อัตโนประวัติ
หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ
พระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ เป็นบุตรของนายอุทธา – นางจันทร์ นนฤาชา เป็นบุตรคนที่ ๕ มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๑๐ คน คือ
๑. นายโฮม นนฤาชา (ถึงแก่กรรม)
๒. นางติ่ง ร่วมจิต
๓. นางปุ่น โสมา (ถึงแก่กรรม)
๔. นางบุญน้อย นามคุณ (ถึงแก่กรรม)
๕. พระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ
๖. นางบับพา อาร้อน
๗. พระบุญมา สิริธมโม
๘. นายโสภา นนฤาชา
๙. นางบุญหนา ขันธวิชัย
๑๐. นางบัวเงิน กองอำไพ
ภูมิลำเนาเดิม
เกิด ณ บ้านหนองค้อ ตำบลดอนหว่าน อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม เกิดเมื่อวันจันทร์ วันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ เมื่ออายุได้ ๗ ขวบ พ่อแม่ได้อพยพมาอยู่ที่บ้านหนองแวง (แก้มหอม) ตำบลไชยวาน อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี และได้จบการศึกษาชั้นประถมปีที่ ๔ ที่โรงเรียนบ้านหนองแวงนี้เอง การเข้าเรียนแต่ละชั้น เพื่อน ๆ ในชั้นเรียนเดียวกันได้ตั้งให้เป็นหัวหน้าในชั้นเรียนทุกชั้นไป เมื่อขึ้นชั้นประถมปีที่ ๔ เด็กชายทูลได้รับความไว้วางใจจากครูว่ามีการศึกษาดี จึงได้รับเลือกให้เป็นผู้ช่วยสอนนักเรียนในชั้นประถม ก. กา และประถมปีที่ ๑ และได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้านักเรียนทั้งหมดในโรงเรียนนั้น เพราะในสมัยนั้นมีครูอยู่เพียง ๒ คน คือ คุณครูหัส และคุณครูอักษร เมื่อครูมีน้อยการสอนไม่ทั่วถึง เด็กชายทูลจึงได้รับเลือกให้เป็นผู้ช่วยสอนนักเรียนด้วยกันเอง และเป็นที่ยอมรับของเพื่อนนักเรียนด้วยกัน เพราะ
เด็กชายทูลมีความซื่อสัตย์ต่อเพื่อน ๆ ไม่ลักเอาของเพื่อน และยังเก็บของเพื่อนนักเรียนที่ทำตกหายมาแจ้งครูให้ประกาศมารับของคืนไป จึงเป็นที่ไว้ใจแก่เพื่อนนักเรียนทุกคน
เมื่อเรียนจบชั้นประถมปีที่ ๔ แล้ว ครูทั้งสองมีความหวังดีต่อเด็กชายทูลเป็นอย่างมาก จึงได้มาขอต่อพ่อแม่ว่า อยากให้เด็กชายทูลไปเรียนต่อที่จังหวัด แต่พ่อแม่ยังไม่พร้อม จึงได้พูดว่าเพิ่งมาอยู่บ้านใหม่ อะไรยังไม่สมบูรณ์เลย เด็กชายทูลเลยหมดโอกาสที่จะได้เรียนต่อ จึงทำให้เรียนจบเพียงชั้นประถมปีที่ ๔ เท่านั้น ต่อมาก็ได้บวชเป็นสามเณรอยู่ที่บ้านหนองแวง ๑ ปี แล้วลาสิกขาออกมาทำไร่ทำนาช่วยพ่อแม่ต่อไป
