่อสู้สิ่งน่ากลัว
                          ทั้งปวงนั้น
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ เกล้ากระหม่อมฉันจักไปแน่
                          นอน เกล้ากระหม่อมฉันจักแหวกต้นเป้ง คา หญ้าคมบาง แฝก
                          หญ้าปล้อง หญ้ามุงกระต่าย ไปด้วยอก เกล้ากระหม่อมฉันจักไม่เป็น
                          ผู้อันพระเวสสันดรนำไปได้ยาก    อันว่ากุมารีย่อมได้สามีด้วยวัตรจริยา
                          เป็นอันมาก
คือ ด้วยการอดอาหาร ตรากตรำท้อง ด้วยการผูกคาดไม้
                          คางโค ด้วยการบำเรอไฟ และด้วยการดำน้ำ ความเป็นหม้าย เป็น
                          ความเผ็ดร้อนในโลก ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ เกล้ากระหม่อมฉัน
                          จักไปแน่นอน
ชายใดจับมือหญิงหม้ายผู้ไม่ปรารถนาฉุดคร่าไป ชายนั้น
                          เป็นผู้ไม่ควรบริโภคของที่เป็นเดนของหญิงหม้ายนั้นโดยแท้  ความเป็น
                          หม้ายเป็นความเผ็ดร้อนในโลก
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ เกล้า-
                          กระหม่อมฉันจักไปแน่นอน ชายอื่นให้ทุกข์มากมายมิใช่น้อย ด้วยการ
                          จับผมเตะถีบจนล้มลงที่พื้นดิน แล้วไม่หลีกหนี ความเป็นหม้ายเป็นความ
                          เผ็ดร้อนในโลก
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ เกล้ากระหม่อมฉันจักไป
                          แน่นอน พวกเจ้าชู้ผู้ต้องการหญิงหม้ายที่มีผิวพรรณผุดผ่อง ให้ของเล็ก
                          น้อยแล้ว สำคัญตัวว่าเป็นผู้มีโชคดี
ย่อมฉุดคร่าหญิงหม้ายผู้ไม่ปรารถนา
                          ไป ดัง
ฝูงกากลุ้มรุมนกเค้าแมว ฉะนั้น ความเป็นหม้ายเป็นความเผ็ดร้อน

                          ในโลก
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ เกล้ากระหม่อมฉันจักไปแน่นอน
                          อันว่าหญิงหม้ายแม้จะอยู่ในตระกูลญาติ อันเจริญรุ่งเรืองไปด้วยเครื่อง
                          ทอง จะไม่ได้รับคำติเตียน  ล่วงเกินจากพี่น้องและเพื่อนฝูงก็หาไม่
                          ความเป็นหม้ายเป็นความเผ็ดร้อนในโลก
  ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ
                          เกล้ากระหม่อมฉันจักไปแน่นอน แม่น้ำไม่มีน้ำก็เปล่าดาย แว่นแคว้น
                          ไม่มีพระราชาก็เปล่าดาย  แม้หญิงเป็นหม้ายก็เปล่าดาย ถึงแม้หญิงนั้น
                          จะมีพี่น้องตั้งสิบคน
ความเป็นหม้ายเป็นความเผ็ดร้อนในโลก  ข้าแต่
                          พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ เกล้ากระหม่อมฉันจักไปแน่นอน อันว่าธงเป็น
                          เครื่องหมายแห่งรถ ควันเป็นเครื่องปรากฏแห่งไฟ พระราชาเป็นสง่า
                          ของแคว้น ภัสดาเป็นสง่าของหญิง  ความเป็นหม้ายเป็นความเผ็ดร้อน
                          ในโลก
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ เกล้ากระหม่อมฉันจักไปแน่นอน
                          หญิงจนผู้ทรงเกียรติย่อมร่วมสุขทุกข์ของสามีที่จน หญิงมั่งคั่งผู้ทรงเกียรติ
                          ย่อมร่วมสุขทุกข์ของสามีที่มั่งคั่ง  เทพเจ้าย่อมสรรเสริญหญิงนั้นแล
                          เพราะเจ้าหล่อนทำกิจที่ทำได้ยาก เกล้ากระหม่อมฉันจักบวชติดตามพระ-
                          สวามีไปทุกเมื่อ แม้เมื่อแผ่นดินยังไม่ทำลาย ความเป็นหม้ายเป็นความ
                          เผ็ดร้อนของหญิง  เกล้ากระหม่อมฉันว่างเว้นพระเวสสันดรเสียแล้ว
                          ไม่พึงปรารถนาแม้แผ่นดินอันมีสาครเป็นขอบเขต ทรงไว้ซึ่งเครื่องปลื้มใจ
                          เป็นอันมาก
บริบูรณ์ด้วยรัตนะต่างๆ เมื่อสามีตกทุกข์แล้ว หญิงเหล่าใด
                          ย่อมหวังสุขเพื่อตน หญิงเหล่านั้นเลวทรามหนอ  หัวใจของหญิงเหล่านั้น
                          เป็นอย่างไรหนอ เมื่อพระมหาราชาผู้ผดุงสีพีรัฐเสด็จออกแล้ว เกล้า-
                          กระหม่อมฉันจักขอติดตามพระองค์ไป เพราะพระองค์ทรงประทานสิ่งที่
                          น่าปรารถนาทั้งปวงแก่เกล้ากระหม่อมฉัน
.

             [๑๐๙๔]    พระมหาราชาได้ตรัสกะพระนางมัทรีผู้มีความงามทั่วพระวรกายว่า  ดูกร
                          แม่มัทรีผู้มีศุภลักษณ์ พ่อชาลีและแม่กัณหาชินาลูกรักทั้งสองของเธอนี้
                          ยังเป็นเด็ก เจ้าจงละไปไว้เถิด พ่อจะรับเลี้ยงดูเด็กทั้งสองนั้นไว้เอง
.
             [๑๐๙๕]    พระนางมัทรีราชบุตรี ผู้มีความงามทั่วพระวรกาย ได้กราบทูลพระเจ้า-
                          สญชัยนั้นว่า เทวะพ่อชาลีและแม่กัณหาชินาทั้งสอง เป็นลูกสุดที่รัก
                          ของเกล้ากระหม่อมฉัน ลูกทั้งสองนั้น จักยังหัวใจของเกล้ากระหม่อม
                          ฉันผู้มีชีวิตอันเศร้าโศกให้รื่นรมย์ในป่านั้น
.
             [๑๐๙๖]    พระมหาราชาผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญ ได้ตรัสกะพระนางมัทรีนั้นว่า เด็ก
                          ทั้งสองเคย
เสวยข้าวสาลีอันปรุงด้วยเนื้อสะอาด เมื่อต้องเสวยผลไม้
                          จักทำอย่างไร เด็กทั้งสองเคยเสวยในถาดทองหนักร้อยปละ อันเป็น
                          ของประจำราชสกุล เมื่อต้องเสวยในใบไม้ จักทำอย่างไร  เด็กทั้งสอง
                          เคยทรงภูษาแคว้นกาสี ภูษาโขมรัฐและภูษาโกทุมพรรัฐ เมื่อต้องทรงผ้า
                          คากรอง  จักทำอย่างไร  เด็กทั้งสองเคยไปด้วยคานหาม วอและรถ
                          เมื่อต้องเดินด้วยเท้าเปล่า จักทำอย่างไร เด็กทั้งสองเคยบรรทมในเรือน
                          ยอดมีบานหน้าต่างปิดสนิท ไม่มีลม เมื่อต้องบรรทมที่โคนไม้ จักทำ
                          อย่างไร เด็กทั้งสองเคยบรรทมบนพรหมอันปูลาดไว้อย่างวิจิตรบนบัลลังก์
                          เมื่อต้องบรรทมเครื่องลาดหญ้า จักทำอย่างไร เด็กทั้งสองเคยลูบไล้ด้วย
                          กฤษณา และจันทน์หอม เมื่อต้องทรงละอองธุลี จักทำอย่างไร เด็ก
                          ทั้งสองเคยตั้งอยู่ในความสุข มีผู้พัดวีให้ด้วยแส้จามรีและหางนกยูง
                          ต้องถูกเหลือบและยุงกัด จักทำอย่างไร
.

             [๑๐๙๗]    พระนางมัทรีราชบุตรี ผู้มีความงามทั่วพระวรกาย ได้กราบทูลพระเจ้า-
                          สญชัยนั้นว่า เทวะพระองค์อย่าได้ทรงปริเวทนา  และอย่าได้ทรงเสีย
                          พระทัยเลย เกล้ากระหม่อมฉันทั้งสองจักเป็นอย่างไร เด็กทั้งสองก็จัก
                          เป็นอย่างนั้น
พระนางมัทรีผู้มีความงามทั่วพระวรกาย ครั้นกราบทูลคำนี้
                          แล้วเสด็จหลีกไป พระนางผู้ทรงศุภลักษณ์ ทรงพาพระโอรสและพระ-
                          ธิดาเสด็จไปตามทางที่พระเจ้าสีพีเคยเสด็จ
.
             [๑๐๙๘]    ลำดับนั้น พระเวสสันดรขัตติราช ครั้นพระราชทานทานแล้ว ทรง
                          ถวายบังคมพระราชบิดาพระราชมารดา และทรงกระทำประทักษิณแล้ว
                          เสด็จขึ้นทรงรถพระที่นั่งอันเทียมด้วยม้าสินธพ ๔ ตัว  ทรงพาพระโอรส
                          พระธิดาและพระชายาเสด็จไปสู่ภูเขาวงกต
.
             [๑๐๙๙]    ลำดับนั้น พระเวสสันดรราช เสด็จเข้าไปที่หมู่ชนเป็นอันมาก ตรัส
                          บอกลาว่า เราขอไปละนะ ขอญาติทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่มีโรคเถิด
.
             [๑๑๐๐]    เมื่อพระเวสสันดรเสด็จออกจากพระนคร  ทรงเหลียวมาทอดพระเนตร
                          แม้ครั้งนั้น แผ่นดินอันมีขุนเขาสิเนรุและราวป่าเป็นเครื่องประดับก็
                          หวั่นไหว
.
             [๑๑๐๑]    เชิญดูเถิดมัทรี ที่ประทับของพระเจ้าสีพีราชปรากฏเป็นรูปอันน่ารื่นรมย์
                          ส่วนมณเฑียรของเราเป็นดังเรือนเปรต
.

             [๑๑๐๒]    พราหมณ์ทั้งหลายได้ตามพระเวสสันดรนั้นไป เขาได้ขอม้ากะพระองค์
                          พระองค์อันพราหมณ์ทั้งหลายทูลขอแล้ว  ทรงมอบม้า ๔ ตัว ให้แก่
                          พราหมณ์ ๔ คน.

