ผู้เขียน หัวข้อ: เพียรพายสำเภาแก้ว... ๒. เมื่อพระราชาพิโรธ  (อ่าน 1455 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด




คัมภีร์โบราณกล่าวว่า อย่าไว้ใจพระราชาว่าโปรดปราน 
เพราะอาจพิโรธแล้วอาจทำลายล้างชีวิตได้โดยไม่มีความผิด 
ที่พึ่งอันเกษมคือตนเอง  ไม่ต้องมีสุขทุกข์  เนื่องด้วยคนอื่น

เพียรพายสำเภาแก้ว...  ๒. เมื่อพระราชาพิโรธ

พระเจ้าปเสนทิโกศล และพระนางมัลลิกาอัครมเหสี ทรงรักใคร่กลมเกลียวกันมากเป็นที่ปรากฏทั่วไปแต่คราวหนึ่งทรงวิวาทกันเรื่องพระแท่นบรรทม (ตำราไม่ได้บอกรายละเอียดไว้ว่า  มีปัญหาขัดแย้งใดๆ เกี่ยวกับเรื่องพระแท่นบรรทม) พระราชาทรงกริ้วมาก  ถึงกับไม่ยอมตรัสกับพระนางมัลลิกา  ไม่เอาพระทัยใส่พระนางว่าจะอยู่อย่างไร
   พระนางมัลลิกาทรงระลึกถึงพระพุทธเจ้าว่าพระองค์ยังไม่ทรงทราบเรื่องนี้  ฝ่ายพระศาสดาทรงทราบเรื่องนี้ได้ด้วยพระญาณไม่ต้องมีใครบอกเล่า  เมื่อทราบแล้ว  เสด็จไปโปรดในพระราชวัง

   พระเจ้าปเสนทิโกศล  ทรงทราบว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาจึงรีบมาเฝ้าเตรียมอาหารอันประณีตถวาย  แต่พระพุทธองค์ทรงปิดบาตรเสีย  ไม่ยอมรับ  ตรัสถามว่าพระนางมัลลิกาเสด็จไปไหนเสียจึงไม่เสด็จมา  พระราชาปเสนทิทูลว่า  อย่าเอาพระทัยใส่กับนางผู้มัวเมาในอิสริยยศของตนเลยพระเจ้าข้า  เวลานี้พระนางทรงอวดดีขนาดกล้าทุ่มเถียงกับข้าพระพุทธเจ้า

    พระศาสดาตรัสเตือนพระเจ้าปเสนทิว่าควรจะอดโทษให้พระนางเสีย  เพราะเป็นเรื่องเล็กน้อย  พระองค์ทรงยกย่องพระนางไว้ในที่สูงแล้ว  คนทั่วไปรู้กันแล้ว  ไม่ควรทรงกริ้วขนาดไม่ตรัสปราศรัยด้วย  หากคนทั้งหลายเล่าลือกันไปก็จะไม่เป็นเกียรติยศแก่ราชสกุล  อนึ่ง  จักเป็นตัวอย่างให้สามีภรรยาที่ทะเลาะกันอ้างได้ว่า  แม้แต่พระราชาผู้จอมชนของพวกเราก็ยังทรงทะเลาะกับพระมเหสี เพราะฉะนั้นขอพระองค์จงระงับพระทัยอันขุ่นเคืองพระอัครมเหสีเสียเถิด  พระราชามีความเคารพในพระพุทธเจ้ามาก  จึงทรงยอมรับสั่งให้พระนางมัลลิกามาเฝ้าพระศาสดา  ทั้งสองพระองค์ก็ทรงปรองดองกันดีแล้ว  ช่วยกันอังคาสพระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข

    เย็นวันนั้น  ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในธรรมสภา  ถึงเรื่องที่พระศาสดาให้พระราชาและพระราชินีปรองดองกันได้ว่าเป็นอัศจรรย์ทรงให้พระราชาและพระราชินีปรองดองกันได้ด้วยธรรมข้อเดียว คือ  อานิสงส์แห่งความสามัคคี  พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาตรัสว่า  ชาติก่อนพระองค์ก็เคยทรงสมานสามัคคี  แห่งท่านทั้งสองนี้แล้วเหมือนกัน  ดังนี้แล้วทรงนำอดีตนิทานมาว่า