แม่ได้เล่าเรื่องอดีตให้ฟัง
ในช่วงนี้เอง แม่และพี่ ๆ ได้เล่าเรื่องอดีตให้ฟังว่าชีวิตของตนเป็นมาอย่างไร แม่เล่าให้ฟังว่าก่อนที่ข้าพเจ้าจะเกิด ในคืนหนึ่ง ขณะที่นอนหลับไป ได้ฝันเห็นสิ่งใส ๆ ลอยเข้ามาในห้องนอน มีแสงเหมือนกับแสงหิ่งห้อยขนาดใหญ่ แม่ก็คว้ามือไปเพื่อจะจับเอาแต่ก็จับไม่ได้ เมื่อตื่นนอน
ขึ้นมา ตาก็มองหาสิ่งที่ใส ๆ ที่ลอยอยู่นั้นก็ไม่เห็น เลยคิดแปลกใจว่านี่เป็นแสงอะไร จะว่าแสงหิ่งห้อยหรือก็ใหญ่ไป และผิดปกติจากแสงหิ่งห้อยทั่ว ๆ ไป แต่ก็ไม่กลัวอะไร คิดว่าเป็นความฝันธรรมดา จึงได้นอนต่อไป
หลายวันต่อมา แม่มีความฝันที่แปลก ๆ เกิดขึ้นอีก ฝันว่าตัวเองได้แต่งตัวด้วยเครื่องประดับประดาสวยงามมาก มีทั้งเพชรนิล สร้อยทองห้อยตามคอ ผูกข้อมือ ผูกตามแขน มีแหวนสวมนิ้วมือ เครื่องนุ่งห่มมีแต่ความแพรวพราวทั้งหมด ทั้งผิวพรรณก็มีความสดใสเป็นประกายออกมารอบตัว ศีรษะก็มีชฎาสวมใส่และสวมรองเท้าสวยงามมาก ในขณะนั้น เหมือนกับว่าจะเดินไปที่ไหนสักแห่งหนึ่ง เมื่อเดินไปก็มีคนมากั้นร่มฉัตรขนาดใหญ่ให้ และมีฝูงชนเดินห้อมล้อมเป็นจำนวนมาก ทุกคนแสดงความเคารพต่อแม่เป็นอย่างมาก ทุกคนพร้อมกันโห่ร้องว่า จะยกแม่ขึ้นเป็นใหญ่ในหมู่ชนทั้งหลาย ขอแม่เจ้า จงเป็นที่พึ่งให้แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยเถิด เสียงนี้จะประกาศกันเป็นระยะ ๆ จากนั้น แม่ก็ได้ตื่นขึ้นมา
ความกังวลของแม่
เมื่อแม่ตื่นนอนขึ้นมา เกิดความตกใจไม่สบายใจเลย กลัวว่าตัวเองจะตายจากพ่อและ
ลูก ๆ ไป เข้าใจว่าวิญญาณของตัวเองได้ออกจากร่างไป และมีคนจำนวนมากมารับเอาไป จึงคิดไปว่าตัวเองจะตายในเร็ว ๆ นี้ พอตื่นเช้าขึ้นมาก็ได้เรียกพ่อกับลูกที่โตแล้วมารวมกัน แล้วเล่าเรื่องความฝันที่เกิดขึ้นให้ฟังทั้งหมด พ่อกับลูกก็ตั้งใจฟังเป็นอย่างดี แม่บอกว่าถ้าฝันอย่างนี้ ชีวิตก็จะอยู่กับพ่อและลูก ๆ ต่อไปไม่นาน ก็คงจะตายจากพ่อกับลูก ๆ ไป แม่สั่งต่อไปอีกว่า เมื่อแม่ตายไปแล้ว พ่อจะไปหาเมียใหม่มาเลี้ยงลูกก็จงพิจารณาให้ดี อย่าให้แม่ใหม่มาบังคับลูกเก่า