             [๑๑๐๓]    เชิญเถิดมัทรี ละมั่งทองร่างงดงาม ใครๆ ไม่เห็น เป็นดังม้าที่ชำนาญนำ
                          เราไป.
             [๑๑๐๔]    ต่อมาพราหมณ์ คนที่ห้าในที่นั้นได้มาขอราชรถกะพระองค์ พระองค์ทรง
                          มอบรถให้แก่เขา และพระทัยของพระองค์มิได้ย่อท้อเลย
.
             [๑๑๐๕]    ลำดับนั้น พระเวสสันดรราชให้คนของพระองค์ลงแล้ว ทรงปลอบให้
                          ปลงพระทัยมอบรถม้าให้แก่พราหมณ์ผู้แสวงหาทรัพย์
.
             [๑๑๐๖]    ดูกรมัทรี เธอจงอุ้มกัณหานี้ผู้เป็นน้องจะเบากว่า พี่จักอุ้มชาลี เพราะ
                          ชาลีเป็นพี่คงจะหนัก.
             [๑๑๐๗]    พระราชาทรงอุ้มพระโอรส ส่วนพระราชบุตรีทรงอุ้มพระธิดา ทรงยินดี
                          ร่วมกันดำเนิน ตรัสปราศรัยด้วยน้ำคำอันน่ารักกะกันและกัน
.
(นี้) ชื่อทานกัณฑ์


ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ปฐมเหตุ.. มหาเวสสันดรชาดก
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: สิงหาคม 21, 2012, 06:23:11 pm »


             [๑๑๐๘]    ถ้ามนุษย์บางพวกเดินมาตามทางหรือเดินสวนทางมา  เราจะถามมรรคา
                          กะพวกเขาว่า ภูเขาวงกตอยู่ที่ไหน พวกเขาเห็นเราในระหว่างมรรคานั้น
                          จะพากันคร่ำครวญด้วยความกรุณา ระทมทุกข์ ตอบเราว่า เขาวงกตยัง
                          อยู่อีกไกล
.
             [๑๑๐๙]    ครั้งนั้น  พระกุมารทั้งสองทอดพระเนตรเห็นต้นไม้อันมีผลในป่าใหญ่
                          ทรงพระกรรแสงเหตุประสงค์ผลไม้เหล่านั้น หมู่ไม้สูงใหญ่ดังจะเห็น
                          พระกุมารทั้งสองทรงพระกรรแสง จึงน้อมกิ่งลงมาเองจนใกล้จะถึงพระ-
                          กุมารทั้งสอง
  พระนางมัทรีผู้งดงามทั่วพระวรกาย ทอดพระเนตรเห็น
                          เหตุอัศจรรย์ไม่เคยมี น่าขนพองสยองเกล้านี้ จึงซ้องสาธุการว่า น่า
                          อัศจรรย์ ขนลุกขนพองไม่เคยมีในโลกหนอ ด้วยเดชแห่งพระเวสสันดร
                          ต้นไม้น้อมกิ่งลงมาเอง
ได้
.

             [๑๑๑๐]    เทพเจ้าทั้งหลายมาช่วยย่นมรรคาให้กษัตริย์ทั้ง ๔ เสด็จถึงเจตรัฐ โดยวันที่
                          เสด็จออกนั่นเอง เพื่ออนุเคราะห์พระกุมารทั้งสอง.
             [๑๑๑๑]    กษัตริย์ทั้ง ๔ พระองค์นั้น ทรงดำเนินสิ้นมรรคายืดยาว เสด็จถึงเจตรัฐ
                          อันเป็นชนบทเจริญมั่งคั่ง มีมังสะและข้าวดีๆ เป็นอันมาก.

             [๑๑๑๒]    สตรีชาวนครเจตรัฐ เห็นพระนางมัทรีผู้มีศุภลักษณ์เสด็จมา ก็พากันห้อม
                          ล้อมกล่าวกันว่า  พระแม่เจ้านี้เป็นสุขุมาลชาติหนอ  มาเสด็จดำเนิน
                          พระบาทเปล่า เคยทรงคานหามสีวิกามาศ และราชรถแห่ห้อม วันนี้
                          พระนางเจ้ามัทรีต้องเสด็จดำเนินในป่าด้วยพระบาท.
             [๑๑๑๓]    พระยาเจตราชทั้งหลายได้ทัศนาเห็นพระเวสสันดร ต่างก็ทรงกรรแสง
                          เข้าไปเฝ้า กราบทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระองค์ทรงพระ
                          สำราญไม่มีโรคาพาธแลหรือ พระองค์ไม่มีความทุกข์แลหรือ พระราชบิดา
                          ของพระองค์หาพระโรคาพาธมิได้แลหรือ  ชาวนครสีพีก็ไม่มีทุกข์หรือ
                          ข้าแต่พระมหาราชา พลนิกายของพระองค์อยู่ ณ ที่ไหน  กระบวนรถ
                          ของพระองค์อยู่ ณ ที่ไหน  พระองค์ไม่มีม้าทรง ไม่มีรถทรง เสด็จ
                          ดำเนินมาสิ้นทางไกล พวกอมิตรมาย่ำยีหรือ
จึงเสด็จมาถึงทิศนี้.

             [๑๑๑๔]    สหายทั้งหลายเอ๋ย ข้าพเจ้ามีความสุข ไม่มีโรคาพาธ ข้าพเจ้าไม่มีความ
                          ทุกข์  อนึ่ง พระราชบิดาของเราก็ทรงปราศจากพระโรคาพาธ และ
                          ชาวสีพีก็สุขสำราญดี เพราะข้าพเจ้าได้ให้พระยาเศวตกุญชรคชาธารอัน
                          ประเสริฐสุด มีงางอนงามดังงอนไถ มีกำลังแกล้วกล้าสามารถ รู้เขต
                          ชัยภูมิแห่งสงครามทั้งปวง อันลาดด้วยผ้ากัมพลเหลือง เป็นช้างซับมัน
                          อาจย่ำยีศัตรูได้ มีงางาม พร้อมทั้งพัดวาลวิชนี เป็นช้างเผือกขาวผ่อง
                          ดังเขาไกรลาส พร้อมทั้งเศวตฉัตรและเครื่องปูลาด  ทั้งหมอช้างและ
                          ควาญช้าง  เป็นยานอันเลิศ เป็นราชพาหนะ เราได้ให้แก่พราหมณ์
                          เพราะเหตุนั้น
ชาวนครสีพีพากันโกรธเคืองข้าพเจ้า  ทั้งพระราชบิดาก็
                          ทรงกริ้วขับไล่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไปเขาวงกต สหายทั้งหลาย ขอท่าน
                          ทั้งหลาย จงให้ข้าพเจ้าทราบโอกาสอันเป็นที่อยู่ในป่าเถิด
.

             [๑๑๑๕]    ข้าแต่พระมหาราช พระองค์เสด็จมาดีแล้ว พระองค์มิได้เสด็จมาร้ายเลย
                          พระองค์ผู้เป็นอิสราธิบดีเสด็จมาถึงแล้ว ขอจงตรัสบอกพระประสงค์สิ่ง
                          ซึ่งมีอยู่ในพระนครนี้ ข้าแต่พระมหาราช ขอเชิญเสวยสุธาโภชนาหาร
                          ข้าวสาลี ผักดอง เหง้ามัน  น้ำผึ้ง และเนื้อ พระองค์เสด็จมาถึง
                          เป็นแขกที่ข้าพระองค์ทั้งหลายสมควรจะต้อนรับ.
             [๑๑๑๖]    สิ่งใดอันท่านทั้งหลายให้แล้ว สิ่งนั้นทั้งหมดเป็นอันข้าพเจ้ารับไว้แล้ว
                          บรรณาการเป็นอันท่านทั้งหลายกระทำแล้วทุกอย่าง  พระราชาทรงพิโรธ
                          ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไปยังเขาวงกต ดูกรสหายทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลาย
                          จงให้ข้าพเจ้าทราบโอกาสอันเป็นที่อยู่ในป่านั้นเถิด.

             [๑๑๑๗]    ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ  เชิญเสด็จประทับ ณ เจตรัฐนี้ก่อนเถิด
                          จนกว่าชาวเจตรัฐจักไปเฝ้าพระเจ้าสีพีราช เพื่อทูลขอให้พระองค์ทรง
                          ทราบว่า พระมหาราชาผู้ผดุงสีพีราชไม่มีโทษ  ชาวเจตรัฐทั้งหลายได้ที่
                          พึ่งแล้ว
มีความปรีดาจะพากันแห่ห้อมแวดล้อมพระองค์ไป ข้าแต่บรม-
                          กษัตริย์  ขอพระองค์ทรงทราบอย่างนี้เถิด
.
             [๑๑๑๘]    การไปเฝ้าพระเจ้าสีพีราช เพื่อทูลขอให้พระองค์ทรงทราบว่า เราไม่มีโทษ
                          ท่านทั้งหลายอย่าชอบใจเลย ในเรื่องนั้นแม้พระราชาก็ไม่ทรงเป็นอิสระ
                          เพราะถ้าชาวนครสีพีทั้งพลนิกาย  และชาวนิคมโกรธเคืองแล้ว ก็
                          ปรารถนาจะกำจัดพระราชาเสีย เพราะเหตุแห่งข้าพเจ้า

             [๑๑๑๙]    ข้าแต่พระองค์ผู้ผดุงรัฐ ถ้าพฤติการณ์นั้นเป็นไปในรัฐนี้ ชาวเจตรัฐขอ
                          ถวายตัวเป็นบริวาร เชิญเสด็จครองราชสมบัติในเจตรัฐนี้ทีเดียว รัฐนี้
                          ก็มั่งคั่งสมบูรณ์ ชนบทก็เพียบพูนกว้างใหญ่  ข้าแต่สมมติเทพ ขอ
                          พระองค์ทรงปลงพระทัยปกครองราชสมบัติเถิด พระเจ้าข้า.

             [๑๑๒๐]    ข้าพเจ้าไม่มีความพอใจ ไม่ตกลงใจ เพื่อจะปกครองราชสมบัติ ท่าน
                          เจตบุตรทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า ผู้ถูกขับไล่จากแว่นแคว้น
                          ชาวพระนครสีพี ทั้งพลนิกาย  และชาวนิคม คงไม่ยินดีว่า  ชาวเจตรัฐ
                          ราชาภิเษกข้าพเจ้า ผู้ถูกขับไปจากแว่นแคว้น  แม้ความไม่เบิกบานใจ
                          พึงมีแก่ท่านทั้งหลาย เพราะเหตุแห่งข้าพเจ้าเป็นแน่
  อนึ่ง ความบาด
                          หมางและความทะเลาะกับชาวสีพี  ข้าพเจ้าไม่ชอบใจ  ใช่แต่เท่านั้น
                          ความบาดหมางพึงรุนแรงขึ้น สงครามอันร้ายกาจก็อาจมีได้ คนเป็นอัน
                          มากพึงฆ่าฟันกันเอง เพราะเหตุแห่งข้าพเจ้าผู้เดียว สิ่งใดอันท่าน
                          ทั้งหลายให้แล้ว สิ่งนั้นทั้งหมดเป็นอันข้าพเจ้ารับไว้แล้ว
บรรณาการเป็น
                          อันท่านทั้งหลายกระทำแล้วทุกอย่าง พระราชาทรงพิโรธข้าพเจ้า ข้าพเจ้า
                          จะไปยังเขาวงกต ขอท่านทั้งหลายจงให้ข้าพเจ้าทราบโอกาสเป็นที่อยู่ใน
                          ป่านั้นเถิด.
             [๑๑๒๑]    เชิญเถิด ราชฤาษีทั้งหลายผู้ทรงบูชาไฟ มีพระทัยตั้งมั่นประทับอยู่ ณ
                          ประเทศใด  ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายจักกราบทูลประเทศนั้นให้ทรงทราบ
                          เหมือนอย่างผู้ฉลาดในหนทาง ฉะนั้น ข้าแต่พระมหาราชา โน่นภูเขา
                          ศิลาชื่อว่าคันธมาทน์  อันเป็นสถานที่ที่พระองค์พร้อมด้วยพระโอรส
                          พระธิดาและพระชายาสมควรจักประทับอยู่ พระเจ้าข้า.

