ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องย่อในพระธรรมบท (สหัสสวรรค)  (อ่าน 7482 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: หัวข้อ: เรื่องย่อในพระธรรมบท (สหัสสวรรค)
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: สิงหาคม 16, 2011, 02:35:47 pm »

พระสัปปทาสเถระ

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระสัปปทาสเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า โย จ วสฺสสตํ ชีเว เป็นต้น

ครั้งหนึ่ง มีภิกษุรูปหนึ่งมีความเบื่อหน่ายที่จะครองเพศเป็นภิกษุ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกว่าเป็นการไม่สมควรที่ตนจะสึกออกไปเป็นคฤหัสถ์ จึงมีความคิดว่าตนเองควรจะฆ่าตัวตายในขณะที่ยังมีเพศเป็นพระภิกษุนี่แหละ หลังจากที่คิดเช่นนี้แล้ว อยู่มาวันหนึ่งก็ได้พยายามจะฆ่าตัวตายโดยล้วงมือเข้าไปหม้อที่เขาขังงูเอาไว้โดยจะให้งูกัดตาย แต่งูไม่ยอมกัดเพราะในอดีตชาติงูตัวนี้เคยเป็นทาสของภิกษุมาก่อน จากเหตุการณ์ครั้งนี้นี่เอง พระเถระจึงได้นามว่า พระสัปปทาสเถระ พระเถระได้พยายามฆ่าตัวตายเป็นครั้งที่สอง โดยกะจะเอามีดโกนเฉือนคอของตนเองให้ตาย แต่ขณะที่จ่อมีดโกนเข้าที่ก้านคออยู่นั้น ก็ได้ใคร่ครวญถึงศีลของตน ตั้งแต่อุปสมบทมา เห็นว่าตนมีศีลบริสุทธิ์ “ดังดวงจันทร์ปราศจากมลทิน และดังดวงมณีที่ขัดดี” เกิดปีติปราโมทย์ซาบซ่าทั่วร่างกาย เมื่อข่มปีติได้แล้ว ก็ได้เจริญวิปัสสนา จนได้บรรลุพระอรหัตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ท่านจึงถือมีดโกนเดินเข้าไปในวัด

เมื่อเดินไปถึงที่วัดแล้ว พระภิกษุอื่นๆเห็นจึงถามท่านว่า ท่านไปไหนมาและทำไมถึงถือมีดโกนเดินมาอย่างนี้ ท่านบอกว่าท่านกะฆ่าตัวตายด้วยการใช้มีดโกนเชือดคอ เมื่อพวกพระถามว่าแล้วทำไมถึงไม่ยอมเชือดคอให้ตายเสียเล่า ท่านได้ตอบว่า “แต่แรกผมก็ตั้งใจว่าจะเอามีดโกนนี้ตัดคอของคนเอง แต่ตอนนี้ได้ตัดกิเลสเสียสิ้นด้วยมีดโกนคือญาณ

พวกภิกษุไม่เชื่อในคำกล่าวอ้างของท่าน และได้เข้าไปเฝ้าพระศาสดาทูลถามว่า “พระเจ้าข้า ภิกษุรูปนี้อ้างว่าตนได้บรรลุอรหัตแล้ว ในขณะที่กำลังเอามีดจ่อคอจะฆ่าตัวตาย เป็นไปได้ละหรือที่ท่านจะบรรลุพระอรหัตได้ในช่วงเวลาสั้นๆเช่นนั้น” พระศาสดาตรัสว่า “เป็นอย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุผู้ปรารภความเพียร ยกเท้าวางบนพื้น เมื่อเท้ายังไม่ทันถึงพื้นเลย พระอรหัตตมรรคก็ได้เกิดขึ้น แท้จริง ความเป็นอยู่แม้เพียงชั่วขณะของท่านผู้ปรารภความเพียร ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ 100 ปีของบุคคลผู้เกียจคร้าน

จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 112 ว่า
โย จ วสฺสสตํ ชีเว
อปสฺสํ อุทยพฺพยํ
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย
ปสฺสโต อุทยพฺพยํฯ


(อ่านว่า)
โย จะ วัดสะสะตัง ชีเว
อะปัดสัง อุทะยับพะยัง
เอกาหัง ชีวิตัง เสยโย
ปัดสะโต อุทะยับพะยัง
.