พ่อเองก็อย่าหลงใหลในเมียใหม่ลูกใหม่จนเกิดความแตกแยกกัน ให้พ่อเป็นคนกลาง ให้มีความรักกันทั้งสองฝ่าย อบรมลูกใหม่ลูกเก่าให้เข้าใจกัน มีความสามัคคีกัน และสั่งลูก ๆ ว่าต้องฟังคำสั่งสอนของพ่อ ให้เป็นผู้ที่ว่านอนสอนง่าย เพื่อให้พ่อเกิดความสบายใจ ให้มีความขยันช่วยการงานที่พอจะทำได้ และลูกที่โตแล้วก็อย่าไปบังคับน้องผู้น้อย น้องผู้น้อยก็ต้องฟังคำสั่งสอนของพวกพี่ ๆ อย่าทะเลาะตบตีกัน ให้มีความรักกัน มีอะไรก็ให้แบ่งกัน ในขณะที่แม่ได้สั่งเสียพ่อลูก น้ำตาก็ไหลและสะอึกสะอื้นไปด้วย นึกในใจอยู่ว่าอายุยังไม่มากไม่ควรจะตายจากพ่อจากลูกนี้ไปเลย เมื่อแม่ตายไปไม่รู้ว่าลูก ๆ จะอยู่กันอย่างไร นอนกันอย่างไร อยู่กันกันอย่างไร ความอาลัยอาวรณ์ในระหว่างแม่กับลูกจึงเป็นบรรยากาศที่ซบเซาเศร้าโศก เหมือนกับว่าต้นไม้ที่เคยให้ความร่มเย็นต่อเรา มาบัดนี้ จะต้องโค่นไปเสียแล้ว จะให้ลูก ๆ ได้พึ่งพิงอิงอาศัยใครกันหนอ
คำพยากรณ์ของพ่อ
ในช่วงที่แม่เล่าความฝันไป พ่อก็ตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ พิจารณาเหตุแห่งความฝันตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ กลับมีความเห็นตรงกันข้ามกับแม่ทีเดียว จากนั้น พ่อก็ได้พูดออกมาในประโยคแรกว่า บ้า ความฝันที่แม่ฝันไปนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องของความตายหรอก ลักษณะในความฝันอย่างนี้มันเป็นเรื่องของคนจะมีลูก และเป็นลูกที่บุญญาวาสนาจะมาเกิดด้วย ลูกนั้นจะเป็นที่พึ่งแก่ญาติ ๆ
ทั้งหลาย และเป็นที่ยอมรับแก่คนทั้งหลายด้วย ฉะนั้น ขอแม่อย่าไปคิดว่าตัวเองจะตายไปเลย ส่วนแม่ก็หยุดฟังทั้งไม่แน่ใจว่าอะไรจะเกิดขึ้น ยังตัดสินใจอะไรไม่ได้ว่าตัวเองจะตายไปหรือตัวเองจะตั้งครรภ์ แต่ก็อยู่ด้วยความไม่ประมาท จากนั้นมาไม่นาน แม่ก็มีอาการตั้งครรภ์ขึ้นมาตามที่พ่อได้พูดเอาไว้ แม่ก็เกิดความโล่งใจขึ้นมา คิดว่ายังไม่ได้ตายจากพ่อและลูก ๆ ไป ส่วนพ่อพูดว่าฝันอย่างนี้คนจะมีลูกนั้น ก็เพราะพ่อได้เรียนโหราศาสตร์เรื่องทำนายความฝันต่าง ๆ มาแล้ว ที่ทำนายว่าความฝันอย่างนั้นเป็นอย่างนั้น ความฝันอย่างนี้เป็นอย่างนี้ ส่วนใหญ่พ่อจะทำนายถูกเป็น
ส่วนมาก จากนั้นมา ก็ได้พูดกันในเครือญาติว่า ดูซิ เมื่อแม่ฝันในลักษณะอย่างนี้แล้วตั้งครรภ์