             [๑๑๒๒]    พระยาเจตราชทั้งหลายก็ทรงกรรแสง พระเนตรนองด้วยอัสสุชล กราบ
                          ทูลพระเวสสันดรให้ทรงสดับว่า ข้าแต่พระมหาราชา จากนี้ไป ขอ
                          เชิญพระองค์ทรงบ่ายพระพักตร์ไปทางทิศอุดร  เสด็จสัญจรตรงไปยัง
                          สถานที่ที่มีภูเขานั้น ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระเจริญ  ลำดับนั้นพระองค์
                          จักทรงเห็นภูเขาเวปุลบรรพต  อันดาดาษไปด้วยหมู่ไม้นานาพรรณ มีเงา
                          ร่มเย็น  เป็นที่รื่นรมย์ใจ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระเจริญ  พระองค์เสด็จ
                          ล่วงเลยเวปุลบรรพตนั้นแล้ว ถัดนั้นไป จักได้ทรงเห็นแม่น้ำอันมีนาม
                          ว่าเกตุมดีเป็นแม่น้ำลึก ไหลมาจากซอกเขา เกลื่อนกล่นไปด้วยฝูงปลา
                          หลากหลาย  มีท่าน้ำราบเรียบดี มีน้ำมาก  พระองค์จะได้สรงสนาน
                          แลเสวยในแม่น้ำนั้น  ปลุกปลอบพระราชโอรส และพระราชธิดา ให้
                          สำราญพระทัย  ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระเจริญ ถัดนั้นไป พระองค์จะ
                          ได้ทรงเห็นต้นไทรอันมีผลหวานฉ่ำ อยู่บนยอดเขาอันเป็นที่รื่นรมย์ มี
                          เงาร่มเย็น เป็นที่เบิกบานใจ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระเจริญ ถัดนั้นไป

                          พระองค์จะได้ทรงเห็นภูเขาศิลาชื่อว่านาลิกบรรพต  อันเกลื่อนกล่นไป
                          ด้วยฝูงนกนานาชนิด เป็นที่ชุมนุมแห่งหมู่กินนร ทางทิศอีสาณแห่ง
                          นาลิกบรรพตนั้น มีสระน้ำชื่อว่ามุจลินท์ดาดาษไปด้วยบุณฑริกบัวขาว
                          และดอกไม้มีกลิ่นหอมหวน เชิญพระองค์ผู้เป็นดังพระยาราชสีห์มีความ
                          จำนงเหยื่อ เสด็จเข้าไปยังไพรสณฑ์วนสถาน อันเป็นภูมิภาคเขียวชอุ่ม
                          ดังเมฆอยู่เป็นนิตย์ สะพรั่งไปด้วยไม้มีดอกและไม้มีผลทั้งสองอย่างใน
                          ไพรสณฑ์นั้น มีฝูงวิหคมากมายต่างๆ สี มีเสียงเสนาะกลมกล่อม
                          ต่างส่งเสียงประสานกันอยู่บนต้นไม้อันเผล็ดดอกตามฤดูกาล พระองค์
                          เสด็จถึงซอกเขาอันเป็นทางเดินลำบาก เป็นแดนเกิดแห่งแม่น้ำทั้งหลาย
                          จะได้ทอดพระเนตรเห็นสระโบกขรณี อันดาดาษไปด้วยสลอดและกุ่มน้ำ
                          มีหมู่ปลาหลากหลายเกลื่อนกล่น มีท่าราบเรียบ มีน้ำมากเปี่ยมอยู่เสมอ
                          เป็นสระสี่เหลี่ยม  มีน้ำจืดดีปราศจากกลิ่นเหม็น พระองค์ควรทรงสร้าง
                          บรรณศาลาทางทิศอีสาณ แห่งสระโปกขรณีนั้น
ครั้นทรงสร้างบรรณ-
                          ศาลาสำเร็จแล้ว ควรทรงบำเพ็ญเพียรเลี้ยงพระชนม์ชีพ ด้วยการเที่ยว
                          แสวงหามูลผลาหาร.
(นี้) ชื่อวนปเวสนกัณฑ์


ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด


             [๑๑๒๓]    พราหมณ์ ชื่อว่าชูชกอยู่ในเมืองกลิงครัฐ ภรรยาของพราหมณ์นั้นเป็นสาว
                          มีชื่อว่าอมิตตตาปนา ถูกพวกผู้หญิงในบ้านนั้น  ซึ่งพากันไปตักน้ำที่ท่า
                          น้ำมารุมกันด่าว่าอย่างอึงมี่ว่า มารดาของเจ้าคงเป็นศัตรูแน่ และบิดาของ
                          เจ้าก็คงเป็นศัตรูแน่นอน จึงได้ยกเจ้าซึ่งยังเป็นสาวรุ่นดรุณี ให้แก่
                          พราหมณ์ชราเห็นปานนี้ ไม่เกื้อกูลเลยหนอ
พวกญาติของเจ้าแอบปรึกษา

                          กันยกเจ้าผู้ยังเป็นสาวรุ่นๆ ให้แก่พราหมณ์เฒ่าเห็นปานนี้  เป็นความ
                          ชั่วหนอ
ที่พวกญาติของเจ้าแอบปรึกษากัน ยกเจ้าผู้ยังเป็นสาวรุ่นๆ
                          ให้แก่พราหมณ์เฒ่าเห็นปานนี้  เป็นความลามกมากหนอ ที่พวกญาติ
                          ของเจ้าแอบปรึกษากัน ยกเจ้าผู้ยังเป็นสาวรุ่นๆ ให้แก่พราหมณ์เฒ่าเห็น
                          ปานนี้หนอ ไม่น่าพอใจเลยหนอ ที่พวกญาติของเจ้าแอบปรึกษากัน

                          ยกเจ้าซึ่งเป็นสาวรุ่นๆ ให้แก่พราหมณ์เฒ่าเห็นปานนี้ เจ้าคงไม่พอใจอยู่
                          กับผัวแก่ การที่เจ้าอยู่ในเรือนของพราหมณ์เฒ่า  เจ้าตายเสียดีกว่าอยู่
                          ดูกรแม่คนงามคนสวย  มารดาและบิดาของเจ้าคงหาชายอื่นให้เป็นผัว
                          ไม่ได้แน่  จึงยกเจ้าซึ่งยังเป็นสาวรุ่นๆ ให้แก่พราหมณ์เฒ่าเห็นปานนี้
                          เจ้าคงจักบูชายัญไว้ไม่ดีในดิถีที่ ๙  คงจักไม่ได้ทำการบูชาไฟไว้ เจ้าคง

                          จักด่าสมณพราหมณ์ผู้มีพรหมจรรย์เป็นเบื้องหน้า ผู้มีศีล เป็นพหูสูต
                          ในโลกเป็นแน่  เจ้าจึงได้มาอยู่ในเรือนของพราหมณ์แก่แต่ยังสาวรุ่นๆ
                          อย่างนี้ การที่ถูกงูกัดก็ไม่เป็นทุกข์ การที่ถูกแทงด้วยหอกก็ไม่เป็นทุกข์
                          การที่ได้เห็นผัวแก่นั้นแลพึงเป็นทุกข์ด้วย เป็นความร้ายกาจด้วย  การ
                          เล่นหัวย่อมไม่มีกับผัวแก่  การรื่นรมย์ย่อมไม่มีกับผัวแก่  การเจรจา

                          ปราศรัยย่อมไม่มีกับผัวแก่  แม้การกระซิกกระซี้ก็ไม่งาม แต่เมื่อใด
                          ผัวหนุ่มเมียสาวเย้าหยอกกันอยู่ในที่ลับ เมื่อนั้น ความเศร้าทุกอย่างที่
                          เสียดแทงหทัยอยู่ย่อมพินาศไปสิ้น เจ้ายังเป็นสาวรูปสวย พวกชายหนุ่ม
                          ปรารถนายิ่งนัก เจ้าจงไปอยู่เสียที่ตระกูลญาติเถิด พราหมณ์แก่จักให้
                          เจ้ารื่นรมย์ได้อย่างไร
.

             [๑๑๒๔]    ดูกรท่านพราหมณ์ ฉันจักไม่ไปตักน้ำที่แม่น้ำเพื่อท่านอีกต่อไป เพราะ
                          พวกหญิงชาวบ้านมันรุมด่าฉัน  เหตุที่ท่านเป็นคนแก่.
             [๑๑๒๕]    เธออย่าได้ทำการงานเพื่อฉันเลย อย่าได้ตักน้ำมาเพื่อฉันเลย ฉันจัก
                          ตักน้ำเอง เธออย่าโกรธเลย.
             [๑๑๒๖]    ฉันไม่ได้เกิดในสกุลที่ใช้สามีให้ตักน้ำ ท่านพราหมณ์ขอจงรู้อย่างนี้ว่า
                          ฉันจักไม่อยู่ในเรือนของท่าน ถ้าท่านจักไม่นำทาสหรือทาสีมาให้ฉัน
                          ท่านพราหมณ์จงทราบอย่างนี้ว่า ฉันจักไม่อยู่ในสำนักของท่าน.

             [๑๑๒๗]    ดูกรพราหมณี ศิลปกรรมหรือทรัพย์และข้าวเปลือกของฉันไม่มี ฉัน
                          จักนำทาสหรือทาสีมาให้เธอแต่ที่ไหน
ฉันจักบำรุงเธอ เธออย่าโกรธเลย.
             [๑๑๒๘]    มานี่เถิด  ฉันจักบอกให้แก่ท่านตามคำที่ฉันได้ฟังมา พระเวสสันดรราช-
                          ฤาษีประทับอยู่ ณ เขาวงกต ท่านพราหมณ์จงไปทูลขอทาสและทาสีกะ
                          พระองค์เถิด เมื่อท่านทูลขอแล้ว พระองค์จักพระราชทานทาสและทาสี
                          แก่ท่าน
.
             [๑๑๒๙]    ฉันเป็นคนชราทุพลภาพ ทั้งหนทางก็ไกลเดินไปได้ยาก เธออย่ารำพัน
                          ไปเลย  อย่าเสียใจเลย ฉันจักบำรุงเธอ เธออย่าโกรธเลย
.

             [๑๑๓๐]    คนขลาดยังไม่ทันถึงสนามรบ ไม่ทันได้รบก็ยอมแพ้ ฉันใด ท่าน
                          พราหมณ์ยังไม่ทันได้ไปก็ยอมแพ้ ฉันนั้น ถ้าท่านพราหมณ์จักไม่นำทาส
                          หรือทาสีมาให้ฉัน ขอท่านจงทราบไว้อย่างนี้ว่า ฉันจักไม่อยู่ในเรือนของ
                          ท่าน ฉันจักกระทำอาการไม่พอใจให้แก่ท่าน ข้อนั้นจักเป็นความทุกข์
                          ของท่าน ในคราวมหรสพซึ่งมีในต้น ฤดูนักขัตฤกษ์ ท่านจักได้เห็นฉัน
                          ผู้แต่งตัวสวยงาม รื่นรมย์อยู่กับชายอื่นๆ
ข้อนั้นจักเป็นทุกข์ของท่าน

                          ดูกรท่านพราหมณ์ เมื่อท่านซึ่งเป็นคนแก่รำพันอยู่ เพราะไม่เห็นฉัน
                          ร่างกายที่งอก็จักงอยิ่งขึ้น ผมที่หงอก
ก็จักหงอกมากขึ้น.

             [๑๑๓๑]    ลำดับนั้น พราหมณ์ตกใจกลัว ตกอยู่ในอำนาจของนางพราหมณี ถูก
                          กามราคะบีบคั้น
ได้กล่าวกะนางพราหมณีว่า ดูกรนางพราหมณี เธอจง
                          ทำเสบียงเดินทางให้ฉัน ทั้งขนมงา ขนมเทียน สตูก้อน สตูผง
                          และข้าวผอก เธอจงจัดให้ดีๆ ฉันจักนำพระพี่น้องสองกุมารมาให้เป็น
                          ทาส
พระกุมารทั้งสองนั้นเป็นผู้ไม่เกียจคร้าน  จักบำเรอเธอทั้งกลางคืน
                          กลางวัน
.

             [๑๑๓๒]    พราหมณ์ชูชกผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพรหม สวมรองเท้าแล้วพร่ำสั่งเสียต่อ
                          ไป  กระทำประทักษิณภรรยา  สมาทานวัตร  มีหน้านองด้วยน้ำตา
                          หลีกไปสู่นครอันเจริญรุ่งเรืองของชาวสีพี เที่ยวแสวงหาทาสทาสี.
             [๑๑๓๓]    พราหมณ์ชูชกไปในนครนั้นแล้ว ได้ถามประชาชนที่มาประชุมกันอยู่
                          ในที่นั้นๆ ว่า พระเวสสันดรราชประทับอยู่ ณ ที่ไหน เราทั้งหลาย
                          จะไปเฝ้าพระองค์ผู้บรมกษัตริย์ ณ ที่ไหน ชนทั้งหลายผู้มาประชุมกันอยู่
                          ณ ที่นั้นได้ตอบพราหมณ์นั้นว่า ดูกรท่านพราหมณ์ พระเวสสันดรบรม-
                          กษัตริย์  ถูกพวกท่านเบียดเบียน เพราะทรงให้ทานมากไป ต้องทรงพา
                          พระราชโอรสพระราชธิดา และพระอัครมเหสีไปประทับอยู่ ณ เขาวงกต.