(แปลว่า)
ผู้ไม่เห็นความเกิดดับ
ถึงจะมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี
สู้ผู้ที่เห็นความเกิดดับ
มีชีวิตอยู่แค่วันเดียว ไม่ได้
.

เมื่อสัทธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: หัวข้อ: เรื่องย่อในพระธรรมบท (สหัสสวรรค)
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: สิงหาคม 16, 2011, 03:20:34 pm »

เรื่องนางปฏาจารา

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระปฏาจาราเถรี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า โย จ วสฺสสตํ เป็นต้น

นางปฏาจารา เป็นธิดาเศรษฐีผู้มีสมบัติ 40 โกฏิในกรุงสาวัตถี เป็นหญิงรูปงามมาก ในตอนที่นางมีอายุ 16 ปี แม้ว่ามารดาบิดาจะเคร่งครัดมากถึงกับกักตัวให้ไปอยู่บนปราสาท 7 ชั้น แต่นางก็ไม่วายจะมีความสัมพันธ์ลับๆกับคนใช้ของนางคนหนึ่ง และในที่สุดทั้งสองคนก็ได้หนีตามกันไปอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ช่วยกันทำมาหากินตามประสายากจน เมื่ออยู่ร่วมฉันสามีภรรยากันมาไม่นาน นางก็ตั้งครรภ์บุตรคนแรก เมื่อครรภ์แก่ใกล้จะคลอดนางได้ขออนุญาตสามีจะเดินทางกลับไปคลอดบุตรในเรือนของบิดามารดาในกรุงสาวัตถี แต่สามีคัดค้านไม่ให้ไป วันหนึ่งตอนที่สามีไม่อยู่นางแอบได้เดินทางกลับไปที่กรุงสาวัตถีโดยลำพังและได้คลอดบุตรในระหว่างทาง สามีได้ติดตามไปพบแล้วนำตัวนางกับลูกกลับมาอยู่ที่หมู่บ้านตามเดิม

ต่อมานางก็ตั้งครรภ์บุตรคนที่สอง
และเมื่อครรภ์แก่นางก็ได้ลักลอบเดินทางจะกลับไปที่บ้านพ่อแม่ของนางที่กรุงสาวัตถีโดยได้พาบุตรคนแรกตามไปด้วย ข้างสามีก็ได้ติดตามนางไปเพื่อจะตามให้กลับ แต่แม้จะอ้อนวอนอย่างไรนางก็ไม่ยอมกลับ

ในที่สุดนางก็เกิดปวดท้องคลอดขึ้นมาอย่างกะทันหัน และในขณะเดียวกันก็ได้เกิดพายุฝนตกลงมาอย่างหนัก สามีจึงต้องออกหาที่สำหรับให้ภรรยาคลอดฉุกเฉิน ขณะที่เขากำลังถือมีดเดินหาที่เหมาะสำหรับให้ภรรยาคลอดอยู่นั้น ก็ได้เห็นจอมปลวกแห่งหนึ่งเป็นทำเลที่เหมาะมาก เขาจึงเอามีดถางหญ้าให้เตียน และก็เผอิญมีอสรพิษตัวหนึ่งเลื้อยออกมาจากจอมปลวกกัดเขาจนเสียชีวิต นางปฏาจารามองทางรอคอยสามีกลับมาและในที่สุดก็ได้คลอดบุตรคนที่สองออกมา พอถึงรุ่งเช้านางก็ใช้มือข้างหนึ่งอุ้มบุตรที่คลอดใหม่เข้าสะเอว และใช้มืออีกข้างหนึ่งจูงบุตรออกเที่ยวเดินหาสามีจนไปพบศพนอนตายอยู่ที่ข้างจอมปลวก นางรำพึงรำพันว่าที่สามีมาตายครั้งนี้ก็เพราะนางแท้ๆ และนางก็ได้เดินทางต่อเพื่อจะไปที่นครสาวัตถี