ขึ้นมา ลูกที่เกิดมาจะเป็นอย่างไร จะมีสิ่งที่ผิดแปลกอย่างไรบ้าง
จากนั้นมา แม่ก็มีอาการผิดแปลกเป็นอย่างมากทีเดียว นั่นคือ มีอาการแพ้ท้องและ
แพ้ท้องไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ มีลูกคนอื่นก็ไม่มีอาการแพ้ท้องอย่างนี้ เมื่อลูกคนนี้เข้ามาอยู่ในท้อง อะไรหลาย ๆ อย่างมีอาการเปลี่ยนไป เช่น มีอาการเหม็นคาวสัตว์ทุกชนิด เพราะที่บ้านมีวัวควายอยู่ใต้ถุนบ้านจึงเกิดอาเจียน เนื่องจากกลิ่นวัวควายนั่นเอง จึงจำเป็นต้องเอาวัวควายออกจาก
ใต้ถุนบ้านให้หมด อาการเหม็นคาวก็หมดไป แต่ก็ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่แม่เบื่อที่สุด เห็นไม่ได้และกินไม่ได้เลย นั่นคืออาหารคาวทุกชนิด นับแต่ปลาร้าขึ้นมา ตลอดจนถึงเนื้อสัตว์ทุกประเภท จะเกิดอาการเบื่อทั้งหมด จะมากินข้าวร่วมสำรับกับพ่อลูกไม่ได้เลย เมื่อเห็นอาหารคาวหรือได้กลิ่นอาหารคาวก็จะอาเจียนทันที ฉะนั้น แม่จึงได้สั่งลูกไว้ว่า ให้เอาข้าวในก้นหวดใส่กล่องข้าวเอาไว้เป็นพิเศษ อย่าให้ใครไปกินข้าวในกล่องนั้นเลย เอาไว้ให้แม่กินคนเดียว อาหารที่กินได้มีกล้วยกับเกลือเท่านั้น อย่างอื่นกินไม่ได้เลย แม่ตั้งครรภ์มาจนครบกำหนด จึงได้คลอดลูกออกมาเป็นผู้ชาย เมื่อออกมาก็มีลักษณะแปลกไปอีก นั่นคือ สายรกพันตัวออกมาเป็นสายสะพาย เมื่อพ่อเห็น
อย่างนั้นก็นึกในใจแล้วว่า ลูกคนนี้จะเป็นนักบวชอย่างแน่นอน จากนั้น แม่ก็กินอาหารได้อย่างปกติ วัวควายก็เอามาเข้าคอกได้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เชิญญาติผู้ใหญ่มาตั้งชื่อร่วมกัน
การตั้งชื่อนั้น ก็มุ่งประเด็นของความฝันของแม่เป็นหลัก ในครั้งที่แม่ฝันว่ามีฝูงชนยกแม่ให้เป็นใหญ่ดังได้กล่าวมาแล้วนั้น จุดนี้เอง ญาติ ๆ จึงได้ลงมติว่าความฝันนี้เป็นลักษณะเทิดทูน หรือยกขึ้นไว้ในที่สูง จึงให้ชื่อไปตามความฝันนั้น จึงให้ชื่อว่า ทูล นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน จากนั้นมา ญาติ ๆ ก็จับตามองมาตลอดว่าเด็กชายทูลต่อไปนี้ จะมีลักษณะแปลกอย่างไร จะมีนิสัยอย่างไร ญาติ ๆ ต้องคอยสังเกตดูเด็กชายทูลอยู่อย่างใกล้ชิดว่า จะมีอาการแสดงออกมาอย่างไร
ชีวิตวัยเด็ก