             [๑๑๓๔]    พราหมณ์นั้นผู้มีความติดใจในกาม ถูกนางพราหมณีตักเตือน ได้เสวย-
                          ทุกข์เป็นอันมากในป่าอันเกลื่อนกล่นไปด้วยสัตว์ร้าย เป็นที่เสพอาศัยแห่ง
                          แรดและเสือเหลือง แกถือไม้เท้าสีเหมือนผลมะตูม อีกทั้งเครื่องบูชาไฟ
                          และเต้าน้ำ เข้าไปสู่ป่าใหญ่ โดยทางที่ได้ทราบข่าวซึ่งพระหน่อกษัตริย์
                          ผู้ประทานตามประสงค์ เมื่อพราหมณ์นั้นเข้าไปสู่ป่าใหญ่ถูกสุนัขล้อมไล่
                          ตาแกร้องเสียงขรม เดินหลงทางห่างออกไปไกล  ลำดับนั้น พราหมณ์
                          ผู้โลภในโภคะ ไม่มีความสำรวม (ถูกสุนัขล้อมไล่) หลงทางที่จะไปสู่
                          เขาวงกต (และนั่งอยู่บนต้นไม้) ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า.

             [๑๑๓๕]    ใครเล่าหนอจะพึงบอกพระราชบุตรพระนามว่า เวสสันดรผู้ประเสริฐ
                          ทรงชำนะความตระหนี่อันใครให้แพ้ไม่ได้ ทรงให้ความปลอดภัยในเวลา
                          มีภัยแก่เราได้ พระองค์เป็นที่พึ่งของพวกยาจก ดังธรณีเป็นที่พึ่งของสัตว์
                          ทั้งหลายฉะนั้น
ใครจะพึงบอกซึ่งพระเวสสันดรมหาราชผู้เปรียบเหมือน
                          แม่ธรณีแก่เราได้ พระองค์เป็นที่ไปเฝ้าของพวกยาจก ดังสาครเป็นที่
                          ไหลไปรวมแห่งแม่น้ำทั้งหลายฉะนั้น  ใครจะพึงบอกซึ่งพระเวสสันดร
                          มหาราช ผู้เปรียบเหมือนสาครแก่เราได้ พระองค์เป็นดังสระน้ำ มีท่า
                          อันงามราบเรียบ ลงดื่มได้ง่าย มีน้ำเย็นเป็นที่รื่นรมย์ใจ ดาดาษไปด้วย
                          บุณฑริกบัวขาบ สะพรั่งด้วยเกสรบัว ใครจะพึงบอกซึ่งพระเวสสันดร
                          มหาราชผู้เปรียบเหมือนสระน้ำแก่เราได้ ใครจะพึงบอกซึ่งพระเวสสันดร
                          มหาราช  ผู้เปรียบเหมือนต้นโพธิ์ใบที่เกิดอยู่ใกล้ทาง  มีเงาร่มเย็นน่า
                          รื่นรมย์ใจ เป็นที่พักอาศัยของคนเดินทาง ผู้เมื่อยล้าเหน็ดเหนื่อยมาใน

                          เวลาร้อน แก่เราได้
ใครจะพึงบอกซึ่งพระเวสสันดรมหาราช ผู้เปรียบ
                          เหมือนต้นไทรที่เกิดอยู่ใกล้ทาง มีเงาร่มเย็นน่ารื่นรมย์ใจ  เป็นที่พัก
                          อาศัยของคนเดินทาง  ผู้เมื่อยล้าเหน็ดเหนื่อยในเวลาร้อน  แก่เราได้
                          ใครจะพึงบอกพระเวสสันดรมหาราช ผู้เปรียบเหมือนต้นมะม่วงที่เกิดอยู่
                          ใกล้ทาง มีเงาร่มเย็นน่ารื่นรมย์ใจ เป็นที่พักอาศัยของคนเดินทาง ผู้เมื่อย-
                          ล้าเหน็ดเหนื่อยมาในเวลาร้อน แก่เราได้ ใครจะพึงบอกซึ่งพระเวสสันดร
                          มหาราช ผู้เปรียบเหมือนต้นรังที่เกิดอยู่ใกล้ทาง  มีเงาร่มเย็นน่ารื่นรมย์
                          ใจ เป็นที่พักอาศัยของคนเดินทาง ผู้เมื่อยล้าเหน็ดเหนื่อยมาในเวลาร้อน
                          แก่เราได้ ใครจะพึงบอกซึ่งพระเวสสันดรมหาราช ผู้เปรียบเหมือนต้นไม้
                          ใหญ่ที่เกิดอยู่ใกล้ทาง มีเงาร่มเย็นน่ารื่นรมย์ใจ เป็นที่พักอาศัยของคน
                          เดินทาง ผู้เมื่อยล้าเหน็ดเหนื่อยมาในเวลาร้อน แก่เราได้ ก็เมื่อเราเข้า
                          ไปในป่าใหญ่ เพ้อรำพันอยู่อย่างนี้  ผู้ใดจะพึงบอกว่า เรารู้ ผู้นั้นยัง
                          ความยินดีให้เกิดแก่เรา เมื่อเราเข้าไปในป่าใหญ่เพ้อรำพันอยู่อย่างนี้
                          ผู้ใดพึงบอกที่ประทับของพระเวสสันดรว่า เรารู้จัก ผู้นั้นประสบบุญ
                          เป็นอันมาก ด้วยวาจาคำเดียวนั้น
.

             [๑๑๓๖]    นายเจตบุตรเป็นพรานเที่ยวอยู่ในป่า ได้ตอบแก่ชูชกนั้นว่า ดูกรพราหมณ์
                          พระหน่อกษัตริย์  ถูกพวกท่านรบกวน เพราะทรงบำเพ็ญทานอย่างยิ่ง
                          จึงถูกเนรเทศจากแคว้นของพระองค์มาประทับอยู่ ณ เขาวงกต  ดูกร
                          พราหมณ์  พระหน่อกษัตริย์ถูกพวกท่านรบกวน เพราะทรงบำเพ็ญทาน
                          อย่างยิ่ง ต้องทรงพาพระโอรสพระธิดาและพระมเหสีมาประทับอยู่ ณ เขา
                          วงกต ท่านผู้มีปัญญาทราม ทำแต่กิจที่ไม่ควรทำ ยังออกจากแว่นแคว้น
                          ตามมาถึงป่าใหญ่ เที่ยวแสวงหาพระราชบุตรดุจนกยางเที่ยวหาปลาอยู่ใน
                          น้ำฉะนั้น  แน่ะพราหมณ์ เราจักไม่ให้ชีวิตแก่เจ้าในที่นี้
ลูกศรที่เราจะยิง
                          นี้แหละ จักดื่มเลือดเจ้า ดูกรพราหมณ์ เราจักตัดหัวของเจ้า เชือด
                          เอาหัวใจพร้อมทั้งไส้พุง แล้วจักบูชาปันถสกุณยัญพร้อมด้วยเนื้อของเจ้า
                          ดูกรพราหมณ์  เราจักเชือดหัวใจของเจ้า  ยกขึ้นเป็นเครื่องเซ่นสรวง
                          พร้อมด้วยเนื้อ มันข้น และมันในสมองของเจ้า ดูกรพราหมณ์ ข้อนั้น
                          จักเป็นยัญที่เราบูชาดีแล้ว เซ่นสรวงดีแล้ว ด้วยเนื้อของเจ้า เจ้าจักนำ
                          พระมเหสีและพระโอรสพระธิดาของพระราชบุตรไปไม่ได้
.

             [๑๑๓๗]    ดูกรเจตบุตร  จงฟังเราก่อน พราหมณ์ผู้เป็นทูต เป็นคนหาโทษมิได้
                          เพราะเหตุนั้นแล คนทั้งหลายย่อมไม่ฆ่าทูต นี้เป็นธรรมเนียมสืบเนื่อง
                          มาแต่โบราณ
ชาวสีพีทุกคนยินยอมแล้ว พระบิดาก็ทรงปรารถนาจะพบ
                          พระราชบุตรและพระมารดาของพระราชบุตรนั้น ทรงทุพพลภาพ พระเนตร
                          ทั้งสองของพระมารดานั้นจักขุ่นมัวในไม่ช้า เราเป็นทูตที่ชาวสีพีเหล่านั้น
                          ส่งมา  ดูกรเจตบุตร จงฟังเราก่อน เราจักนำพระราชบุตรเสด็จกลับ
                          ถ้าเจ้ารู้ จงบอกหนทางแก่เรา
.
             [๑๑๓๘]    ดูกรพราหมณ์ ท่านเป็นทูตที่รักของพระเวสสันดรผู้เป็นที่รักของข้าพเจ้า
                          ข้าพเจ้าจะให้เต้าน้ำผึ้ง และ
ขาเนื้อย่างเป็นบรรณาการแก่ท่าน และ
                          จักบอก
ประเทศที่พระเวสสันดรหน่อกษัตริย์ผู้ให้สำเร็จความประสงค์ประ
                          ทับอยู่
แก่ท่าน.
(นี้) ชื่อชูชกบรรพ


ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด


             [๑๑๓๙]    ดูกรมหาพราหมณ์  นั่นภูเขาคันธมาทน์อันล้วนแล้วด้วยหิน  พระ-
                          เวสสันดรเจ้า พร้อมด้วยพระโอรสพระธิดาและพระมเหสีทรงเพศนัก
                          บวชอันประเสริฐ  ทรงขอสำหรับสอยผลไม้ เครื่องบูชาไฟและชฎา
                          ทรงนุ่งห่มหนังเสือ บรรทมเหนือแผ่นดิน  ทรงบูชาไฟ ประทับอยู่
                          ณ อาศรมใด เมื่อท่านบ่ายหน้าเดินทางไปทางทิศอุดร จะได้เห็นอาศรม
                          นั้น  นั่นหมู่ไม้เขียวชะอุ่ม ทรงผลต่างๆ ย่อมปรากฏ ดังภูเขาอัญชน-
                          บรรพต
เขียวชะอุ่ม  มียอดสูงตระหง่าน  คือ ไม้ตะแบก หูกวาง

                          ไม้ตะเคียน  ไม้รัง ไม้ตะคร้อ ไม้ยางทราย ย่อมหวั่นไหวไปตามลม
                          ดังมาณพดื่มสุราคราวเดียวก็ซวนเซไปมาอยู่ฉะนั้น  ท่านได้ฟังเสียงฝูง
                          นกอันจับอยู่บนกิ่งไม้ปานดังเสียงเพลงขับทิพย์ คือ นกโพระดก นก
                          ดุเหว่า นกกระจง  พลางส่งเสียงร้องบินจากต้นไม้โน้นมาสู่ต้นไม้นี้
                          ทั้งหมู่ไม้ที่ต้องลมพัดสะบัดกิ่งและใบเสียดสีกันคล้ายกับจะเรียกคนผู้-
                          กำลังเดินไปให้หยุด และเหมือนดังชักชวนคนผู้จะผ่านไปให้ยินดีชื่นชม

                          พักผ่อน พระเวสสันดรเจ้า พร้อมด้วยพระโอรสพระธิดาและพระมเหสี
                          ทรงเพศเป็นพราหมณ์ ทรงขอสำหรับสอยผลไม้ เครื่องบูชาไฟและชฎา
                          ทรงนุ่งห่มหนังเสือ บรรทมเหนือแผ่นดิน ทรงบูชาไฟ ประทับอยู่ ณ
                          อาศรมใด เมื่อท่านบ่ายหน้าเดินไปทางทิศอุดรจะได้เห็นอาศรมนั้น.