นางไปถึงแม่น้ำอจิรวดี เห็นน้ำขึ้นมากอยู่ในระดับราวนมเนื่องจากฝนตกหนักตลอดคืนยังรุ่ง จึงเป็นไปไม่ได้ที่นางจะเดินข้ามแม่น้ำโดยพาบุตรสองคนไปพร้อมๆกัน นางจึงใช้วิธีปล่อยบุตรคนโตไว้ที่ริมตลิ่ง แล้วอุ้มบุตรที่คลอดใหม่อายุแค่วันเดียวข้ามไปก่อน แล้ววางทารกไว้ที่ริมตลิ่งอีกฟากหนึ่ง จากนั้นนางก็ได้ข้ามน้ำกลับไปเพื่อจะพาบุตรคนโตข้ามมาอีก แต่ขณะที่นางอยู่กลางแม่น้ำนั่นเอง ก็มีเหยี่ยวใหญ่ตัวหนึ่งบินมาเห็นทารกนอนอยู่ที่ริมตลิ่งคิดว่า เป็นชิ้นเนื้อจึงบินโฉบลงมา นางเห็นเช่นนั้นจึงป้องปากไล่นกให้ตกใจแต่ก็ไม่เป็นผล ข้างบุตรคนโตได้ยินมารดาตะโกนไล่นกเข้าใจว่ามารดาเรียกตนให้ลงไปหา จงเดินลงน้ำและได้ถูกกระแสน้ำพัดหายไป ด้วยเหตุนี้นางปฏาจาราจึงสูญเสียบุตรทั้งสองคนและสามีในเวลาไล่เลี่ยกัน

นางปฏาจาราเดินร้องไห้รำพันว่า “บุตรของเราคนหนึ่งถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป คนหนึ่งถูกน้ำพัดพาไป สามีก็มาตายเสียเพราะถูกงูพิษกัดในที่เปลี่ยว” นางมาพบชายผู้หนึ่งเดินมาแต่กรุงสาวัตถี จึงถามถึงบิดามารดา ชายผู้นั้นตอบว่า เนื่องจากเมื่อคืนนี้ฝนตกหนักมาก บ้านของบิดาของนางได้พังถล่มลงมาทับทั้งพ่อแม่และพี่ชายของนางเสียชีวิตทั้งหมด และศพของคนทั้งสามได้ถูกเผารวมกันในเชิงตะกอนเดียวกันเรียบร้อยไปแล้ว พอนางปฏาจาราได้ข่าวร้ายซ้ำเติมเข้ามาอีก ก็ถึงกับวิกลจริต เดินโซซัดโซเซร้องไห้รำพันบ่นเพ้อไปว่า “บุตร 2 คนตายเสียแล้ว สามีของเรา ก็ตายเสียที่ทางเปลี่ยว มารดาบิดาและพี่ชายก็ถูกเผาบนเชิงตะกอนอันเดียวกัน” นางไม่รู้สึกตัวแม้ว่าผ้านุ่งจะหลุดลุ่ยออกจากกาย วิ่งกระเซอะกระเซิง ปากร้องตะโกนรำพึงรำพันไปตามถนนสายต่างๆ ผู้คนพบเห็นต่างก็ใช้ก้อนดินก้อนหินขว้างปาไล่นางให้หนีไป

พระศาสดาประทับนั่งแสดงธรรมอยู่ในท่ามกลางพุทธบริษัท 4 ในเชตวันมหาวิหาร ได้ทอดพระเนตรเห็นนางผู้บำเพ็ญบารมีมาแสนกัป เดินมาแต่ไกล พระองค์ดำริว่า “เว้นเราเสีย ผู้อื่นชื่อว่าสามารถจะเป็นที่พึ่งของหญิงผู้นี้ได้ ไม่มี” จึงได้ดลจิตให้นางเดินทางไปสู่พระเชตวัน เหล่าพุทธบริษัทเมื่อเห็นนางมาจึงพยายามขวัดขวางมิให้นางเข้าไปในวัด แต่พระศาสดาตรัสว่า “พวกท่านจงหลีกไป อย่าห้ามเธอเลย” เมื่อนางเข้ามาใกล้ จึงตรัสว่า “จงกลับได้สติเถิด น้องหญิงนางกลับได้สติด้วยพุทธานุภาพ เกิดความละอายใจที่ร่างกายท่อนล่างไม่ได้สวมใส่อะไร จึงนั่งคุกเขาลง ชายผู้หนึ่งจึงได้โยนผ้าห่มไปให้นาง นางนุ่งผ้าห่มนั้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แทบพระบาททั้งสอง ทูลว่า “ ขอพระองค์จงทรงเป็นที่พึงแก่หม่อมฉันเถิด พระเจ้าข้า เพราะว่าเหยี่ยวเฉี่ยวบุตรคนหนึ่งของหม่อมฉันไป คนหนึ่งถูกน้ำพัดพาไป สามีตายที่ทางเปลี่ยว มารดาบิดาและพี่ชายถูกเรือนถล่มทับ ถูกเผาบนเชิงตะกอนอันเดียวกัน