ในช่วงที่ยังเป็นเด็กอ่อนกินนมแม่อยู่ ก็เหมือนเด็ก ๆ ทั่วไป ในช่วงที่กินอาหารได้เอง ก็เริ่มแสดงความแปลกออกมาให้คนได้เห็น นั่นคือ ไม่ยอมร่วมกินข้าวในสำรับเดียวกันกับพ่อแม่และ
พี่ ๆ ถ้าจะให้กินร่วมก็ต้องแบ่งอาหารกัน ส่วนอาหารของเด็กชายทูลห้ามใคร ๆ มาแตะต้อง ห้ามหยิบเป็นเด็ดขาด กระติบข้าวก็ห้ามใคร ๆ มาหยิบร่วมเช่นกัน ถ้าใครฝืนข้อห้ามนี้ สำรับข้าวก็จะพังกระจายทันที ถ้วยจานก็จะถูกเหวี่ยง ถูกขว้างไปหมด อาหารก็หก ถ้วยดินก็แตกกระจัดกระจาย ทำให้พ่อแม่และพี่ ๆ เดือดร้อนไปตาม ๆ กัน จากนั้น พ่อแม่ก็ได้วางแผนเสียใหม่คือ จัดที่กินข้าวให้เด็กชายทูลอยู่นอกวง ให้กินอยู่คนเดียว มีอาหารก็แบ่งออกมาใส่ถ้วยพิเศษ และเป็นอาหารที่สุกด้วย กระติบข้าวก็แยกเป็นพิเศษ ห้ามใคร ๆ มาหยิบด้วยเช่นกัน แต่ก็มีพี่สาวคน
ถัดไป เป็นคนสำคัญมาก ชอบมาแกล้งอยู่เสมอ เมื่อพ่อแม่เผลอก็ยื่นมือเข้าหยิบเอาอาหารของเด็กชายทูล เด็กชายทูลก็แสดงความไม่พอใจทันที นั่นคือ ยกถ้วยอาหารขึ้นกระแทกกับพื้นกระดานแตกกระจาย เพราะสมัยนั้นเป็นถ้วยดิน จะเหลืออะไร กระติบข้าวก็โยนทิ้ง ไม่ยอมกินข้าวอีก ทุก ๆ ครั้งต้องเป็นอย่างนี้
พ่อเห็นท่าไม่ดี ต่อไปถ้วยจานจะแตกหมด จึงได้ตัดกระบอกไม้ไผ่ขังข้อทำเป็นถ้วยใส่อาหารให้เด็กชายทูลกินเป็นพิเศษ เมื่อพี่สาวมาหยิบเอาอาหารอีกก็จะทำตามเดิม คือทุบให้แตก ถ้าไม่แตกก็โยนทิ้งไป พ่อแม่จำเป็นต้องตามเก็บมาล้างเพื่อใส่อาหารให้เด็กชายทูลกินในวันต่อไป เด็กชายทูลจะมีนิสัยอย่างนี้มาแต่เด็ก จะทำอะไรจะต้องทำให้ได้ตามที่ตั้งใจ ไม่ให้ใครมาขัดขวาง จะเอาของสิ่งใดก็จะเอาให้ได้ตามใจทุกอย่าง ถ้าไม่ได้ก็จะร้องไห้ไม่ยอมหยุด ครั้งหนึ่งพอจำได้ ครั้งนั้นอยากได้กล้วยตาก แต่บังเอิญกล้วยตากหมด มีแต่กล้วยสุกธรรมดา แม่เอากล้วยสุกให้ก็ไม่ยอมเอา ตั้งใจจะเอากล้วยตากก็ต้องเอากล้วยตากให้ได้ กล้วยตากไม่มีก็จะบังคับให้แม่หามาให้ได้ แม่จำเป็นต้องอุ้มไปดู ให้เห็นว่ามีแต่กระจาดเปล่า ๆ ในขณะนั้นไม่ทราบว่าอะไรบันดาลใจ จึงได้เกิดความสำนึกได้ว่า เรานี้ทำไมจึงเป็นผู้เอาแต่ใจตัวเองอย่างนี้ กล้วยตากไม่มีก็จะบังคับให้มีซึ่งเป็นสิ่งที่เหลือวิสัย ในขณะนั้น ดูสีหน้าของแม่แล้ว มีลักษณะไม่สบายใจเลย แม่ก็อุ้มเด็กชายทูลเดินไปมาปลอบใจอยู่ตลอดเวลา