             [๑๑๔๐]    ในบริเวณอาศรมนั้น มีหมู่ไม้มะม่วง มะขวิด ขนุน ไม้รัง ไม้หว้า สมอ
                          พิเภก สมอไทย มะขามป้อม ไม้โพธิ์ ไม้พุทรา มะพลับทอง ต้นไทร
                          และมะสัง มะซางหวาน และมะเดื่อ มีผลสุกแดงเรื่อๆ อยู่ในที่ต่ำๆ
                          คล้ายงาช้าง กล้วยหอม ผลจันทน์ มีรสหวานเหมือนน้ำผึ้ง รวงผึ้งไม่
                          มีตัว มีในที่นั้น คนเอื้อมมือปลิดมาบริโภคได้เอง ในบริเวณอาศรมนั้น
                          มีต้นมะม่วง  บางต้นออกช่อแย้มบาน บางต้นมีดอกและใบร่วงหล่น
                          ผลิผลดาษดื่น บางอย่างยังดิบ บางอย่างสุกแล้ว ผลมะม่วงดิบและสุก
                          ทั้งสองอย่างนั้น มีสีดังหลังกบ อนึ่ง ในบริเวณอาศรมนั้น บุรุษยืน
                          อยู่ในภายใต้ก็เก็บมะม่วงสุกกินได้ ผลมะม่วงดิบและสุกทั้งหลายมีสี

                          สวย กลิ่นหอมและรสอร่อยที่สุด  เหตุการณ์เหล่านี้เป็นที่น่าอัศจรรย์
                          แก่ข้าพเจ้าเหลือเกิน ถึงกับข้าพเจ้าออกอุทานว่า อือๆ ที่ประทับอยู่
                          ของพระเวสสันดรนั้น เป็นดังที่ประทับอยู่ของทวยเทพ ย่อมงดงาม
                          ปานด้วยนันทวัน
ต้นตาล ต้นมะพร้าว และอินทผลัม ที่มีอยู่ในป่า
                          ใหญ่มีดอกเรียงรายกันอยู่ เหมือนพวงมาลัยเขาร้อยไว้ หมู่ไม้เหล่านั้น
                          ย่อมปรากฏดังยอดธงชัย ในบริเวณอาศรมนั้น มีหมู่ไม้ต่างๆ พันธุ์ คือ
                          ไม้มูกมัน โกฐ สะค้าน แคฝอย ไม้บุนนาค บุนนาคเขา และไม้
                          ทรึก มีดอกบานสะพรั่งสีต่างๆ กัน เหมือนหมู่ดาวเรื่อเรืองอยู่บน
                          นภากาศฉะนั้น อนึ่ง ในบริเวณอาศรมนั้น มีไม้ราชพฤกษ์ ไม้มะเกลือ

                          กฤษณา รักดำ ต้นไทรใหญ่ ไม้รังไก่ ไม้ประดู่ มีดอกบานสะพรั่ง
                          ในบริเวณอาศรมนั้นมีไม้มูกหลวง ไม้สน ไม้กะทุ่ม ไม้ช่อ ไม้ตะแบก
                          นางรัง ล้วนมีดอกเป็นพุ่มพวงดังลอมฝาง บานในที่ไม่ไกลต่ออาศรมนั้น
                          มีสระโบกขรณี ณ ภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์ใจ ดาดาษไปด้วยดอกปทุมชาติ
                          และอุบล ดังสระโบกขรณีในสวนนันทวันของทวยเทพฉะนั้น อนึ่ง ณ
                          ที่ใกล้สระโบกขรณีนั้น  มีฝูงนกดุเหว่าเมารสดอกไม้ ส่งเสียงไพเราะ
                          จับใจ ทำป่านั้นให้ดังอึกทึกกึกก้อง ในเมื่อคราวหมู่ไม้ผลิดอกแย้มบาน
                          ตามฤดูกาลรสหวานดังน้ำผึ้งร่วงหล่นจากเกสรดอกไม้มาค้างอยู่บนใบบัว
                          ย่อมชื่อว่าน้ำผึ้งใบบัว (ขัณฑสกร) อนึ่ง ลมทางทิศทักษิณและทางทิศ

                          ประจิมย่อมพัดมาที่อาศรมนั้น  อาศรมเป็นสถานที่เกลื่อนกล่นไปด้วย
                          ละอองเกสรปทุมชาติ ในสระโบกขรณีนั้น มีกระจับขนาดใหญ่ๆ ทั้ง
                          ข้าวสาลีอ่อน บ้างแก่บ้างล้มดาษอยู่บนภาคพื้น และในสระโบกขรณีนั้น
                          น้ำใสสะอาดมองเห็นฝูงปลา เต่าและปูเป็นอันมาก สัญจรไปมาเป็นหมู่ๆ
                          รสหวานปานน้ำผึ้งย่อมไหลออกจากเหง้าบัว รสมันปานนมสดและเนยใส
                          ย่อมไหลออกจากสายบัว  ป่านั้นมีกลิ่นหอมต่างๆ ที่ลมรำเพยพัดมา
                          ย่อมหอมฟุ้งตลบไป ป่านั้นเหมือนดังจะชวนเชิญคนที่มาถึงแล้วให้
                          เบิกบาน ด้วยดอกไม้และกิ่งไม้ที่มีกลิ่นหอม  แมลงภู่ทั้งหลายต่างก็บิน
                          ว่อนวู่บันลือเสียงอยู่โดยรอบ ด้วยกลิ่นดอกไม้ อนึ่ง ที่ใกล้อาศรมนั้น

                          ฝูงวิหคเป็นอันมากมีสีต่างๆ กัน บันเทิงอยู่กับคู่ของตนๆ ร่ำร้องขาน
                          ขันแก่กันและกัน มีฝูงนกอีกสี่หมู่ทำรังอยู่ใกล้สระโบกขรณี คือ หมู่
                          ที่ ๑ ชื่อว่านันทิกา
ย่อมร้องทูลเชิญพระเวสสันดรเจ้า ให้ชื่นชมยินดี
                          อยู่ในป่านี้ หมู่ที่ ๒ ชื่อว่า ชีวปุตตา ย่อมร่ำร้องถวายพระพรให้
                          พระเวสสันดรพร้อมด้วยพระราชธิดาและพระอัครมเหสี จงมีพระชนม์
                          ยืนนานด้วยความสุขสำราญ หมู่ที่ ๓ ชื่อว่าชีวปุตตาปิยาจโน ย่อมร่ำร้อง
                          ถวายพระพรให้พระเวสสันดรพร้อมทั้งพระราชโอรสพระราชธิดาและ-
                          พระอัครมเหสี ผู้เป็นที่รักของพระองค์จงทรงพระสำราญ มีพระชนมายุ
                          ยืนนาน ไม่มีข้าศึกศัตรู หมู่ที่ ๔ ชื่อว่า ปิยาปุตตาปิยานันทา ย่อมร่ำร้อง

                          ถวายพระพรให้พระราชโอรสพระราชธิดาและพระอัครมเหสี จงเป็นที่รัก
                          ของพระองค์ ขอพระองค์จงเป็นที่รักของพระราชโอรสพระราชธิดาและ
                          พระอัครมเหสี ทรงชื่นชมโสมนัสต่อกันและกัน ดอกไม้ทั้งหลายย่อมตั้ง
                          เรียงรายกันอยู่  เหมือนพวงมาลัยที่เขาร้อยไว้  หมู่ไม้เหล่านั้นย่อม
                          ปรากฏดังยอดธงชัยมีดอกสีต่างๆ กัน ดังนายช่างผู้ฉลาดเก็บมาร้อยกรอง
                          ไว้ พระเวสสันดรเจ้า พร้อมด้วยพระราชโอรสพระธิดาและพระมเหสี
                          ทรงเพศเป็นพราหมณ์ ทรงขอสำหรับสอยผลไม้ เครื่องบูชาไฟและชะฎา
                          ทรงนุ่งห่มหนังเสือ บรรทมเหนือแผ่นดิน ทรงบูชาไฟประทับอยู่ ณ
                          อาศรมใด เมื่อท่านบ่ายหน้าไปทางทิศอุดร จะได้เห็นอาศรมนั้น.

             [๑๑๔๑]    เออ ก็ข้าวสตูผงอันระคนด้วยน้ำผึ้ง และข้าวสตูก้อนมีรสหวานอร่อยของ
                          ลุงนี้ อันนางอมิตตดาจัดแจงให้แล้ว ลุงจะแบ่งให้แก่เจ้า.
             [๑๑๔๒]    ข้าแต่ท่านพราหมณ์ จงเอาไว้เป็นเสบียงทางของท่านเถิด ข้าพเจ้าไม่
                          ปรารถนาเสบียงทาง ขอเชิญท่านจงรับน้ำผึ้งกับขาเนื้อย่างจากสำนักของ
                          ข้าพเจ้านี้ เอาไปเป็นเสบียงทางอีกด้วย และขอท่านจงไปตามสบายเถิด
                          หนทางนี้เป็นทางเดินได้คนเดียว ตรงลิ่วไปถึงอาศรมของอจุตฤาษี แม้
                          อจุตฤาษีอยู่ในอาศรมนั้นฟันเขลอะ มีผมเกลือกกลั้วด้วยธุลี ทรงเพศ
                          เป็นพราหมณ์ มีขอสำหรับสอยผลไม้ เครื่องบูชาไฟและชะฎา นุ่งห่ม
                          หนังเสือ นอนเหนือแผ่นดิน บูชาไฟ ลุงไปถึงแล้ว เชิญถามท่านเถิด
                          ท่านจักบอกหนทางให้แก่ลุง

             [๑๑๔๓]    ชูชกผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพราหมณ์ ได้ฟังคำของเจตบุตรดังนี้แล้ว มีจิต
                          ยินดีเป็นอย่างยิ่ง  กระทำประทักษิณเจตบุตรแล้ว ได้เดินทางตรงไป
                          ณ สถานที่อันอจุตฤาษีสถิตอยู่
.
จบ จุลวนวรรณนา


ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด


             [๑๑๔๔]    ชูชกพราหมณ์ภารทวาชโคตรนั้น เมื่อเดินไปตามทางที่เจตบุตรพรานป่า
                          แนะให้ ก็ได้พบอจุตฤาษี ครั้นแล้วได้เจรจาปราศรัยกับอจุตฤาษี ไต่ถาม
                          ถึงทุกข์สุขว่า
พระคุณเจ้าไม่มีโรคาพาธเบียดเบียนหรือ เป็นสุขสบาย
                          ดีหรือ เยียวยาอัตภาพด้วยการแสวงหาผลไม้สะดวกหรือ มูลมันผลไม้
                          มีมากหรือ เหลือบ ยุง และสัตว์เลื้อยคลานทีจะมีน้อยกระมัง ในป่า
                          อันเกลื่อนกล่นไปด้วยเนื้อร้าย ไม่มีกล้ำกรายเข้ามารบกวนแหละหรือ.

             [๑๑๔๕]    ดูกรพราหมณ์ เราไม่มีโรคาพาธเบียดเบียน เราเป็นสุขสบายดี เยียวยา
                          อัตภาพด้วยการแสวงหาผลไม้สะดวกดี มูลมันผลไม้ก็มีมาก  อนึ่ง
                          เหลือบ ยุง และสัตว์เลื้อยคลานก็น้อย  ในป่าอันเกลื่อนกลาดไปด้วย
                          เนื้อร้าย  ไม่มีกล้ำกรายมารบกวนเราเลย เมื่อเรามาอยู่ในอาศรมสิ้น
                          จำนวนปีเป็นอันมาก  เราไม่รู้สึกถึงความอาพาธอันไม่เป็นที่รื่นรมย์ใจ
                          เกิดขึ้นเลย ดูกรมหาพราหมณ์ ท่านมาดีแล้ว อนึ่ง ท่านมิได้มาร้าย
                          ดูกรท่านผู้เจริญ เชิญท่านเข้าไปภายใน เชิญล้างเท้าทั้งสองของท่าน
                          ผลมะพลับ ผลมะหาด ผลมะซาง ผลหมากเม่า มีรสหวานคล้ายน้ำผึ้ง
                          เชิญท่านเลือกบริโภคแต่ผลที่ดีๆ  แม้น้ำฉันก็เย็นสนิทเรานำมาจาก
                          ซอกเขา ดูกรมหาพราหมณ์ ถ้าท่านจำนงหวัง ก็เชิญดื่มตามสบายเถิด.