พระศาสดาตรัสกับนางว่า “อย่าคิดเลย ปฏาจารา เธอมาสู่สำนักของเราผู้สามารถจะเป็นที่พึ่งพำนักอาศัยของเธอได้แล้ว ตลอดสังสารวัฏนี้ น้ำตาที่ไหลออกของเธอผู้ร้องไห้อยู่ เมื่อปิยชนทั้งหลาย คือ บุตร สามี บิดามารดา และพี่ชาย เสียชีวิตไปนี้ มีปริมาณมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง 4 เสียอีก” จากนั้นพระศาสดาได้ทรงแสดง อนมตัคคสูตร ทำลายความเศร้าโศกของนางให้เบาบางลง ต่อแต่นั้นได้ตรัสเตือนว่า “ปฏาจารา ขึ้นชื่อว่าปิยชนมีบุตรเป็นต้น ไม่อาจเป็นที่ต้านทาน เป็นที่พึ่ง หรือเป็นที่ป้องกันของผู้ไปสู่ปรโลกได้ เพราะฉะนั้น บุตรเป็นต้นเหล่านั้นถึงมีอยู่ ก็ชื่อว่าย่อมไม่มีทีเดียว ส่วนบัณฑิตชำระศีลแล้ว ควรชำระทางที่ยังสัตว์ให้ถึงนิพพานของตนเท่านั้น” เมื่อได้สดับเช่นนี้แล้วนางปฏาจาราก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล

เมื่อนางได้อุปสมบทเป็นภิกษุณีแล้ว จึงมีชื่อว่า “ปฏาจารา” (แปลว่า ผู้กลับความประพฤติได้ หรือ ผู้มีความประพฤติเว้นจากผืนผ้า) วันหนึ่ง นางเอาหม้อตักน้ำล้างเท้าเทน้ำลงไป ในครั้งแรกน้ำไหลไปได้เพียงนิดหน่อยก็หยุด ครั้งที่สองน้ำที่นางเทลงไปไหลไปได้ไกลกว่าครั้งแรก และครั้งที่สาม น้ำที่เทลงไปไหลไปได้ไกลมากยิ่งขึ้น นางได้ถือเอาการไหลไปของน้ำเป็นคติสอนใจ ให้เห็นความจริงเกี่ยวกับวัยทั้ง 3 ของสัตว์ทั้งหลาย ว่า “สัตว์ทั้งหลาย ตายเสียในปฐมวัยก็มี เหมือนน้ำที่เราเทลงครั้งแรก ตายเสียในมัชฌิมวัยก็มี เหมือนน้ำที่เราเทลงครั้งสอง ไหลไปไกลกว่าครั้งแรก ตายเสียในปัจฉิมวัยก็มี เหมือนน้ำที่เทลงครั้งที่สาม ไปได้ไกลกว่าครั้งที่สอง”

พระศาสดาประทับในพระคันธกุฎี ทรงแผ่พระรัศมีไป เป็นดังประทับยืนตรัสอยู่เฉพาะหน้าของนาง ตรัสว่า “ปฏาจารา เป็นอย่างนั้น ด้วยว่าความเป็นอยู่วันเดียวก็ดี ขณะเดียวก็ดี ของผู้เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งปัญจขันธ์เหล่านั้น ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ 100 ปี ของผู้ไม่เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งปัญจขันธ์

จากนั้น พระศาสดาได้ตรัส พระธรรมบท พระคาถาที่ 113 ว่า
โย จ วสฺสสตํ ชีเว
อปสฺสํ อุทยพฺพยํ
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย
ปสฺสโต อุทยพฺพยํฯ


ผู้ไม่เห็นความเกิดดับ
ถึงจะมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี
สู้ผู้ที่เห็นความเกิดดับ
มีชีวิตอยู่แค่วันเดียว ไม่ได้.


เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง นางปฏาจารา ได้บรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย.

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: เรื่องย่อในพระธรรมบท (สหัสสวรรค)
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: สิงหาคม 16, 2011, 03:51:45 pm »

เรื่องนางกีสาโคตมี

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภนางกีสาโคตมี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า โย จ วสฺสสตํ ชีเว เป็นต้น

นางกีสาโคตมี เป็นธิดาของตระกูลเก่าแก่แห่งกรุงสาวัตถี ที่นางได้ชื่อว่า “กีสาโคตมี” เพราะมีรูปร่างบอบบาง นางแต่งงานกับบุตรเศรษฐี และให้กำเนิดบุตร 1 คน ต่อมาบุตรนั้นได้เสียชีวิตในช่วงที่กำลังหัดเดิน นางมีความเศร้าโศกเสียใจมีความอาลัยในบุตรมาก นางได้อุ้มบุตรที่เสียชีวิตนั้น เที่ยวตระเวนไปถามผู้คนบ้านโน้นบ้านนี้ ว่าจะต้องใช้ยาชนิดใดถึงจะรักษาบุตรให้กลับมามีชีวิตดังเดิมได้ ผู้คนที่เห็นต่างเข้าใจว่านางวิกลจริต แต่ก็มีบุรุษเป็นบัณฑิตคนหนึ่ง เห็นนางแล้วคิดว่า “หญิงผู้นี้คงจะคลอดบุตรท้องแรก ไม่เคยเห็นคนตายมาก่อน ควรที่จะให้ความช่วยเหลือด้วยการแนะนำแนวทางที่ถูกที่ควรให้” เขาจึงได้กล่าวกับนางว่า “แม่หนู ฉันไม่รู้จักยาที่จะรักษาบุตรของนางหรอก แต่ฉันพอรู้จักคนผู้รู้จักยานั้น” “ผู้นั้นคือใครล่ะคะ” “พระศาสดานะสิ นางจงไปถามพระองค์เถิด” นางจึงเดินทางไปเฝ้าพระศาสดาและทูลถามถึงยาที่จะนำมาใช้รักษาบุตรของนางให้กลับฟื้นคนคืนชีพดังเดิม

พระศาสดาได้ตรัสบอกให้นางไปหาเมล็ดพันธุผักกาดจากบ้านของคนที่ยังไม่เคยมีผู้ใดเสียชีวิต นางก็ได้กระเตงศพลูกตระเวนไปตามบ้านโน้นบ้านนี้ถามหาเมล็ดพันธุผักกาดนั้น ทุกครัวเรือนต่างมีเมล็ดพันธุผักกาด แต่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ว่าจะต้องเป็นเมล็ดพันธุผักกาดในเรือนของคนที่ยังไม่เคยมีใครตายเลยเท่านั้น นางจึงได้เริ่มตระหนักว่าครอบครัวของนางมิใช่ครอบครัวเดียวที่ต้องเผชิญกับความตาย และทุกบ้านล้วนมีคนตายมากกว่าคนเป็น เมื่อนางคิดได้ดังนี้แล้ว ท่าทีของนางที่มีต่อบุตรที่เสียชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไป และได้เลิกยึดมั่นถือมั่นต่อซากศพของบุตร

นางจึงทิ้งศพบุตรไว้ในป่า แล้วไปยังสำนักพระศาสดา ถวายบังคมแล้วยืน ณ ที่สุดข้างหนึ่ง พระศาสดาตรัสถามนางว่า “เธอได้เมล็ดพรรณผักกาดหยิบมือหนึ่งมาแล้วหรือ”