             

 ในอดีตกาล  พระเจ้าพรหมทัต  เมืองพาราณสีทอดพระเนตร  ผ่านพระแกลไปทางพระลานหลวง  ทรงเห็นหญิงทูนกระเช้าขายพุทราคนหนึ่งกำลังเดินร้องขายพุทราอยู่ว่าพุทราเจ้าข้า  พุทราเจ้าข้า
พระราชทรงสดับเสียงนั้นแล้วเกิดปฏิพัทธ์ให้มหาดเล็กไปตามมาเฝ้า  ทรงทราบว่ายังไม่มีสามี  จึงทรงอภิเษกนางให้อยู่ในตำแหน่งมเหสี  ทรงรักใคร่โปรดปรานมากพระราชทานนามให้ใหม่ว่าสุชาดาราชเทวี
 วันหนึ่ง  สุชาดาราชเทวี  เห็นพระราชากำลังเสวยผลไม้อย่างหนึ่ง สีแดง คล้ายโลหิตกลมเกลี้ยง  สะอาด จึงทูลถามว่า  พระองค์กำลังเสวยผลอะไร ?

 เพียงเท่านั้นเอง  พระราชาพิโรธมากตรัสบริภาษว่า  “ชิชะ  อีแม่ค้าพุทราสุก  ลูกไอ้คนขายผัก  แกไม่รู้จักพุทราอันเป็นผลไม้ประจำตระกูลของแกเสียแล้วหรือ?  เมื่อก่อนนี้เป็นหญิงหัวกล้อน  นุ่งผ้าเก่าๆ  สกปรกเก็บพุทราขาย  พอเอามาเลี้ยงให้ดีหน่อย  ทำเป็นไม่รู้จักพุทรา  อยู่ในราชสกุลคงร้อนรน  ไม่สบายเหมือนเที่ยวทูนพุทราขาย”

 พระราชารับสั่งให้ขับไล่พระนางสุชาดาออกจากพระราชนิเวศน์  แต่มหาอำมาตย์ผู้สอนอรรถธรรมแก่  พระราชาทราบเรื่องนั้นเข้ารีบมาทูลให้พระราชายับยั้งไว้ก่อนแล้วกราบทูลขอให้พระราชาทรงอดโทษให้แก่ พระนางด้วยเหตุผลเดียวกับที่พระศาสดาตรัสแก่พระเจ้าปเสนทิโกศล  จนพระเจ้าพรหมทัตพระทัยอ่อน  และยอมอดโทษให้พระราชเทวีทรงสมานสามัคคีมีความสุขสำราญเช่นเดิม

มหาอำมาตย์ผู้อนุศาสน์ธรรมนั้นมาเป็นพระพุทธเจ้า 
สุชาดาเป็นพระนางมัลลิกา 
พระเจ้าพรหมทัตมาเป็นพระราชาปเสนทิโกศล


 เรื่องนี้แสดงให้เห็นอานุภาพของพระราชาในสมัยที่มีพระราชอำนาจเต็มที่  โปรดปรานใคร  ก็ทรงยกขึ้นสู่ที่สูงได้ทันที  และพอขัดเคืองพระทัย  แม้ในเหตุอันไม่สมควรก็สั่งถอดถอนขับไล่ได้ทันที โบราณท่านจึงว่า  อย่าไว้ใจพระราชาว่าโปรดปราน  อย่าไว้ใจโจรว่าเป็นเพื่อนเก่าอย่าไว้ใจสตรีว่ารักเรา  และอย่าไว้ใจคนมีศัสตราในมือ

ที่พึ่งอันเกษม  คือตนเอง  พึ่งตนได้แล้วไม่ต้องง้อใคร
ไม่ต้องมีสุขทุกข์เนื่องด้วยการโปรดปราน  หรือไม่โปรดของคนอื่น



ขอขอบคุณที่มาบทความ  : หนังสือ เพียรพายสำเภาแก้ว 
เผยแพร่โดย  วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ( วัดหลวงปู่จาม )
บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี  จ.มุกดาหาร
-http://www.dhammasavana.or.th/article.php?a=423