             [๑๑๔๖]    สิ่งใดอันพระคุณเจ้าให้แล้ว สิ่งนั้นทั้งหมดข้าพเจ้ารับไว้แล้ว บรรณาการ
                          อันพระคุณเจ้ากระทำแล้วทุกอย่าง ข้าพเจ้ามาแล้ว เพื่อจะเยี่ยมเยียน
                          พระเวสสันดรราชฤาษี ราชโอรสของพระเจ้ากรุงสัญชัย ซึ่งพลัดพราก
                          จากชาวสีพีมาช้านาน ถ้าพระคุณเจ้าทราบสถานที่ประทับ โปรดแจ้งแก่
                          ข้าพเจ้าด้วยเถิด.

             [๑๑๔๗]    ท่านมานี่เพื่อเป็นศรีสวัสดิ์ เพื่อมาเยี่ยมเยียนพระเวสสันดรเจ้าก็หาไม่
                          เราเข้าใจว่าท่านปรารถนา (จะมาขอ)
พระอัครมเหสีผู้เคารพนบนอบ
                          พระราชสวามีไปเป็นภรรยา หรือมิฉะนั้นท่านก็ปรารถนา (จะมาขอ)
                          พระกัณหาชินาราชกุมารีและพระชาลีราชกุมารไปเป็นทาสทาสี หรือไม่ก็
                          มาเพื่อจะนำเอา
พระมารดาและพระราชกุมารกุมารีทั้งสามพระองค์ไปจาก
                          ป่า ดูกรพราหมณ์ โภคสมบัติทรัพย์และข้าวเปลือกของพระองค์มิได้มี
.
             [๑๑๔๘]    ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่ท่านยังไม่สมควรจะโกรธเคือง เพราะข้าพเจ้ามิได้มาเพื่อ
                          ขอทาน การพบเห็นอริยชนเป็นความดี การอยู่ร่วมกับอริยชนเป็นสุขทุก
                          เมื่อ
พระเวสสันดรสีพีราชเสด็จพลัดพรากจากชาวสีพีมา ข้าพเจ้ายังมิได้
                          เห็นเลย ข้าพเจ้ามาเพื่อจะเยี่ยมเยียนพระองค์ ถ้าพระคุณเจ้าทราบสถาน
                          ที่ประทับ โปรดแจ้งแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด.

             [๑๑๔๙]    ดูกรมหาพราหมณ์ นั่นภูเขาคันธมาทน์อันล้วนแล้วด้วยหิน พระเวสสัน-
                          ดรเจ้า  พร้อมด้วยพระโอรสพระธิดาและพระมเหสี ทรงเพศนักบวช
                          อันประเสริฐ ทรงขอสำหรับสอยผลไม้  เครื่องบูชาไฟและชะฎา ทรง
                          นุ่งห่มหนังเสือ บรรทมเหนือแผ่นดิน ทรงบูชาไฟ ประทับอยู่ ณ
                          อาศรมใด  เมื่อท่านบ่ายหน้าเดินไปทางทิศอุดร  จะได้เห็นอาศรมนั้น
                          นั่นหมู่ไม้เขียวชะอุ่ม  ทรงผลต่างๆ ปรากฏดังภูเขาอัญชนบรรพตเขียว
                          ชะอุ่ม  มียอดสูงตระหง่าน  คือ ไม้ตะแบก หูกวาง ไม้ตะเคียน
                          ไม้รัง ไม้ตระคร้อ ไม้ยางทรายย่อมหวั่นไหวไปตามลม ดังมาณพดื่ม
                          สุราคราวเดียวก็ซวนเซไปมาอยู่ ฉะนั้น ท่านจะได้ฟังเสียงฝูงนกอันจับ
                          อยู่บนกิ่งไม้ ปานดังเสียงเพลงทิพย์  คือ  นกโพระดก  นกดุเหว่า
                          นกกระจง ส่งเสียงร้องบินจากต้นไม้โน้นมาสู่ต้นไม้นี้  ทั้งหมู่ไม้ที่ต้อง
                          ลมพัดสะบัดกิ่งและใบเสียดสีกัน  คล้ายกับจะเรียกคนผู้กำลังเดินทางไป

                          ให้หยุด และเหมือนดังชักชวนผู้จะผ่านให้ยินดีชื่นชมพักผ่อน พระเวส-
                          สันดรเจ้า  พร้อมด้วยพระโอรสพระธิดาและพระมเหสี  ทรงเพศเป็น
                          นักบวชอันประเสริฐ  ทรงขอสำหรับสอยผลไม้ เครื่องบูชาไฟและใส่ชะฎา
                          ทรงนุ่งห่มหนังเสือ บรรทมเหนือแผ่นดิน ทรงบูชาไฟ ประทับอยู่ ณ
                          อาศรมใด เมื่อท่านบ่ายหน้าเดินทางไปทางทิศอุดรจะได้เห็นอาศรมนั้น
                          ที่ภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์ใจ มีดอกกุ่มตกอยู่เรี่ยราด พื้นแผ่นดินเขียวชะอุ่ม
                          ไปด้วยหญ้าแพรก ณ ที่นั้นไม่มีธุลีฟุ้งขึ้นเลย หญ้านั้นมีสีเขียวคล้ายขน
                          คอนกยูงเปรียบด้วยสัมผัสแห่งสำลี
หญ้าทั้งหลายโดยรอบ ยาวไม่เกิน
                          ๔ องคุลี ต้นมะม่วง ต้นชมพู่ ต้นมะขวิดและมะเดื่อ มีผลสุก  อยู่
                          ในที่ต่ำๆ  ป่าไม้นั้นเป็นที่ให้เจริญความยินดี  เพราะมีหมู่ไม้ผลบริโภค
                          ได้เป็นอันมาก  น้ำใสสะอาดกลิ่นหอมดี สีดังแก้วไพฑูรย์ เป็นที่อยู่
                          ของฝูงปลา ไหลหลั่งมาในป่านั้น ภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์ใจ ในที่ไม่ไกล
                          อาศรมนั้น  มีสระโบกขรณีดารดาษไปด้วยปทุมชาติและอุบล  เหมือน
                          ดังที่มีอยู่ในนันทวันของทวยเทพ  ดูกรพราหมณ์ในสระนั้นมีอุบลชาติ
                          สามชนิด คือ เขียว ขาวและแดง งามวิจิตรมากมาย.

             [๑๑๕๐]    ในสระนั้นมีปทุมชาติดาษดื่น  สีขาวดังผ้าโขมพัสตร์  สระนั้นชื่อว่า
                          มุจลินท์ ดารดาษไปด้วยอุบลขาว จงกลณี และผักทอดยอด อนึ่งเล่า
                          ปทุมชาติในสระนั้นมีดอกบานสะพรั่งปรากฏหากำหนดประมาณมิได้ บ้าง
                          ก็บานในคิมหันตฤดู  บ้างก็บานในเหมันตฤดูปรากฏเหมือนตั้งอยู่ใน
                          น้ำลึกประมาณเพียงเข่า ปทุมชาติอันงามวิจิตรชูดอกสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอม
                          ฟุ้งตลบไป หมู่ภมรโผผินบินว่อนเสียงวู่ๆ อยู่โดยรอบเพราะกลิ่น
                          หอมแห่งบุปผชาติ.

             [๑๑๕๑]    ดูกรพราหมณ์ อนึ่งเล่า ที่ใกล้ขอบสระนั้นมีต้นไม้หลากหลายขึ้นออก
                          สะพรั่ง คือ ต้นกระทุ่ม ต้นแคฝอย และต้นทองหลาง ผลิดอกออก
                          สะพรั่ง ไม้ปรู ไม้ทราก ต้นปาริชาต ดอกบานสะพรั่ง ต้นกากะทิง
                          ต้นไม้เหล่านี้มีอยู่ที่สองฟาก  ปากสระมุจลินท์  ต้นซึก ต้นแคขาว
                          บัวบก ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไป ต้นคณฑีสอ  ต้นคณฑีเขมา และต้นประดู่
                          มีอยู่ ณ ที่ใกล้สระนั้น  ดอกสะพรั่ง ต้นมะคำไก่ ไม้มะทราง ต้นแก้ว
                          ต้นมะรุม  การเกด  กรรณิการ์  และชะบา  ไม้รกฟ้า  ไม้อินทนิล
                          ไม้สะท้อน  และทองกวาวมีดอกแย้มบานผลิดอกออกยอดพร้อมๆ กัน
                          รุ่งเรืองงาม ไม้มะรื่น  ไม้ตีนเป็ด กล้วย ต้นคำฝอย  นมแมว
                          คนทา  ประดู่ลาย ต้นสลอด มีดอกบานสะพรั่ง ต้นมะไฟ ต้นงิ้ว
                          ไม้ช้างน้าว พุดขาว กฤษณา  โกฐเขมา โกฐสอ  มีดอกบานสะพรั่ง
                          ต้นไม้ในบริเวณสระนั้นมีทั้งอ่อนและแก่  ต้นตรงไม่คดงอดอกบานตั้ง
                          อยู่สองข้างอาศรมโดยรอบเรือนไฟ.

             [๑๑๕๒]    อนึ่ง พรรณไม้เป็นอันมาก  เกิดขึ้นใกล้ขอบสระนั้น  คือ ตระไคร้
                          ถั่วเขียว ถั่วราชมาส สาหร่าย สันตะวา น้ำในสระนั้นถูกลมรำเพยพัด
                          เกิดเป็นละลอกกระทบฝั่ง มีหมู่แมลงบินวู่ว่อนเคล้าเอาเกสรดอกไม้ที่
                          แย้มบาน สีเสียดเทศ เต่าร้าง ผักบุ้งร้วม มีมากในที่ต่างๆ ดูกร-
                          พราหมณ์ ต้นไม้ทั้งหลายดารดาษไปด้วยกล้วยไม้  กลิ่นแห่งบุปผชาติ
                          ดังกล่าวแล้วนั้น  หอมตลบอยู่ ๗ วัน  ไม่พลันหาย บุปผชาติ
                          เกิดอยู่เรียงรายสองฝั่งสระมุจลินท์ ป่านั้นดารดาษไปด้วยต้นราชพฤกษ์
                          ย่อมงดงาม  กลีบดอกราชพฤกษ์นั้นหอมตลบอยู่กึ่งเดือนไม่เลือน
                          หาย  คัญชันเขียว  อัญชันขาว กุ่มแดง ดอกบานสะพรั่ง ป่านั้น
                          ดารดาษไปด้วยอบเชยและแมงรักเหมือนดังจะให้คนเบิกบานใจ ด้วย
                          ดอกไม้และกิ่งไม้อันมีกลิ่นหอม เหล่าภมรโผผินบินว่อนเสียงวู่ๆ อยู่
                          โดยรอบ เพราะกลิ่นหอมแห่งบุปผชาติ ดูกรพราหมณ์ ณ ที่ใกล้สระนั้น
                          มีฟักแฟง แตงน้ำเต้า ๓ ชนิด ชนิดหนึ่งผลโตเท่าหม้อ อีกสองชนิด
                          ผลโตเท่าตะโพน.

             [๑๑๕๓]    อนึ่ง  ที่ใกล้สระนั้นมีผักกาด กระเทียม หอม  เป็นอันมาก ต้นเต่ารั้ง
                          ตั้งอยู่สล้างดังต้นตาล อุบลเขียวมีเป็นอันมาก ขึ้นอยู่ริมน้ำพอเอื้อม
                          เด็ดได้ มลิวัน มนตำเลีย หญ้านาง อบเชย  อโศก  เทียนป่า
                          ดอกเข็ม  หางช้าง อังกาบ กากะทิง กระลำพัก ทองเครือ  ดอก
                          แย้มบานสะพรั่งขึ้นขนาน  ต้นชุมแสงขึ้นแซงแทรกคัดเค้าและชะเอม
                          มะลิซ้อน หงอนไก่ เทพทาโร แคฝอย ฝ้ายทะเล กรรณิการ์ ดอก
                          เบ่งบานงาม ปรากฏดังตาข่ายทองเปรียบด้วยเปลวไฟ บุปผชาติที่เกิด
                          บนบกและที่เกิดในน้ำ ปรากฏมีในสระนั้นทุกอย่าง สระมุจลินท์มีน้ำมาก
                          เป็นที่รื่นรมย์ ด้วยประการฉะนี้.