จึงนึกในใจว่า สิ่งที่ไม่มีเราจะบังคับให้สิ่งนั้นมีเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง ทั้งกล้วยสุกก็มีรสหวานเหมือนกัน กินทดแทนกันได้ จากนี้ไป เราจะไม่ทำให้แม่มีความยุ่งยากกับเราอีกเลย จากนั้นมาก็ไม่เคยขอกล้วยตากแห้งจากแม่อีก มีกล้วยอะไรที่แม่เอาให้กินก็กินได้หมด ในช่วงนั้น เด็กชายทูลยังเด็กมาก ผ้าก็ยังไม่ได้นุ่ง อายุก็ประมาณปีกว่าเท่านั้น จากนั้นมา ก็รู้ตัวเองว่าจะไม่เอาแต่ใจตัวเองเหมือนที่เคยเป็นมา แต่ก็ยังมีอีกสองอย่างที่เป็นนิสัยมาแต่กำเนิด เป็นธรรมชาติที่เป็นเองเกิดขึ้นเฉพาะตัว นั่นคือ อาหารดิบ และมังสะ ๑๐ อย่าง ทั้งสองอย่างนี้ ใครจะมาหลอกให้กินไม่ได้ เช่น เอากุ้งดิบมาตำให้ละเอียดผสมกับอาหารสุก หรือเอาเนื้องู เนื้อม้า มาหลอกให้กินไม่ได้ เมื่อเอาสิ่งเหล่านี้เข้าในปาก
ก็จะเกิดอาเจียนทันที นิสัยอย่างนี้มีประจำตัว ถึงจะโตเป็นหนุ่มขึ้นมาแล้วก็ยังเป็นนิสัยอย่างนี้
ตลอดมา
ในครอบครัวนี้ พ่อแม่และพี่ ๆ ชอบกินอาหารดิบ ๆ กันทั้งนั้น เช่น ลาบก้อย เนื้อดิบ ลาบปลาดิบ ลาบกุ้งดิบ ลาบหอยดิบ ฯลฯ ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารดิบทั้งนั้น จึงมีแต่เด็กชายทูลคนเดียวเท่านั้นที่กินอาหารสุก พ่อแม่เองก็คงเกิดความรำคาญเรื่องทำอาหารสุกให้กิน จำเป็นต้องบังคับเด็กชายทูลให้กินอาหารอย่างพี่ ๆ เขา แต่ก็กินไม่ได้ บางทีถึงกับต้องลงไม้เรียวบังคับให้กิน แต่ก็กินไม่ได้อยู่นั่นเอง ในช่วงยังเป็นเด็กนี้ รู้สึกว่ามีความทุกข์กับการกินอาหารอยู่มาก อยากกินลาบกับพี่ ๆ เขาก็กินไม่ได้ อยากจนน้ำลายไหลก็ได้แต่มองหน้าพี่ ๆ เขากินกัน จำเป็นก็ต้องอดทน เพราะตัวเองทำอาหารกินไม่เป็น วันไหนเห็นหม้อต้มกระดูก เด็กชายทูลก็พอได้กินกับพี่ ๆ อยู่บ้าง เมื่อคิดเรียบเรียงชีวิตในอดีตที่เป็นมาของตัวเองแล้ว เป็นชีวิตที่ต่อสู้อดทนมาตั้งแต่เด็ก ๆ พี่ ๆ ก็หาวิธีกลั่นแกล้งหลอกให้กินอาหารดิบอยู่เสมอ เช่น เอาตั้งไฟนิดเดียวเขาก็ว่าสุกแล้ว เอามาให้กิน แต่ก็เกิดอาเจียนออกมา จึงรู้ว่าอาหารนั้นยังไม่สุกจริง พี่ ๆ เขาได้กุ้ง ปลา หอย เขาก็พากันทำลาบดิบกินกันหน้าตาเฉย ทำให้เด็กชายทูลนั่งกลืนน้ำลายดูพี่ ๆ เขากินแทบไม่กะพริบตา