นางกีสาโคตมีกราบทูลว่า “ไม่ได้ พระเจ้าข้า เพราะในทุกบ้านล้วนมีคนตายมากกว่าคนเป็น

พระศาสดาตรัสว่า “เธอเข้าใจว่า บุตรของเราเท่านั้นตาย ความตายนั่นเป็นสิ่งยั่งยืนสำหรับสัตว์ทั้งหลาย ด้วยว่า มัจจุราชฉุดคร่าสัตว์ทั้งหมด ผู้มีอัธยาศัยยังไม่เต็มเปี่ยมนั่นแลลงในสมุทรคืออบาย ดุจห้วงน้ำใหญ่ฉะนั้น” นางกีสาโคตมีเมื่อสดับความข้อนี้แล้ว ก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล

หลังจากนั้นนางกีสาโคตมีได้ทูลขอบรรพชากับพระศาสดา และพระศาสดาได้ส่งนางไปบรรพชาในสำนักของนางภิกษุณี เมื่อนางได้อุปสมบทแล้วปรากฏชื่อว่า “กีสาโคมตีเถรี” วันหนึ่งเป็นเวรที่นางต้องไปจุดประทีปในโรงอุโบสถ นางเห็นเปลวประทีปลุกโพลงขึ้นและหรี่ลง ได้ถือเป็นอารมณ์ว่า “สัตว์เหล่านี้ก็อย่างนั้นเหมือนกัน เกิดขึ้นและดับไปดังเปลวประทีป ผู้ถึงพระนิพพาน ไม่ปรากฏอย่างนั้น

พระศาสดาประทับนั่งในพระคันธกุฎี ทรงแผ่พระรัศมีไป ประหนึ่งประทับนั่งตรัสตรงหน้านาง ตรัสว่า
“อย่างนั้นแหละ โคตมี สัตว์เหล่านั้น ย่อมเกิดและดับเหมือนประทีป ถึงพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่ปรากฏอย่างนั้น ความเป็นอยู่แม้เพียงขณะเดียว ของผู้เห็นพระนิพพาน ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ 100 ปี ของผู้ไม่เห็นพระนิพพานอย่างนั้น”

จากนั้น พระศาสดาได้ตรัส พระธรรมบท พระคาถาที่ 114 ว่า
โย จ วสฺสสตํ ชีเว
อปสฺสํ อมตํ ปทํ
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย
ปสฺสโต อมตํ ปทํฯ


(อ่านว่า)
โย จะ วัดสะสะตัง ชีเว
อะปัดสัง อะมะตัง ปะทัง
เอกาหัง ชีวิตัง เสยโย
ปัดสะโต อะมะตัง ปะทัง.

(แปลว่า)
ผู้ไม่เห็นทางอมตะ
ถึงจะมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี
สู้ผู้เห็นทางอมตะ
มีชีวิตอยู่แค่วันเดียว ไม่ได้.


เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง นางกีสาโคตมี ได้บรรลุพระอรหัตตผล พร้อมทั้งปฏิสัมภิทาทั้งหลาย.

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: เรื่องย่อในพระธรรมบท (สหัสสวรรค)
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: สิงหาคม 16, 2011, 04:12:18 pm »

เรื่องพระพหุปุตติกาเถรี

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระพหุปุตติกาเถรี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า โย จ วสฺสสตํ เป็นต้น

ครั้งหนึ่ง ในนครสาวัตถี มีครอบครัวสามีภรรยาตระกูลหนึ่ง มีสมาชิกประกอบด้วยบุตรชาย 7 คนและบุตรสาว 7 คน บุตรชายและบุตรสาวทั้ง 14 คนเมื่อเจริญวัยแล้ว ก็ได้แต่งงานและดำรงครอบครัวมีความสุขตามอัตภาพ ต่อมา บิดาของคนเหล่านั้นได้เสียชีวิตลง มารดาก็ยังเก็บสมบัติทั้งหมดเอาไว้โดยที่มิได้แบ่งให้แก่บุตรชายและบุตรสาวแต่อย่างใด บุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายต่างต้องการมรดกจึงได้กล่าวกับมารดาว่า “จะมีประโยชน์อะไรที่แม่ต้องเก็บมรดกนี้ไว้ แม่ควรแบ่งมรดกให้แก่พวกเรา พวกเราก็จะช่วยกันคอยดูแลแม่พวกบุตรชายและบุตรหญิงต่างช่วยกันพูดกรอกหูมารดาอยู่ทุกวัน จนฝ่ายมารดาเชื่อว่าพวกเขาจะเลี้ยงดูตน นางจึงตัดสินใจแบ่งมรดกทั้งหมดให้แก่บุตรและธิดา โดยที่มิได้เก็บส่วนใดไว้สำหรับตนเองเลย