             [๑๑๕๔]    อนึ่ง  ในสระนั้นมีปลาซึ่งว่ายอยู่ในน้ำมากมาย  คือ ปลาตะเพียน
                          ปลาช่อน ปลาดุก จระเข้ ปลาฉลาม ณ ที่ใกล้สระนั้น มีชะเอมต้น
                          ชะเอมเครือ กำยาน ประยงค์ เนรภูสี แห้วหมู่ สัตตบุษ สมุลแว้ง
                          พิมเสน สามสิบ และกฤษณา เถากะไดลิง  มีมากมาย  บัวบก
                          โกฐขาว กระทุ่มเลือด ต้นหนาด ขมิ้น แก้วหอม หรดาล คำคูน
                          สมอพิเภก ไคร้เครือ พิมเสน และรางแดง.

             [๑๑๕๕]    อนึ่ง ในป่านั้นมีสัตว์หลายจำพวก คือ ราชสีห์ เสือโคร่ง ยักษิณี
                          หน้าฬา ช้างพัง ช้างพลาย เนื้อทราย เนื้อฟาน ละมั่ง นางเห็น
                          หมาจิ้งจอก หมาไน บ่าง กระรอก จามรี ชะนี ลิงลม ค่าง ลิง
                          ลิงจุ่น กวาง กระทิง หมี วัวเถื่อน มีมากมาย แรด หมู พังพอน
                          งูเห่า มีอยู่ที่ใกล้สระนั้น เป็นอันมาก กระบือ หมาไน หมาจิ้งจอก
                          กิ้งก่า จะกวด เหี้ย เสือดาว เสือเหลือง มีอยู่โดยรอบ กระต่าย
                          แร้ง ราชสีห์ และเสือปลา มีอยู่มากหลาย มีสกุณชาติมากมาย คือ
                          นกกวัก นกยูง หงส์ขาว ไก่ฟ้า ไก่ป่า ไก่เถื่อน นกหัสดีลิงค์
                          ร่ำร้องหากันและกัน นกยางโทน นกยางกรอก นกโพระดก นกต้อยตีวิด
                          นกกระเรียน เหยี่ยวดำ เหยี่ยวแดง นกช้อนหอย นกพริก นกคับแค
                          นกแขวก นกกด นกกระเต็นใหญ่ นกนางแอ่น นกคุ่ม นกกะทา
                          นกกระทุง นกกระจอก นกกระจาบ นกกระเต็นน้อย นกกางเขน
                          นกการเวก นกแอ่นลม นกเงือก นกออก สระมุจลินท์ เกลื่อนกล่น
                          ไปด้วยฝูงนกนานาชนิด กึกก้องไปด้วยเสียงสัตว์ต่างๆ.

             [๑๑๕๖]    อนึ่ง  ที่ใกล้สระนั้น มีนกมากมาย มีขนปีกงามวิจิตร มีเสียงไพเราะ
                          เสนาะโสต ย่อมปราโมทย์อยู่กับคู่เคียงส่งเสียงกู่ก้องร้องหากันและกัน
                          อนึ่ง  ที่ใกล้สระนั้น มีฝูงสกุณาทิชาชาติส่งเสียงร้องไพเราะไม่ขาดสาย
                          มีตางามประกอบด้วยเบ้าตาขาว มีขนปีกขนหางงามวิจิตร อนึ่ง ที่ใกล้
                          สระนั้นมีฝูงนกยูง  ส่งเสียงร้องไพเราะไม่ขาดสาย  มีสร้อยคอเขียว

                          ส่งเสียงร้องหากันและกัน ไก่เถื่อน ไก่ฟ้า นกเปล้า นกนางนวล
                          เหยี่ยวดำ เหยี่ยวนกเขา นกกาน้ำ นกแขกเต้า นกสาลิกา อนึ่ง
                          ที่ใกล้สระนั้น มีนกเป็นอันมาก เป็นพวกๆ คือ เหลือง แดง ขาว
                          นกหัสดีลิงค์   พระยาหงส์ทอง นกกาน้ำ นกแขกเต้า นกดุเหว่า
                          นกออก  หงส์ขาว  นกช้อนหอย นกเค้าแมว  ห่าน นกยาง

                          นกโพระดก นกต้อยตีวิด นกพิราบ หงส์แดง  นกจากพราก
                          นกเป็ดน้ำ นกหัสดีลิงค์ ส่งเสียงร้องน่ารื่นรมย์ใจ เหล่าสกุณาทิชาชาติ
                          ดังกล่าวแล้ว ต่างก็ส่งเสียงร้องกู่ก้องหากันทั้งเช้าและเย็นเป็นนิรันดร์
                          อนึ่ง ที่ใกล้สระนั้นมีสกุณาทิชาชาติมากมายสีต่างๆ กัน ย่อมบันเทิง
                          อยู่กับคู่เคียง ส่งเสียงกู่ก้องร้องเข้าหากันและกัน อนึ่ง ที่ใกล้สระนั้น

                          มีสกุณาทิชาชาติ มากมายสีต่างๆ กัน ทุกๆ ตัวต่างส่งเสียงอันไพเราะ
                          ระงมไพร ที่ใกล้สองฝั่งสระมุจลินท์ อนึ่ง ที่ใกล้สระนั้นมีสกุณาทิชาชาติ
                          ชื่อว่าการเวกมากมาย ย่อมปราโมทย์อยู่กับคู่เคียง ส่งเสียงกู่ก้องร้องหา
                          กันและกัน อนึ่ง ที่ใกล้สระนั้นมีสกุณาทิชาชาติชื่อว่าการเวก ทุกๆ
                          ตัวต่างส่งเสียงอันไพเราะระงมไพร  อยู่ที่สองฝั่งสระมุจลินท์ ป่านั้น

                          เกลื่อนกลาดไปด้วยเนื้อทรายและเนื้อฟาน เป็นสถานที่เสพอาศัยของ
                          ช้างพลายและช้างพัง  ดาษดื่นไปด้วยเถาวัลย์นานาชนิด  และเป็นที่
                          อาศัยของฝูงชะมด อนึ่ง ที่ป่านั้น มีธัญญาชาติมากมาย คือ หญ้ากับแก้
                          ลูกเดือย ข้าวสาลี อ้อย  มิใช่น้อยเกิดเองในที่ไม่ได้ไถ  ทางนี้เป็น
                          ทางเดินได้คนเดียว เป็นทางตรงไปจนถึงอาศรม คนผู้ไปถึงอาศรมของ

                          พระเวสสันดรนั้นแล้ว  ย่อมไม่มีความหิวกระหายหรือความไม่ยินดี

                          พระเวสสันดรเจ้าพร้อมด้วยพระโอรสพระธิดา และมเหสี ทรงเพศนัก
                          บวชอันประเสริฐ ทรงขอสำหรับสอยผลไม้  เครื่องบูชาไฟและชะฎา
                          ทรงนุ่งห่มหนังเสือ บรรทมเหนือแผ่นดิน ทรงบูชาไฟ ประทับอยู่
                          ณ อาศรมใด เมื่อท่านบ่ายหน้าไปทางทิศอุดรจะได้เห็นอาศรมนั้น.

             [๑๑๕๗]    ชูชกผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพราหมณ์  ครั้นได้สดับถ้อยคำของอจุตฤาษี
                          กระทำประทักษิณ มีจิตชื่นชมโสมนัส อำลามุ่งหน้าไปยังสถานที่ประ-
                          ทับของพระเวสสันดร.
จบ มหาวนวรรณนา


ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ปฐมเหตุ.. มหาเวสสันดรชาดก (นี้)ชื่อทารกบรรพ
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: สิงหาคม 21, 2012, 11:04:59 pm »



กัณฑ์ที่ ๘ กัณฑ์กุมาร พระเวสสันดร ตรัสเรียกพระชาลีและพระกัณหา
ให้ขึ้นมาจากที่ซ่อนในบึงบัว

             [๑๑๕๘]    ดูกรพ่อชาลี  เจ้าจงลุกขึ้นยืนเถิด การมาของพวกยาจกในวันนี้ปรากฏ
                          เหมือนการมาของพวกยาจกครั้งก่อนๆ  พ่อเห็น
เหมือนดังพราหมณ์
                          ความชื่นชมยินดีทำให้พ่อเกษมศานติ์.
             [๑๑๕๙]    ข้าแต่พระชนกนาถ  แม้เกล้ากระหม่อมฉันก็เห็นผู้นั้นปรากฏเหมือน
                          พราหมณ์  ดูเหมือนเป็นคนเดินทาง จักเป็นแขกของเราทั้งหลาย.
             [๑๑๖๐]    พระองค์ไม่มีโรคาพาธหรือหนอ พระองค์ทรงพระสำราญดีหรือ ทรง
                          เยียวยาอัตภาพด้วยการแสวงหาผลาหารสะดวกหรือ  ทั้งมูลมันผลไม้มี
                          มากหรือ เหลือบ ยุง และสัตว์เลื้อยคลาน มีน้อยแลหรือ ในป่า
                          อันเกลื่อนกล่นไปด้วยพาลมฤค ไม่มีมาเบียดเบียนแลหรือ.

             [๑๑๖๑]    ดูกรพราหมณ์ เราทั้งหลายไม่มีโรคาพาธเบียดเบียน อนึ่ง เราทั้งหลาย
                          เป็นสุขสำราญดี เราเยียวยาอัตภาพด้วยการหาผลาหารสะดวกดี ทั้งมูล
                          มันผลไม้ก็มีมาก ทั้งเหลือบยุงและสัตว์เลื้อยคลานก็มีน้อย  อนึ่ง  ใน
                          ป่าอันเกลื่อนกล่นไปด้วยพาลมฤค ก็ไม่มีมาเบียดเบียนแก่เรา เมื่อพวก
                          เรามาอยู่ในป่ามีชีวิตอันตรมเกรียมมาตลอด ๗ เดือน เราเพิ่งเห็นท่าน
                          ผู้เป็นพราหมณ์บูชาไฟ ทรงเพศอันประเสริฐ ถือไม้เท้าสีดังผลมะตูม
                          และลักจั่นน้ำนี้เป็นคนแรก ดูกรพราหมณ์  ท่านมาดีแล้ว อนึ่ง ท่าน
                          มิได้มาร้าย ดูกรท่านผู้เจริญ  เชิญท่านเข้ามาภายในเถิด เชิญท่านล้าง
                          เท้าของท่านเถิด ผลมะพลับ ผลมะหาด ผลมะทราง ผลหมากเม่า
                          มีรสหวานปานน้ำผึ้ง เชิญเลือกฉันแต่ผลที่ดีๆ เถิดท่านพราหมณ์ แม้
                          น้ำฉันนี้ ก็เย็นสนิท เรานำมาแต่ซอกเขา ดูกรพราหมณ์  ก็ท่าน
                          จำนงหวัง ก็เชิญดื่มตามสบายเถิด  ดังเราขอถาม ท่านมาถึง ป่าใหญ่
                          เพราะเหตุการณ์อะไรหนอ เราถามแล้ว ขอท่านจงบอกความนั้นแก่เรา
                          เถิด
.