มิหนำซ้ำ พี่ ๆ ยังพูดเยาะเย้ยไปว่า ใครไม่เข้ามากินก็แสดงว่าไม่อยาก ถ้าอยากจริงก็เข้ามาเลย ที่จริงพี่เขาก็รู้อยู่เต็มใจว่าเด็กชายทูลกินของดิบไม่ได้ แต่พยายามวางแผนฝึกให้เด็กชายทูลกินของดิบให้ได้ แผนของพ่อแม่และพี่ ๆ ที่วางไว้นั้น ไม่สามารถหลอกให้เด็กชายทูลหลงกลได้เลย เมื่ออาหารนั้นไม่สุกจริง ก็จะเกิดอาเจียนออกมาทันที นี้เป็นนิสัยเดิมของเด็กชายทูลมาตั้งแต่กำเนิด จึงได้เล่าให้ฟังว่าชีวิตเป็นมาอย่างนี้ ให้จินตนาการดูก็แล้วกัน ถ้าเป็นเราจะมีความรู้สึกอย่างไร
ในช่วงต่อมา ข้าพเจ้าอายุได้ ๔ ขวบ เกิดภัยแล้งเป็นอย่างมาก และแล้งเป็นบริเวณ
กว้าง ขวางหลายอำเภอ ทุกคนต้องดิ้นรนแสวงหาข้าวปลาอาหาร ส่วนใหญ่จะไปขอทานกัน โดยหาบตะกร้าแล้วก็พากันไปเป็นหมู่ หมู่ละ ๒ - ๕ คน โดยไม่มีอะไรไปแลกเปลี่ยนเลย เมื่อไปถึงบ้านไหนแล้วก็พากันนั่งลง ยกมือใส่หัวแล้วก็พรรณนาความทุกข์ความลำบากต่าง ๆ เจ้าของบ้านก็ให้ข้าวสารหรืออาหารตามสมควร แล้วก็ไปขอบ้านใหม่ต่อไป ในวันหนึ่ง เด็กชายทูลอยู่บ้านกับน้องเล็ก ๆ ตามลำพัง พ่อแม่พี่ ๆ ออกไปหาน้ำมันยางในป่า เพื่อจะนำไปแลกเปลี่ยนเป็นข้าวสารหรือข้าวเปลือกที่บ้านอื่น ในวันนั้น มีคนขอทาน ๕ คนมานั่งอยู่หน้าบ้านแล้วขอทาน ข้าพเจ้าได้ฟังเขาขอทานเท่านั้น เกิดความสงสารเขาเป็นอย่างมาก จึงได้เรียกเขาเหล่านั้นขึ้นมาบนบ้าน แล้ว ก็เอาตะกร้าทั้งหมดไปใส่ข้าวสารที่พ่อแม่หามาไว้ จนข้าวที่อยู่ในถังหมด เมื่อเขาขอปลาร้า พริก เกลือ ก็ขนออกมาให้เขาจนหมด ในขณะนั้น รู้ตัวเองว่ามีความสุขมาก เมื่อเขาเหล่านั้นไปแล้ว พ่อแม่และพี่ ๆ ก็มาถึงและจะจัดเตรียมทำอาหารกินกัน เมื่อไปดูข้าวในถังก็ไม่มี ปลาร้า พริก เกลือ ก็หมด เมื่อพี่ ๆ ถามหาก็บอกว่าให้ทานไปหมดแล้ว พี่ ๆ เขาก็ด่า พ่อแม่รู้เข้าก็จับมาตีจนหลังลายทั้งตัว และพ่อแม่ได้สั่งไว้ว่า จากนี้ไป อย่าเอาข้าวหรืออะไรทั้งหมดให้คนขอทานอีกต่อไป
เมื่ออายุได้ ๗ ขวบ พ่อแม่ก็ได้ย้ายมาอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี ที่บ้านหนองแวง (แก้มหอม)
ดังได้กล่าวแล้วในตอนต้น ในช่วงเป็นเด็กอยู่ในโรงเรียนนั้น ก็ช่วยพ่อแม่ในการทำไร่ทำนาตามกำลัง วันเสาร์อาทิตย์ก็เป็นผู้เลี้ยงควายตามประสาเด็กบ้านนอก