หลังจากที่ได้แบ่งมรดกกันไปเรียบร้อยแล้ว นางผู้มารดาก็ได้ไปอยู่กับบุตรชายคนหัวปีเป็นคนแรก ลูกสะใภ้คนโตได้บ่นว่า “คุณแม่มาอยู่กับพวกเราที่นี่ ราวกับว่าแบ่งมรดกให้เรา 2 ส่วน กระนั้นแหละ” เมื่อได้ยินลูกสะใภ้คนโตพูดกระแนะกะแหนอย่างนั้น นางก็ได้ออกจากบ้านบุตรชายคนโตไปอยู่ที่บ้านของบุตรชายคนรอง แต่ก็ต้องพบกับคำบ่นว่ากระแนะกระแหนแบบเดียวกันนั้น ไม่ว่าจะไปที่บ้านใคร จะเป็นบ้านบุตรชายและบุตรสาวคนไหน ทุกคนล้วนมีปฏิกิริยาแบบเดียวกันหมดคือไม่ประสงค์จะเลี้ยงดูนาง

เมื่อนางถูกดูหมิ่นเช่นนี้ ก็คิดว่า “เรื่องอะไรเราจะไปอยู่ตามบ้านของพวกลูกๆเหล่านี้ เราควรออกบวชเป็นภิกษุณี” แล้วไปสู่สำนักของนางภิกษุณีขอบรรพชา ซึ่งนางภิกษุณีเหล่านั้นก็ไม่ขัดข้องได้ให้นางบรรพชาตามความปรารถนา เมื่อนางได้อุปสมบทเป็นภิกษุณีแล้ว จึงมีชื่อว่า “พหุปุตติกาเถรี(พระเถรีผู้มีบุตรมาก) นางมีความคิดว่า “เรามาบวชตอนแก่ เราไม่ควรประมาท” จึงใช้ความบากบั่นบำเพ็ญสมณธรรมตลอดคืนยังรุ่ง โดยนึกอยู่เสมอว่า “จักทำตามธรรมที่พระศาสดาทรงแสดง

พระศาสดาประทับนั่งในพระคันธกุฎี ทรงแผ่พระรัศมีไปดังประทับนั่งตรงหน้า ตรัสกับนางว่า “พหุปุตติกา ความเป็นอยู่แม้ครู่เดียว ของผู้เห็นธรรมที่เราแสดง ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ 100 ปี ของผู้ไม่นึกถึง ไม่เห็นธรรมที่เราแสดง

จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 115 ว่า
โย จ วสฺสสตํ ชีเว
อปสฺสํ ธมฺมมุตฺตมํ
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย
ปสฺสโต ธมฺมมุตตมํฯ


(อ่านว่า)
โย จะ วัดสะสะตัง ชีเว
อะปัดสัง ทำมะมุดตะมัง
เอกาหัง ชีวิตัง เสยโย
ปัดสะโต ทำมะมุดตะมัง.


(แปลว่า)
ผู้ไม่เห็นธรรมอันสูงสุด
ถึงมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี
สู้ผู้เห็นธรรมอันสูงสุด
มีชีวิตอยู่แค่วันเดียว ไม่ได้
.

เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง พระพหุปุตติกาเถรี ได้บรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย.



นำมาแบ่งปันโดย :
one mind : http://agaligohome.com/index.php?topic=4625.0
Pics by : Google
ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต * อกาลิโกโฮม
สุขใจดอทคอม
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 16, 2011, 04:29:24 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ onzevil12

  • เกล็ดเมล็ด
  • *
  • กระทู้: 1
  • พลังกัลยาณมิตร 1
    • ดูรายละเอียด
Re: เรื่องย่อในพระธรรมบท (สหัสสวรรค)
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 20, 2012, 04:25:49 pm »
ขอบคุณมากครับ เป็นสิ่งที่ผมชอบมากเรย