             [๑๑๖๒]    ห้วงน้ำ (ในปัญจมหานที) เต็มเปี่ยมตลอดเวลาไม่เหือดแห้ง  ฉันใด
                          พระองค์มีพระหฤทัยเต็มเปี่ยมไปด้วยศรัทธา ฉันนั้น เกล้ากระหม่อมฉัน
                          กราบทูลขอแล้ว ขอพระองค์ทรงพระกรุณาพระราชทานสองปิโยรสแก่
                          ข้าพระองค์เถิด
.
             [๑๑๖๓]    ดูกรพราหมณ์  เรายอมให้ มิได้หวั่นไหว ท่านจงเป็นใหญ่พาเอาลูก
                          ทั้งสองของเราไปเถิด พระราชบุตรีมารดาของลูกทั้งสองนี้ เสด็จไปป่า
                          แต่เช้าเพื่อแสวงหาผลไม้ จักกลับจากการแสวงหาผลไม้ในเวลาเย็น
                          ดูกรพราหมณ์  เชิญท่านพักอยู่ราตรีหนึ่ง แล้วจึงไปในเวลาเช้า
ดูกร-
                          พราหมณ์  ท่านจงพาเอาลูกรักทั้งสอง  อันประดับด้วยดอกไม้ต่างๆ
                          ตกแต่งด้วยของหอมนานา พร้อมด้วยมูลมันและผลไม้หลายชนิดไปเถิด.

             [๑๑๖๔]    ข้าแต่พระองค์ผู้จอมทัพ ข้าพระองค์ไม่ชอบใจการพักอยู่  ข้าพระองค์
                          ยินดีจะไป  แม้อันตรายจะพึงมีแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอทูลลาไป
                          ทีเดียว  เพราะว่าธรรมดาสตรีเหล่านี้  เป็นผู้ไม่สมควรแก่การขอ  ย่อม
                          ทำอันตรายต่อบุญของทายก และลาภของยาจก
ย่อมรู้มารยา  ย่อมรับ
                          สิ่งทั้งปวงโดยข้างซ้าย เมื่อฝ่าพระบาททรงบำเพ็ญทานด้วยพระราชศรัทธา
                          ฝ่าพระบาท  อย่าได้ทรงเห็นพระมารดาของ พระปิโยรสทั้งสองเลย
                          ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ  พระมารดาของพระปิโยรสนั้นพึงกระทำ
                          แม้อันตรายได้ ข้าพระองค์ขอทูลลาไปทีเดียว  ขอพระองค์จงตรัสเรียก
                          พระลูกแก้วทั้งสองนั้นมา อย่าให้พระลูกแก้วทั้งสองได้ทันเห็นพระชนนี
                          เลย เมื่อพระองค์ทรงบำเพ็ญทานด้วยพระราชศรัทธา บุญย่อมเจริญด้วย
                          อาการอย่างนี้
ขอพระองค์ตรัสเรียกพระลูกแก้วทั้งสองนั้นมาอย่าให้
                          พระลูกแก้วทั้งสองได้ทันเห็นพระชนนีเลย
ข้าแต่พระราชา พระองค์
                          ทรงประทานทรัพย์  คือพระโอรสพระธิดาแก่ยาจกเช่นข้าพระองค์แล้ว
                          จักเสด็จไปสวรรค์.

             [๑๑๖๕]    ถ้าท่านไม่ปรารถนาจะเห็นภริยาของเราผู้มีวัตรอันงาม ท่านก็จงทูลถวาย
                          ชาลีกัณหาชินาทั้งสองนี้  แก่พระเจ้าสัญชัยมหาราชผู้พระอัยยกา ท้าวเธอ
                          ทอดพระเนตรเห็นพระกุมารทั้งสองนี้  ผู้มีเสียงไพเราะ กล่าววาจาน่ารัก
                          จะทรงปลื้มพระหฤทัยปรีดาปราโมทย์ จักพระราชทานทรัพย์แก่ท่านเป็น
                          อันมาก

             [๑๑๖๖]    ข้าแต่พระราชบุตร ขอพระองค์ทรงฟังข้าพระองค์ ข้าพระองค์กลัวต่อ
                          การที่จะถูกหาว่าฉกชิงเอาไป  สมเด็จพระเจ้าสญชัยมหาราชจะลงพระ-
                          ราชอาชญาข้าพระองค์ คือ จะพึงทรงขายหรือให้ประหารชีวิต ข้าพระ
                          องค์จะขาดทั้งทรัพย์ทั้งทาสและจะพึงถูกนางพราหมณี  ผู้เป็นเผ่าพันธุ์
                          พราหมณ์ติเตียนได้
.
             [๑๑๖๗]    พระมหาราชทรงสถิตในธรรม ทรงผดุงสีพีรัฐให้เจริญ ได้ทอดพระเนตร
                          เห็นสองพระกุมารนี้ผู้มีเสียงไพเราะ กล่าววาจาน่ารัก ได้พระปีติโสมนัส
                          แล้ว จักพระราชทานทรัพย์ แก่ท่านเป็นอันมาก.
             [๑๑๖๘]    พระองค์ทรงพร่ำสอนข้าพระองค์ สิ่งใดๆ ข้าพระองค์จักทำสิ่งนั้นๆ ไม่ได้
                          ข้าพระองค์จักนำสองพระกุมารไปเป็นทาสรับใช้ของนางพราหมณี.

             [๑๑๖๙]    ลำดับนั้น พระกุมารทั้งสอง คือ พระชาลี และพระกัณหาชินา ได้
                          สดับคำของชูชก ผู้หยาบช้า ตกพระทัยกลัว จึงพากันเสด็จวิ่งหนีไป
                          ในที่นั้นๆ.
             [๑๑๗๐]    ดูกรพ่อชาลีลูกรัก มานี่เถิด ลูกทั้งสองจงยังบารมีของพ่อให้เต็ม จง
                          ช่วยโสรจสรงหทัยของพ่อให้เย็นฉ่ำ จงทำตามคำของพ่อ ขอเจ้าทั้งสอง
                          จงเป็นดังยานนาวาของพ่อ  อันไม่หวั่นไหวในสาครคือภพ พ่อจักข้าม
                          ซึ่งฝั่งคือชาติ จักยังสัตว์โลกพร้อมทั้งทวยเทพให้ข้ามด้วย
ดูกรลูกกัณหา
                          มานี่เถิด เจ้าเป็นธิดาที่รัก ทานบารมีก็เป็นที่รักของพ่อ จงช่วยโสรจ
                          ทรงหทัยของพ่อให้เย็นฉ่ำ ขอจงทำตามคำของพ่อ ขอเจ้าทั้งสองจงเป็น
                          ยานนาวาของพ่อ อันไม่หวั่นไหวในสาครคือภพ พ่อจักข้ามซึ่งฝั่ง
คือ
                          ชาติจักช่วยสัตวโลกพร้อมทั้งทวยเทพใช้ข้ามด้วย.

             [๑๑๗๑]    ลำดับนั้น พระเวสสันดรผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญ ทรงพาพระกุมารทั้งสอง
                          คือ พระชาลีและพระกัณหาชินา  มาพระราชทานให้เป็นปุตตกทานแก่
                          พราหมณ์ ลำดับนั้น พระเวสสันดรผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญ ทรงพาพระ-
                          กุมารทั้งสอง คือ พระชาลี และพระกัณหาชินา มาพระราชทานให้
                          แก่พราหมณ์  มีพระหฤทัยชื่นบานในปุตตกทานอันอุดม  ในครั้งนั้น
                          เมื่อพระเวสสันดรราชฤาษี พระราชทานพระกุมารทั้งสอง ก็บังเกิดมี
                          ความบันลือลั่นน่าสะพรึงกลัว ขนพองสยองเกล้า เมทนีดลก็หวั่นไหว

                          พระเวสสันดรเจ้าผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญ ทรงประคองอัญชลี พระราชทาน
                          สองพระกุมารผู้เจริญด้วยความสุขให้เป็นทานแก่พราหมณ์ ก็บังเกิดมี
                          ความบันลือลั่น น่าสะพรึงกลัวขนพองสยองเกล้า.

             [๑๑๗๒]    ลำดับนั้น พราหมณ์ผู้หยาบช้านั้น เอาฟันกัดเถาวัลย์ให้ขาดแล้ว เอา
                          มาผูกพระหัตถ์ พระกุมารทั้งสองฉุดกระชากลากมา แต่นั้นพราหมณ์
                          นั้นจับเถาวัลย์ถือไม้เท้าทุบตีพระกุมารทั้งสองนำไป เมื่อพระเวสสันดร
                          สีพีราช กำลังทอดพระเนตรอยู่.

             [๑๑๗๓]    ลำดับนั้น สองพระกุมารพอหลุดพ้นจากพราหมณ์ก็รีบวิ่งหนีไป พระ-
                          เนตรทั้งสองนองไปด้วยน้ำอัสสุชล พระชาลี ชะเง้อมองดูพระบิดา
                          ทรงถวายบังคมพระยุคลบาทของพระบิดา พระวรกายสั่นระริกดังใบโพธิ์
                          ทรงถวายบังคมพระยุคลบาท พระบิดาแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระ-
                          ชนกนาถ ก็พระมารดาเสด็จออกไปป่า และพระบิดาทอดพระเนตร
                          เห็นแต่กระหม่อมฉัน ข้าแต่พระชนกนาถ ขอพระองค์ทรงทอด

                          พระเนตรเกล้ากระหม่อมฉันทั้งสองอยู่ก่อน  จนกว่าเกล้ากระหม่อมฉัน
                          ทั้งสองได้เห็นพระมารดา
ข้าแต่พระชนกนาถ พระมารดาเสด็จออกไป
                          ป่า  ขอพระบิดาทอดพระเนตรเห็นกระหม่อมฉันทั้งสองอยู่ก่อน ข้าแต่
                          พระชนกนารถ  ขอพระองค์อย่าเพิ่งพระราชทานเกล้ากระหม่อมฉันทั้ง
                          สอง จนกว่าพระชนนีของเกล้ากระหม่อมฉันจะเสด็จกลับมา
เมื่อนั้น
                          พราหมณ์นี้ จักขายหรือจักฆ่าก็ตามปรารถนา พราหมณ์ผู้หยาบช้านี้

                          ประกอบด้วยบุรุษโทษ ๑๘ ประการ คือมีเท้าคดทู่ตะแคง ๑ เล็บเน่า ๑
                          ปลีน่องย้อยยาน ๑ ริมฝีปากบนยาว ๑ น้ำลายไหลยืด ๑ เขี้ยวงอก
                          ออกเหมือนเขี้ยวหมู ๑ จมูกหักฟุบ ๑ ท้องพลุ้ยดังหม้อ ๑ หลังค่อม ๑
                          ตาข้างหนึ่งเล็กข้างหนึ่งใหญ่ ๑ หนวดแดง ๑ ผมบางเหลือง ๑ หนัง
                          ย่นเป็นเกลียว ตัวตกกระ ๑ ตาเหลือง ๑ คดสามแห่ง คือ ที่สะเอว
                          หลังและคอ ๑ ขากาง ๑ เดินดังกฏะกฏะ ๑ ขนตามตัวยาวและหยาบ ๑


                          นุ่งห่มหนังเสือเป็นอมนุษย์น่ากลัวเหลือเกิน เป็นมนุษย์หรือยักษ์มีเนื้อ
                          และเลือดเป็นเครื่องบริโภค ออกจากบ้านมาสู่ป่า  มาขอทรัพย์คือบุตร
                          กะพระองค์ ลูกทั้งสองกำลังถูกพราหมณ์ปีศาจนำไป
ข้าแต่พระชนกนาถ
                          กระไรหนอฝ่าพระบาททรงนิ่งเฉยอยู่ได้  พระหฤทัยของพระชนกนาถ
                          ปานดังหนึ่งหิน หรือดังว่ายึดมั่นด้วยพืดเหล็ก พระองค์ช่างไม่ทรงรู้สึก
                          ถึงลูกทั้งสอง ซึ่งถูกพราหมณ์ผู้แสวงหาทรัพย์หยาบคาย ผูกมัด แก
                          เฆี่ยนตีลูกทั้งสอง เหมือนนายโคบาลตีโคฉะนั้น
  ขอให้น้องกัณหาจง
                          อยู่ ณ ที่นี้แหละ เธอไม่รู้จักความทุกข์อะไรๆ เมื่อเธอไม่เห็นพระ
                          มารดาก็จะคร่ำครวญหาเหมือนลูกเนื้อที่ยังดื่มนมพลัดจากฝูง ไม่เห็นแม่
                          ก็จะร่ำไห้คร่ำครวญ ฉะนั้น.

มีต่อค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 17, 2013, 04:06:20 pm โดย ฐิตา »